ตอนที่ ๗ พลายแก้วแต่งงานกับนางพิม

๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายแก้ว ลับพิมไปแล้วตะลึงหลง
ผีพารีบไปดังใจจง ลัดดงขามทุ่งมุ่งมา
ลอยละลิ่วแลกลมดังลมพัด หลีกลัดหนองแนวแถวท่า
เข้าเมืองกาญจน์บุรีด้วยปรีดา ถึงเคหาผีสูญสว่างพลัน
เจ้าพลายแก้วเข้าไปในบ้านแม่ ชำเลืองแลย่างกรายผายผัน
ในจิตรคิดแต่ทางสุพรรณ โศกศัลย์ถึงน้องให้หมองใจ
โอ้เจ้าพิมผู้เพื่อนชีวิตพี่ ปานนี้เจ้าจะเศร้ากำสรดไห้
จะหมองศรีเพราะพี่นี้จากไกล เหลืออาลัยแล้วเจ้าพิมของพี่เอย
มาด้วยก็จะได้มาไหว้แม่ ทุกข์แท้เหลือวิตกแล้วอกเอ๋ย
ผู้ใดใครจะให้เจ้าเสบย เดินเลยขึ้นเรือนด้วยทันใด
ตรงเข้าเรือนแม่แลเห็นหน้า กอดตีนมารดาน้ำตาไหล
ทองประศรีเห็นลูกตะลึงไป เออแก้วแม่อย่างไรจึงสึกมา
เป็นไรพ่อจอมกระหม่อมแม่ ตั้งแต่ร้องไห้ไม่เงยหน้า
เงินทองเจ้าได้ที่ไหนมา น้ำตาพลอยย้อยลงด้วยลูกรัก
เจ้าพลายแก้วก้มกราบกับบาทา แม่ขาครั้งนี้ฉันทุกข์หนัก
เหลือทุกข์สุดทนเป็นพ้นนัก เพราะพิมน้องรักรักใคร่กัน
จากเจ้าเจ้าให้ซึ่งเงินตรา ห้าชั่งนี้มาทำทุนนั่น
ให้สู่ขอต่อแม่ศรีประจัน ไม่ให้ปันบอกความจะตามมา
เอ็นดูลูกเถิดแม่บังเกิดเกล้า พิมเศร้าโศกสร้อยอยู่คอยท่า
สงสารน้องต้องกินแต่น้ำตา แม่จงกรุณาอย่าเฉยเมย ฯ
๏ ทองประศรีว่ากรรมเอ๋ยกรรมแล้ว พ่อแก้วแก้วตาของแม่เอ๋ย
บวชก่อนเถิดอย่าเพ่อมีเมียเลย แม่จะได้ชมเชยชายจีวร
พ่อเจ้าเขาก็ตายไปนานแล้ว ลูกแก้วจงโปรดแกเสียก่อน
บวชสักสองพรรษาอย่าอาวรณ์ สึกมาแม่จะผ่อนให้มีเมีย
จะขอให้เป็นลูกเขยเจ้าพระยา ฟังคำแม่ว่าจงทิ้งเสีย
อย่างอีพิมไม่น่ามาเป็นเมีย กะปลกกะเปลี้ยปลอบลูกพิไรไป
งามกว่าพิมนี้ก็มีมั่ง ฤๅจะเอาชาววังจะขอให้
ถวายจานเงินทองต้องพระทัย ก็จะได้นางในที่ชื่นตา ฯ
๏ เจ้าพลายแก้วฟังแล้วกราบตีนพลัน นางสวรรค์ลูกก็ไม่ปรารถนา
นางในงามแต่กิริยา จะเปรียบพิมแก้วตาเห็นเต็มที
งามประเสริฐเลิศลํ้าทั้งขำคม งามหน้างามนมเนื้อสองสี
ไม่เทียมทันทั้งสุพรรณบุรี เห็นไม่มีใครสู้ดูงดงาม
เจ้าประคุณทูนหัวของลูกแก้ว มีเมียแล้วบวชได้ดอกไม่ห้าม
แม่อย่าทานทัดขัดความ แม้นมิตามใจลูกคงมรณา ฯ
๏ ทองประศรีฟังลูกก็สงสาร แกจนใจให้รำคาญเป็นหนักหนา
ปลอบว่าอย่าทุกข์เลยแก้วตา เมื่อไม่ฟังแม่ว่าก็ตามใจ
ขอเขาเขาก็ให้ดอกลูกอา เป็นเพื่อนบ้านกันมาไม่เสียได้
คงจะได้เป็นเมียอย่าเสียใจ อย่าร้องไห้จงไปกินข้าวปลา ฯ
๏ พลายแก้วฟังแล้วก็ดีใจ หายร้องไห้ลุกลงไปตีนท่า
อาบนํ้าแล้วกินซึ่งข้าวปลา ทองประศรีเรียกข้ามาไวไว
เอ็งไปท่าเลื่อยโรงกระดาน คิดอ่านซื้อเรือนเขาทำใหม่
เงินสามชั่งนี้เอ็งเอาไป ซื้อเขาให้ได้มาโดยพลัน
ห้าห้องเสาสร้างให้เสร็จสรรพ บ่าวรับจับควายขมีขมัน
เทียมเกวียนสองเล่มมาด้วยกัน ครู่หนึ่งถึงพลันก็ซื้อมา
ทองประศรีจัดแจงซื้อน้ำตาล เปรี้ยวหวานหมากมะพร้าวเป็นหนักหนา
ประทุกเกวียนสิบเล่มเต็มประดา พระสุริยาพอพลบลงทันใด
ทองประศรีก็เรียกซึ่งบ่าวข้า เข้ามาพร้อมหน้าหาช้าไม่
กำชับสั่งพูดจากับข้าไท แบ่งอยู่แบ่งไปให้เฝ้าเรือน
พวกผู้ชายให้อยู่ดูบ้านช่อง เก็บของให้ดีนางมีนางเหมือน
สั่งพลางทางเข้าไปในเรือน เจ้าพลายเชือนแล่นลุกเข้าหอกลาง
เข้าห้องหับประตูอยู่คนเดียว แสนเสียวส้วมสอดกอดหมอนข้าง
คะนึงพิมนิ่มสนิทคิดระคาง นึกถึงนางจนหลับระงับไป ฯ
๏ ครั้นรุ่งแสงสุริยันขึ้นทันที ทองประศรีก็ลงจากเรือนใหญ่
ข้าคนขนของมากองไว้ หญิงชายพวกไพร่ห้าสิบคน
เจ้าพลายแก้วขี่เกวียนเล่มหนึ่งมา หัวหน้าขับเข้าในไพรสณฑ์
อาดอาดอื้ออึงอลวน แสงแดดร้อนรนให้พักควาย
หัวคํ่ารํ่าไปจนรุ่งเช้า กินข้าวแล้วก็ขับไปจนสาย
ตะวันเที่ยงหยุดนอนผ่อนสบาย เวลาบ่ายควายเทียมแล้วขับไป
พระสุริยาร่อนเรื่อยลงริมดง เลี้ยวลงเกือบลับพระเมรุใหญ่
สกุณาร่าร้องระงมไพร เรไรหริ่งรอบลำดวนดัง
เจ้าพลายแก้วแว่วหวาดชะนีโหย วิเวกโวยหวี่หวีดประหวั่นหวัง
ลูกน้อยเหนี่ยวนิ่งบนกิ่งรัง เหมือนพิมพี่เจ้าสั่งแต่แรกมา
เห็นค่างเคียงนางอยู่ข้างคู่ พิศดูเตือนใจอาลัยหา
เหมือนพิมน้อยแนบนั่งฟังเจรจา เจ้าแก้วตาปานฉะนี้จะอย่างไร
ครั้นถึงที่เกวียนประทับหยุด อุตลุดพักควายหาช้าไม่
บ่าวข้าหาฟืนมาสุมไฟ ก็นอนใกล้หนองนํ้าเป็นสำคัญ
แต่แรมร้อนนอนทางมากลางป่า ไม่ช้ามาถึงสุพรรณนั่น
ก็หยุดควายท้ายสวนศรีประจัน สั่งบ่าวไพร่ทั้งนั้นให้ปลูกโรง
ข้าไทตัดไม้ที่ในป่า บ้างฉุดคร่าถากฟันสนั่นโผง
บ้างแบกบ้างวางอยู่กร่างโกร่ง เสียงโปกโป้งเจาะขุดอยู่ตึงตัง
ปักเสาเข้าพรึงกรึงอกไก่ กลอนใส่มุงหลังคาทั้งห้าหลัง
เกี่ยวเอาแฝกมาทำฝาบัง ทองประศรีเข้ายั้งอยู่สำราญ ฯ
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายแก้ว ครั้นคํ่าแล้วปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
คิดถึงพิมพิลาไลยด้วยไปนาน จะรำคาญคอยพี่ที่มาไกล
เอ็นดูเจ้าจะเศร้าโศกสะอื้น ไม่มีชื่นมั่นคงเพราะสงสัย
คิดพลางย่างเยื้องชำเลืองไป อำไพส่องแสงพระจันทรา
ลอยละลิ่วปลิวโพยมพยับแสง กระจ่างแจ้งแจ่มจัดจำรัสหล้า
ดวงดาวขาวสว่างกลางนภา ก็เดินมาถึงบ้านศรีประจัน
ฟังเสียงสิงสัตว์สงัดเงียบ ค่อยย่องเหยียบมาข้างหอกลางกั้น
กลิ้งครกยกเท้าก้าวขึ้นพลัน สะเดาะกลอนถอนลั่นออกทันใด
บานหน้าต่างกางเปิดก็ปีนเข้า ถึงห้องเจ้าพิมเพื่อนพิสมัย
สว่างแสงชวาลาระย้าไฟ คนอยู่ในเรือนหลับสนิทนอน
บ้างกรนครางละเมอเพ้อเกาหิด ขาชันไม่ทันปิดซึ่งผ้าผ่อน
ถึงประตูฝาประจันเขาลั่นกลอน สะเดาะถอนลิ่มหลุดเดินเข้าไป
ประจงรูดม่านกางเห็นนางหลับ เลื่อนขยับยับยั้งเข้านั่งใกล้
กอดนางพลางปลุกเจ้าปลื้มใจ อย่าหลับใหลเลยลุกขึ้นเถิดรา ฯ
๏ นางพิมประหม่าผวาฟื้น สะดุ้งตื่นตกใจเป็นหนักหนา
ไม่ทันพิศคิดว่าขโมยมา นางผวาร้องหวีดจะวิ่งไป
เจ้าพลายแก้วฉวยมือถือถนัด จะสะบัดบิดหนีพี่ไปไหน
พี่มาแล้วแก้วตาอย่าตกใจ เป็นห่วงใยอยู่ด้วยเจ้าจึงเข้ามา
แต่วันไปน้ำใจให้มุ่นหมก วิตกด้วยน้องน้อยจะคอยท่า
พอถึงบ้านวานวอนให้แม่มา ท่านมารดาขัดใจพี่ไม่ฟัง
แต่ร้องไห้ร้องห่มจนลมจับ ท่านก็รับขอให้ดังใจหวัง
จึงรีบจากเรือนมาในป่ารัง กระทั่งถึงเข้าวันนี้พี่ก็มา ฯ
๏ นางพิมนั่งฟังสิ้นสงสัย ดีใจยิ้มขยับเข้าไปหา
แอบอิงพิงทับกับอุรา ถ้าหม่อมแม่มิเมตตาก็ท่าตาย
ถ้าแม้นไม่จริงจังเหมือนดังว่า ฉันไม่ขอดูหน้าท่านทั้งหลาย
ไม่รักอยู่เป็นคนให้ทนอาย โอ้พ่อพลายแก้วพี่จงกรุณา ฯ
๏ เจ้าพลายแก้วฟังชอบปลอบประโลม พี่รักโฉมเยาวยอดเสนหา
อย่าสงสัยที่ใจไม่สัจจา แม้นแผ่ผ่าอกได้จะให้ดู
นี่สุดคิดที่จะปลิดให้ดูได้ ถึงตัวไปใจพี่ก็ยังอยู่
ห่วงหลังด้วยขุนช้างเป็นศัตรู อุตส่าห์สู้รีบรัดมานัดงาน
อย่าเศร้าศรีพรุ่งนี้กำหนดแน่ คุณแม่ท่านจะมาหาถึงบ้าน
ขอร้องต้องตามคำโบราณ ว่าพลางทางสะพานสะพักชม
เผยออกยกนางขึ้นวางตัก กำเริบรักเชยชิดสนิทสนม
ป่วนปั่นกระสันเสียวเกลียวกลม ก็เกิดลมพายุใหญ่ประลัยกัลป์
พัดกระพือโผงผางจะล้างโลก พระสุเมรุเอนโยกตลอดลั่น
สะเทือนท้องคงคาพนาวัน มืดอาทิตย์มิดจันทร์จลาจล
พฤกษาดอกงอกงามอยู่ตามฝั่ง ก็ย่อยยับพับพังกระทั่งต้น
ฟ้าเปรี้ยงเสียงร้องก้องคำรน แต่พอฝนตกหายพายุฮือ
เสร็จประสงค์ตรงมาเปิดหน้าต่าง เอ๊ะนี่มิสว่างขึ้นแล้วฤๅ
ส้วมสอดกอดน้องทั้งสองมือ ไก่กระพือปีกขันสนั่นมา
ดุเหว่าเร้าเร่งพระอาทิตย์ จำจิตรจากไปไกลเคหา
ค่อยอยู่จงดีพี่ขอลา เจ้าจงมาส่งพี่เพียงบันได
นางพิมจับจูงข้อมือแก้ว ก็คลาศแคล้วเปิดประตูหอกลางให้
บ่าวหญิงนิ่งหลับระงับใจ ก้าวปลอมพร้อมไปทั้งสองรา
ถึงนอกชานเปิดบานประตูให้ ยังอาลัยเหลียวหลังมาสั่งว่า
ค่อยอยู่จงดีพี่ขอลา แล้วหันหน้าลงบันไดไปฉับพลัน
พอพ้นเรือนแสงเดือนดับหรุบรู่ ออกประตูรั้วใหญ่แล้วผายผัน
ครู่หนึ่งถึงที่อาศัยพลัน เข้าในโรงนั้นสำราญใจ ฯ
๏ ครั้นรุ่งแจ้งแสงสางสว่างหล้า ทองประศรีตื่นตาหาช้าไม่
ล้างหน้าตำหมากใส่ปากไว้ นั่งเคี้ยวไบ่ไบ่แล้วตรองการ
จึงร้องเรียกตาสนกับตาเสา ยายมิ่งยายเม้าเป็นเพื่อนบ้าน
ปรึกษาว่าตูข้าจะขอวาน คิดอ่านขอลูกสาวศรีประจัน
เถ้าแก่รับคำแล้วอำลา ไปเคหาแต่งตัวขมีขมัน
นุ่งผ้าตามะกลํ่าดูขำครัน ห่มปักไหมมันดูเหมาะตา
ทองประศรีนุ่งผ้าตาบัวปอก ห่มขาวพุดดอกพอสมหน้า
พร้อมกันทันใดก็ไคลคลา ข้าถือสมุกหมากสากตะบัน
พลายแก้วก็เสกขี้ผึ้งให้ ด้วยหัวใจกรณีย์ดีขยัน
เถ้าแก่รับเอาเข้าสีพลัน ยายทองประศรีนั้นนำหน้ามา
ครู่หนึ่งถึงบ้านศรีประจัน แกตัวสั่นร้องเรียกให้ดูหมา
ศรีประจันเปิดหน้าต่างพลางแลมา เห็นแล้วเรียกข้าด่าอึงไป
อีนั่นอ้ายนี่อีขี้ครอก แขกมาหาบอกแก่กูไม่
บ่าวกลัวตัวสั่นลงบันได วิ่งไขว่มารับขึ้นเรือนพลัน
แล้วเอาเสื่อสาดมาลาดปู หมากพลูใส่เชี่ยนขมีขมัน
มานั่งล้อมพร้อมหน้าพูดจากัน ศรีประจันปราศรัยทายทัก
ตูนึกนึกสงสารออทองประศรี จากกันไปหลายปีดีดัก
ร่างรูปซูบซีดลงผิดนัก หัวหงอกฟันหักดูหนักไป
เมื่อเป็นโทษท่านโปรดให้ฆ่าผัว ครั้งนั้นตัวออเจ้าไปอยู่ไหน
กับลูกชายหายไปอยู่แห่งใด สิบเอ็ดปีแล้วจึงได้มาพบพาน
เดี๋ยวนี้สุขทุกข์อย่างไรหนอ พอทำมาหากินเป็นถิ่นฐาน
ฤๅขัดสนจนใจด้วยภัยพาล ที่มาบ้านตูนี้ด้วยเหตุใด ฯ
๏ ทองประศรีตอบคำศรีประจัน ว่าทุกวันเราทุกข์หาสุขไม่
ยากยับอับจนเป็นพ้นไป ออเจ้าย่อมแจ้งใจแต่ไรมา
ตกยากจากเมืองสุพรรณไป เมื่อครั้งขุนไกรดับสังขาร์
ถูกริบฉิบหายไปทุกตา วัวควายไร่นาทั้งบ้านเรือน
ได้เงินใส่สมุกกับลูกรัก กลัวนักหนีวางเข้ากลางเถื่อน
แต่ซุกซนด้นป่าไปกว่าเดือน พอพบเพื่อนกันเข้าเขาเอ็นดู
เขาพากันเมตตาต้อนรับไว้ ยกเหย้าเรือนให้อาศัยอยู่
ยากยับอับจนเป็นพ้นรู้ อุตส่าห์สู้บุกแฝกแบกหน้ามา
จะขอพรรณฟักแฟงแตงน้ำเต้า ที่ออเจ้าไปปลูกในไร่ข้า
ทั้งอัตคัดขัดสนจนเงินตรา จะมาขายออแก้วให้ช่วงใช้
อยู่รองเท้านึกเอาว่าเกือกหนัง ไม่เชื่อฟังก็จะหาประกันให้
ได้บากบั่นมาถึงเรือนอย่าเบือนไป จะได้ฤๅไม่ได้ให้ว่ามา ฯ
๏ ศรีประจันได้ฟังทางหัวเราะ จำเพาะจะมาอ้อมค้อมว่า
เราก็เป็นเพื่อนบ้านกันนานมา ลูกข้าข้าจะหวงไว้ทำไม
ถึงยากจนอย่างไรก็ไม่ว่า แต่พร้าขัดหลังมาจะยกให้
อุตส่าห์ทำมาหากินไป รู้ทำรู้ได้ด้วยง่ายดาย
ถึงเงินทองเป็นของพ่อแม่ให้ ไม่รู้รักษาไว้ก็ฉิบหาย
ตูจะขอถามความท่านยาย ลูกชายนั้นดีฤๅอย่างไร
ไม่เล่นเบี้ยกินเหล้าเมากัญชา ฝิ่นฝามันสูบบ้างฤๅไม่
จะสูงตํ่าดำขาวสักคราวใคร ตูยังไม่เห็นแก่ตาว่าตามจริง ฯ
๏ ครานั้นตาสนกับตาเสา อิกทั้งยายเม้าแลยายมิ่ง
ว่านานไปท่านจะได้พึ่งพิง ลูกทองประศรีดียิ่งนะคนนี้
ว่านอนสอนง่ายชายฉลาด ทั้งรูปทรงก็สะอาดสำอางศรี
รุ่นหนุ่มน้อยจ้อยเรียบร้อยดี ความชั่วไม่มีสักสิ่งอัน
เมื่อเป็นเณรก็เทศน์มัทรีได้ เพราะเจาะจับใจดีขยัน
เมื่อปีกลายคุณยายเป็นเจ้ากัณฑ์ วันนั้นเจ้าพิมฟังยังชอบใจ
เปลื้องผ้าออกบูชาซึ่งกัณฑ์เทศน์ เกิดเหตุเพราะขุนช้างมันทำให้
เปลื้องผ้าทับผ้าเจ้าพิมไว้ คุณยายจำไม่ได้ฤๅไรนา ฯ
๏ ศรีประจันได้ฟังก็ชอบใจ ตอบว่าอ่อนึกได้แล้วที่ว่า
เราก็คิดรำคาญมานานช้า ด้วยลูกข้าคนเดียวดังดวงใจ
จะตกแต่งให้ปันเสียทันตา ตัวเราก็ชรามักเจ็บไข้
อายุคนนี้จะนานสักปานใด มีหาไม่จะทำแต่ตามมี
ข้าจะให้ลูกข้าสิบห้าชั่ง ขันหมากมั่งน้อยมากไม่จู้จี้
ผ้าไหว้สำรับหนึ่งก็พอดี หอมีห้าห้องฝากระดาน
เดือนสิบสองวันเสาร์ขึ้นเก้าคํ่า กำหนดงานจะทำให้คิดอ่าน
ทองประศรีรับคำมิได้นาน ตามแต่ท่านจะคิดไม่ขัดใจ
ครั้นได้เวลาควรชวนกันลา ทองประศรีก็มาหาช้าไม่
ถึงที่อยู่พลันเข้าทันใด บอกลูกชายให้ได้รู้การ ฯ
๏ ศรีประจันก็สั่งซึ่งบ่าวข้า ให้จัดหาข้าวของอลหม่าน
ซื้อหมากมะพร้าวจาวตาล ทั้งคาวหวานทำอึงคะนึงไป
เอาหมากพลูใส่พานมิทันช้า ร้องเรียกบ่าวข้าลงเรือใหญ่
ถึงวัดแคขึ้นกุฎีรี่เข้าไป ศรีประจันนั่งไหว้แล้วว่าพลาง
สมภารผินหลังนั่งเล่นหมากรุก สบสนุกจับโคนเข้าโยนผาง
เข้ากลจะจนที่ตากลาง ศรีประจันเรียกค้างว่าเจ้าคุณ
ดีฉันมาหมายว่าจะนิมนต์ สมภารว่าไม่จนให้หลบขุน
ศรีประจันว่าดีฉันจะทำบุญ สมภารว่าเรือจุนเข้ารุกจน
เหลียวเห็นศรีประจันกลั้นหัวร่อ จึงถามข้อเนื้อความตามเหตุผล
ศรีประจันว่าฉันมีทำวน อาราธนาสวนมนต์สักสิบองค์
จะแต่งงานออพิมพิลาไลย กำหนดนับวันไว้อย่าใหลหลง
ตัวฉันนี้เล่าแก่เถ้าลง จะทำเสียให้คงเห็นทันตา ฯ
๏ สมภารได้ฟังก็ตอบไป มันมีผัวได้แล้วฤๅหวา
เมื่อปีกลายกูได้เห็นมันมา ยังอาบน้ำแก้ผ้าตาแดงแดง
ผูกจับปิ้งเที่ยววิ่งอยู่ในวัด มันหักตัดต้นไม้ไล่ยื้อแย่ง
กูเอาไม้เท้าง่ามไล่ตามแทง เกลียดน้ำหน้าด่าแช่งอยู่ทุกวัน
ไม่เห็นหน้าสองปีมามีผัว เร่งคิดถึงตัวเถิดเราทั่น
สีกายายก็คลายลงครันครัน มันก็แก่ลงด้วยกันแล้วสีกา ฯ
๏ ครานั้นท่านยายศรีประจัน ว่าคุณก็เหมือนกันแลเจ้าข้า
ไม่เที่ยงแท้จริงจังสังขารา หน่อยหนึ่งก็จะพากันตายไป
นัดแน่นะจงจำฉันอำลา ลงจากกุฎีมาหาช้าไม่
ครู่หนึ่งถึงบ้านขึ้นบันได แกจัดข้าวของไว้เป็นมากมาย ฯ
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายแก้ว ครั้นถึงกำหนดแล้วจึงนัดหมาย
บอกแขกปลูกเรือนเพื่อนผู้ชาย มายังบ้านท่านยายศรีประจัน
ให้ขุดหลุมระดับชักปักเสาหมอ เอาเครื่องเรือนมารอไว้ที่นั่น
ตีสิบเอ็ดใกล้รุ่งฤกษ์สำคัญ ก็ทำขวัญเสาเสร็จเจ็ดนาที
แล้วให้ลั่นฆ้องหึ่งโห่กระหนํ่า ยกเสาใส่ซ้ำประจำที่
สับขื่อพรึงติดสนิทดี ตะปูตียกเสาดั้งตั้งขึ้นไว้
ใส่เต้าจึงเข้าแปลานพลัน เอาจันทันเข้าไปรับกับอกไก่
พาดกลอนผ่อนมุงกันยุ่งไป จั่วใส่เข้าฝาเช็ดหน้าอึง
บ้างเจาะถากถุ้งเถียงเสียงเอะอะ เกะกะกบไสไชเหล็กจึ้ง
บางผ่าฟันสนั่นอึงคะนึง วันหนึ่งแล้วเสร็จสำเร็จการ
ศรีประจันแกเรียกบ่าวข้า ให้ยกสำรับมาทั้งคาวหวาน
เลี้ยงดูสับสนคนทำงาน อิ่มแล้วไปบ้านด้วยทันใด ฯ
๏ ครั้นรุ่งเช้าขึ้นพลันเป็นวันดี ทองประศรีจัดเรือกัญญาใหญ่
เอาขันหมากลงบรรทุกขลุกขลุ่ยไป หามโหรีใส่ท้ายกัญญา
ขันหมากเอกเลือกเอาที่รูปสวย นุ่งยกห่มผวยจับผิวหน้า
ก็ออกเรือด้วยพลันทันเวลา ครู่หนึ่งถึงท่าศรีประจัน
จึงจอดเรือเข้าหน้าสะพานใหญ่ ตาผลวิ่งไปเอาไม้กั้น
เสียเงินทองให้ขึ้นไปพลัน ขนขันหมากขึ้นบนบันได
ยายเป้าเถ้าแก่อยู่ที่บ้าน ก็นับขานเงินตราแลผ้าไหว้
ครบจำนวนถ้วนที่สัญญาไว้ ให้ขนเข้าไปในเรือนพลัน
แถมพกยกของมาเลี้ยงดู ครั้นกินอยู่อิ่มดีขมีขมัน
ก็กลับเรือมาพร้อมหน้ากัน ถึงพลันจอดท่าพากันไป ฯ
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายแก้ว ครั้นบ่ายแล้วยกเหล้ามาทั้งไห
ทั้งกับแกล้มต้มแกงที่แต่งไว้ จึงเรียกอ้ายไทยมาสั่งพลัน
เอ็งจงรีบไปอย่าได้ช้า ไปหาบอกท่านขุนช้างนั่น
ว่ากูเชิญให้ไปด้วยกัน วานท่านมาเป็นเพื่อนบ่าวกู
อ้ายไทยรับคำแล้วอำลา รีบเร่งเร็วมาไม่หยุดอยู่
ถึงบ้านขุนช้างพลางแลดู ก็เดินจู่ขึ้นเรือนด้วยทันใด
พอเพลาขุนช้างมานั่งเล่น อ้ายไทยแลเห็นยกมือไหว้
เดี๋ยวนี้พลายแก้วผู้แววไว ขอแม่พิมได้แต่งงานกัน
พลายแก้วขัดสนจนเพื่อนบ่าว ให้ฉันมากราบเท้าอย่าเดียดฉันท์
ขอเชิญพ่อไปให้เห็นวัน อย่าช้าเลยทั่นจงแต่งตัว ฯ
๏ ขุนช้างได้ฟังอ้ายไทยว่า ดังใครเอาดาบผ่ากระบานหัว
เสียดายพิมผูกพันใจสั่นรัว น้ำตารั่วหันหน้าเข้าฝาบัง
โอ้ว่าอนิจจาแก้วตาพี่ ครั้งนี้เห็นไม่ได้ดังใจหวัง
คงจะพากเพียรไปมิได้ฟัง ถึงเป็นเมียก็ชั่งมันเป็นไร
คิดแล้วอาบน้ำนุ่งผ้า ยกทองของพระยาละครให้
ห่มส่านปักทองเยื้องย่องไป บ่าวไพร่ตามหลังสะพรั่งมา
ครั้นถึงที่อยู่เจ้าพลายแก้ว เพื่อนบ่าวมาแล้วนั่งพร้อมหน้า
จึงชวนกันนั่งกินรินสุรา เมามายพูดจากันอึงไป
เจ้าพลายแก้วจึงว่าเจ้าเกลอเอ๋ย อย่าถือเลยที่นางพิมเรารักใคร่
รู้ว่าเป็นเมียเอ็งกูเกรงใจ เอ็นดูเถิดจงให้เสียแก่เรา
ขุนช้างฟังว่าทำหน้าเก้อ นิจจาเกลอดอกหาไม่ไม่ให้เจ้า
แม้นเอ็งไม่รักกูจักเอา ว่าแล้วกินเหล้าเมาสำราญ ฯ
๏ ครั้นพระสุริยาเวลาบ่าย พลายแก้วย่างกรายมาจากบ้าน
ลงเรือพร้อมกันมิทันนาน รีบมายังบ้านศรีประจัน
กับเพื่อนบ่าวก็ก้าวขึ้นบนหอ พระมารอสวดมนต์สำรวมมั่น
เพื่อนสาวเข้าห้อมล้อมกัน ออกจากเรือนนั้นมาทันใด
นั่งลงตรงหน้าท่านสมภาร แล้วท่านจึงส่งมงคลให้
ขุนช้างเห็นพิมกระหยิ่มใจ ตะลึงไปตาเพ่งเขม็งดู
หยิบพานมาว่าจะกินหมาก มันผิดปากส่งไพล่ไปรูหู
เคี้ยวเล่นไบ่ไบ่ได้แต่พลู เพื่อนบ่าวเขารู้หัวเราะฮา
พระสงฆ์สวดมนต์รํ่ากระหนํ่าไป เอาน้ำซัดสาดให้อยู่ฉานฉ่า
นางมั่นแม่แปรกแทรกเข้ามา ขุนช้างเข้าคร่าเอาข้อมือ
นางมั่นรันหัวลงต้ำเปาะ พ่อเงาะวางฉันอย่าดันดื้อ
ขุนช้างฉุดผ้าคว้าจิ้มดือ ไม่วางฤๅอ้ายถ่อยต่อยเขกลง
สวดมนต์จบพลันมิทันช้า เอาน้ำชามาประเคนให้พระสงฆ์
ฉันแล้วลาไปดังใจจง ลุกลงบันไดไปกุฎี ฯ
๏ ศรีประจันให้ยกทั้งหวานคาว เลี้ยงพวกเจ้าบ่าวอยู่อึงมี่
กินอิ่มแล้วพลันทันที เอาของที่แถมพกยกออกมา
ตลับถมตะทองกระทงเมี่ยง มาวางเรียงส่งให้ได้พร้อมหน้า
พอพลบค่ำยํ่าแสงสุริยา ขุนช้างไปเคหาด้วยทันที
เจ้าพลายแก้วกับเหล่าเพื่อนบ่าวนั้น ก็พากันมาหาทองประศรี
จึงพูดกับมารดาด้วยปรานี แล้วงานวันนี้จะอยู่ไย
ช้างม้าวัวควายไร่นา ทั้งเคหาหามีใครอยู่ไม่
ทองประศรีตอบพลันทันใด ค่อยค่อยไปเถิดจะช้าสักห้าวัน
ผู้คนทำงานพานเหนื่อยเหน็ด พึ่งจะเสร็จยังไม่ควรจะผายผัน
เจ้าจงไปอยู่บ้านศรีประจัน ไปกินนอนอยู่นั่นเถิดเจ้าพลาย ฯ
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายแก้ว ครั้นเวลาล่วงแล้วตะวันบ่าย
แต่งตัวสำอางแล้วย่างกราย ไปยังบ้านท่านยายศรีประจัน
ขึ้นบนบันไดเข้าในหอ ก็พอสิ้นแสงสุริย์ฉัน
นอนหอรอถ้วนกำหนดวัน แสนกระสันถึงเจ้าพิมพิลาไลย ฯ
๏ ครานั้นท่านยายศรีประจัน ครั้นถ้วนสามวันหาช้าไม่
ประโลมปลอบลูกน้อยกลอยใจ ด้วยไม่รู้กลมารยา
โอ้เจ้าพิมนิ่มนวลของแม่เอ๋ย เจ้าไม่เคยให้ชายเสนหา
ร้อยชั่งจงฟังคำมารดา นี่คู่เคยของเจ้ามาแต่ก่อนแล้ว
ร้อยคนพันคนไม่ดลใจ จำเพาะเจาะได้เจ้าพลายแก้ว
แม่เลี้ยงไว้มิให้อันใดแพว แต่แนวไม้เปรียะหนึ่งไม่ต้องตัว
ครั้นเติบใหญ่จะไปเสียจากอก แม่วิตกอยู่ด้วยเจ้าจะเลี้ยงผัว
ฉวยขุกคำทำผิดแม่คิดกลัว อย่าทำชั่วชั้นเชิงให้ชายชัง
เนื้อเย็นจะเป็นซึ่งแม่เรือน ทำให้เหมือนแม่สอนมาแต่หลัง
เข้านอกออกในให้ระวัง ลุกนั่งนอบนบแก่สามี
อย่าหึงหวงจ้วงจาบประจานเจิ่น อย่าก่อเกินก่อนผัวไม่พอที่
แม่เลี้ยงมาหวังว่าจะให้ดี จงเป็นศรีสวัสดิสุขทุกเวลา
สอนลูกอยู่จนล่วงเข้ายามแล้ว เจ้าพลายแก้วจะคอยละห้อยหา
โลมเล้าเอาใจให้ไคลคลา เข้าในหอเห็นหน้าเจ้าพลายน้อย
เสียงกรุกเจ้าพลายลุกลงจากเตียง นางพิมเมียงแฝงแม่มาร่อยร่อย
ชวาลาต้องหน้าเป็นนวลลอย พอปะตาก็ชม้อยละมุนลง
นั่งแล้วจึงยายศรีประจัน ว่าฉันพาพิมขึ้นมาส่ง
จงกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงกันให้ยืนยง กว่าจะปลงชีวิตชีวาลัย
ผิดพลั้งสั่งสอนกันก่อนหนา อย่าตีด่ากันมี่หาดีไม่
ค่อยอยู่เถิดมารดาจะลาไป นางพิมเหนี่ยวแม่ไว้ไม่วางมือ
ฉุดชักผลักวุ่นจะหมุนวิ่ง แม่จะทิ้งฉันไว้ที่นี่ฤๅ
ศรีประจันลวงนางให้วางมือ รื้อหับประตูห้องย่องออกไป ฯ
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายแก้ว ท่านผู้ใหญ่ไปแล้วยิ่งผ่องใส
กระหยิ่มยิ้มด้วยเจ้าพิมพิลาไลย เข้านั่งแนบแอบใกล้แล้วกล่าววอน
ร้อยชั่งนั่งนิ่งเสียไยเล่า ขอเชิญเจ้าร่วมมุ้งเสมอหมอน
ร้อนฤๅจะกระพือให้พิมนอน พี่อยู่ก่อนคอยเจ้าถึงสามวัน
ว่าพลางทางกระถดเข้านั่งชิด กอดสะกิดประทับแล้วรับขวัญ
นั่งไยไปนอนเสียด้วยกัน สะดุ้งหวั่นจักจี้กระเดียมใจ ฯ
๏ นางพิมยิ้มเยื้อนแล้วเบือนผัน ไฮ้อย่าเล่นเช่นนั้นทนไม่ได้
สะกิดสะเกาเซ้าซี้เฝ้าจี้ไช ไปนอนเถิดฉันไซร้ยังไม่นอน
เจ้าพลายแก้วลุกไปเข้าในมุ้ง ยุงเจ้าเอ๋ยจุดเทียนมานี่ก่อน
นางพิมยิ้มยืนขึ้นถอนกลอน ร้อนนักจักไปนั่งเล่นเย็นเย็น
เสียงกรุกเจ้าพลายลุกฉวยชายผ้า ฟ้าผ่าเถิดเจ้าแก้วนี้ทำเข็ญ
ไม่พอที่จู้จี้ช่างมาเป็น ใช่จะเร้นหนีไปไม่ยินยอม
มาจับมือรื้อรบอยู่เร่าเร่า หิวเหมือนอยากข้าวเจียวฤๅหม่อม
ร้อนเหลือเหงื่อตกกระปรกกระปรอม แป้งหอมน้ำอบจะลูบตัว
เออเจ้าเอามาทากันเล่น พอเย็นเย็นใจมั่งจะยังชั่ว
เปิดนมกลมปลั่งดังดอกบัว แต่มัวมัวยังอล่างกระจ่างตา
จะหยิบแป้งฤๅมาแย่งผ้าห่มไว้ นี่อะไรจะรุ่งแล้วฤๅขา
เมื่อหัวค่ำทำซึมไม่ลืมตา สะบัดหน้าวิ่งแร่ไปแต่ตัว
เปิดโถน้ำอบตรลบกลิ่น รินมาให้มากจะฝากผัว
เจ้าพลายย่องแอบหลังบังเงาตัว โอ๋ยรินรั่วเสียแล้วพิมยิ้มละไม
มิใช่การวานอย่ามาจู้จี้ หกแล้วก็ยังมีจะรินใหม่
อย่ามากวนฉันหน่อยถอยออกไป ลูบไล้ตัวแล้วจะกลับมา
เอามานี่เถิดพี่จะทาให้ ทาด้วยกันเถิดเป็นไรฟังพี่ว่า
ว่าพลางทางละลายแป้งทา ผินหน้ามาจะผัดให้เป็นนวล
จับพัดมากระพือให้แป้งแห้ง ดูดังแตงร่มใบเป็นนวลสงวน
กอดเคล้าเย้าหยอกเฝ้ายียวน เอาแป้งประอกอวลตะลึงใจ
ดูเวทนาเหลือนี่เนื้อแกล้ง แต่จะนั่งทาแป้งก็ไม่ได้
ทาตัวเข้าให้เย็นก็เป็นไร เหงื่อไคลตละน้ำน่ารำคาญ
ไหนเหงื่อนี่เบื่อว่าเปล่าเปล่า นิจจาเจ้าลวงพี่จริงจริงจ้าน
มาไปนอนอย่าให้วอนอยู่เนิ่นนาน กอดสะพานสะพักจูบแต่เบาเบา ฯ
๏ นางพิมยิ้มค้อนด้วยงอนใจ ไฮ้เหงื่อไคลเปื้อนแก้มเขาแล้วเจ้า
ไหนเหงื่อนี่ขาช่างว่าเดา ส่องกระจกดูเอาก็เป็นไร
ในมุ้งนั่นแน่ยุงออกบินว่อน ไม่ไปดูเสียก่อนไม่นอนได้
ว่าพลางฟักฟูมอุ้มแอบไป แต่ผลักไสฉุดคร่าอย่าช้านาน
ประคองขึ้นบนตักผลักไม่ไหว แนบชิดจิตรใจให้ฟุ้งซ่าน
นางพิมป้องปัดสะบัดกราน เข้าในม่านเจ้าก็กราบลงทันใด ฯ
๏ เจ้าพลายแก้วรับขวัญกระสันยิ้ม ประโลมพิมชื่นจิตรพิสมัย
จูบผมชมชื่นระรื่นใจ ปราศรัยซิกซี้ด้วยปรีดา
พูดพลอดกอดเคล้าเล่านิทาน พระอวตารตามนางมากลางป่า
ข้ามฝั่งมายังเกาะลงกา ผลาญโคตรยักษาให้ตายเปลือง
แสนยากลำบากด้วยนางงาม พระรามทุกข์ตรอมจนผอมเหลือง
สิบสี่ปีจึงได้นางมาคืนเมือง พอสิ้นเรื่องก็พอหลับลงด้วยกัน ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ