ตอนที่ ๒๖ พระเจ้าเชียงใหม่ชิงนางสร้อยทอง

๏ จะกล่าวถึงพระเจ้าเชียงใหม่ ตรองตรึกนึกไปให้ฉงน
เจ้าล้านช้างตอบไม่ชอบกล แยบยลดูเห็นเป็นมารยา
เราให้ไปขอนางสร้อยทอง จะขัดข้องฤๅให้ก็ไม่ว่า
บรรณาการไม่รับกลับคืนมา ตอบแต่ว่าลูกยายังเด็กนัก
อันขอสู่วิสัยจะให้ปัน ควรผ่อนผันผัดไปให้ประจักษ์
นี่พูดจาบิดเบือนทำเชือนชัก จะอุบายย้ายยักสักอย่างไร
ด้วยกลัวเราจะพลัดเป็นศัตรู ถ้ายกไปโจมจู่สู้ไม่ได้
เห็นจะคิดลับลมเป็นคมใน จะนิ่งไว้ท่วงทีมิเป็นการ
คิดพลางทางสั่งมหาปาด เอ็งฉลาดใจคอก็กล้าหาญ
จงรีบลอบไปอย่าได้นาน ถึงล้านช้างสืบดูให้รู้ความ
เขาคิดการบ้านเมืองประการใด ปรึกษาว่าอย่างไรในเค้าสนาม
ฟังทั้งเรื่องธิดาพะงางาม ใครติดตามขอบ้างฤๅอย่างไร ฯ
๏ ครานั้นจึงกวานมหาปาด กราบบาททูลลาหาช้าไม่
แต่งตัวเสร็จสรรพฉับไว ข้าวตากใส่ไถ้แล้วผูกม้า
พอเช้าตรู่จู่ออกจากเชียงใหม่ ขับม้าวิ่งไวเข้าในป่า
ข้าวตากใส่ปากเคี้ยวกินมา ไม่หยุดพักชักช้ารีบคลาไคล
ออกแต่เช้าราวเที่ยงจึงพักม้า พอตกบ่ายไคลคลาหาช้าไม่
กลางคืนมืแสงเดือนเตือนม้าไป ตีเหล็กไฟสูบยามาพลางพลาง
ม้าอ่อนผ่อนม้าลงกินน้ำ ครั้นหายเหนื่อยเรื่อยรํ่ามาผางผาง
จนเดือนตกพักผ่อนนอนริมทาง พอสว่างขึ้นม้ารีบคลาไคล
เล็ดลอดดอดดั้นอรัญวา ถึงพรานไพรในป่าหาพบไม่
เลียบห้วยเหวเขาลำเนาไพร หลีกบ้านน้อยใหญ่ในทางมา
ล่วงเข้าเขตแคว้นแดนเวียงจันทน์ ยังอิกสองวันจะถึงท่า
ทราบความตามบ้านพวกละว้า ว่ามีชาวอยุธยามาเวียงชัย
มหาปาดนิ่งนึกตรึกตรา จำจะฟังกิจจาให้ใกล้ใกล้
คิดแล้วแต่งกายให้คล้ายไทย เข้าในเวียงจันทน์ทันที
เดินปนไปกับลาวแลชาวใต้ ไม่ครั่นคร้ามขามใครในกรุงศรี
เที่ยวฟังข่าวราชการงานธานี จนถึงที่ศาลาลูกขุนใน
เห็นโรงใหญ่ยาวสิบเก้าห้อง มีข้าวของคนผู้อยู่ขวักไขว่
พูดจาภาษานั้นเป็นไทย ก็แจ้งใจว่าชาวอยุธยา
ทั้งข้าราชการเมืองล้านช้าง พวกขุนนางท้าวแสนก็แน่นหน้า
เข้าออกพูดกันจำนรรจา ว่าไทยขึ้นมายังเวียงชัย
จะมารับพระราชบุตรี ไปเป็นมเหสีเจ้ากรุงใต้
อิกสิบห้าราตรีจะคลาไคล ได้ความแน่แล้วก็กลับมา
เจ็ดวันรีบตะบึงถึงเชียงใหม่ ลงจากม้าเข้าในพระโรงหน้า
ก้มเกล้ากราบงามลงสามลา ทูลว่าข้าพเจ้าไปเวียงจันทน์
ได้เข้าไปถึงศาลาลูกขุน เห็นเพี้ยพญาว้าวุ่นจ้าละหวั่น
พวกไทยในเมืองก็มากครัน โจษกันทั่วไปในธานี
ว่าทหารอยุธยาห้าร้อย มาคอยรับสร้อยทองผ่องศรี
กำหนดอิกสิบห้าราตรี จะส่งนางไปบุรีศรีอยุธยา ฯ
๏ ครานั้นพระเจ้าเชียงใหม่ โกรธราวกับไฟไหม้เวหา
เหม่เจ้าธานีศรีสัตนา ทำย้อนยอกนอกหน้าไม่เกรงกู
ขอนางโดยดีก็มิให้ ลอบสมคบเอาไทยขึ้นมาขู่
ดีแล้วเป็นไรจะได้ดู กูมิให้ศัตรูมันดูแคลน
เฮ้ยเร่งเกณฑ์ทัพในฉับพลัน เลือกสรรแต่ที่กล้าสักห้าแสน
กูจะยกไปประชิดติดแดน แก้แค้นเจ้าบุรีศรีสัตนา
จะตีเมืองล้านช้างให้จงได้ ไม่เอาไว้ให้เหลือสักเส้นหญ้า
กริ้วก้องท้องพระโรงรจนา ท้าวพระยาข้าเฝ้าก็ตกใจ ฯ
๏ ครานั้นอุปฮาดพระยาแมน กับแสนตรีเพชรกล้าเป็นผู้ใหญ่
ก้มเกล้าทูลพลันในทันใด ขอพระองค์จงได้กรุณา
จะยกไพร่ไปล้อมเมืองล้านช้าง หนทางที่จะไปไกลหนักหนา
กว่าจะจัดทัพได้ให้ยาตรา เห็นจะช้าไม่ทันส่งนางไป
คำเพี้ยมหาปาดมาทูลบอก เขาจวนจะยกออกไปเมืองใต้
ถ้าจะให้ได้นางมาเวียงชัย ขอให้ทัพบกยกไปพลัน
ไปดักอยู่กลางทางที่นางมา เข้าห้อมล้อมเมื่อเวลามาถึงนั่น
คงจับได้ไทยลาวชาวเวียงจันทน์ นางนั้นก็จะได้มาพารา ฯ
๏ ครานั้นพระเจ้าเชียงใหม่ ฟังตอบชอบพระทัยเป็นหนักหนา
เออเอ็งเร่งรัดจัดโยธา แสนตรีเพชรกล้าจงยกไป
พบแล้วล้อมจับเอาตัวมา ไพร่พลอย่าฆ่าให้ตักษัย
อย่าให้นางสร้อยทองหมองพระทัย รีบรัดเร่งไปอย่าได้ช้า ฯ
๏ ครานั้นเพชรกล้าก็รับสั่ง ถวายบังคมงามสามท่า
เลือกทหารตัวดีมีวิชา ล้วนอยู่คงแกล้วกล้าได้ห้าพัน
พร้อมสาตราอาวุธปืนไฟ หน้าไม้ทวนแทงแข็งขัน
ช้างม้าพร้อมสรรพฉับพลัน พอรุ่งแจ้งแสงตะวันก็ยกไป
รีบรัดตัดมาในป่ากว้าง ตรงมาทางภูเวียงเลี่ยงเขาใหญ่
รู้แน่ว่าทางนางจะไป ให้หยุดทัพซุ่มไว้ใกล้เชิงดอย
ตรีเพชรจึงสั่งหมู่ทหาร อย่าไปเที่ยวตามบ้านหากล้วยอ้อย
พอพวกไทยมาใกล้ได้ร่องรอย คอยฟังเสียงปืนสัญญานั้น
แยกออกเป็นหัวละแปดสิบ ย่องกริบล้อมลัดสกัดกั้น
จับเป็นเอามาอย่าฆ่าฟัน สั่งกันแล้วก็ซ่อนอยู่กลางไพร ฯ
๏ จะกล่าวถึงพระเจ้าล้านช้าง ครั้นจวนวันส่งนางไม่นิ่งได้
เสด็จออกยังท้องพระโรงชัย สั่งให้ตระเตรียมการทั้งปวง
ให้จัดกองอาสาไปตามส่ง กึงกำกงหัวหน้าเป็นข้าหลวง
ท้าวพระยาทุกเหล่าเจ้ากระทรวง ทบวงการของใครให้จัดแจง
พวกสนมกรมวังทั้งตำรวจ หมอยาหมอนวดตามตำแหน่ง
กองอาสาหน้าหลังทั้งแทรกแซง แต่รุ่งแจ้งพร้อมกันวันจะไป
แล้วดำรัสตรัสสั่งมเหสี แก้วพี่ตัวเจ้าเอาใจใส่
สั่งเสียพนักงานการฝ่ายใน เตรียมองค์อรไทจะไคลคลา ฯ
๏ ครานั้นนางเกสรมารศรี มาตำหนักพระบุตรีเสนหา
ชลนัยน์ไหลหลั่งลงถั่งตา ส้วมกอดพระธิดาแล้วรํ่าไร
โอ้ว่าสร้อยทองของแม่อา พระบิดาจะให้ไปเมืองใต้
อิกสามวันขวัญข้าวจะจากไป เหมือนดังใจแม่จะขาดอนาถนัก
ดังตายจากพรากองค์พระลูกแก้ว แต่นี้แล้วจะโศกวิโยคหนัก
จะหาไหนได้เหมือนพระลูกรัก เหมือนมาควักแก้วตามารดาไป
อกเอ๋ยเคยเห็นกันเย็นเช้า ได้ชมเจ้าชื่นจิตรพิสมัย
แต่เกิดมามิได้ร้างไปห่างไกล ร่วมใจร่วมสุขทุกวันมา
แต่อุ้มท้องแม่ประคองด้วยความรัก ระวังเจ้าเฝ้าพิทักษ์รักษา
เผ็ดร้อนผ่อนอดทุกเวลา จำศีลภาวนาเป็นนิรันดร์
ครั้นยามปลอดคลอดองค์พระลูกแก้ว อุ้มแล้วค่อยต้องประคองขวัญ
ถนอมชมกินนมแม่ทุกวัน จนชันษาได้หลายปีมา
เจ้าแม่แต่นี้จะลับแล้ว ดังดวงแก้วตาแตกทั้งซ้ายขวา
ไปด้วยได้ก็จะไปกับลูกยา รํ่าพลางโศกาด้วยอาลัย ฯ
๏ ครานั้นสร้อยทองผ่องศรี กอดบาทชนนีสะอื้นไห้
อนิจจาพระบิดาไม่อาลัย จะพรากไปจากอกพระมารดา
ขืนเอาไปใจลูกจะขาดวิ่น คงจะสิ้นชีพเสียในกลางป่า
ไหนจะไปได้ถึงอยุธยา ด้วยอุราชอกช้ำเสียเต็มที
เกิดมาไม่เคยพรากจากพระแม่ จะเหลียวแลหาใครที่ไหนนี่
จะตั้งแต่โศกศัลย์พันทวี ลูกนี้ไหนจะคงชีวาลัย
อกเอ๋ยเกิดมาช่างอาภัพ สำหรับแต่จะทุกข์ทนหม่นไหม้
พ่อแม่แหนหวงดังดวงใจ กลับจะต้องพรากไปในทันตา
หวังจะให้แม่พ่อพอเป็นสุข กลับเกิดเข็ญเป็นทุกข์เพราะตัวข้า
บ้านเมืองสุโขมโหฬาร์ ลูกเกิดมาให้มารผลาญผจญ
สาเหตุว้าวุ่นที่ขุ่นหมอง ก็เพราะลูกสร้อยทองนึ้เป็นต้น
ทั่วทั้งพระนครได้ร้อนรน จะคงอยู่เป็นคนไปทำไม
พระแม่เจ้าจงทูลพระบิดา ให้ฟันฆ่าลูกเสียให้ตักษัย
จะได้สิ้นสาเหตุเภทภัย ทูลพลางสะอื้นไห้อยู่ไปมา ฯ
๏ ครานั้นจึงโฉมนางเกสร สองกรกอดลูกแล้วปลอบว่า
อย่าตรอมใจไปนักนะลูกอา มิใช่พระบิดาจะไม่รัก
เดิมเจ้าเชียงใหม่ให้มาขอ ข่มขู่พระพ่อพูดหาญหัก
เหมือนจะให้เราไปสามิภักดิ เห็นเสียศักดิเธอไม่บัญชาตาม
เขาจึงพิโรธโกรธเคือง จะยกมาตีเมืองทำหยาบหยาม
แต่ชาวเมืองเรานั้นสิครั่นคร้าม เกิดสงครามน่ากลัวจะเสียที
ก็จะเสียทั้งองค์พระลูกรัก เสียศักดิเสียสิ้นบุรีศรี
ร้อนใจไพร่ฟ้าประชาชี ด้วยธานีตกเข็ญเป็นเชลย
เพราะเหตุบ้านเมืองจะเคืองแค้น แสนวิตกเท่านี้ดอกลูกเอ๋ย
หาไม่ไหนเล่าจะละเลย ให้ทรามเชยพลัดพรากต้องจากไป
จะเปลื้องทุกข์พ่อแม่ก็แต่เจ้า เหมือนสำเภาพาข้ามทะเลใหญ่
ทั้งไพร่ฟ้าประชาชนจะพ้นภัย เพราะว่าได้พึ่งองค์พระลูกรัก
อันพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา พระเดชาปราบได้ทั้งไตรจักร
ตัวเจ้าไปเป็นข้าสามิภักดิ ก็สมศักดิสมยศหมดทั้งปวง
พระองค์ก็ทรงพระเมตตา ตรัสสั่งความมากับข้าหลวง
ว่าจะเลี้ยงแก้วตาสุดาดวง มิให้ใครล้ำล่วงเกียรติยศ
อิกทั้งบุรีศรีสัตนา ก็มิให้ใครมาเบียดเบียนหมด
ไปเถิดแก้วตาอย่าลาลด เหมือนแทนทดคุณชนกชนนี
เกียรติยศจะระบือฦๅโลก สร่างวิโยคก็จะเปรมเกษมศรี
คงเป็นสุขทุกทิวาราตรี มารศรีอย่าละห้อยน้อยใจ ฯ
๏ ครั้นปลอบลูกค่อยคลายวายวิโยค นางจัดเครื่องอุปโภคทั้งน้อยใหญ่
เรียกสี่พี่เลี้ยงของทรามวัย เข้าไปช่วยเลือกของที่ต้องการ
เครื่องประดับลำหรับนางกษัตริย์ อร่ามรัตน์พรรณรายฉายฉาน
มงกฎแก้วแพรวเพชรเก็จกาญจน์ กุณฑลสร้อยสังวาลบานพับ
จุฑามณีวลีทรง ธำมรงค์วาวแววแก้วประดับ
เพชรนิลเพทายหลายสำรับ อาภรณ์พร้อมสรรพทุกสิ่งอัน
แล้วเลือกจัดภูษาผ้าทรง คลุมบรรทมห่มองค์ทุกสิ่งสรรพ์
ยกปักหักทองกรองสุวรรณ แพรพรรณต่างต่างที่อย่างดี
ภาชนะเงินทองของเครื่องต้น เครื่องสุคนธ์ขันทองกล่องพระศรี
ทั้งสิ่งของต้องพระทัยของเทวี บรรดามีมอบไปให้ลูกรัก
แล้วเลือกเหล่าสาวสรรค์กำนัลนาง ที่รูปร่างส่งศรีมีศักดิ
เคยสนิทชิดใช้ใจสามิภักดิ ล้วนสมัครตามติดพระธิดา
เบ็ดเสร็จสามสิบห้านารี ให้พี่เลี้ยงทั้งสี่เป็นหัวหน้า
แล้วข้าหลวงชั้นสองรองลงมา โขลนจ่าทาสีก็มากมาย
พวกขอเฝ้าเหล่าข้าอยู่ในกรม ก็ระดมมาเลือกได้มากหลาย
ให้พี่เลี้ยงจางวางเป็นตัวนาย คุมเหล่าข้าผู้ชายไปรับใช้
แล้วนางสั่งให้จัดซึ่งสิ่งของ ทั้งเงินทองแจกปูนบำเหน็จให้
ถ้วนทั่วตัวคนที่จะไป มิให้ใครย่นย่อท้อระอา ฯ
๏ จัดพลางนางทรงกันแสงโศก หวนวิโยคลูกน้อยละห้อยหา
จึงตรัสเรียกโฉมยงองค์ธิดา กับพี่เลี้ยงกัลยาเข้าห้องใน
กอดลูกทรวงสะท้อนสอนสั่ง เจ้าจะพรากจากวังไปเวียงใต้
จะพากันไปอยู่ในหมู่ไทย อย่าได้ประมาทนะลูกรัก
อันขนบธรรมเนียมของเมืองใต้ ต้องเพียรเอาใจใส่ให้รู้จัก
อีกบรรดานารีที่พบพักตร์ เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่ในวัง
ที่ใครควรเคารพก็นบนอบ ที่ควรชิดคิดชอบอย่าผินหลัง
อย่าโหดไร้ให้เขาพากันชิงชัง แต่อย่าพลั้งเผลอคบคนเสเพล
คนเช่นนั้นมันมักเที่ยวแทรกแซง ประจบประแจงด้วยอุบายหลายเล่ห์
พอเราหลงปลงอารมณ์สมคะเน ก็ถ่ายเทเอาทรัพย์เสียนับพัน
อันคนชั่วย่อมระคนปนกับดี ถ้าดีมีชั่วก็มีอยู่ที่นั่น
ถึงเมืองลาวเมืองไทยไม่ผิดกัน เพราะเช่นนั้นขวัญข้าวเจ้าจำไว้
อนึ่งหญิงรูปทรงที่ส่งศรี ย่อมมีทั้งผู้ดีมีทั้งไพร่
จะผิดกันแน่แท้แต่ที่ใจ กับที่ได้อบรมนิยมมา
นางกษัตริย์เขาจัดว่าล้ำเลิศ ประเสริฐด้วยสุริวงศ์พงศา
ถือมั่นสัตย์ธรรม์จรรยา ทั้งวาจามารยาทสะอาดดี
เพราะว่าเป็นวิสัยในพงศ์พันธุ์ ฝึกสอนสืบกันมาตามที่
ซึ่งจะผ่าเหล่าไปมิใคร่มี เหตุนี้จึงนิยมชมทั่วไป
กษัตริย์ถึงต่างทิศผิดภาษา อันจะต่างจรรยานั้นหาไม่
ถ้าประเพณีวงศ์เจ้าทรงไว้ ถึงกษัตริย์กรุงไทยคงเมตตา
แต่ทว่าอย่าลืมนะปลื้มใจ ว่าถวายเจ้าไปให้เป็นข้า
ถึงพระองค์ทรงพระกรุณา อย่ากำเริบเติบใหญ่ให้เมามัว
คำบุราณท่านว่ามาแต่ก่อน สำหรับสอนสตรีที่มีผัว
ว่าวิสัยภรรยาประพฤติตัว ดีชั่วเจ็ดอย่างต่างต่างกัน
อย่างหนึ่งทุจริตคิดร้ายผัว อิกอย่างมัวโลภโมโทสัน
อิกอย่างหนึ่งการงานคร้านทั้งนั้น ทั่นว่าเมียอุบาทว์ชาติกาลี
อันหญิงดีที่เป็นภรรยา กำหนดไว้ในตำราว่าเป็นสี่
หนึ่งเลี้ยงดูภัสดาด้วยปรานี หนึ่งร่วมทุกข์สุขมีเสมอกัน
หนึ่งนั้นเคารพนบนอบผัว หนึ่งยอมตัวให้ใช้ไม่เดียดฉันท์
จึงอยู่เย็นเป็นสุขทุกคืนวัน ด้วยผัวนั้นวางใจที่ในตัว
แต่บริจามหากษัตริย์นั้น ผิดกับหญิงสามัญที่มีผัว
ต้องจงรักภักดีแล้วเกรงกลัว เหมือนอย่างตัวเป็นข้าฝ่าธุลี
ตั้งใจสนองรองบาทา ให้ทรงพระกรุณาเป็นราศี
ถึงขัดข้องหมองใจในบางที ไม่ควรที่ให้เคืองเบื้องบทมาลย์
เพราะถ้าจอมกษัตริย์ขัดพระทัย มักเกิดภัยอันตรายหลายสถาน
ถ้าหากว่าพระองค์ทรงโปรดปราน ก็ชุบเลี้ยงสำราญตระการใจ
จึงจะได้ความสุขทุกเวลา ญาติวงศ์พงศาได้อาศัย
เป็นสุขทั้งบรรดาเหล่าข้าไท ทรามวัยจงจำดังรำพัน
แล้วหันมาว่าแก่สี่พี่เลี้ยง เจ้ากล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูอย่าเดียดฉันท์
นึกว่าเจ้าสร้อยทองน้องร่วมครรภ์ เป็นเพื่อนยากบากบั่นไปเมืองไกล
เช้าเย็นเห็นหน้ากันเท่านี้ จะชั่วดีสี่เจ้าเอาใจใส่
ได้เลี้ยงดูมาแต่ก่อนร่อนชะไร อย่าปล่อยให้เสียหายเมื่อปลายมือ
ถึงจะไปได้ดีมีชื่อเสียง ตรงทั้งสี่พี่เลี้ยงต้องเชื่อถือ
เอาเป็นที่ปรึกษาหารือ เขาสัตย์ซื่อเห็นใจแต่ไรมา
ให้เจ้าไปสวัสดีมีชัย อย่าเจ็บไข้เดินทางไปกลางป่า
จนถึงซึ่งกรุงอยุธยา อยู่เป็นสุขทุกทิวาแลราตรี
สร้อยทองบุตรีกับพี่เลี้ยง หมอบเรียงประณตบทศรี
รับพรนางเกสรชนนี ค่อยคลายคลี่ชอกช้ำระกำใจ
ครั้นพลบคํ่าสุริยนสนธยา ชวนธิดาคืนเข้าตำหนักใหญ่
สองนางโศกาด้วยอาลัย จนหลับไปในที่ศรีไสยา ฯ
๏ ครั้นถึงวันฤกษ์ดีศรีมงคล พวกพหลพลนิกายทั้งซ้ายขวา
ตั้งกระบวนแลสะพรั่งฝั่งคงคา ตรงหน้าเวียงจันทน์ฟากพันพร้าว
เหล่าอาสาอาวุธประจำมือ บ้างก็ถือธงเทียวเขียวขาว
พร้อมพรั่งนายไพร่ทั้งไทยลาว ถอยเรือยาวเทียบท่าไว้หน้าวัง
เรือกระบวนหน้าหลังทั้งเรือประเทียบ จอดเรียบพลพายก็พร้อมพรั่ง
เรือส่งคนขนของซ้องประดัง ทั้งสองฟากริมฝั่งตั้งพลับพลา
เสนาพระยาลาวผู้ใหญ่น้อย ต่างคนมาคอยอยู่พร้อมหน้า
ทั้งหญิงชายชาวเมืองเนื่องกันมา ทั้งสองข้างมรรคาล้วนผู้คน
ที่ในวังพรั่งพร้อมเหล่านารี มีพวกพระญาติวงศ์นั้นเป็นต้น
บ้างโศกาอาลัยให้ทำวน เกลื่อนกล่นพร้อมหน้ามาส่งนาง ฯ
๏ ฝ่ายนางเกสรชนนี พอรุ่งแสงสุริย์ศรีขึ้นสางสาง
ยังอาลัยลูกยาโศกาพลาง ให้สำอางอรองค์สรงวารี
น้ำกุหลาบอาบอบตรลบไป ลูบไล้ขมิ้นผงส่งฉวี
แล้วตักน้ำรํ่ารดหมดราคี ขัดสีผุดผ่องละอองนวล
ทรงสุคนธ์ปนปรุงจรุงกลิ่น กระแจะจันทน์ประทิ่นกลิ่นหอมหวน
ผัดผิวเอี่ยมลออแต่พอควร ด้วยนางครวญมิใคร่จะไยดี
กระหมวดมุ่นมวยอย่างนางกษัตริย์ ปักปิ่นเพชรรัตน์จำรัสศรี
แล้วแซมช่อบุปผามาลี ทรงกุณฑลมณีมีราคา
ภูษาซิ่นยกกนกทอง สไบกรองเนื้อนุ่มคลุมอังสา
สร้อยสะอิ้งสังวาลตระการตา ทองกรซ้ายขวาหาพุรัด
คาดสายเข็มขัดรัดพระองค์ ธำมรงค์ทรงทั้งสองพระหัตถ์
งามผ่องต้องตาสารพัด สมเป็นนางกษัตริย์สวรรยา
ครั้นเสร็จทรงเครื่องเรืองบวร จึงนวลนางเกสรเสนหา
ตรัสชวนลูกแก้วแววตา ออกมาข้างนอกตำหนักจันทน์
พระญาติวงศ์พงศามาคอยส่ง ต่างองค์กลั้นวิโยคโศกศัลย์
อำนวยพรพระธิดาวิลาวัณย์ แล้วพากันมาเฝ้าเจ้ากรุงไกร ฯ
๏ ครั้นถึงที่สถิตบิตุรงค์ นางสร้อยทองเจ้าทรงกันแสงไห้
ยกพานธูปเทียนกับดอกไม้ คลานไปตั้งลงตรงพระพักตร์
ยอกรกราบบาทพระบิดา ก้มหน้าซบลงที่ตรงตัก
โศกสะท้อนถอนสะอื้นอยู่ฮักฮัก แล้วหน่วงหนักหักใจอาลัยลา
กระหม่อมฉันทูลลาฝ่าพระบาท จะแคล้วคลาศจากไปไกลหนักหนา
หวังสนองพระคุณมุลิกา เอาชีวาถวายใต้ธุลี
จะทุกข์สุขอย่างไรไปวันหน้า จะกลับมาฤๅมิมาไม่รู้ที่
ขอแต่ให้พระชนกชนนี มีความสุขาสถาพร
ลูกประมาทพลาดพลั้งมั่งฉันใด ให้ขุ่นเคืองพระทัยมาแต่ก่อน
พระบิตุรงค์จงโปรดซึ่งโทษกรณ์ จากจรอย่าให้กรรมประจำไป
ถึงไปจะได้ความทุกข์ยาก จะย่อท้อต่อลำบากนั้นหาไม่
แต่เหลือที่จะเป็นห่วงบ่วงใย ที่ในสมเด็จพระมารดา
เช้าเย็นเห็นลูกอยู่เป็นนิจ ต้องปลดปลิดพรากไปไกลหนักหนา
จะเฝ้าแต่ครวญครํ่ารํ่าโศกา เกลือกว่าจะด่วนประชวรไป
จงโปรดเกล้าเอาเป็นพระธุระ อย่าให้พระชนนีนั้นตักษัย
ทูลพลางนางทรงโศกาลัย สะอื้นไห้กราบประณตบทมาลย์ ฯ
๏ ครานั้นพระเจ้ากรุงศรีสัตนา ฟังลูกทูลลาแสนสงสาร
ดังศรศักดิปักดวงฤดีดาล เสียวสะท้านสะท้อนถอนพระทัย
ให้อัดอั้นอาดูรพูนเทวศ น้ำพระเนตรท่วมถั่งลงหลั่งไหล
สู้แข็งขืนกลืนโศกวิโยคไว้ โลมเล้าเอาใจพระลูกรัก
โอ้ว่าทรามวัยดวงใจพ่อ เจ้าอย่าท้อฤทัยอาลัยหนัก
อันเกิดมาวาสนาย่อมนำชัก ก็ประจักษ์อยู่แล้วนะแก้วตา
พ่อก็แสนแหนหวงดวงสวาดิ แต่บุพเพสันนิพาสวาสนา
ให้เพอิญเกิดเหตุเภทพาลา จึงต้องพรากจากบิดาในครานี้
มิใช่ว่าพลัดพรากไปยากไร้ จะไปได้ที่พำนักเป็นศักดิศรี
อยู่ในที่อยุธยาธานี คงจะมีความสุขทุกเวลา
จงหักใจไปเถิดนะลูกรัก ช่วยชูศักดิสุริวงศ์พงศา
เหมือนบำรุงกรุงศรีสัตนา ให้ไพร่ฟ้าสุขเกษมเปรมฤทัย
อย่าวิตกที่ตรงองค์พระแม่ พ่อจะคอยดูแลเอาใจใส่
จงไปสวัสดีอย่ามีภัย อยู่ในอยุธยาธานี ฯ
๏ ประสาทพรเสร็จแล้วก็แคล้วคลาศ ตรัสประภาษชวนพระมเหสี
พาธิดายาใจจรลี มาที่ชานชาลาข้างหน้าวัง
ต่างองค์ขึ้นทรงยานุมาศ เดียรดาษเสนาทั้งหน้าหลัง
พวกนางในต่างตามห้ามไม่ฟัง คับคั่งลงมาท่านที
หยุดประทับเกยชัยที่ใกล้ฝั่ง แล้วลงเรือที่นั่งหลังคาศรี
พร้อมกระบวนนำตามข้ามวารี มาถึงที่พลับพลาท่าหาดทราย
พวกเหล่าเสนาพฤฒามาตย์ ประชาราษฎร์เซ็งแซ่อยู่แหล่หลาย
สามกษัตริย์ยุรยาตรนาดกราย ผันผายขึ้นสู่พลับพลาชัย ฯ
๏ เจ้าพระยาจึงพาพระท้ายน้ำ กำกงเสนาข้าหลวงใหญ่
ก้มเกล้ากราบกรานคลานเข้าไป บังคมไหว้ถวายบังคมลา
พระเจ้าล้านช้างพลางปราศรัย เออไปให้เป็นสุขทุกถ้วนหน้า
พระท้ายนํ้าจงนำซึ่งกิจจา ทูลพระเจ้าอยุธยาภูวไนย
ว่าเรานี้ถวายบังคมคัล ถึงพระองค์ทรงธรรม์ผู้เป็นใหญ่
ขอฝากฝังธิดายาใจ ไว้ในใต้เบื้องบทรัช
ยังย่อมเยาว์การงานพานจะอ่อน ขอให้ทรงสั่งสอนแล้วฝึกหัด
ทั้งธรรมเนียมกรุงใต้ไม่สันทัด จะข้องขัดอย่างไรได้โปรดปราน
แลบัดนี้กรุงศรีสัตนา กับกรุงศรีอยุธยามหาสถาน
ก็ร่วมแผ่นสุวรรณอันโอฬาร ราชการสองประเทศเหมือนเขตเดียว
เราจะรักษาถวายข้างฝ่ายเหนือ ถ้าศึกเสือเกิดกระหนาบคาบเกี่ยว
ขอให้ช่วยระดมกันกลมเกลียว คงขับเคี่ยวเอาชัยได้ทุกเมือง
เราถวายพรชัยด้วยใจจง ให้พระองค์ทรงยศฟุ้งเฟื่อง
เสวยสุขอดิเรกอเนกเนือง อย่าขุ่นเคืองราคีมาบีฑา
ตรัสแล้วจึงประทานซึ่งสิ่งของ แก้วแหวนเงินทองทั้งเสื้อผ้า
สั่งให้พระท้ายน้ำนำยาตรา เป็นกองหน้ามาก่อนกระบวนนาง
แล้วเรียกกึงกำกงเข้ามาสั่ง เจ้าไประไวระวังให้รอบข้าง
จงสำรวจตรวจดูตามลู่ทาง ป่ากว้างทางภูเขียวนั้นเปลี่ยวนัก
ตรงต่อแดนไทยลาวชาวเชียงใหม่ หน้าหลังระวังระไวให้จงหนัก
ค่ำคืนหยุดหย่อนจะผ่อนพัก เตรียมปืนหลักหักไฟให้มั่นคง
ต่อเข้าเขตโคราชถึงลำชี จึงจะพ้นหน้าที่เจ้าตามส่ง
จงมอบหมายท้ายน้ำนำจตุรงค์ ให้เขาห้อมล้อมวงแต่นั้นไป
จงไปดีมาดีศรีสวัสดิ พ้นวิบัติเสี้ยนหนามความเจ็บไข้
เมื่อเสร็จส่งองค์นางถึงกรุงไทย อย่าช้าไปรีบลามาเวียงจันทน์ ฯ
๏ ครานั้นพระท้ายน้ำกึงกำกง กราบลงแล้วออกไปทันใดนั่น
เข้ากระบวนหน้าหลังพรั่งพร้อมกัน คอยเสียงกลองสำคัญให้ยาตรา
พวกลาวชาวด่านบ้านหนองบัว แต่งตัวกำยำออกนำหน้า
ถัดไปพวกไทยอยุธยา แล้วถึงกองอาสาอยู่หน้าช้าง
กองแซงเดินรายทั้งซ้ายขวา ล้วนลาวอาสาทั้งสองข้าง
กระบวนส่วนองค์อนงค์นาง อยู่ท่ามกลางหว่างพลให้พ้นภัย
กึงกำกงเสนามาข้างหลัง คอยระวังโฉมตรูอยู่ใกล้ใกล้
กองหลังกองเสบียงเรียงกันไป แล้วอาสาวางไว้ข้างท้ายพล
พรั่งพร้อมพหลพลโยธา ช้างม้าคั่งคับอยู่สับสน
พวกตามพระธิดาทั้งข้าคน ก็เกลื่อนกล่นเข้ากระบวนถ้วนทุกกอง ฯ
๏ ครั้นถึงเวลาได้พิชัยฤกษ์ เมฆเบิกรัศมีรพีผ่อง
ขุนโหรสั่งพลันให้ลั่นฆ้อง เสียงประโคมกึกก้องกลองสัญญา
จึงกษัตริย์จอมลาวเจ้าล้านช้าง เสด็จพาธิดานางมาข้างหน้า
จูงส่งขึ้นยังหลังคชา ให้ยาตรารี้พลสกลไกร
น่าสงสารสองกษัตริย์เมื่อพลัดลูก พระทัยผูกโศกศัลย์ไม่กลั้นได้
พอลูกลับกลับคืนเข้าวังใน กันแสงไห้ไม่เป็นสมประดี
นางเกสรข้อนทรวงพิไรรํ่า เช้าคํ่าขุ่นข้องให้หมองศรี
เฝ้าวิโยคโศกศัลย์พันทวี หลายราตรีจึงค่อยวายคลายอาลัย ฯ
๏ จะกล่าวถึงสร้อยทองผ่องโสภา แต่จากมาไม่สร่างกันแสงไห้
พี่เลี้ยงโลมเล้าจะเอาใจ ชวนชมมิ่งไม้ในพนา
สร่างโศกเสียมั่งเถิดนะแม่ โน่นแน่จงดูประตูป่า
ไม้สูงยูงยางสล้างตา เขาว่าพ้นไปเป็นไพรวัน
เพราะรกเรื้อเสือสางแลช้างเถื่อน กล่นเกลื่อนอาศัยในไพรสัณฑ์
ถ้าคนไปน้อยตัวเขากลัวกัน ไปพบมันน้อยนักมักทำร้าย
แต่มานี่ถึงเราจะเข้าป่า ช้างม้าไพร่พลนั้นล้นหลาย
เสือสิงห์ก็จะวิ่งกระจัดกระจาย หลบหายเข้าไพรมิให้พบ
จะได้ชมพรรณไม้ที่ในป่า มีนานาดูได้ไม่รู้จบ
ที่มีผลเปรี้ยวหวานตระการครบ ที่มีดอกกลิ่นกลบตรลบลง
ถึงว่ามิ่งไม้ในสวนศรี มิได้มีเหมือนในไพรระหง
ประเดี๋ยวหนึ่งจะถึงที่ปากดง แม่จงคอยชมพนมไพร
ที่ชายป่าตอนนี้ยังมีบ้าน เพราะใกล้ด่านพวกละว้ามาทำไร่
ปลูกกล้วยอ้อยน้อยหน่าข่าตะไคร้ ตรงกอไผ่โน่นแน่แลเห็นเรือน
ลูกเล็กเล็กยืนดูอยู่เป็นกลุ่ม ที่ตรงซุ้มยายตามากันเกลื่อน
ตักนํ้าท่ามาให้ไม่ต้องเตือน อยู่กลางเถื่อนช่างกะไรใจเขาดี
ทางริมบ้านชานรอบถึงขอบไร่ ดูเป็นเรือนสวนไสวไปจากนี่
ปลูกมะพร้าวหมากม่วงเป็นท่วงที ต้นลิ้นจี่ส้มสูกลูกลำไย
สวนพลูดูค้างสล้างสลอน ที่ริมรั้วปลูกหม่อนไว้เลี้ยงไหม
ด้วยเป็นบ้านชาวป่าพนาลัย ต้องปลูกให้พอเพียงเลี้ยงชีวา
ถึงที่เปลี่ยวเลี้ยวพ้นที่คนอยู่ พี่เลี้ยงชี้ชวนดูหมู่ปักษา
จับต้นจันทน์นั่นนกสาลิกา ที่บินมาทางโน้นโน่นแซงแซว
เสียงที่ดังป๊กป๊กนกค้อนทอง เสียงดุเหว่าเร่าร้องอยู่แจ้วแจ้ว
นกกระเต็นเต้นไต่ไม้แตงแตว ฝูงนกแก้วร่อนร้องออกก้องไพร
นกกระทาขันจ้าเที่ยวหาคู่ กระลุมพูอยู่รังกำลังไข่
กางเขนเล่นหางอยู่หว่างไม้ ไก่ป่าเปรียวปรื๋อกระพือบิน
นกเขาเรียกคูกุ๊กกู๊ก้อง นกขุนทองเพลินพลอดยอดกระถิน
นกกดลดเลี้ยวเที่ยวหากิน นกขมิ้นบินโผจับโพบาย
เหล่าสัตว์จัตุบาทก็กลาดกล่น แลเห็นคนมามากกระดากหาย
เนื้อถึกแล่นโลดโดดตะกาย ตุ่นกระต่ายหลบลี้หนีเข้าพง
แต่พอแลเห็นแปลบก็แวบหาย น่าเสียดายมิได้ชมสมประสงค์
พอแดดกล้ามาถึงที่ปากดง ลมลงชักชื้อชะอื้อเย็น
ยางยูงสูงไสวในพนัส ร่มชัฏแดดในมิใคร่เห็น
น้ำค้างค้างใบไม้ไหลกระเซ็น หนทางเป็นร่องเซาะจำเพาะตัว
เป็นเซิงรกปกคลุมทั้งสองข้าง ที่ตรงกลางทางลึกแทบท่วมหัว
ล้วนแต่เหล่าเถาวัลย์ขึ้นพันพัว ดูน่ากลัวนางประหวั่นพรั่นฤทัย
ได้ยินแซ่แต่เสียงชะนีโหย โวยโวยอยู่บนต้นไม้ใหญ่
นกยูงทองร้องรับระวังไพร วังเวงใจเปลี่ยวเปล่าเศร้าอุรา
ที่ในดงตรงห้วยละหานน้ำ คลาคลํ่าหลากเหลือผีเสื้อป่า
สีสันต่างต่างสำอางตา บ้างบินมาบินไปในไพรวัน
ไม้ดอกออกดื่นรื่นพนัส สารพัดสุกกรมนมสวรรค์
ยมโดยพลับพลวงจวงจันทน์ สัตบรรณแทงทวยทั้งกล้วยไม้
พิกุลแก้วเกดกฤษณา จำปาดกดอกออกไสว
พี่เลี้ยงเคียงข้างอรไท ชี้ชวนชมไปให้สำราญ
นางสร้อยทองค่อยคลายวายเทวศ จนล่วงเขตป่าไม้ไพรสาณฑ์
แต่แรมร้อนผ่อนมาสิบห้าวาร ถึงหมู่บ้านภูเวียงเคียงคิรี
ให้ปลงช้างตั้งค่ายรายล้อม ไพร่พลพรั่งพร้อมกันอึงมี่
พี่เลี้ยงชวนนางพลางจรลี ลงสู่ที่สระสรงพระคงคา
เย็นฉ่ำน้ำไหลมาพลั่งพลั่ง ล้นหลั่งถั่งชะง่อนก้อนภูผา
เป็นลำธารมาแต่ชานบรรพตา ล้วนศิลาแลเลื่อมละลานใจ
ที่แดงเหมือนแสงทับทิมสด ที่เขียวเหมือนมรกตอันสดใส
ต่างสีซ้อนซับสลับไป แลวิไลเพลิดเพลินตามเนินดอน
รื่นรื่นแสนสบายพระพายพัด หอมดอกไม้ในพนัสแนวสิงขร
ครั้นเวลาสายัณห์ลงรอนรอน บทจรคืนพลับพลาพนาลัย ฯ
๏ จะกล่าวถึงแสนตรีเพชรกล้า ซุ่มพลโยธาอยู่ป่าใหญ่
พวกสอดแนมมาแถลงให้แจ้งใจ ว่าลาวไทยกับนางอยู่ปางคา
ครั้นพลบคํ่ารีบรัดจัดทหาร กะด้านแบ่งปันกันทั่วหน้า
แยกย้ายหมอบมองย่องเข้ามา ส่วนตรีเพชรกล้าก็อ่านมนตร์
อึดใจเป่าไปได้เจ็ดคาบ ฟ้าวาบจันทร์อับพยับฝน
มืดมัวทั่วทิศทุกตำบล ลมวนพัดซ้ำกระหน่ำมา
ยางยูงสูงหักกระจักกระจาย ฝุ่นทรายปลิวกลุ้มคลุ้มเวหา
เสียงสนั่นครั่นครื้นพนาวา พสุธาดังจะควํ่าทำลายไป ฯ
๏ ครานั้นบรรดาพวกไทยลาว ตาขาวตัวสั่นอยู่หวั่นไหว
ต่างคนตระหนกตกใจ ทั้งนายไพร่ไม่เป็นสมประดี
กำกงแคลงจิตรคิดหวาดหวั่น พระท้ายน้ำตัวสั่นดังลงผี
จะเกิดเหตุอะไรในพงพี ทั้งฟืนไฟไม่มีดับมืดไป ฯ
๏ ครานั้นจึงแสนตรีเพชรกล้า ยิงปืนสัญญาหาช้าไม่
เหล่าทหารพร้อมกันในทันใด ยิงปืนไฟตึงตังดังประดา
โห่เกรียววิ่งกรูจู่เข้าล้อม ไล่อ้อมเลี้ยวลัดสกัดหน้า
พระท้ายน้ำเห็นลาวเกรียวกราวมา ตกประหม่านิ่งอึ้งตะลึงแล
มืดมนอนธการไม่เห็นหน้า ไม่รู้ว่าศัตรูอยู่ไหนแน่
จะสู้รบเสียกระบวนด้วยจวนแจ ทั้งนายไพร่วิ่งแต้ไปตามบุญ
พวกลาวไล่ลัดสกัดกั้น พวกไทยหนีกันอยู่ว้าวุ่น
บ้างล้มลุกคลุกคลานวิ่งซานซุน ลาวมากชุลมุนจับมัดมา
ตรีเพชรจับได้พระท้ายน้ำ ทั้งกึงกำกงตัวเป็นหัวหน้า
พวกไพร่ไล่ค้นพลโยธา ได้มาครบตัวไม่มีตาย ฯ
๏ ครานั้นสร้อยทองผ่องศรี กับฝูงนารีสิ้นทั้งหลาย
ร้องกรีดหวีดวิ่งอยู่วุ่นวาย ได้ยินเสียงพวกผู้ชายอื้ออึงไป
มืดมัวทั่วสิ้นทั้งดินฟ้า ไม่เห็นหน้าไพรีอยู่ที่ไหน
ต่างคนโศกาอาลัย แซ่เสียงร้องไห้ในพลับพลา ฯ
๏ ครานั้นตรีเพชรทหารใหญ่ ครั้นจับตัวนายไพร่ได้พร้อมหน้า
ยังแต่นางสร้อยทองผ่องโสภา จึงร่ายคาถาแล้วเป่าไป
ที่มืดมนอนธการก็เสื่อมหาย ให้พลรายรอบพลับพลาหาช้าไม่
พาทหารมีชื่อถือคบไฟ ตรงเข้าข้างในไปทันที
ฝ่ายนางสร้อยทองเห็นตรีเพชร ดังใครฟันคอเด็ดลงกับที่
ตกใจไม่เป็นสมประดี พี่เลี้ยงทั้งสี่ประคองไว้
ครั้นนางค่อยดำรงทรงกายา ตรีเพชรบอกมาหาช้าไม่
แม่เจ้าอย่าตระหนกตกพระทัย มิใช่โจรป่ามายํ่ายี
พระเจ้าเชียงอินท์ปิ่นกษัตริย์ ตรัสใช้ให้มาเชิญโฉมศรี
ไปครองเวียงเชียงใหม่ในครั้งนี้ จะทรงโศกีไปว่าไร
ว่าแล้วให้ผูกช้างม้า พานางยาตราหาช้าไม่
กับทั้งสาวสรรค์กำนัลใน นางสร้อยทองร้องไห้สะอื้นมา
ไทยลาวผู้ชายทั้งนายไพร่ ที่จับได้ใส่โตงกไว้ถ้วนหน้า
พระท้ายน้ำนั้นจำทั้งขื่อคา ให้จูงตามกันมาในกลางไพร ฯ
๏ น่าสงสารแต่ฝ่ายพระท้ายน้ำ ลาวมันจำจูงมาน้ำตาไหล
คิดไปให้ละเหี่ยเสียน้ำใจ ควรฤๅเป็นได้ถึงเพียงนี้
เพราะตัวกูระยำทำสะพร่าว หลงไว้ใจลาวไม่พอที่
นึกว่าอ้ายกำกงคงจะดี เห็นท่วงทีเจ้ามันนั้นวางใจ
จึงเพิกเฉยเลยละพระธิดา มิรู้ว่าจะมามีเหตุใหญ่
ให้ศัตรูจู่จับเอาตัวไป ที่ไหนจะได้คืนอยุธยา
ถ้าหากมันฟันเสียให้บรรลัย ไม่เสียใจตายเสียยังดีกว่า
นี่มันทำจำจองทั้งขื่อคา จะเอาหน้าไปแฝงไว้แห่งใด
ไหนยังจะขึ้นชื่อฦๅชา ว่าจับทหารอยุธยาเอามาได้
ยิ่งคิดยิ่งแค้นแน่นหัวใจ ไม่แลดูหน้าใครในทางมา
พวกไพร่บางคนก็ทุกข์ร้อน เฝ้าสะท้อนถอนใจไม่เงยหน้า
อ้ายบางคนที่คะนองร้องเฮฮา ใจกล้าเล่นหัวไม่กลัวใคร
กองทัพรีบเร่งตะเบ็งมา ไม่ช้าก็ถึงเมืองเชียงใหม่
เข้าในเมืองพลันทันใด ลาวไพร่พลเมืองเนื่องมาดู
สาวแก่แม่หม้ายตะกายวิ่ง ชายหญิงเบียดเสียดเป็นหมู่หมู่
อะไรนั่นมัดกันมาเป็นปู ถามไถ่จะใคร่รู้ซึ่งเรื่องราว
เขาบอกว่าชาวใต้ไทยอยุธยา ต่างก็เรียกกันมาอยู่มี่ฉาว
ตาหลอแกล้งแกว่งล่อล้อพวกลาว จนสาวสาวหลบเมินสะเทินอาย
ที่แก่เถ้าเอากล้วยทิ้งไปให้ บักไทยใครหิวกินให้หาย
ตาหลอเก็บยัดอัดตะพาย เดินส่ายมาหน้าทำตาโพลง
จะดูไทยฤๅลาวยาวฤๅสั้น อีลาวร้องบักนั่นจะตายโหง
ตารักหยักรั้งนั่งโก้งโค้ง นี่แหละเฮ้ยเสือโคร่งของเมืองไทย
มึงไม่เคยเห็นเต้นมาดู จะเอาแมวฤๅหนูกูจะให้
อีพวกลาวขากทดกดหัวไทย ดูมันไม่ได้ขายหน้าตา ฯ
๏ ครั้นถึงศาลาลูกขุนใน พวกขุนนางน้อยใหญ่อยู่พร้อมหน้า
กึงกำท้ายน้ำจำครบมา พวกอาสามัดกันเป็นหลั่นไป
อันนางสร้อยทองผ่องโสภา ยังหาได้ลงจากช้างไม่
ให้ยืนช้างอยู่หน้าศาลาใน กว่าจะได้รับสั่งพระภูมี
เพี้ยพระยาผู้ใหญ่ก็ไต่ถาม ตรีเพชรบอกความเป็นถ้วนถี่
จึงถามพระท้ายนํ้าตามคดี เดิมทีอย่างไรให้การมา
จึงขึ้นมารับเอานางไป คิดอ่านอย่างไรให้เร่งว่า
เขาถวายเจ้ากรุงอยุธยา ฤๅว่าสู่ขอประการใด ฯ
๏ ครานั้นจึงพระท้ายน้ำ ต้องจำแค้นขัดอัชฌาสัย
ตริตรึกนึกอยู่แต่ในใจ บอกมันฤๅไม่ก็เหมือนกัน
ตัวเรานี้มันคงฟันฆ่า ถึงจะม้วยชีวาก็ไม่พรั่น
ไม่ควรของ้อไหว้ให้ความมัน ก็นิ่งอั้นไม่บอกออกวาจา ฯ
๏ ขุนนางทั้งปวงก็ขัดใจ เป็นใดไม่เว้าอ้ายตายห่า
จองหองสุดใจไทยอยุธยา เย็นแล้วก็พากันคลาไคล
ท้ายน้ำกำกงก็เอามา คุมไว้ข้างหน้าชาลาใหญ่
พวกขุนนางต่างคนก็เข้าไป เฝ้าพระเจ้าเชียงใหม่พร้อมหน้ากัน ฯ
๏ ครานั้นพระเจ้าเชียงอินท์ ปิ่นพิภพเชียงใหม่ไอศวรรย์
ทอดพระเนตรเห็นตรีเพชรพลัน ทั้งพระท้ายน้ำนั้นที่จำมา
ทรงพระสรวลตบหัตถ์อยู่ฉัดฉาน ลุกทะยานจับพระแสงแกว่งเงื้อง่า
ถามตรีเพชรพลันมิทันช้า สร้อยทองได้มาฤๅว่าไร ฯ
๏ ครานั้นตรีเพชรจึงกราบทูล ขอเดชะนเรนทร์สูรผู้เป็นใหญ่
นี่ชื่อพระท้ายน้ำนำพลไกร เป็นนายพวกไทยอยุธยา
นั้นกำกงตัวนายฝ่ายล้านช้าง คุมกระบวนส่งนางมากลางป่า
องค์นางสร้อยทองก็ได้มา ยังอยู่ศาลาลูกขุนใน
พวกนางกำนัลนั้นหลายร้อย เงินทองเพชรพลอยเป็นไหนไหน
ไพร่พลเจ็ดร้อยทั้งลาวไทย ให้จำไว้ทั้งหมดไม่ลดกัน ฯ
๏ ครานั้นเจ้าเชียงอินท์ปิ่นภพ ฟังไม่จบคำทูลเป็นมูลมั่น
ไม่เห็นนางสร้อยทองที่ปองนั้น ก็หุนหันด่าว่าเสนาใน
ลืมพระท้ายน้ำแลกำกง หาได้ทรงไต่ถามเนื้อความไม่
ดุด่าอื้ออึงคะนึงไป นี่มึงทำอย่างไรไอ้เสนา
ธรรมเนียมที่ไหนจะใคร่รู้ ให้ไพร่ดูนางเล่นเห็นทั่วหน้า
ทำไมจึงมิให้อ่อนเข้ามา ควรแล้วฤๅว่าประการใด
ก็รู้ว่านางนี้เป็นที่รัก ชั่วนักเสนาทั้งน้อยใหญ่
มัวจะเอาแต่หน้าไม่ว่าใคร เฆี่ยนให้แทบตายเอาหวายมา
รั้ววังไม่มีฤๅไฉน สร้อยทองผ่องใสอยู่ไหนหวา
เหตุใดให้คอยอยู่ศาลา ปราสาทแก้วรจนานั้นของใคร
ฤๅมึงเห็นว่าไม่ควรคู่ ที่นางจะอยู่นั้นไม่ได้
อ้ายพวกไทยขี้ข้าเอามาไย ส่งไปไว้คุกจงทุกคน ฯ
๏ พวกข้าเฝ้าตระหนกตกประหม่า พระสุรเสียงดังฟ้าคำรนฝน
กรมเมืองคุมไทยไปบัดดล กรมวังอลวนถอยออกมา
ไปบอกกล่าวท้าวนางที่ข้างใน รับสั่งให้รับนางอยู่ข้างหน้า
กริ้วนักเชิญไปอย่าได้ช้า ท้าวนางต่างพากันตกใจ
โขลนจ่าทนายเรือนเกลื่อนกล่น ต่างคนวุ่นวิ่งไม่นิ่งได้
ท้าวนางออกหน้าพากันไป ถึงศาลาในก็กราบกราน
เชิญนางสร้อยทองผ่องโสภา ลีลาลงจากคชสาร
รับขึ้นทรงสีวิกากาญจน์ พามาหน้าฉานพระโรงคัล ฯ
๏ ครานั้นพระเจ้าเชียงใหม่ เห็นวอมาใกล้ให้ป่วนปั่น
กระทืบบาทตวาดอยู่นี่นัน พากันมาไยในที่นี่
ผู้ชายพายเรืออยู่เต็มไป จะดูเล่นฤๅไรไฉนนี่
ช่างกะไรรั้ววังดังไม่มี อีพวกนี้น่าเฆี่ยนให้เจียนตาย
ท้าวนางต่างพากันหวาดหวั่น ความกลัวตัวสั่นมิ่งขวัญหาย
รีบเร่งเข้าวังทั้งไพร่นาย คอยรับสั่งจะถวายนางสร้อยทอง ฯ
๏ ครานั้นจึงพระเจ้าเชียงอินท์ สมถวิลกระหยิ่มยิ้มย่อง
คะนึงนางมิได้ว่างฤทัยปอง เสด็จขึ้นจากท้องพระโรงชัย
ประทับที่แท่นสุวรรณบรรจถรณ์ ให้อาวรณ์ร้อนรนไม่ทนได้
กระซิบสั่งสาวสรรค์กำนัลใน นางสร้อยทองอยู่ไหนไปเรียกมา ฯ
๏ นางในได้ฟังรับสั่งใช้ รีบไปบอกคุณท้าวจะเอาหน้า
ช่วยกันจัดแจงแต่งกายา แล้วนำนางขึ้นมามนเทียรทอง
ครั้นถึงนอบนบอภิวันท์ หมอบอยู่ริมฉากชั้นที่กั้นห้อง
เจ้าขรัวนายทูลความตามทำนอง ถวายนางสร้อยทองผ่องโสภา ฯ
๏ ครานั้นเจ้าเชียงอินท์ปิ่นนคร เห็นบังอรนึกรักเป็นหนักหนา
เพ่งพิศโฉมนางไม่วางตา ลักขณาเพริศพริ้งทุกสิ่งอัน
เสียอยู่แต่ดูยังเป็นเด็ก ร่างเล็กไม่สมภิรมย์ขวัญ
นึกละอายเหล่าสุรางค์นางกำนัล แสนกระสันครวญใคร่อยู่ไปมา
อย่าเลยจำจะงดอดใจไว้ จะช้านานเท่าไรไปหนักหนา
เรื่องนางนี้ทีเจ้าอยุธยา จะโกรธายกทัพมาถึงเมือง
จำจะต้องคิดอ่านการศึกก่อน ตัดรอนไพรินให้สิ้นเรื่อง
เมื่อเสร็จสิ้นเหตุการณ์รำคาญเคือง พอนางเชื่องคงได้ชมสมใจปอง
คิดพลางทางภิปรายทายทัก นงลักษณ์ตัวเจ้าอย่าเศร้าหมอง
จะเลี้ยงเจ้าเป็นใหญ่ในเรือนทอง ให้ครอบครองสมบัติกษัตรา
วันหน้าถ้าเจ้าคิดถึงบิดร สองนครมิใช่ไกลหนักหนา
จะหากันเมื่อไรก็ไปมา กัลยาอย่าประหวั่นพรั่นใจ
ว่าแล้วจึงดำรัสตรัสสั่ง ตำหนักทองสองหลังให้จัดให้
ทั้งสมบัติวัตถาแลข้าไท เอาใจให้เป็นสุขทุกสิ่งอัน ฯ
๏ ครานั้นนวลนางสร้อยทอง หม่นหมองวิโยคโศกศัลย์
อยู่ในห้องร้องไห้ไม่วายวัน นางรำพันคํ่าเช้าเฝ้าโศกา
นิจจาเอ๋ยจากแม่ไปเมืองใต้ ก็ร้องไห้ร่ำรักกันหนักหนา
ลงไปไม่ถึงอยุธยา เขาจับมาเชียงใหม่ในกลางคัน
ปานนี้พ่อแม่จะคิดถึง หลงรำพึงว่าลูกเกษมสันต์
หมายใจว่าจะได้พึ่งพากัน ด้วยสำคัญว่าลูกไปได้ดี
ถ้ารู้ว่าเขาจับมาเชียงใหม่ จะคั่งแค้นแน่นใจกะไรนี่
ฤๅจะยกโยธามาราวี ด้วยปรานีจะรับเอากลับไป
ลูกนี้สุดที่จะคิดแล้ว น้ำตาหลั่งถั่งแถวสะอื้นไห้
นี่เนื้อว่าเวรกรรมได้ทำไว้ นางมิได้เป็นสุขทุกราตรี ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ