คำฉันท์คชกรรมประยูร
“คำฉันท์คชกรรมประยูร” เป็นตำราคชลักษณ์ฉบับหนึ่งที่เขียนด้วยคำประพันธ์ประเภทฉันท์ ต้นฉบับสมุดไทยคำฉันท์เรื่องนี้ รวมอยู่ในเล่มเดียวกับคำฉันท์ดุษฎีสังเวยและคำฉันท์กล่อมช้างครั้งกรุงเก่า สมุดไทยบางฉบับปรากฏเฉพาะเรื่องคชกรรมประยูรเพียงเรื่องเดียว แต่เนื่องจากคำฉันท์เรื่องนี้ระบุระยะเวลาที่แต่งว่า แต่งในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ จึ่งนับได้ว่าเป็นวรรณคดีคำฉันท์สมัยอยุธยาอีกเรื่องหนึ่งที่ยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย
คำฉันท์คชกรรมประยูร บอกรายละเอียดเกี่ยวกับผู้แต่งและสมัย ที่แต่งไว้ว่า
๏ สารนี้บพิตรผู้ทรง | พระคุณใหญ่ยง |
ผู้ข้าชื่อราชวังเมือง | |
๏ ตรัสสอนทุกสิ่งเนาเนือง | ประโยชน์ให้เรือง |
คุโณประการนานัตถ์ | |
๏ จึ่งมีพระบัณฑูรตรัส | ให้แต่งสารสวัสดิ์ |
คเชนทรลักษณโสภี | |
๏ ศักราชพันร้อยสิบปี | มะโรงเชษฐมาสี |
สำเร็จนิพันธโดยจรึง ฯ |
ความดังกล่าวสรุปได้ว่า “ราชวังเมือง ผู้เป็นข้าทูลละอองธุลีพระบาทซึ่งพระองค์ได้ตรัสสอน ทรงมีพระบัณฑูรให้แต่งเรื่องช้างศุภลักษณ์นี้สำเร็จเมื่อ ปีมะโรง เดือน ๗ จุลศักราช ๑๑๑๐ (พุทธศักราช ๒๒๙๑)”
นามบรรดาศักดิ์ “ราชวังเมือง” นั้น ปรากฏในพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน ว่า “หลวงราชวังเมือง สุริยชาติ สมุหะพระคชบาลซ้าย นา ๓๐๐๐” ตำแหน่งหลวงราชวังเมือง เป็นข้าราชการในกรมพระคชบาลย่อมต้องเป็นผู้ที่มีความชำนาญในวิชาคชศาสตร์ทั้งคชกรรมและคชลักษณ์ และจากเนื้อความที่กล่าวในคำฉันท์ แสดงว่า หลวงราชวังเมืองผู้นี้เป็นศิษย์ที่เคยได้เรียนวิชาคชกรรมมาจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
เนื้อหาในคำฉันท์คชกรรมประยูรแบ่งออกเป็น ๒ ตอน ตอนแรกว่าด้วยเรื่องช้างศุภลักษณ์ ตอนปลายกล่าวถึงช้างทุรลักษณ์
ตำราคชลักษณ์ของไทยมีมาก่อนรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ดังปรากฏเค้าอยู่ในลิลิตยวนพ่าย ซึ่งแต่งขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ โคลงหลายบทในลิลิตยวนพ่าย กล่าวถึงช้างศุภลักษณ์ในกองทัพไทยครั้งนั้น เช่น
๏ พังพลายในนอกล้อม | เลือนไพร พรยกแฮ |
โจมพิมานไตรตรึงษ | เลิศแล้ว |
เรวฤทธิแกว่นกลไกร | ษรราช ไส้แฮ |
กเกรอกธาตรีแกล้ว | แกว่นรณ ฯ |
๏ ครวีอากาศเกื้อ | อากยรณ ชื่นแฮ |
เทพยนตยลยนต | ดุจได้ |
เมอลมนตรศักดิขยน | ขามแข่ง ไส้แฮ |
รยงรยบเหง้าไท้ท้ยร | ดาษดิน ฯ |
และในเรื่องสมุทรโฆษคำฉันท์ มีเนื้อความกล่าวถึงตอนพระสมุทรโฆษเสด็จวังช้าง บรรยายช้างป่าชนิดต่างๆ ทั้งที่เป็นช้างศุภลักษณ์ และช้างทุรลักษณ์
ช้างศุภลักษณ์
๏ ย่อมช้างชอบลักษณตระการ | ใช่ช้างสามานย |
คืออัษฎมงคลศรี | |
๏ ลางล้วนเผือกผ่องคือคิรี | ไกรลาสรูจี |
แลพรายคือจันทรกลา | |
๏ ลางช้างชมลบโสภา | หูปรบไปมา |
คคว้างแลคอบรอบรัน | |
๏ ลางคือโคบุตรพรายพรรณ | ลางสารสำคัญ |
คือสีหชงฆาควร | |
๏ ลางงางอนขวาแน่งนวล | ลางเล็บบริบวร |
ณควรชำนิพระองค์ ฯ |
ช้างทุรลักษณ์
๏ แต่ช้างทุรลักษณนิกร | พากันซรนซรอน |
ในป่า บ มาแปมปน | |
๏ ทุยทำพำลาพาหน | ศฤงคาลคณชน |
กันโลนรลุมสังไก | |
๏ พลุกแบกบังกินจัญไร | ทมพลุกทิพาไสย |
กำพษกำโบลโยนยัศ | |
๏ ประพลุกสุครีพแลคัด | ธรณีบังบัด |
ทั้งนาคพันธพินาย | |
๏ ลันดาษยุรยักษบรรลาย | ซรุกซรอนพรัดพราย |
บิเดาะกันเอาะพลุกหนี | |
๏ รัตทันต์ทรหุนหัสดี | ตระดกกันทุยชี- |
พศฤงสวามิพธ | |
๏ โชรชรไลแลกันแอกกุมกด | ย่อมเที้ยรทุรคช |
เฆรคณาคลาคลาศ | |
๏ แลตระดุ้งนาคนครฆาฏ | ขดวรสรุกโดยศาส |
ตรเที้ยร ธ ให้ห้ามปราม | |
๏ ไตรตรึงษดิราษฎรทั้งสาม | สิบสามตับตาม |
ก็นำคณากันจร ฯ |
ช้างศุภลักษณ์และทุรลักษณ์ในสมุทรโฆษคำฉันท์ เรียกชื่อตรงกับคำฉันท์คชกรรมประยูร บางชื่ออาจจะมีความแตกต่างกันไปบ้าง ทั้งนี้อาจเนื่องจากอักขรวิธีในการเขียน
นอกจาก “คำฉันท์คชกรรมประยูร” แล้ว ยังมีตำราคชลักษณ์อื่นๆ อีกหลายฉบับทั้งที่เป็นความเรียงร้อยแก้วและประพันธ์เป็นกวีนิพนธ์ เช่น ตำรานารายน์ประทมสินธุ์ ตำราช้างคำฉันท์ ตำราช้างคำโคลง และตำราช้างคำกลอน ฯลฯ แม้ตำราเหล่านี้จะเขียนขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ แต่ใจความสำคัญก็ไม่ต่างไปจากคำฉันท์คชกรรมประยูร
อนึ่ง ก่อนที่หลวงราชวังเมืองจะประพันธ์คำฉันท์คชกรรมประยูรนั้น ต้องมีตำราช้างความเรียงร้อยแก้วอยู่ก่อน ดังนั้นตำราคชลักษณ์ของไทยทุกฉบับที่กล่าวมาแล้วนั้นจึงอยู่ในลักษณะของการสืบทอดภูมิปัญญาจากยุคสมัยหนึ่งไปสู่อีกยุคสมัยหนึ่ง