๑๑

อีกครั้งหนึ่ง เฉลามาเยี่ยมเพื่อนรักถึงห้องนอน หล่อนตกใจมากที่เห็นนิจมีสีหน้าอันขาวซีด ขอบตาเขียวและจมูกก็แดง ทั้งใช้ผ้าไหมพรมผืนเบ้อเร่อพันคอไว้

“เป็นอะไรไปหรือนิจของพี่?” หล่อนถามพลางแก้ผ้าแพรดำสี่เหลี่ยมออกจากศีรษะ

“เป็นหวัดค่ะ ตั้งแต่ไปถูกฝนที่เขาตะเกียบมาแล้วก็เริ่มคัดจมูก พอเข้ากรุงเทพฯยิ่งเป็นมากใหญ่ลงคอเสียด้วย ไอเจ็บหน้าอกเหลือเกิน นั่งซีคะ พี่เฉลา”

พิศดูหน้าเพื่อนครู่หนึ่งแล้วพูดต่อไป “แหมเธออ้วนขึ้นจนผิดตา เมื่ออยู่ที่หัวหินเห็นกันทุกวัน นิจไม่ได้สังเกต เพิ่งเห็นวันนี้เอง”

“แต่ส่วนเธอตรงกันข้าม เวลาเพียง ๖ วัน เธอซูบซีดไปเยอะ อะไรที่ได้มาจากหัวหินน่ะไม่เหลืออยู่เลยเทียวหรือ?”

นิจสั่นศีรษะและยิ้มเศร้าๆ

“ไม่เหลือแม้แต่อย่างเดียว …...นั่งซีคะพี่เฉลา นั่งลงบนเตียงนั่นแหละ” แล้วหล่อนเองก็นั่งลงข้างๆ

เฉลามองดูหญิงสาวซึ่งหล่อนรักเหมือนน้องอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยกมือขึ้นโอบหลังหล่อนถามว่า

“มีอะไรร้ายกว่าเดิมไปอีกหรือ?”

“เปล่าค่ะ เหมือนเดิมนั่นแหละ เหมือนไม่ผิด” นิจตอบเสียงละห้อย “แต่นิจไม่ค่อยสบาย เส้นประสาทไม่ค่อยดี และใจอ่อนเหลือเกิน”

เวลาจวนค่ำ ในห้องที่สองสาวนั่งอยู่นั้นขมุกขมัวและเงียบสงัด นาน ๆ จึงได้ยินเสียงกาซึ่งจับอยู่ที่กิ่งมะขามข้างหน้าต่างร้องดังขึ้นสักหนหนึ่ง เฉลาถอนใจยาว ลุกเดินไปที่หน้าต่าง

“เปิดไฟหรือยังล่ะ?” หล่อนถาม

นิจค่อยๆ ยืนขึ้นช้าๆ ไอสองแค็กแล้วตอบว่า

“หมู่นี้นิจมีนิสัยชอบอยู่คนเดียว ในเวลาที่โพล้เพล้ ดูอะไรๆ มันมืดครึ้มและหม่นหมองทั้งเงียบสงัด สมกับฐานะของนิจ”

หล่อนเปิดไฟขึ้น แล้วกลับมานั่งที่เตียง เฉลาทำตามอย่าง มองไปยังห้องซึ่งติดกับห้องที่หล่อนนั่งอยู่ แล้วถามว่า

“นี่ไม่อยู่ซี?”

“ค่ะ ไม่มีใครอยู่เลย เข้าวังกันหมด วันนี้เฉลิมพระชนมพรรษายังไงล่ะคะ”

“อ้อถูกละ พี่หลงไปได้นี่ คุณพ่อและพี่ๆ เข้าวังกันทุกคน... เมื่อคืนนี้เธอไปเที่ยวหรือเปล่า?”

“เปล่ะค่ะ นิจไม่สบายนี่คะ คุณหลวงเขาชวนเหมือนกัน แต่นิจรู้ดีว่าเขาจำเป็นจำใจทำตามหน้าที่ จึงปล่อยให้เขาไปกันตามลำพังพี่ๆ น้องๆ”

“วันนี้ล่ะ?”

“วันนี้ก็ตั้งใจจะอยู่บ้านเหมือนเมื่อคืนนี้ ส่วนคุณหลวงเขาทำโปรแกรมเรียบร้อยแล้ว ตอนหัวค่ำจะพาเจ้าคุณและคุณหญิงไปเที่ยว ตกดึกจะไปรับน้องสาวที่บ้าน?”

“เขาบอกกับเธอรึ ว่าเขาทำโปรแกรมดังนั้น?”

“เปล่าค่ะ แต่เขานัดกันต่อหน้านิจว่าให้ไปรับ ๒๓ นาฬิกา”

“และสามีเธอก็รับคำ?””

“แน่ละซีคะ เขาไม่เคยปฏิเสธอะไรเจ้าหล่อนเลย”

“แปลกแท้” เฉลาคิดในใจ “ช่างไม่รักเอาเสียเลยทีเดียวหรือ ถึงไม่รู้จักเกรงใจ เห็นท่าเมื่ออยู่หัวหิน เวลามองดูเมียก็บอกทนโท่นี่นาว่าไม่เกลียด ช่างไม่นึกเสียเลยว่าหัวใจของเด็กจะชอกช้ำเพียงไหน ในการที่ไปนัดแนะกันต่อหน้าต่อตาเช่นนั้น ถ้าลับหลังก็พอทำเนา สันดานผู้ชายนี่เหมือนกันหมด คิดเห็นแต่ใจของตัวส่วนใจคนอื่นไม่นึกถึงบ้าง ช่างไม่เห็นบ้างเลยว่าเมียของแกน่ะดีแสนดี ไม่เคยแสดงกิริยาว่าหึงหวงสักนิด ถ้าเป็นอย่างคนอื่นป่านนี้ก็คงต้องขึ้นศาลกันแล้ว ผู้หญิงที่ไหนมีบ้างที่ไม่หึง ถึงผู้ชายก็เหมือนกัน หรืออีตาหนวดนี่แกเป็นคนพิเศษไม่รู้จักหึง จึงไม่นึกถึงใจเมีย-เฮ้อ! ไม่มีละในโลกนี้ ผู้ชายยิ่งเจ้าชูยิ่งขี้หึง จะลองดีตาคนนี้สักทีเถอะ ว่าแกมีหัวใจเหมือนคนอื่นไหม” คิดแล้วดังนั้นหล่อนจึงพูดว่า

“พี่ไม่อยากจะพูดซ้ำเติมสามีเธอดอกนะ เพราะเกรงจะทำให้เธอช้ำใจยิ่งขึ้น แต่พี่เห็นว่าเขากำเริบเสิบสันขึ้นทุกวันตามที่เธอเล่าให้พี่ฟัง เห็นจะเป็นที่เธอทำใจดีต่อเขา เขานึกว่าเธอไม่มีหัวใจ ไม่รู้จักอิจฉาริษยา แม้ในคราวที่เธอมีสิทธิ พี่คิดว่าเธอควรจะทำให้เข็ดเสียบ้าง”

นิจยิ้มอย่างไม่เชื่อ

“ทำอย่างไรคะ?”

“ทำให้เขาอิจฉาเธอ”

“จะทำอย่างไรได้คะ คนที่จะอิจฉานั้นต้องมีความรัก เขาไม่รักนิจเลยเขาจะอิจฉาทำไม?”

“ไม่จริงหรอกเธอ ผู้ชายเป็นเพศที่เห็นแก่ตัวเองเสมอ จะรักหรือไม่รัก มีสิทธิหรือไม่มี ถ้าขึ้นชื่อว่าเมียหรือคู่รักแล้วเป็นอิจฉาจนได้ ไม่เชื่อเธอคอยดูคุณหลวงของเธอซี”

“พี่เฉลาจะให้นิจทำอย่างไรคะ?”

“ไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากไปเที่ยวดูงานเฉลิมสองคนกับพี่ แต่พี่จะเอารถของพี่ฉลาดไป เราไปกันสองคนเท่านั้น พี่จะขับรถเอง”

นิจทำหน้าตื่น “พี่เฉลาน่ะหรือจะขับรถเอง” หล่อนถามอย่างไม่เชื่อ

“พี่นะซี ก็พี่เคยขับนี่นา หรือเธอไม่รู้?”

“รู้ค่ะ เคยเห็นด้วย แต่งานเฉลิมนี้ทั้งรถทั้งคนจอแจนัก เดี๋ยวไปชนใครเขาเข้าละก็ตายละ แล้วเจ้าคุณท่านทราบมิถูกดุหรือคะ?”

“ไม่ดุหรอก ก่อนจะทำ เราอย่าให้ท่านรู้พอ พอแล้วไปแล้วจึงค่อยเล่าให้ท่านฟัง และหาวิธีเล่าให้สนุก ท่านคงลืมเอ็ด คุณพ่อตามใจพี่มากทีเดียวเดี๋ยวนี้เห็นจะเกิดจากไว้ใจ สำหรับที่เธอกลัวว่าจะเอารถไปชนเข้านั้น เราจะโง่ทำไมล่ะ เราอย่าไปที่ถนนมีคนมากซี เธอต้องไปอยู่ที่บ้านเจ้าคุณอาค่ำวันนี้ แล้วไล่รถกลับมาเสีย พอถึงเวลาพี่จะไปรับเธอ เราจะไม่ไปดูไฟที่ไหนเลยหาทางเงียบ ๆ ไปถึงหน้าวัดหัวลำโพงให้ได้เวลา ๕ ทุ่มพอดี”

“แล้วไปอยู่ที่บ้านเธอยังงั้นหรือคะ”

“ไม่ช่าย! หลวงธนสารเขาจะไปรับชิ้นของเขาเวลาห้าทุ่ม บ้านตาขุนขาหักแกอยู่ปากถนนบ้านพี่เอง เราไปให้ถึงตรงนั้น พอดีให้สามีของเธอเขาเห็นว่าเธออยู่ในรถของพี่ฉลาดกับใครคนหนึ่งที่ไม่ใช่ผู้หญิง เข้าใจหรือยัง?”

ครั้นนัดแนะกันเป็นที่เข้าใจดีแล้ว เฉลาก็ลากลับไป

คืนวันนั้น ขณะที่เจ้าคุณวิชัยและคุณหญิงสงวนแต่งตัวเสร็จแล้ว มาขึ้นรถที่จอดรออยู่ที่หน้าตึกหลวงธนสารกำลังทำหน้าที่คนขับรถ เขาประหลาดใจมากที่ได้เห็นภริยาของเขาลงมาเรียนกับคุณหญิงว่าขอให้ตาอาบขับรถพาหล่อนไปหาคุณพ่อ เขามองดูร่างซึ่งยืนอยู่ในเงารถ สังเกตเห็นว่าร่างกายอันแบบบางนั้นคลุมอยู่ด้วยเสื้อหนาวสีดำ คุณหญิงมารดาประหลาดใจไม่น้อยกว่าบุตรชาย แต่ท่านคงพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตอย่างเสียไม่ได้

เขาพามารดาเที่ยวจนทั่วพระนครในเขตที่มีไฟตบแต่ง ราว ๒๒ น. ครึ่ง จึงพาท่านทั้งสองมาส่งบ้าน เขาเห็นตาอาบนอนเล่นอยู่กลางสนาม จึงเดินเปื่อยเข้าไปถามแกว่า “นิจ กลับมาแล้วหรือ?”

“ยังขอรับ” ตาอาบตอบพลางลุกขึ้นนั่ง “เธอไล่ให้ผมเอารถกลับมา ผมมาถึงเมื่อครู่นี้เอง”

หลวงธนสารนิ่งตรองอยู่สักครู่แล้วถามว่า

“แกรู้ไหมเธอจะกลับอย่างไร?”

“ไม่ทราบขอรับ เมื่อไปถึงเจ้าคุณกับคุณหญิงก็ไม่อยู่ ไปเที่ยวเหมือนกัน แม้เมื่อผมกลับมาท่านก็ยังไมกลับ”

“เอ๊ะ!” หลวงธนสารอุทาน “เจ้าคุณกับคุณหญิงไม่อยู่ เขาไปอยู่ทำไมจนป่านนี้ แกจะเข้าใจผิดไปกระมัง? บางทีท่านจะกลับแล้วโดยที่แกไม่รู้”

“ทราบสิขอรับ ผมอยู่ที่หน้ามุขตลอดเวลา มีรถเข้ามาในบ้านคันหนึ่งเท่านั้น เป็นรถเฟียตตอนเดียวสีดำ คนที่นั่งอยู่บนรถขับเอง นั่งมาคนเดียว พอรถคันนั้นมาถึง คุณก็ไล่ให้ผมกลับบ้าน”

หลวงธนสารขบกรามแน่น ก่อนที่จะถามว่า

“คนที่มารถนั้นเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย?”

“ผมไม่เห็นหน้าถนัดหรอกครับ เห็นแต่ใส่เสื้อยาวๆ คล้ายๆ เสื้อของคุณ และไม่มีมวย”

“ผู้หญิงสมัยนี้เขาตัดผมข้างหลังเกรียนกันทั้งนั้น” หลวงธนสารพูดลอยๆ คล้ายพยายามจะหลอกใจตัวเอง ครั้นรู้สึกตัวจึงเสพูดว่า

“แกไม่พาลูกพาเมียไปดูไฟกับเขาบ้างดอกหรือ ตาอาบ?”

“ไม่ไปละขอรับ ผมเบื่อเสียแล้ว เห็นทุกๆ ปีเหมือนกัน แจ่มเขาไปกับเด็กๆ ก็ได้”

หลวงธนสารเดินทอดน่องมาขึ้นรถ ในใจให้กระอักกระอ่วนกังวล ใจหนึ่งอยากจะไปบ้านพ่อตาเพื่อดูว่าภริยาอยู่กับใคร ส่วนอีกใจหนึ่งเป็นห่วงหญิงที่ตนรัก กลัวจะผิดนัดเสียสัญญา ดังได้กล่าวแล้วว่า หลวงธนสารเป็นคนรักคำพูด เขามีวิธีรักษาสัตย์ตามใจของเขาเองอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นจึงหักใจเรื่องภริยาเสียได้ และขับรถแล่นผ่านถนนสาธรมาโดยเร็ว ขึ้นสะพานลงถนนคอนแวนต์และออกศาลาแดง ตรงไปหัวลำโพง ใกล้ๆ กับวัด มีสะพานไม้ขนาดพอดีรถยนต์ขึ้นได้สะพานหนึ่ง สำหรับข้ามคลอง ที่ปลายสะพานคนละฝั่งกับถนน คือบ้านแม่รัศมีของเขา เวลานั้นยังไม่ถึง ๒๓ นาฬิกา หลวงธนสารจอดรถชิดกับรางรถแล้วบีบแตรขึ้นสองที

ในถนนที่เขาจอดอยู่นั้นค่อนข้างเงียบ ผิดกับถนนพระราม ๔ ซึ่งแลเห็นอยู่ตรงหน้า ห่างไกลหันไปทางขวามือ แลเห็นหลังคาสถานีหัวลำโพง ซึ่งไฟสีน้ำเงินและสีแดงส่องจับเป็นเงาสว่างไสว เขามองดูนาฬิกาข้อมือ เห็นเวลา ๒๓ นาฬิกาตรง ก็ได้ยินเสียงรถคันหนึ่งแล่นเข้ามาใกล้ เขาหันหน้าไปดูและสะดุ้ง เมื่อเห็นรถนั้นมีหน้าหม้ออย่างรถเฟียตและสีดำ รถคันนั้นค่อย ๆ แล่นผ่านเขาไปช้าๆ ช้าพอที่เขาจะจำเสื้อคลุมกำมะหยี่ดำของภริยาได้ กับเห็นร่างของคนที่ใส่เสื้อหนาวอย่างผู้ชาย และไม่มีมวยได้ ครั้นผ่านเขาไปแล้วก็ชะลอเครื่อง ในที่สุดก็หยุดที่ข้างหน้าเขาห่างกัน เพียง ๑๐ กว่าวา

หลวงธนสารหน้ามืด กำมือแน่น ไม่ทราบจะทำอย่างไรดี นอกจากจ้องตาไปข้างหน้าเห็นศีรษะของภริยาโคลงไปมา แสดงว่าหล่อนกำลังหัวเราะอย่างสนุกสนานกับเจ้าคน ‘ไม่มีมวย’ เขากำลังครุ่นคิดว่าเคยเห็นใครนั่งรถคันนี้ ก็เห็นเจ้าคนไม่มีมวยนั้นลงจากรถเดินไปเปิดดูเครื่อง ความคิดบ้าๆ เกิดขึ้นในสมอง เขาเปิดประตูรถของเขาเอง กระโดดลงเดินพรวดๆ เข้าไปที่รถเฟียต ภริยาของเขากำลังมองดูเพื่อนเดินทางของหล่อน ซึ่งกำลังก้มหน้าอยู่ เขามิรั้งรอ ตรงเข้าจับแขนหล่อนบีบโดยแรง

“ว้าย!” นิจร้อง “ใครนี่? ตาย อีตาบ้า! พี่เฉลาช่วยด้วย ผู้ร้ายมันจะฉุดนิจ”

“พี่เฉลา!” หลวงธนสารคำราม “เฉลาหรือฉลาด! จำผัวไม่ได้จริงหรือถึงต้องร้องให้คนอื่นช่วย นึกว่าใครเขาไม่รู้เท่า!”

นิจสะบัดแขนเต็มแรง หลุดจากกำมือของสามี หลวงธนสารฉวยแขนเสื้อไว้จึงถอดเสื้อเสียโดยเร็ว ลงไปยืนอยู่ข้างเพื่อนเดินทาง

เจ้าคนไม่มีมวย’ ดูไม่ค่อยตกอกตกใจนัก มือซ้ายโอบหลังนิจไว้ มือขวายกไฟซึ่งกำลังฉายเครื่องรถ ฉายตรงไปที่หน้าของชายหนุ่ม แล้วอุทานดังพร้อมกับลดไฟลง

“หลวงธนสาร!”

ผู้ถูกกล่าวนามสะดุ้ง เสียงนั้นเป็นเสียงผู้หญิงแท้ๆ มีกังวานแสดงความประหลาดใจเต็มที่

“ตายละวา ผิดเสียแล้ว! คุณเฉลานั่นเอง” เขารำพึงพลางพิศดูเจ้าคน ‘ไม่มีมวย’ แต่นิสัยชายหนุ่มโดยมาก เมื่อทำการพลั้งพลาดแต่เพียงเล็กน้อย ครั้นรู้สึกตัวแทนที่จะหยุดไว้เพียงแค่นั้นกลับปล่อยให้เลยตามเลยและซ้ำส่งให้มากยิ่งขึ้น นิสัยพรรค์นี้มีอยู่ในสันดานของคน ‘ดันข้าง’ ดังที่ผู้ใหญ่ของเราเคยเรียกกัน สามีของนิจเป็นคนหนึ่งในจำพวกนั้น แทนที่เขาจะเปิดหมวกออกและกล่าวคำขอโทษ เขากลับแสดงความฉุนเฉียวยิ่งขึ้นเพื่อกลบความอายและพูดว่า

“เห็นดีอย่างไรที่มาเที่ยวตามลำพังในเวลาดึกดื่นป่านนี้ กลับบ้าน ไปขึ้นรถฉัน”

นิจยืนนิ่ง เฉลาอมยิ้ม พูดโดยไม่อ้าปาก แต่พอให้นิจได้ยิน

“ไปกับเขาไป๊!”

นิจก้าวเท้าออกเดินตามคำสั่ง แต่หล่อนเดินไม่เร็วพอทันใจของสามี เขาเดินอ้อมรถเข้ามา จับ แขนหล่อนโดยแรงเกือบเหมือนฉุด พาหล่อนไปขึ้นรถของเขา ทิ้งเฉลาให้ยืนหัวเราะอยู่คนเดียว

หลวงธนสารลืมนึกถึงอะไรหมดในโลก นอกจากความห้าแต้มที่ตัวได้ทำไปแล้ว แม้แต่แม่รัศมีซึ่งกำลังเดินมาบนสะพานเขาก็ทำไม่เห็นเสียได้ เดินเครื่องและออกรถโดยแรง จนหน้าของนิจซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เกือบไปปะทะกับกระจกเข้า แล้วกลับรถแล่นไปตามถนนโดยเร็ว ครั้นถึงเสาไฟฟ้าตรงปลายสะพาน แทนที่จะเลี้ยวขึ้นสะพานนั้นอันเป็นหนทางไปบ้าน เขากลับเลี้ยวซ้ายไปตามถนนราชดำริ และขับรถแล่นไป-แล่นไปจนไม่ทราบว่าเลี้ยวถนนไหนบ้าง ขณะนั้นมีลมพัดแรง พายุฝนตั้งมาข้างหน้าฝนเริ่มลงเม็ดปรอยๆ นิจรู้สึกความหนาวเย็นปะทะหน้าอกที่ไม่มีอะไรปกคลุม นอกจากผ้าพันคอเสว็ตเตอร์แพรผืนเล็ก รถยิ่งแล่นเร็ว ความเย็นยิ่งจัดขึ้น หลวงธนสารดูเหมือนไม่มีความรู้สึกต่อความหนาวนั้น เขาคงปล่อยให้รถแล่นไปเร็วเต็มกำลัง มือที่ถือพวงมาลัยยิ่งบีบแน่นเข้า ส่วนภริยาเอามือกุมหน้าอกอันเย็นเฉียบไว้แน่น สุดกำลังที่จะทนความหนาว จึงพูดกับเขาเปรย ๆ อย่างขลาดและอ่อนโยนว่า

“เบาๆ หน่อยเถอะค่ะ หนาวเหลือเกิน นิจลืมเสื้อคลุมไว้ในรถพี่เฉลา”

“เบารึ?- อย่าเลย” ความคลุ้มคลั่งอันเกิดจากความอายและความโกรธครอบงำความรู้สึกผิดชอบของชายหนุ่มเสียสิ้น วี้ด! เสียงอากาศกระทบกับกระจกโดยแรง เขาได้ยินนิจครางเบาๆว่า “โอย! หนาวจริง เย็นเหลือเกิน” แต่เขาไม่พรั่น คงพารถแล่นไปโดยเร็วดังลมพัด วกไปเวียนมาตามถนนต่างๆ ซึ่งเงียบและปราศจากผู้คน จนความบ้าในสมองบรรเทาลง หลวงธนสารจึงพารถกลับบ้าน

นิจไม่รู้สึกว่า รถแล่นเข้าบ้านเมื่อไรหล่อนลงจากรถ ขึ้นเรือน และเข้าไปอยู่ในมุ้งได้โดยวิธีใด ร่างกายอ่อนเพลียเพราะเป็นหวัดอยู่แล้วตั้งอาทิตย์ ไม่มีกำลังพอต้านทานกับความเย็นอันดุร้ายได้

รุ่งขึ้นอีกสองวัน เฉลามาหานิจ ในใจให้รู้สึกสนุกสนานล่วงหน้า เพราะคาดว่าจะได้ฟังข่าวดี อย่างไม่มีอะไรเลย กิริยาท่าทางอย่างวิกลจริตของหลวงธนสาร ก็พอจะทำให้หล่อนหัวเราะไปได้หลายชั่วโมง แต่การคาดคะเนของหล่อนผิดถนัด ด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง หล่อนพบยายเพียรพี่เลี้ยงของนิจที่เชิงบันได ดวงหน้าอันเหี่ยวแห้งของแกแห้งยิ่งกว่าวันใดๆ ที่เฉลาเคยเห็น ขอบตาอันบางของแกนั้นบวมและแดง พอแกเห็นเฉลา แกทรุดนั่งไหว้และสะอื้นดังฮั่ก ๆ จนเฉลาตกใจ

“เป็นอะไรไปหรือ ป้าเพียร” เฉลาถามชะโงกหน้าเข้ามาหาแก “ถูกคุณหนูเอ็ดเอาหรือ?”

ยายเพียรยกชายผ้าห่มเช็ดน้ำตา ปากอันดำด้วยหมากของแกเบ้ไปเบ้มาอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดออกได้

“เปล่าหรอกค่ะ แต่เธอคลั่งไปแล้ว พูดจาเพ้อเจ้อ จำดิฉันก็ไม่ได้”

เฉลาหน้าซีด ผละจากยายเพียรขึ้นบันไดโดยเร็ว พอโผล่เข้าห้องหล่อนก็ใจหายวาบ นิจนั่งอยู่บนเตียงโยกไปโยกมา หน้าขาวซีดราวกับกระดาษตาแดงก่ำ ริมฝีปากที่กำลังขมุบขมิบอยู่นั้นก็แดงจัดกว่าปกติ เฉลาตรงเข้าประคองเพื่อนให้นอนลง แล้วเอามือคลำศีรษะ รู้สึกว่าร้อนจัดดังกับไฟ หล่อนคลี่ผ้าห่มออกคลุมให้ นิจปล่อยให้หล่อนทำโดยดี ดวงตายังคงลืมโพลงและไม่แสดงว่าจำเฉลาได้ เฉลาสงสารเพื่อนจนน้ำตาไหล นิ่งคิดไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรต่อไป แล้วนึกถึงยายเพียรขึ้นมาได้จึงโผล่ประตูออกไปดู เห็นแกนั่งสะอึกสะอื้นอยู่เช่นเดิม ก็เรียกแกขึ้นไปข้างบน

“ไหนเล่าไปถีป้าเพียร มันเป็นอย่างไรกัน นี่นิจเจ็บมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ยาหยูกก็ไม่เห็นมี?”

“เจ็บตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ ดิฉันมาถึงเห็นเธอนอนอยู่บนเตียง ดิฉันเข้าไปจับเท้าเธอ เธอหันมามองดูตาเป๋ง แล้วร้องว่า ‘โอย! หนาวจริง เย็นเหลือเกิน’ ดิฉันตกใจ ถามเธอว่าเป็นอะไร เธอกลับผลักไหล่ดิฉัน บ่นอยู่คำเดียวแต่ว่า ‘หนาว! หนาว!’ ดิฉันตกใจเลยวิ่งลงไปข้างล่าง พอดีพบกับคุณ”

“เมื่อป้าเข้ามา เธออยู่คนเดียวหรือ? ละไมไปไหนเสียล่ะ”

“ยังไงก็ไม่ทราบค่ะ ดิฉันมาถึงเห็นเธอนอนอยู่คนเดียว”

เฉลานิ่งตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า

“นี่แน่ะป้าเพียร หยุดร้องไห้เสียที คุณหนูไม่ได้เป็นบ้าคลั่งอะไรหรอก เป็นไข้เท่านั้น บ้าไปข้างหลังตึกนะ ถามคนใช้ดูว่าละไมอยู่ที่ไหน แล้วบอกให้เขามานี่ บอกว่าคุณนิจเรียก แล้วอย่าทำเอะอะไปล่ะ”

นมเพียรไปแล้ว เฉลากลับไปที่เตียง นิจกำลังพลิกตัวและดิ้นรนคล้ายกับกำลังต่อสู้กับอะไรสิ่งหนึ่ง เฉลาจับหน้าผากหล่อนเบาๆ แล้วเรียกชื่อด้วยเสียงอันอ่อนโยน นิจมองดูหน้าเฉลานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วไอโดยแรงจนตัวพัดไปมา พอหยุดไอก็พึมพำว่า

“อุ๊ย หนาวจริง!”

เฉลากัดริมฝีปากโดยแรง เพื่อกลั้นน้ำตาค่อย ๆ ลูบศีรษะและร่างกายของคนไข้ และพูดปลอบโยนด้วยคำอ่อนหวาน ความสัมผัสอันนิ่มนวล และเสียงอันเต็มไปด้วยความปรานี ทำให้คนไข้สงบกระสับกระส่ายลงบ้าง นิจถอนใจแรงแล้วหลับตาลง

นมเพียรกลับมาพร้อมด้วยละไม นางคนใช้ทำท่าตื่นๆ เฉลายกมือเป็นเครื่องหมายให้เงียบ แล้วพาคนทั้งสองไปนั่งที่บันได

“ละไม” เฉลาตั้งปัญหา “คุณของแกเป็นอย่างนี้มาแต่เมื่อไร?”

“เพิ่งเป็นวันนี้เองเจ้าค่ะ”

“เมื่อวานนี้ไม่เป็นอะไรเลยหรือ?”

“เป็นเหมือนกันเจ้าค่ะ เมื่อวานนี้ตอนเช้า เธอบ่นว่าปวดศีรษะและเจ็บที่หน้าอก เธอให้ดิฉันไปเรียนคุณหญิงว่า เธอไม่รับประทานอาหาร เพราะเธอไม่สบาย ดิฉันนำน้ำชาฝรั่งมาให้เธอถ้วยหนึ่ง เธอรับประทานเข้าไปอีกเดียว แล้วก็บอกว่ารับประทานไม่เข้า ตอนกลางวันก็ไม่ได้รับประทานอาหาร ตอนเย็นก็เหมือนกัน คุณหญิงสั่งให้ดิฉันนำอาหารขึ้นมาให้บนนี้ ดิฉันเอาข้าวสวยกับแกงส้มมา เธอกลับไล่ให้เอาลงไปเสีย เธอนอนคลุมผ้าอยู่นิ่งๆทั้งวัน ครั้นเช้าวันนี้ดิฉันขึ้นมาเห็นเธอกำลังเพ้ออยู่”

“แล้วแกไปบอกใครหรือเปล่า?”

“บอกเจ้าค่ะ บอกแม่ผันแม่ครัวกับนายแปลก”

“ดี” เฉลาประชด “ไปบอกทำไมยายคนครัว ทำไมถึงไม่เรียนคุณหญิง?”

ละไมอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง

“ดิฉัน...ดิฉัน ง่า...กลัวท่านเจ้าค่ะ”

“กลัวทำไม แกทำอะไรผิดหรือ ถึงจะต้องกลัว กะอีจะเรียนว่านายของตัวเจ็บก็ต้องกลัวด้วยหรือ?”

“เพราะเมื่อดิฉันไปเรียนท่านว่า คุณไม่สบายเมื่อตอนเช้าวานนี้ ใครๆ ก็อยู่ที่นั่น เจ้าคุณก็อยู่ คุณหลวงก็อยู่ คุณรัศมีก็อยู่ด้วย คุณหญิงท่านกลับว่า ‘สมน้ำหน้า ขึ้นรถเที่ยวตามหึงผัวจนเจ็บ’ ดิฉันอายแทนคุณเจ้าคะ และวันนี้คุณหญิงก็มีแขกทั้งวัน”

เฉลารู้สึกตัวร้อนซ่าด้วยความโกรธ ความโหดร้ายชนิดนี้แรงมาก-แรงมากจนเกือบเหลือเชื่อ เพราะฉะนั้นหล่อนจึงซักต่อไป โดยหวังว่าจะได้ฟังเสียงที่ดีกว่านี้

“แกว่า เวลาที่แกไปเรียนคุณหญิง คุณหลวงอยู่ด้วยไม่ใช่หรือ ท่านไม่ได้ถามแกหรือ ว่าคุณนิจมีอาการเป็นอย่างไร?”

“คุณหลวงหรือเจ้าคะ ไม่ได้ถามเจ้าค่ะ”

“มาเยี่ยมหรือเปล่า?”

“ยังไรไม่ทราบเวลาดิฉันอยู่ไม่เห็นมา”

เฉลาหัวเราะอย่างขมขื่น มองดูนาฬิกาที่ข้อมือ แล้วทำความตกลงใจในขณะนั้นเอง หล่อนหันไปมองดูนิจ เห็นยังนอนนิ่งไม่กระดุกกระดิก

“ละไมแกอย่าไปจากห้องนี้ ต้องเฝ้าคุณของแกอยู่ที่นี่ คุณของแกเจ็บมากรู้ไหม? คอยระวังอย่าให้ออกจากห้อง และให้ห่มผ้าไว้เสมอประเดี๋ยวฉันจะกลับมา ป้าเพียรไปด้วยกัน ฉันจะพาไปส่งบ้าน”

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ