หมวด ๘ การเชื่อหนี้ในการค้าขาย (Commercial credit)

ในหมวดนี้จะว่าด้วยวิธีใช้การเชื่อหนี้ในการซื้อขายสินค้าหรือใช้ในการทำสินค้าให้เกิดมีขึ้น

ตามธรรมดานั้นสินค้าโดยมาก ย่อมจะต้องเปลี่ยนเจ้าของกันตามลำดับกันไปดังนี้

๑ ผู้ปลูกเพาะ ผู้ทำสินค้า หรือถ้าเปนสินค้าต่างประเทศเปนผู้ที่ได้สั่งเอาสินค้านั้นเข้ามาในเมือง (Foreign Importer)

๒ ผู้ขายเหมาขายส่งทีละมาก ๆ

๓ ผู้ขายย่อย

๔ ผู้ที่ซื้อเอาไปใช้หรือบริโภค

สินค้าเมื่อตกมาถึงมือคนชั้นแรกสามชั้นนั้นต้องนับว่า เปนทุนเพราะคนสามจำพวกหามาสำหรับจะขายเอากำไร แต่คนชั้นที่สี่ซื้อไปสำหรับจะใช้หรือจะบริโภค ราคาของชั้นหลังที่สุดนี้จะต้องให้คุ้มกับค่าทำ แลค่ากำไรของคนชั้นก่อน

ผู้ปลูกเพาะชั้นต้น หรือผู้ที่สั่งสินค้าเข้ามาจากต่างประเทศ หรือผู้ทำสินค้านั้นจะได้มาอย่างไรแต่เดิม ในที่นี้ไม่ใช่เรื่องจะเอามากล่าว แต่ถ้าเขาขายสินค้านั้นให้แก่ผู้ขายเหมาเปนเงินสด พ่อค้าชั้นต้นนี้ ก็จะเอาเงินนั้นไปลงทุนสร้างหรือสั่งสินค้าอย่างนั้นเข้ามาสำรองไว้ขายแทนสินค้าที่ได้ขายไปแล้วนั้นได้อีก ข้างฝ่ายผู้ขายย่อยก็เหมือนกัน ถ้าขายของย่อยได้รับเงินสดมา ก็จะเอาเงินนั้นไปซื้อสินค้าจากผู้ขายเหมามาใหม่ ผู้ขายเหมาไปซื้อจากผู้ที่สั่งเข้ามาแต่ต้น ย้อนหลังเปนลำดับกันขึ้นไป ถ้าได้ใช้เงินสดกันทุกชั้นอย่างที่กล่าวนี้แล้ว มีคนต้องการซื้อสินค้าอย่างนั้นใช้เท่าใด ก็คงมีผู้ทำผู้ส่งอยู่เรื่อยไป

แต่ตามธรรมดาการหาเปนเช่นนี้ไม่ เพราะน้อยคนจะมีเงินสดใช้ซื้อของที่จะต้องการทุกครั้งไป พ่อค้าแลลูกค้าโดยมากไม่มีทุนพอที่จะเอาเงินสดไปซื้อของมากักนิ่งไว้ จนกว่าจะขายปลีกขายย่อยได้เงินสดไปใช้ซื้อของมาใหม่ ถ้าจะต้องคอยรับเงินเสียก่อนแล้วจึงจะไปสร้างสินค้าอย่างนั้นขึ้นอีกได้แล้ว การทำสินค้าจะไม่ดำเนิรเรื่อยไปได้โดยสดวกเปนแน่ สินค้าอย่างนั้นก็จะต้องลดน้อยไป ผู้ขายเหมาถึงจะเห็นว่า ถ้าได้สินค้าเติมมาใหม่จะขายได้ทันทีแต่ยังไม่มีเงินสดจะให้ผู้ทำหรือผู้สั่ง ก็ต้องหยุดทำหยุดสั่งจนกว่าจะได้เงินสดมา ข้างผู้ขายย่อยเมื่อซื้อของยังไม่ได้ ของนั้นก็จะขาดร้านไปจนกว่าจะมีเงินไปให้ผู้ขายเหมา แลผู้ขายเหมาได้เงินไปให้ผู้ทำผู้สั่ง ในเวลาที่ต่างคนต่างคอยกันอยู่นั้น คนที่จะต้องการของไปใช้หาซื้อไม่ได้ทันใจ ก็จะต้องคอยต่อไปหรือมิฉะนั้นก็จะต้องไปแสวงหาของอื่นมาใช้แทน กำไรที่ผู้ทำผู้ขายเหมาผู้ขายย่อย ควรจะได้เปนผลประโยชน์ในสินค้าอย่างนั้นก็จะขาดสูญไปชั่วครั้งคราว

ในวิธีซื้อขายกันด้วยเงินสดตามที่ได้เปลี่ยนมือกันเปนลำดับมานั้น สินค้ากองเดียวต้องโอนครั้งใด ก็ต้องใช้เงินตราครั้งนั้น ถ้าราคาสินค้า ๑๐๐๐ บาท โอนกัน ๕ ครั้งก็ต้องมีทุนเปนเงินตราใช้ ๕๐๐๐ บาทแลถ้าคิดกำไรเติมเข้าด้วยตีเสียว่าผู้ทำผู้ขายเหมาขายย่อย จะต้องเอากำไรคนละ ๒๐๐ บาท ในราคาทุนสินค้านั้น ชั้นต้น ๑๐๐๐ บาท ชั้นที่สอง ๑๒๐๐ บาท ชั้นที่สาม ๑๔๐๐ บาท ชั้นที่สี่ ๑๖๐๐ บาท ชั้นที่ห้า ๑๘๐๐ บาท เติมส่วนเงินกำไรขึ้นทุกชั้นไปรวมเปนเงิน ๗๐๐๐ บาท ซึ่งจะต้องใช้เงินตราล้วน

ที่นี้จะตั้งเรื่องว่าคน ๔ ๕ } จำพวกนั้นมีความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันแลกัน ยอมให้ซื้อเชื่อขายเชื่อกันได้ เปนแต่จดจำนวนเงินที่เปนหนี้กันลงไว้ในบาญชี สุดแล้วแต่จะสัญญากันว่าจะชำระหนี้กันเมื่อใด คิดเสียว่าพวกเจ้าหนี้เปนต้นว่า ผู้สั่งของจากต่างประเทศยังไม่ต้องการเงินไปซื้อของมาเติม หรือเงินของเขาที่ขายของอย่างอื่นมาได้ยังมีใช้พออยู่ ถ้ายอมเชื่อหนี้กันเปนลำดับไปดังนี้ แลถ้ารวมจำนวนเงิน ราคาของที่ซื้อขายกันมาห้าครั้ง เปนงินเจ็ดพันบาท การเชื่อหนี้โดยวิธีจดบาญชีกันนี้ก็เปนอันว่าไม่ต้องใช้เงินตราสักบาทเดียว สินค้านั้นก็จะซื้อขายโอนกันต่อ ๆ ไปจนถึงมือคนหลังที่สุด ที่เอาของนั้นไปใช้ได้ตามปราถนาใช้บาญชีแทนเงิน ๗๐๐๐ บาทได้โดยดี

ในวิธีจดบาญชีนี้ เจ้าหนี้มีอำนาจตามกฎหมายที่จะเรียกร้องเอาเงินจากลูกหนี้ได้เต็มที่ จำนวนเงินที่จดไว้เท่าใดเปนสมบัติของเจ้าหนี้ประดุจดังเงินตราแท้ก็จริง แต่เมื่อเวลาจะต้องการเงินใช้จะหักโอนหนี้บาญชีไปขายให้แก่ผู้อื่นหาสดวกไม่ เพราะไม่รู้ว่าคนอื่นจะเชื่อถือลูกหนี้ ที่มีชื่อในบาญชีนั้นหรือไม่ ถ้าเขาไม่รู้จักหรือไม่เชื่อก็เปนอันโอนหนี้กันไม่ได้ จำนวนเงินในบาญชีนั้น ก็ได้แต่เปนเงินตายอยู่ชั่วคราว แต่ก็ยังค้าขายกันได้สดวกกว่าวิธีใช้เงินสดล้วนที่ไม่ได้ซื้อเชื่อขายเชื่อกัน โดยเหตุที่เชื่อหนี้กันได้ ผู้ซื้อไม่ต้องรอเก็บเงินให้พอเสียก่อน แล้วจึงจะไปเอาของมาเติมใหม่ เมื่อมีของมาสำรองไว้ขายในร้านแล้วจะผ่อนใช้หนี้กันทีละน้อย หรือคอยเก็บหนี้จากสินค้ารายอื่น ที่ลูกหนี้จะส่งเงินตามกำหนดเวลามาให้นั้นผ่อนใช้หนี้กันก็ได้ ของอย่างนั้นไม่ขาดห้างร้านผู้ต้องการซื้อใช้คงมาซื้อได้เสมอ กำไรต้องมีเรื่อยไปทุกลำดับตั้งแต่ผู้ทำสินค้าตลอดถึงผู้ขายย่อย จนที่สุดแม้แต่ชาวบ้านที่บังเอินขาดเงินสดใช้ ถึงเวลาจะต้องการของ ถ้าไปซื้อเชื่อเขาได้ก็เปนอันหมดความกังวลไปได้พักหนึ่ง เช่น ขาดเข้าสารลงไม่มีเงินสดใช้ ถ้าซื้อเชื่อไม่ได้จะต้องไปเที่ยวยืมเงินเพื่อนหรือขายของอื่นของตัวลงเอาเงินไปซื้อเข้าสาร ไม่ฉะนั้นก็จะไม่ได้เข้าสารกิน

ต่อนี้ไป ถ้าพวกพ่อค้าทั้งหลายนั้นจะทำให้การค้าขายสินค้าด้วยวิธีเชื่อกันสดวกยิ่งขึ้นอีก ก็จะต้องซื้อเชื่อขายเชื่อกันโดยที่จะใช้หนังสือสัญญารับใช้เงิน ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่าโปรมิศซอริโนต (Promissory Note) หรือจะต้องใช้ใบสั่งจ่าย (ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า บิลออฟเอกซเชญ (Bill of Exchange) แทนเงินตรา ดังที่ได้อธิบายลักษณะหนังสือสัญญา แลใบสั่งจ่ายเงินมาในหมวด ๖ ก่อนนั้นแล้ว

วิธีซื้อขายกันด้วยการเชื่อหนี้อย่างนี้ ถ้าจะให้มีประโยชน์ยิ่งขึ้นก็จะต้องจัดการให้เข้าทำนองที่จะเอารายหนี้นั้นเองออกขาย ประดุจจะดังว่าหนี้นั้น เปนสินค้าอย่างหนึ่งจะขายเอาเงินสดมาใช้ หรือจะขายแลกเปลี่ยนกับหนี้รายอื่นซึ่งเปนจำนวนที่จะขายต่อไปได้สดวกกว่า แลซึ่งจะไปแลกเอาเงินสดมาใช้ได้ทันที ในที่สุดจะทำให้หนี้นั้นกลายเปนตัวเงินขึ้นได้

ในยุโรปและตามเมืองใหญ่ในนา ๆ ประเทศ โดยมากมีพ่อค้าอยู่สองจำพวก ค้าขายหากำไรโดยจำเภาะที่จะซื้อหนี้ในการค้าขายเหล่านี้ ทำให้หนี้ซึ่งเปนทรัพย์สมบัติเปนอันมากซึ่งเปนเงินตายอยู่ในบาญชีนั้น กลับกลายเปนเงินใช้หมุนเวียน มีอำนาจที่จะสร้างทรัพย์ให้เกิดมีขึ้นต่อไปได้อีก พ่อค้าจำพวกหนึ่งที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า บิลดิสเคาน์เตอร์ (Bill Discounters) คือพวกซื้อหนี้ อีกว่าพวกหนึ่งเรียกว่า แบงก์เกอร์ (Bankers) คือพวกธนาคารหรือคลังเงินเช่นที่เราเรียกกันตามภาษาอังกฤษว่าแบงก์ ซึ่งมีอยู่ในกรุงสยามแล้วเปนต้น คนจำพวกนี้หาผลประโยชน์ในทางซื้อหนี้ของการค้าขายโดยวิธีที่จะทำหนี้อย่างอื่นขึ้นใหม่ มีลักษณะที่จะเรียกเงินมาใช้หนี้นั้นได้ทันที เพราะฉนั้นแบงก์หรือคลังเงินต่าง ๆ นั้นจึงเปนห้างร้านอย่างหนึ่ง ที่ตั้งขึ้นสำหรับซื้อหนี้ ของการค้าขายนี้เอ็ง ตามธรรมเนียมที่ประพฤติกันอยู่นั้น เมื่อพ่อค้าชั้นแรก ขายสินค้าเชื่อไปให้แก่ผู้ขายเหมาแล้ว ก็ทำใบสั่งจ่ายหรือเรียกกันตามภาษาอังกฤษอย่างสั้น ๆ ว่าบิล (Bill) สั่งให้ลูกหนี้ คือผู้ขายเหมาใช้จำนวนเงิน (ค่าสินค้า) ให้แก่ตัวหรือตามคำสั่งของตัวหรือผู้หนึ่งผู้ใดหรือตามคำสั่งของผู้นั้น ผู้ขายเหมาเมื่อเห็นถูกต้องยอมรับทำตามคำสั่งในใบสั่งจ่ายนั้นแล้ว ก็เซนต์ชื่อลงข้างหลังใบสั่งจ่ายนั้น การที่เซนต์ชื่อลงนี้เปนอันเข้าใจกันว่าผู้ขายเหมารับจะใช้หนี้เท่าจำนวนเงิน เมื่อถึงเวลาที่พ่อค้าได้เขียนกำหนดลงไว้ ต่อนี้ไป พ่อค้าก็เอาใบสั่งจ่ายฉบับนั้นไปขายให้แก่แบงก์ ยอมให้แบงก์ชักดอกเบี้ยล่วงน่าตามสมควร ภาษาอังกฤษเรียกว่า ดิสเคานต์ (Discount) ในการที่ขายใบสั่งจ่ายนี้ พ่อค้าต้องเซนต์ชื่อลงบนหลังใบสั่งจ่ายด้วย การเซนต์ชื่อครั้งนี้เปนการโอนกรรมสิทธิ์ในจำนวนเงินนั้นให้แก่แบงก์ แลเปนการที่พ่อค้ารับประกันลงด้วยว่า เมื่อถึงกำหนดเวลาแล้ว ถ้าแบงก์ไปทวงเงินจากผู้ขายเหมาไม่ได้ พ่อค้าจะต้องรับใช้เงินรายนั้นแทน ข้างฝ่ายแบงก์เมื่อได้ซื้อใบสั่งจ่ายแลมีผู้รับประกันอยู่ชั้นหนึ่ง เห็นเปนการมั่นคงแล้ว ก็จดบาญชีของแบงก์ลงว่า พ่อค้าเปนเจ้าหนี้แบงก์อยู่เท่าจำนวนเงินในใบสั่งจ่าย เงินเชื่อหนี้รายนี้นับว่าเปนเงินที่พ่อค้าผู้สั่งจ่ายได้ฝากไว้ในแบงก์ ภาษาอังกฤษเรียกว่า “ดีปอสิต” (Deposit) ตั้งแต่เวลานี้ต่อไป พ่อค้าผู้นั้นมีอำนาจจะถอนเงินไปจากแบงก์เท่าใด แลเมื่อไรก็ได้ตามชอบใจ แต่ไม่เกินจำนวนเงินในใบสั่งจ่ายเดิม

ธรรมเนียมเปนเช่นนี้ก็เห็นได้ชัดว่า เมื่อแบงก์ได้ซื้อหนี้รายหนึ่งไปแล้ว ก็ทำหนี้อีกรายหนึ่งขึ้นในบาญชีของแบงก์ ซึ่งเป็นทรัพย์สมบัติที่มีค่าเหมือนกัน แล้วก็เปนประดุจดังว่า พ่อค้านั้นมีเงินสดใช้ขึ้นด้วย ซื้อขายหนี้กันตามวิธีนี้เป็นการแลกเปลี่ยนทรัพย์ที่มีค่ากันโดยตรง ไม่ใช่เปนการหักหนี้ลบล้างกันให้สูญสิ้นไป

ผู้ที่เปนพ่อค้านั้นตามธรรมดา มักจะมีหนี้เช่นที่กล่าวมาแล้วหลายแห่งมีลูกหนี้มาก เพราะได้ขายของเชื่อไปตามบรรดาผู้ขายเหมาหลายคน เมื่อมีหนี้เช่นนี้ขึ้นก็พึงจะเอาไปขายแก่แบงก์ทำนองเดียวกับที่ได้ยกตัวอย่างมากล่าว พ่อค้าจะต้องเซนต์ชื่อสักหลังใบสั่งจ่ายทุกใบ ส่งไปให้แบงก์เปนการโอนหนี้ของลูกหนี้ทุกคนที่ได้เซนต์ชื่อสักหลังลงบนใบสั่งจ่ายนั้นด้วย พ่อค้าเปนผู้รับประกันลูกหนี้นั้นทุกคนไป เปนต้นว่าแบงก์รับซื้อใบสั่งจ่ายของพวกลูกหนี้ยี่สิบราย แบงก์ก็เปนเจ้าหนี้พวกเหล่านี้ขึ้นทั้งยี่สิบคน พวกลูกหนี้ทุกคนจะต้องใช้หนี้ให้แก่แบงก์ตามกำหนดเวลาในใบสั่งจ่าย ถ้าไม่ทำเช่นนั้น ก็จะถูกทำโทษตามกฎหมายที่จะต้องล้มละลายลง ตามธรรมเนียมแบงก์มักจะให้พ่อค้ามีเงินของตัวเอ็ง ฝากไว้ในแบงก์ พอเปนประกันอีกชั้นหนึ่งด้วย เพราะถ้าหากว่า บรรดาลูกหนี้ยี่สิบคนนั้น ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดล้มละลายลงสักคนหนึ่งแบงก์จะได้หักบาญชีเอาเงินของพ่อค้าที่ฝากไว้นั้นใช้หนี้แทนผู้ล้มละลาย แล้วคืนใบสั่งจ่ายให้พ่อค้าไป แบงก์ทำเช่นนี้เปนการระวังตัวสองชั้น นอกจากที่มีเงินสดของพ่อค้าฝากอยู่เปนประกันบ้างแล้ว แบงก์ยังจะมีอำนาจในทรัพย์สมบัติของลูกหนี้ทั้งหลายนั้นอิกทางหนึ่งด้วย และถ้าหากว่าทรัพย์สมบัติของลูกหนี้นั้นไม่พอใช้หนี้แบงก์ แบงก์ยังมีอำนาจที่จะเอาทรัพย์สมบัติของพ่อค้าผู้รับประกันนั้นมาใช้หนี้แบงก์ได้อีกด้วย

ต่อนี้ไปผู้ขายเหมาเมื่อได้ขายสินค้าเชียให้แก่ผู้ขายย่อยต่อไปอิกแล้ว ผู้ขายเหมาอยากจะได้เงินสดมาใช้ทันที ก็เขียนใบสั่งจ่ายให้ผู้ขายย่อยเซนต์ชื่อรับใช้หนี้ ทำนองเดียวกันกับตัวได้ทำมากับพ่อค้าในชั้นต้น ผู้ขายเหมานำเอาใบสั่งจ่ายฉบับนี้ ไปขายให้แก่แบงก์อีก แบงก์ก็จดบาญชีลงว่าผู้ขายเหมาเปนเจ้าหนี้ ประดุจดังว่าผู้ขายเหมาได้ฝากเงินไว้ในแบงก์ และมีอำนาจที่จะถอนเงินนั้นออกไปใช้ทำผลประโยชน์ได้ต่อไป ในชั้นนี้ก็เหมือนกันกับชั้นก่อน ผู้ขายเหมาขายหนี้ที่ผู้ขายย่อยได้รับว่าจะใช้เงินนั้นให้แก่แบงก์ ผู้ขายเหมาได้เซนต์ชื่อลงบนใบสั่งจ่ายรับประกันใช้เงินรายนี้ต่อแบงก์ด้วย

ซื้อขายหนี้กันตามทำนองนี้ ก็เห็นได้ชัดว่า ทำให้จำนวนเงินหนี้ในการค้าขาย กลับกลายเปนเงินทุนสำหรับที่จะทำผลประโยชน์ต่อไปได้อีก พ่อค้าแลผู้ขายเหมาจะเรียกเงินจากแบงก์ไปใช้ซื้อสินค้าได้ตามปราถนา ถ้าทำการค้าขายเรื่อยไป มีใบสั่งจ่ายไปขายแก่แบงก์เสมอ ใบสั่งจ่ายเก่าสิ้นอายุแบงก์เก็บเงินลูกหนี้มาได้แล้ว ก็รับซื้อหนี้ใหม่ต่อไป ต่างคนก็ต่างได้ผลประโยชน์ด้วยกัน

ที่ได้กล่าวมานี้ สินค้ารายเดียวเกิดมีใบสั่งจ่ายขึ้นสองฉบับ เปนราคาสินค้าสองเท่า แต่ถ้าสินค้ารายนั้นถ่ายมือผู้ซื้อผู้ขายต่อกันไปมากมือกว่านั้น ใบสั่งจ่ายและจำนวนเงินก็รวนมากขึ้นตามกันทุกชั้นไป แต่ถึงจะถ่ายเทกันกี่ครั้งกี่หน เปนจำนวนเงินใช้หมนเวียนกันอยู่เท่าใดก็ดี ถ้าเปนแต่การซื้อขายสินค้ากันตรง ๆ แล้ว รายหนี้ทั้งปวงที่เกิดขึ้นเพราะการซื้อสินค้านั้น คงต้องมีเวลาลบล้างหมดสิ้นกันไปได้ ตามกำหนดเวลาที่มีอยู่ในใบสั่งจ่ายนั้นเสมอ แลสินค้านั้นเมื่อไปถึงมือคนหลังที่สุดที่ได้ซื้อไปใช้แล้ว เงินค่าสินค้าคงต้องได้กลับคืนอยู่เอ็ง

ส่วนธุระของแบงก์ที่รับซื้อหนี้นั้นจะได้ทนมาทางไหน จะได้ชี้แจงต่อไปในเรื่องการแบงก์ซึ่งจะอธิบายในหมวดหนึ่งต่างหาก

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ