หมวด ๑๐ ค้าขายเกินตัวและการทำสินค้าขึ้นขายมากเกินไป

พ่อค้าแทบทุกคนที่ทำการค้าขายอยู่นั้น คงต้องมีน่าที่อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งจำเปนจะต้องทำตามที่ตัวได้สัญญากับเขาไว้ มีการสัญญารับใช้หนี้เปนต้น ได้เซนต์ชื่อสักหลังลงในใบสั่งจ่ายหรือในหนังสือสัญญารับใช้เงินฉบับใด เมื่อถึงวันกำหนดตามสัญญานั้นแล้วจำจะต้องใช้หนี้เขาให้ได้ ถ้าใช้ไม่ได้การค้าขายของตัวจะต้องล้มละลาย เพราะเจ้าหนี้จะฟ้องศาลเร่งเอาเงินคืน

พ่อค้ามีทรัพย์สมบัติสำหรับที่จะใช้หนี้สองอย่าง อย่างหนึ่งเปนจำนวนเงินหนี้ที่ผู้อื่นยังเปนลูกหนี้ตัวอยู่ อีกอย่างหนึ่งเปนสินค้าที่ตัวเปนเจ้าของ พ่อค้าจำจะต้องขายหนี้ของตัวที่ติดอยู่กับผู้อื่นนั้นให้แก่แบงก์ หรือต้องเอาสินค้าที่มีอยู่นั้นออกขายในตลาด

ถ้าเปนเวลาที่ความเชื่อกันยังมั่นคงดีอยู่ คือเวลาที่แบงก์ทั้งหลายยังมีความเชื่อพ่อค้าอยู่ แบงก์ยอมรับซื้อหนี้ของพวกพ่อค้าโดยสดวก พวกพ่อค้านั้นก็จะกักสินค้าของตัวไว้ คอยหาโอกาศดีที่จะขายสินค้าให้ได้ตามราคาที่สมควร ถึงกำหนดเวลาจะต้องใช้หนี้แบงก์เมื่อใด พ่อค้าก็จะเอาใบสัญญาใช้เงินหรือใบสั่งจ่ายที่ลูกหนี้ของตัวได้รับใช้นั้นไปขายให้แก่แบงก์เปนการลบล้างหนี้กันไปได้ ถ้าความเชื่อดีอยู่เช่นนี้ การค้าขายก็จะดำเนินเรื่อยไปได้ดีเสมอ ไม่จำเปนที่จะต้องมีเงินสดไปใช้หนี้กัน หรือไม่ต้องมีเงินสดไว้ใช้เลยก็ได้ ถ้าจะต้องใช้เงินสดบ้างก็จะมีไว้แต่เล็กน้อย สำหรับใช้สรอยในการเบ็ดเตล็ดชั่ววันหนึ่ง ๆ เท่านั้น

ธรรมดาแบงก์ย่อมจะต้องมีทุนมาก เพราะฉะนั้นคนทั้งหลายจึงมีความเชื่อถือ ในความปึกแผ่นแน่นหนาของแบงก์มาก ใครมีเงินเหลือใช้สรอยอยากจะได้ดอกเบี้ย ก็เอาเงินไปฝากไว้กับแบงก์เปนเงินฝากประจำปี สุดแล้วแต่จะสัญญากันว่าจะฝากไว้ชั่วปีหนึ่งสองปี หรือสามปีเปนต้น แบงก์สัญญาให้ดอกเบี้ยมากน้อยตามกำหนดเวลาที่ฝากนั้นจะช้านานหรือเร็ว ถ้าฝากไว้สักแต่ว่าให้แบงก์เปนผู้เก็บรักษาเงิน ผู้ฝากจะถอนเงินที่ฝากนั้นไปในวันใดก็ได้ จะถอนออกหมดในครั้งเดียวหรือจะถอนไปใช้ทีละน้อยเมื่อเวลาต้องการใช้เปนรายวันก็ตาม ถ้าเปนเช่นนี้แบงก์ก็ไม่ให้ดอกเบี้ยเลย หรือถ้าจะให้บ้างก็อย่างต่ำที่สุดเพียงปีหนึ่งร้อยละหนึ่งเปนต้น ไม่ให้ดอกเบี้ยเพราะเขาต้องป่วยการเก็บรักษาเงิน หรือป่วยการทำบาญชีให้เปล่า ๆ หรือถ้าให้ดอกเบี้ยบ้าง ก็เปนการที่จะชวนให้คนเอาเศษเงินที่เหลือใช้ชั่วขณะหนึ่ง ๆ นั้นไปฝาก เงินฝากประจำปีแบงก์เอาไปใช้ทำประโยชน์ได้นาน เงินฝากประจำวันแบงก์ไม่กล้าเอาไปใช้หมดทีเดียว เพราะไม่รู้ว่าเจ้าของจะต้องการถอนไปเมื่อใด แบงก์จึงไม่ให้ดอกเบี้ย หรือถ้าให้บ้างก็อย่างน้อยที่สุด เงินฝากนี้และที่แบงก์เอาไปใช้เติมทุนของตัวสำหรับรับซื้อหนี้ หรือรับซื้อใบสั่งจ่ายใบสัญญากู้เงินของพ่อค้าลูกค้าทั้งปวง แบงก์ใดที่คนเชื่อถือมากแบงก์นั้น ก็มีเงินฝากมาก มากจนเกินเงินทุนของตัวหลายเท่า ผู้ใดเอาหนี้ไปขายกับแบงก์ หรือไปกู้เงินจากแบงก์ ๆ คงคิดเอาดอกเบี้ยสูงกว่าที่แบงก์ต้องเสียให้แก่ผู้ฝากเสมอ ไม่ฉะนั้นก็จะไม่มีกำไร แต่ความจริงนั้นแบงก์ได้อาศรัยใช้เงินฝากที่เหลือประจำวันอยู่นั้นเปนกำลังมาก เพราะเงินเช่นนี้ไม่มีดอกเบี้ยหรือมีดอกเบี้ยน้อยที่สุด ได้ใช้เงินรายนี้เปนประโยชน์มาก โดยอาศรัยเหตุธรรมดาซึ่งผู้ที่นำเงินไปฝากนั้น โดยมากไม่ได้ถอนเงินไปหมดในครั้งเดียวพร้อมกัน เจ้าจำนำผู้นั้นถอนออกผู้นี้ส่งเข้าคงมีเงินเหลือ สำหรับให้แบงก์เอาไปใช้ค้าขายซื้อหนี้ขายหนี้เอากำไรได้เสมอ การที่แบงก์ขายหนี้นั้นก็คือขายความเชื่อที่คนทั้งหลายมีอยู่ต่อแบงก์ ผู้ซื้อความเชื่อของแบงก์ก็คือผู้ที่นำเงินไปฝาก แล้วได้รับแต่ใบเสร็จรับเงินของแบงก์แลกเปลี่ยนไปให้ไว้เปนสำคัญเท่านั้น

เรื่องธุระของแบงก์จะได้กล่าวต่อไปในหมวดหนึ่งต่างหาก กล่าวมาเพียงแต่พอจะให้เห็นว่า เมื่อแบงก์ค้าความเชื่อของตัวเปนใหญ่ ได้อาศรัยเงินฝากของผู้อื่นใช้ซื้อหนี้ของคนค้าขายจนเกินทุนของตัวเองอยู่มากมายเสมอไปเช่นนั้นแล้ว แบงก์จำจะต้องทำการโดยความไหวพริบระวังระไวอยู่โดยกวดขันเสมอ ต้องอุส่าห์สอดส่องดูให้รู้จักความซื่อตรงแลถานะความปึกแผ่นของเจ้าจำนำทุกคนว่าจะเชื่อเขาได้สักเพียงใดแล้ว ยังจะต้องคอยระวังฟังเหตุการต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น หรือเปนอยู่ทุกวันในการค้าขายทั่วไปด้วย ราคาสินค้าอย่างใดจะขึ้นลงเพราะเหตุใดต้องหมั่นสอดส่องสังเกตดูเ ปนการคุมเชิงเจ้าจำนำแลคุมเชิงตลาดสินค้าทั่วไปอยู่เสมอ ถ้าแบงก์มีความสงสัยในความปึกแผ่นของเจ้าจำนำคนใด หรือมีเหตุที่จะนึกเกรงความวิบัติในการค้าขายทางใดขึ้น แบงก์ไม่เชื่อเจ้าจำนำไม่ยอมรับซื้อหนี้ในใบสั่งจ่ายแลใบสัญญากู้เงินของพ่อค้าเมื่อใด พ่อค้านั้นจำจะต้องเอาสินค้าของตัวออกขายในตลาดตามแต่จะได้ราคา ถึงจะขาดทุนก็ต้องขายเอาเงินไปใช้หนี้ ไม่ฉะนั้นกจะต้องล้มละลาย เมื่อเปนเช่นนี้สินค้าอย่างนั้นจะมีมากขึ้นในตลาด มากจนเกินส่วนผู้ที่จะต้องการซื้อไปเมื่อใด ราคาสินค้านั้นจะต้องตกต่ำลง ทีนี้ค่าดอกเบี้ยที่แบงก์จะคิดเอาเปนบำเหน็จในการซื้อหนี้ต่าง ๆ คือดิศเคาน์ต์ (Discount) จะต้องสูงขึ้นไปทุกที จะสูงขึ้นเพราะความไว้ใจเชื่อถือกันน้อยลง หรือจะสูงขึ้นเพราะจะมีผู้ต้องการขายหนี้มากขึ้น แบงก์ต่าง ๆ ไม่กล้ารับซื้อเหมือนแต่ก่อน ราคาสินค้าในตลาดจะยิ่งตกต่ำลง เปนการขาดทุนเสียหายมาก จนกว่าสินค้าในตลาดนั้นจะค่อยหมดสิ้นไปกลับมีความเชื่อกันขึ้นดังเก่าอีก

แต่เมื่อเวลาราคาสินค้ากำลังตกต่ำอยู่มากนั้น ถ้าพ่อค้าคนใดไม่มีทุนของตัวเองพอจะใช้หนี้ กักเอาสินค้าไว้คอยขายเมื่อเวลาราคาจะกลับสูงขึ้นไม่ได้แล้ว พ่อค้าผู้นั้นต้องฉิบหายล้มละลายเปนแน่ ราคาเงินในตลาดจะแพงขึ้น เพราะผู้ร้อนเงินถ้ากลัวจะล้มละลายก็จำเปนจะต้องยอมเสียดอกเบี้ยอย่างสูงเกินกำไรที่จะได้ในการค้าขาย พ่อค้าถึงจะต้องเสียดอกเบี้ยถึงร้อยละ ๕๐ ก็คงยอมถ้าหากว่าจะได้เงินสดไปใช้ทันเวลาฉุกเฉิน พอช่วยตัวให้พ้นความวิบัติไปได้

เมื่อการค้าขายขณะใดในทำเลที่ไหนเปนเช่นนี้ โดยมากพวกลูกค้ามักจะพูดกันว่า เปนเวลาที่เงินน้อยไป แต่อันที่จริงหาเปนเพราะเงินในทำเลที่นั้นจะขัดเงินไม่ เปนเหตุเพราะขาดความเชื่อกันไปเช่นนี้เอง ถึงในเวลานั้นจะมีเงินอยู่มาก แต่ความเชื่อในขณะนั้นไม่มี เจ้าของเงินก็ไม่กล้าจะทดรองให้ผู้ใดกู้ยืมไป แต่ในการค้าขายพูดกันว่า ลักษณะการเช่นนี้เปนเวลา “ขัดเงิน” หรือเวลา “หาเงินยาก”

การที่พวกพ่อค้าต้องขาดทุนเสียหายล้มละลายลงเพราะใช้หนี้ไม่ทัน หรือเพราะการเชื่อหนี้กันต้องหยุดยั้งไปชั่วคราวหนึ่งเช่นนี้ เรียกกันว่า ค้าขายเกินตัว

ในการค้าขายสินค้าชนิดหนึ่งชนิดใดก็ดี ถ้าหากว่าความเชื่อในการค้าขายทางนั้นหยุดยั้งไปเมื่อไร ผลของการทางเดียวนั้น อาจกระทบไปถึงดอกเบี้ย หรือราคาเงินกู้ในทำเลที่นั้นได้ทั่วไป โดยเหตุที่มีผู้ต้องการเงินใช้มากขึ้นในขณะเดียวกัน ราคาเงินก็ต้องสูงอยู่เอง แต่ก็ไม่เปนเหตุที่จะชักจูงให้ราคาสินค้าอย่างอื่นในตลาดหรือราคาสินค้าทั่วไปตกต่ำลงได้เสมอกัน ราคาสินค้าชนิดใดจะสูงขึ้นหรือตกต่ำลงได้ ก็จะเปนเพราะเหตุทั้งปวงที่เกี่ยวแต่จำเภาะสินค้าชนิดเดียวนั้นเอง เปนต้นว่าพ่อค้าสินค้าชนิดอื่นนั้นมีทุนของตัวพอ แลอุส่าห์ระงับใจระวังตัวที่จะไม่ค้าสินค้าอย่างนั้นให้เกินกำลังของตัวไป ราคาของชนิดนั้นก็จะไม่พลอยตกต่ำไปได้มากนัก ไม่ตกต่ำลงมากตามกันได้ เพราะพ่อค้านี้จะไม่ต้องเอาของชนิดนั้นทอดเทลงขายในตลาด กระทำให้สินค้านั้นมีจำนวนมากมายเกินความต้องการไปในขณะเดียว แต่ถึงอย่างนั้นก็ดีเพราะเหตุที่ราคาเงินแพงขึ้นโดยที่การเชื่อหนี้น้อยไป ราคาของต่าง ๆ ก็คงจะพลอยตกต่ำเพราะเรื่องเงินนั้นได้บ้าง

ในเวลาที่สินค้าอย่างหนึ่งอย่างใดต้องตกราคาเสียหายลงมาก เพราะการค้าขายเกินตัวนั้น จำเพาะจะเปนเวลาซึ่งผู้มีทุนจะต้องระวังตัว ไม่กล้าซื้อสินค้าอย่างนั้นด้วย ไม่กล้าซื้อเพราะเห็นว่า ราคาของที่กำลังตกต่ำอยู่นั้นอาจจะตกต่ำลงไปได้อีก ไม่ควรจะซื้อของที่ถอยราคาเช่นนี้เก็บไว้ขายทีละมาก ๆ ตามที่เคยทำมา หรือมิฉะนั้นก็จะรอคอยไปจนเห็นว่าราคาของนั้นตกต่ำลงถึงที่สุดแล้วจึงจะซื้อขึ้นไว้ หมายหากำไรเมื่อเวลาสินค้านั้นจะกลับขึ้นราคาอย่างเดิมต่อไป ไหนยังจะต้องถนอมทุนไว้เผื่อการฉุกเฉินในการค้าขายซึ่งอาจจะพลอยลามมาถึงตัวทางหนึ่งทางใด เพราะเกิดเหตุวิปริตขึ้นในการค้าขายขณะนั้นด้วย เหตุต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้กลับซ้ำร้ายทำให้ราคาสินค้าที่ตกต่ำอยู่มากแล้วนั้น ยิ่งต่ำลงไปอีก

อีกประการหนึ่ง ถ้าในคราวใดมีผู้ทำของอย่างใหม่ขึ้นขายหรือทำธุระอย่างใหม่อะไรขึ้นอย่างหนึ่ง ซึ่งค้าขายมีกำไรมากเกินส่วนกำไรธรรมดาไป คนทั้งหลายเห็นดีมาก ต่างคนก็ต่างริอ่านทำตามเยี่ยงอย่างบ้าง มีทุนอยู่เท่าใดก็ทุ่มเทลงไป ที่ไม่มีทุนพอก็กู้ยืมทุนผู้อื่นมาลง ผู้ที่ริอ่านคิดทำขึ้นในชั้นแรกก็มีกำไรมาก แต่ครั้นมีผู้เอาเยี่ยงอย่างกันมากขึ้น ทำของอย่างใหม่นั้นออกขายทุ่มเทเข้าไปไว้ในตลาดจนมากล้นเหลือความต้องการไป ผู้ที่อยากจะขายของให้ได้เงินคืนก่อน ก็ต้องขายลดราคาลง เมื่อโอนเงินหนักขึ้น เพราะถึงกำหนดใช้หนี้จะไม่ได้เงินใช้ ข้างฝ่ายแบงก์ก็ไม่เชื่อถือต่อไป จะขาดทุนเท่าใดก็ต้องจำใจขาย เมื่อการทำของขายขึ้นมากเกินความต้องการจนล้นเหลือไปเช่นนี้ ความฉิบหายก็จะมีมาประดุจเดียวกันกับที่พ่อค้าค้าเกินตัวมีผลร้ายพลอยให้ผู้อื่นต้องเสียหายไปด้วย

การสร้างโรงสีสร้างเรือ แลการค้าขายสารพัดอย่าง ถ้าเกิดมีขึ้นมากเกินส่วนที่ควรไป ก็คงต้องขาดทุนเช่นนี้เสมอ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ