ตอนที่ ๓๗ นางสร้อยฟ้าทำเสน่ห์

๏ จะกล่าวถึงโฉมเจ้าหมื่นไวย อิ่มเอิบกำเริบใจใครจะเหมือน
ปราโมทย์โชติช่วงดังดวงเดือน มิได้เคลื่อนรสรักสักวันคืน
แต่โฉมเจ้าสร้อยฟ้าพานจะงอน หย่อนแต้มลงไม่ได้ให้สะอื้น
ผัวมานอนตะละช้อนใส่ปากกลืน ถ้าผัวคลาศขาดคืนก็ขุ่นมัว
อันชายหนึ่งเมียสองมักพร่องแรง หม่อมเมียพานจะแข่งแย่งหม่อมผัว
จึงเกิดเป็นเชิงชั้นกันในตัว ยิ่งใครเย้าตะละยั่วให้หนักไป
ข้างศรีมาลาผัวรักมักยิ้มเย้ย ข้างสร้อยฟ้าก็เลยทะยานใหญ่
เกรงอยู่แต่ท่านย่าระอาใจ ใครใครแกไม่ละทั้งลูกเมีย
ราวกับเสือซ่อนเล็บเจ็บไม่รู้สึก ถ้าได้ฮึกแล้วรุ่งก็รุ่งเสีย
ถ้าใครเถียงเอาใหญ่ดังไฟเลีย เขานิ่งเสียแกก็โลดโดดตะกาย ฯ
๏ วันเมื่อจะก่อเกิดกำเนิดเข็ญ พระหมื่นไวยนั่งเล่นตะวันบ่าย
ที่หอนั่งลมเย็นเห็นสบาย กับเจ้าพลายชายชุมพลผู้น้องยา
ชุมพลหยิบกระดานคลานมาพลัน เล่นหมากรุกพนันกันฤๅขา
แพ้พี่ไวยฉันจะให้ถอนขนตา ถ้าหากพี่แพ้ข้าจะว่าไร
พระไวยว่าถ้าพี่นี้แพ้เจ้า จะให้เขาทำขนมมาเสียให้
ขนมเบื้องแผ่นน้อยน้อยอร่อยใจ ว่าแล้วสั่งไปในทันที
สร้อยฟ้าศรีมาลาว่าเจ้าคะ ตั้งกะทะก่อไฟอยู่อึงมี่
ต่อยไข่ใส่น้ำตาลที่หวานดี แป้งมีเอามาปรุงกุ้งสับไป
ศรีมาลาละเลงแผ่นบางบาง แซะใส่จานวางออกไปให้
สร้อยฟ้าไม่สันทัดอึดอัดใจ ปามแป้งใส่ไล้หน้าหนาสิ้นที
พลายชุมพลจึงว่าพี่สร้อยฟ้า ทำขนมเบื้องหนาเหมือนแป้งจี่
พระไวยตอบว่าหนาหนาดี ทองประศรีว่ากูไม่เคยพบ
ลาวทำขนมเบื้องผิดเมืองไทย แผ่นผ้อยมันกะไรดังต้มกบ
แซะม้วนเข้ามาเท่าขาทบ พลายชุมพลดิ้นหรบหัวร่อไป
ฝ่ายนางศรีมาลาชายตาดู ทั้งข้าไทยิ้มอยู่ไม่นิ่งได้
อีไหมร้องว้ายข้อยอายใจ ลืมไปคิดว่าทำขนมครก
ชุมพลร้องแซ่แก้ไม่รู้สิ้น นานไปก็จะปลิ้นเป็นห่อหมก
สร้อยฟ้าตัวสั่นอยู่งันงก หกแป้งต่อยกะทะผละเข้าเรือน
ทองประศรีร้องว่าอีห่าลาว ทำฉาวเจียวอีหมาขี้เรื้อนเปื้อน
เทแป้งแกล้งให้เปรอะเลอะทั้งเรือน กะทะกะท่อยต่อยเกลื่อนลาวจัญไร
นางสร้อยฟ้าได้ยินท่านย่าด่า ขัดใจแทบน้ำตาจะเล็ดไหล
ศรีมาลาเลิกเตาเข้าข้างใน ชุมพลไปเรือนย่ามิได้ช้า ฯ
๏ พอค่ำลงลมรวยมาชวยชื่น เริงรื่นจิตรพระไวยให้หวนหา
เดือนสว่างกระจ่างลิ่วปลิวเมฆา คิดถึงศรีมาลาละลานใจ
หอมดอกพุทธชาดสะอาดกลิ่น ใส่กระถางวางประทิ่นสดไสว
วาบหวามทรวงซาบอาบอาลัย เดินไปเข้าห้องศรีมาลา
นั่งแนบแอบน้องประคองนวล ยียวนด้วยความเสนหา
แสงประทีปส่องสว่างกระจ่างตา ชวาลาดับเสียชวนเมียนอน
ศรีมาลาจึงว่าช่างน่าอาย ผู้คนทั้งหลายยังตื่นว่อน
พระไวยปลอบว่าเจ้าอย่างอน ความรักพี่นี้ร้อนดังไฟเรือง
ศรีมาลาว่าชะช่างร้อนจิตร พระอาทิตย์ยังไม่ลับดับแสงเหลือง
เด็กเด็กมันยังตื่นครื้นทั้งเมือง ขนมเบื้องทำด้วยปากยากอะไร ฯ
๏ ฝ่ายสร้อยฟ้าแว่วว่าขนมเบื้อง ให้แค้นเคืองปวดปอดตลอดไส้
วับดังดินประสิวปลิวถูกไฟ เข้าใจว่าศรีมาลานินทาตัว
จึงร้องไปว่านางช่างขนมเบื้อง ช่างยกเรื่องอวดหม่อมเจ้าจอมผัว
หม่อมนางช่างละเลงข้าเกรงกลัว เมื่อหยุดแล้วยังยั่วกันไปเจียว
อุแม่เอ๋ยข้าไม่เคยบำรุงรส มันจึงเปรอะเลอะหมดไม่มันเขี้ยว
แซะม้วนเท่าแขนได้แผ่นเดียว ผัวจึงไม่กระเสียวกระซิกเลย ฯ
๏ ศรีมาลาว่าโอ้พุทโธ่เจ้า มาโดนเอาเปล่าเปล่าเจ้าแม่เอ๋ย
ที่เคยคันมันก็คันไปตามเคย สัญชาติเตยถึงจะงามก็หนามมี
เกิดกอเป็นตออยู่ริมคลอง เรือขึ้นเรือล่องต้องเสียดสี
อนิจจาข้าได้ว่าอะไรมี ไม่พอที่หุนหันจะคั้นคอ
เขาก็รู้อยู่ว่าต่อมันรานไฟ ข้าไม่พอใจไปที่รังต่อ
ทั้งคารี้คารมเขาชมปรอ เหมือนตอออกมาขวางที่ทางเรือ
เป็นตระพังวังวนก้นกะทะ สวะสะว่อยลอยปะออกฟั่นเฝือ
เที่ยวแทรกไปทุกทางอย่างดีเกลือ ข้านี้เบื่อพูดมากน้ำหมากพรู ฯ
๏ จริงคะข้าแหละมันเตยหนาม ใครพายเรือซุ่มซ่ามสำหรับถู
สมน้ำหน้าที่ตาไม่แลดู หูเหียงเพียงจะแตกแหกกระจาย
จริงแล้วข้าดีเกลือเจือทุกขนาน ถึงท้องยุ้งพุงมานก็รู้หาย
ถ้าไม่แทรกสักนิดจะปิดตาย ไข้หนักก็คลายเพราะดีเกลือ
ตำราข้าไม่ถึงขี้ผึ้งฝรั่ง ที่เปื่อยพังน้ำฝาดแลดีเหลือ
เข้าลูกเบญกานีสีเสียดเจือ เรียกเนื้อให้ชิดติดกระชับ
ถึงจะเป็นปรวดปวดอยู่ใน ก็ดูดสำรอกออกได้จนในตับ
หนองไหน่ไหลคันเป็นมันยับ ถ้ากระชับแล้วก็แน่นดังแผ่นดิน ฯ
๏ ครานั้นจึงโฉมพระหมื่นไวย ฟังตอบชอบใจหัวเราะดิ้น
เออเอาให้ระงมเพราะขนมกิน จนสุดสิ้นถึงลูกเบญกานี
ตำราหมอฝรั่งชั่งสัปดน ของเขาฝนไว้ทาเป็นยาฝี
ถ้าแลแผลพุพองเป็นหนองดี ฤๅจะลองดูสักทีเจ้าสร้อยฟ้า
สร้อยฟ้าร้องเย่อเออหม่อมไวย ข้อยบ่ฮู้จักใส่อีสังว่า
บาดแผลข้อยนี้บมีมา บ่อยากเรียนตำราไม่ต้องการ
แม้นหม่อมพุพองเป็นหนองใน เอายาศรีมาลาใส่จะหายจ้าน
ยาของเขาดีดีมีมานาน ข้อยนี้ย่านหนักหนาตำราไทย ฯ
๏ ครานั้นท่านยายทองประศรี ได้ยินเสียงอึงมี่ไม่นิ่งได้
แกเปิดหน้าต่างมองร้องว่าไป ตำรายาอะไรออสร้อยฟ้า
เหวยลาวเลยลาวไปแล้วเหวย แง่งอนกะไรเลยเป็นหนักหนา
ซอกซอนรู้สิ้นอีลิ้นลังกา หยูกยาข้างไหนกูไม่เคย
คนฟังเขานั่งอยู่ตาโหล ยิ่งกว่ากรับเจ้าโตเสียอิกเหวย
ผัวก็นั่งฟังได้กะไรเลย เฉยเมยจริงจริงช่างนิ่งมิ
อย่าเป็นจมื่นไวยเลยหลานเอ๋ย ไปไสเคยแม่กลองร้องขายกะปิ
ช่างไม่อายเพื่อนบ้านอ้ายซานซิ ริมีเมียสองอ้ายหนองกรม ฯ
๏ สร้อยฟ้าฟังย่าชักหน้าม่อย ว่าคุณย่าละก็คอยพลอยประสม
คนนั้นว่าคนนี้ว่ามาระดม ลมพัดไม่มีไปข้างไหนเลย
น้ำไหลไยไม่ไหลไปที่ลุ่ม ช่างไหลชุ่มไปบนเขาเจ้าแม่เอ๋ย
ท่านย่าว่าเหม่มาเปรียบเปรย เหวยอีลาวปากคอมันหนักนัก
ก็เพราะมึงอึงฉาวอีลาวโลน ร้องตะโกนก้องบ้านอีคานหัก
อีเจ็ดร้อยหมาเบื่อมันเหลือรัก ทำฮึกฮักมี่ฉาวอีลาวดอน
สร้อยฟ้าได้ฟังท่านย่าด่า ม้วนหน้าล้มทับลงกับหมอน
ทองประศรีร้องแปร้นอีแสนงอน ด่าเหนื่อยแล้วก็นอนกรนโครกไป ฯ
๏ ครั้นอรุณรุ่งรางกระจ่างภพ แจ้งจบทั่วทวีปน้อยใหญ่
พระอาทิตย์เร่งรถมาไรไร สกุณไก่กู่ก้องตะโกนกัน
กระจิบกระจาบจอแจแกกา บินถลาร่าร้องก้องสนั่น
ศรีมาลาตื่นตาล้างหน้าพลัน แล้วจัดสรรของไว้ให้สามี
ตั้งขันล้างหน้าไว้ท่าผัว เครื่องแป้งแต่งตัวกระจกหวี
ทั้งพานผ้านุ่งผลัดจัดดิบดี แล้วลุกรี่ออกมาเรียกข้าไท
สายสว่างตื่นบ้างเถิดเด็กเอ๋ย กะไรเลยช่างนอนนิ่งเสียได้
บ่าวลุกล้างหน้ามาทันใด เข้าครัวไฟข้าวปลาหาครันครบ
อีเม้ยลุกขึ้นมองร้องตามนาย เฮ้ยมึงอย่านอนสายจะถูกตบ
ศรีมาลาว่าไฮ้อีบัดซบ ไม่เคยพบเป็นบ่าวเอาอย่างนาย
พระไวยฟื้นตื่นลุกจากเตียงพลัน จับขันล้างหน้าให้ฝ้าหาย
หวีหัวทาแป้งแล้วแต่งกาย เยื้องกรายออกมาข้างหน้าเรือน
สำรับตั้งนั่งลงกินอาหาร สาวใช้หมอบคลานอยู่กลาดเกลื่อน
ศรีมาลาใช้สอยคอยตักเตือน เจ้าสร้อยฟ้าหน้าเฝื่อนไม่พูดจา
ครั้นถึงเวลาเช้าจะเข้าวัง พระไวยก็สั่งให้หยิบผ้า
ผลัดผ้านุ่งพลันมิทันช้า แล้วออกจากบ้านมายังวังใน
บ่าวไพร่เดินตามหลามถนน ผู้คนหลีกเลี่ยงอยู่ขวักไขว่
ด้วยยำเยงเกรงบุญพระหมื่นไวย จนเข้าในพระที่นั่งจักรพรรดิ ฯ
๏ จะกล่าวถึงพระจักรกฤษณ์วิษณุวงศ์ ผู้ดำรงอยุธเยศเกศกษัตริย์
ครั้นแสงทองส่องสว่างในปรางค์รัตน์ กระจ่างจัดทั่วหล้าสุธาธาร
เสด็จออกสู่ท้องพระโรงมาศ ดังเทวราชในทิพพิมานสถาน
พร้อมด้วยเทพกัญญาสุดามาลย์ ให้ชักม่านไขกว้างกระจ่างองค์
เสด็จนั่งยังแท่นมณีรัตน์ ภายใต้เศวตฉัตรลอยระหง
สังข์แตรแซ่ซ้องทั้งฆ้องวง ซอส่งประสานเสียงเสนาะใน
ขุนนางต่างประนมบังคมกราบ หมอบราบคอยรับสั่งสนองไข
พระจึงมีสีหนาทประภาษไป ว่ากะไรจีนทองร้องฎีกา ฯ
๏ พระยารักษ์รับสั่งทูลสนอง ขอเดชะจีนทองให้การว่า
เดิมได้สู่ขอต่อมารดา ยกให้แล้วก็พาไปเรือนชาน
จีนทองเข้าหาเป็นห้าครั้ง อำแดงสังไม่ยอมทำหักหาญ
ครั้นเข้าปล้ำร่ำว่าด่าประจาน อายกับเพื่อนบ้านเป็นพ้นคิด
จึงเข้ามาฟ้องร้องฎีกา ให้ปรึกษาให้เห็นชอบแลผิด
ถึงไม่สัจขอถวายซึ่งชีวิต ขอพระองค์ทรงฤทธิได้เมตตา ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ ฟังจบทรงพระสรวลสำรวลร่า
เจ๊กอัปรีย์สิ้นที่จะเจรจา แต่เมียด่าก็มาฟ้องไม่ต้องการ
ฤๅเมืองจีนมันจะร้องฟ้องกันได้ ถองส่งออกไปเสียจากศาล
แล้วดำรัสถามทั่วถึงรั้วงาน ไม่กริ้วกราดราชการสิ่งอันใด
ครั้นเสร็จพระเสด็จลีลา จากพระโรงรัตนาอันผ่องใส
คืนเข้าพระที่นั่งข้างฝ่ายใน สำราญราชหฤทัยพระภูมี ฯ
๏ ฝ่ายว่าเจ้าพระยาพระหลวง ทุกกระทรวงต่างลุกมาเร็วรี่
บ้างไปนั่งโรงศาลงานธานี ที่ใครว่างหน้าที่ก็กลับมา
ฝ่ายว่าพระไวยวรนาถ เสร็จราชการพลันก็หรรษา
ออกจากวังในแล้วไคลคลา ตรงมาเคหาด้วยทันใด ฯ
๏ จะกล่าวถึงโฉมเจ้าสร้อยฟ้า เมื่อสุริยาแจ่มแจ้งกระจ่างไข
ตื่นนอนร้อนจิตรคิดเคืองใจ ดังฟืนไฟสุมอกสักหกกอง
พลุ่งพล่านดาลเดือดไม่เหือดหาย เหมือนเสือร้ายรังควานจับขยับจ้อง
คอยเวลาตาลอดสอดเมียงมอง ตามช่องเห็นพระไวยไปจากเรือน
นางลงเท้าผึงผึงถึงนอกชาน ส่งเสียงฉานเรียกข้าด่าเลื่อนเปื้อน
ช่างมุดหัวอยู่ในห้องต้องให้เตือน อีไหมเชือนอยู่ไหนจึงไม่มา
แต่หัวค่ำร่ำกกไปจนสาย ไม่มีอายสอพลอยอตัณหา
มันน่าสับให้ระยำดังทำปลา ช่างลอยหน้าเล่นทรงเป็นหงส์รำ
ลุกบ้างก็เป็นไรที่ในเรือน เมื่อคืนนี้ขันเชื่อนออกหกคว่ำ
ถาดโถโอแตกแหลกระยำ แมวดำที่ไหนไล่กัดกัน
เฝืองฝาหลังคาก็ยับป่น จากหล่นกลอนเลื่อนสะเทือนลั่น
ช่างนอนนิ่งเสียได้ไม่ไล่มัน อ้ายสีจันทน์ม้าลาก็ปล่อยไว้
มันไล่กันรันวิ่งมาโดนเสา เรือนเหย้าแทบจะพังกระทั่งไหว
พรึงรอดออดอ่อนกระฉ่อนไป น้ำท่าโอ่งไหไหวโครมครืน
สายตามึงไม่ดูหูไม่ฟัง อีสองชั่งนั่งเคล้าเฝ้าสะอื้น
ยามโปรดดังจะโลดขึ้นทั้งยืน พวกอีตื่นตัณหาตาเป็นมัน ฯ
๏ อีไหมฟังนายด่ากระทบ ช่วยประจบเหน็บแนมแกมขยัน
ลิ้นลมประสมว่าสารพัน ฉันนอนฝันมัวสบายจึงสายไป
ฝันว่าพระราหูดูเท่าแขน ฉวยพระจันทร์รันแง้นอมไว้ได้
ลืมตาดูก็ไม่รู้ว่าอะไร ลุกโพลงราวกับไต้เสม็ดตาม
จนหม่อมเรียกหาผวาตื่น ยังสะอื้นด้วยสงสารจันทร์อร่าม
จะขี้คายอย่างไรไม่แจ้งความ ฤๅจะปามไปจนค่ำทำท่วงที ฯ
๏ อีเม้ยรับได้ฟังคำอีไหม ร้อนอกราวกับไฟเข้าจุดจี้
พลอยเจ็บด้วยกับนายอายสิ้นที ช่างกาลีค่อนว่าสารพัน
จึงร้องว่าฮ้าเฮ้ยเหวยอีไหม พระราหูที่ไหนเท่าแขนนั่น
นายด่าข้าพลอยประสมกัน ฝันอะไรกลางวันไม่เคยพบ ฯ
๏ ศรีมาลาร้องเฮ้ยนางเม้ยรับ มิใช่การวานอย่างับจับประจบ
ทำปากกล้าร่าร้องก้องกระทบ สั่นหรบไปเจียวเจ้าเสาโพงพาง
จะด่าว่าสักเท่าไรทำไมเขา การของเจ้าฤๅจึงร่าเข้ามาขวาง
อีส่ำสามราวกับหนามเที่ยวสะทาง มิใช่การวานอย่าขวางให้เกิดความ ฯ
๏ สร้อยฟ้าฟังเรื่องให้เคืองขุ่น เตือนกระตุ้นใจเจ็บดังเหน็บหนาม
ลุกออกมาจากห้องร้องคำราม ข้าแหละหนามสะรั้วตัวโปรดปราน
อย่าว่าไปเลยเจ้าเขาก็เห็น สั่นรัวเป็นตัวเต้นเจนจัดจ้าน
จะว่าไรขึ้นไม่ได้เที่ยวไล่พาล เสาวิหารก็ไม่แน่นแม้นเสานาง
ข้าคางคกตกบ่อลงร่อน้ำ ทิ่มตำเอาเถิดเจ้าไม่ขัดขวาง
ยามคล่องก็จงล่องไปพลางพลาง เชิญครองปรางผัดหน้าให้นวลลอย
จริงแล้วเจ้านี่แลเสาโพงพางปัก จะเยื้องยักก็ไม่พ้นจึงโดนบ่อย
ช่างชะอ้อนวอนร่ำทำสำออย จึงปรอดปร้อยไม่รู้แห้งจุ๊บแจงเอย ฯ
๏ ศรีมาลานิ่งนั่งได้ฟังคำ ดูฤๅกรรมมาตามเอาเฉยเฉย
ว่าข้างนี้ไม่พอที่จะเป็นเลย เมื่อเจ้าเคยแล้วก็ทำไปตามที
อนิจจาข้าได้ว่าไรสักหน่อย มาคอยพาลเอาผิดไม่พอที่
จริงละทั่นข้ามันสั่นแต่วานนี้ ถ้าไม่แก้เสียสักทีไม่หายคัน
เสาโบสถ์เสาวัดมายัดใส่ เลือกเล่นตามใจทำไมนั่น
หม่อมมาก็มาคร่าเอาตัวทัน ไปแก้คันไว้ในห้องสักสองคืน
เกิดเหตุเพราะขนมเมื่อเย็นวาน จึงพลุ่งพล่านอึกทึกจนดึกดื่น
ม้าลาว้าวุ่นจนดุ้นฟืน น้ำน้อยพลอยเป็นคลื่นช่างยืนยัด
เออใจของใครจะไม่เจ็บ ช่างแนมเหน็บด่าว่านี่สาหัส
ยิ่งนิ่งก็ยิ่งว่าสารพัด นี่จะซัดเสียให้หมดเจียวฤๅเรา
ทำไมไม่เป็นเจ้าขึ้นในบ้าน ใครขัดสนจะได้คลานมาพึ่งเจ้า
อย่าเพ่อเหยียบเสียให้ยับจนสับเงา มิได้ตีเมืองเรามาเป็นน้อย ฯ
๏ สร้อยฟ้าได้ฟังให้คลั่งจิตร ดังเอากฤชมาตำที่คอหอย
เหมือนไฟลุกฟืนซุกเสือกตะบอย ครั้นเอาฝอยเข้ามาปามก็ลามโพลง
ตบมือยักคอหัวร่อร่า หลกผ้าเกาก้นกระโดดโหยง
ตัวสั่นเทาเทาก้าวตะโกรง ขึ้นเสียงโผงชี้หน้าร้องว่าไป
เฮ้ยข้านี้แลมันสั่นทั้งตัว หม่อมผัวจึงไม่พรากจากห้องได้
ข้าไม่ฉุดเธอให้หลุดมาทำไม จงกำกุมเอาไว้ให้ได้คราว
จริงอยู่คะข้ามันเชลยเมือง อย่ายกเรื่องเลยเขาฦๅออกอื้อฉาว
พอกองทัพไปถึงอึงเกรียวกราว ค่ำลงเขาจับฉาวที่ในเรือน
ทัพกลับก็จับเชลยซ้ำ ช่างปิดงำความร้ายให้หายเงื่อน
สงวนพรหมจารีมิต้องเตือน พอดึกหน่อยก็ค่อยเคลื่อนเข้าไปเอง ฯ
๏ ศรีมาลาได้ฟังให้คลั่งใจ ดังเอาไม้มาต่อยสักร้อยเผง
ช่างลอยหน้าว่าเล่นออกครื้นเครง ขึ้นกูขึ้นเอ็งไม่เกรงใจ
ปากบอนค่อนขอดลอดนินทา ตบหนาตบมึงเสียให้ได้
เมื่อผัวจะไม่เลี้ยงก็แล้วไป จะเฆี่ยนตีสักเท่าไรก็ตามบุญ ฯ
๏ สร้อยฟ้าโผงผางวางเข้ามา ชักผ้าคาดนมกระโจมมุ่น
ชุมพลวิ่งเข้ายุดแล้วฉุดรุน สร้อยฟ้าผลักหมุนตกล่องลง
พลายชุมพลชักขาทำหน้าซีด ศรีมาลาร้องกรีดหวีดเสียงหลง
ทองประศรีวิ่งถลันมางันงง แกด่าส่งวุ่นวายตายแล้วกู
เข้ามาใกล้ไต่ถามศรีมาลา ขามันหักฤๅหวาหาอ้ายหนู
พลายชุมพลร้องไห้เลือดไหลพรู สร้อยฟ้ายืนอยู่ไม่พูดจา
ทองประศรีชี้หน้าแกด่าโผง อีตายโหงข่มเหงกูหนักหนา
ทำหลานกูด้วยดังช่วยมา ยังลอยหน้าหัวร่อคอเป็นเอ็น
ดูราวกับตำแยเที่ยวแหย่เพื่อน ด่าเปื้อนไปทีเดียวเที่ยวเคี่ยวเข็ญ
ยกหัวเป็นกิ้งก่าอีหน้าเป็น เต้นเจ้าเซ็นมาแต่วานจนปานนี้
ราวกับช้างงาบ้าน้ำมัน เสยกำแพงแทงตะบันจนป่นปี้
งาหักงวงยับจนอัปรีย์ อีกาลีกูจะตบให้ซบไป ฯ
๏ สร้อยฟ้าได้ฟังคุณย่าด่า โมโหโกรธาหาเหือดไม่
คันปากอยากจะว่าให้สาใจ บ่นพิไรร่ำว่าน้ำตานอง
จริงคะข้านี้ช้างน้ำมัน ช่วยกันด่าเล่นเถิดคล่องคล่อง
หัวเดียวไม่มีทั้งพี่น้อง ทุบถองเล่นให้สบายใจ
หลานทั่นวิ่งพันมายุดมือ ชักยื้อฉุดคร่าไม่ปราศรัย
เมื่อตกล่องแล้วจะร้องเอากับใคร ฤๅข้าวานข้าไหว้ให้วิ่งมา ฯ
๏ ทองประศรีด่าฉาวอีลาวดง มาแผดส่งเสียงร้องเอาจ้าจ้า
ผลักเด็กจนกระเด็นเห็นแก่ตา เป็นหนึ่งว่ากูแกล้งพาโลเอา
มึงเอ๋ยมึงถึงดีเสียจริงจริง เต้นเหยงเป็นเพลงฉิ่งไปเจียวเจ้า
ดังคนทรงผีลงอยู่เทาเทา นี่พ่อหลวงฤๅเข้าเจ้าปากคลอง ฯ
๏ พอพระไวยเข้าไปถึงในบ้าน เสียงฉานทะเลาะกันสนั่นก้อง
ได้ยินเสียงสร้อยฟ้าออกร่าร้อง ย่างเท้าก้าวย่องถึงหอกลาง
สร้อยฟ้ามัวเถียงกับท่านย่า เหลียวมาค้างปากกระดากขวาง
ความกลัวตัวผิดคิดระคาง แข็งกระด้างไปทั้งกายก็คลายฤทธิ
พระไวยยืนเพ่งเขม็งตา แลดูสร้อยฟ้าให้กลุ้มจิตร
ยิ่งกลั้นยิ่งแค้นดังเพลิงพิษ ยิ่งคิดยิ่งเคืองกระเดื่องใจ
ถามคุณย่าว่านี่ทำไมกัน เสียงสนั่นไปทั้งเรือนสะเทือนไหว
เดิมทีวิวาทกันอย่างไร ตัวใครก่อเกิดเป็นโกลี ฯ
๏ ท่านย่าร้องเบื่อกูเหลือเล่า เจ้าเข้ามันออกแล้วฤๅนี่
เต้นหยอยลอยหน้าท่ามันดี ถ้าเอ็งมาเป่าปี่กูจะตีโทน
มันเต้นผึงตึงตังดังสนั่น ราวกับตาบุญจันแกออกโขน
ใครใครไม่ละปะเป็นโดน เป็นเรือโกลนออกขวางอยู่กลางคลอง
เดิมทีวิวาทกับศรีมาลา มันวิ่งร่ามาจนถึงประตูห้อง
ชุมพลห้ามมันปามเอาจนร้อง ตกล่องลงไปคาขาระยำ
เป็นเหตุพระไชยเชษฐ์อยากขนม สุวิญชาตากลมจึงด่าพร่ำ
กูก้อยพลอยสับยับระยำ มันทิ่มตำเต้นออกมานอกชาน
เดิมว่ากะไรกันไม่ทันรู้ ถามศรีมาลาดูเถิดนะหลาน
ของเอ็งมันเหลือเบื่อรำคาญ นานไปเอ็งอ้อยก็เหมือนกัน ฯ
๏ พระไวยถามพลันมิทันช้า เดิมทีศรีมาลาอย่างไรนั่น
จึงฉาวไปทั้งเรือนเลื่อนเปื้อนครัน ทะเลาะกันเรื่องราวเป็นอย่างไร
ใจคอกะไรหนอช่างไม่คิด ความอายสักนิดหามีไม่
ครั้นไม่ว่าชะล่าชะเลยใจ ใครผิดก็จะได้ดูสักที ฯ
๏ ศรีมาลาบอกความที่ถามไถ่ พอหม่อมลงเรือนไปก็อึงมี่
ออกจากห้องร้องด่าเป็นโกลี ฉันนี้ยังนั่งอยู่ในเรือน
สารพัดที่จะว่าด่าประจาน เหลือจะทานทนได้ไม่มีเหมือน
แมวหมาด่าเปรอะออกเลอะเลือน ว่าเชี่ยนขันตกเกลื่อนแตกทำลาย
เสาโบสถ์เสาวัดมายัดให้ เสือกซ้ำตำใส่เอาง่ายง่าย
อีข้าก็พลอยระดมประสมนาย จันทร์อังคาธพาดปรายป่ายประชด
ว่าไปทัพจับเชลยในเรือนนอน ขอดค่อนแคะประจานทุกอย่างหมด
เห็นหม่อมมาจึงราหยุดพยศ เหลือจะอดอยู่แล้วคารมนาง ฯ
๏ สร้อยฟ้าฟังความดังหนามยอก ชะหม่อมเมียช่างบอกเล่นต่างต่าง
จริงแล้วทั่นฉันนี้มันจืดจาง ได้ทีนางแล้วก็ว่าให้สาใจ
ตัวข้าหัวเดียวกระเทียมเน่า ทีว่าเราใครหาได้ยินไม่
ช่วยกันถมให้จมทุกด้านไป ครั้นเถียงบ้างก็จะไล่เข้าตบตี
เป็นข้าว่าอีไหมที่ในเรือน ช่างกระเทือนถึงได้ไม่พอที่
เคราะห์ร้ายหมอทายมากว่าปี อยู่ดีดีก็มาโดนเอาโดยเดา ฯ
๏ อุเหม่อุแหม่อีแสนงอน ช่างมาร่อนเสียงร้องออกเร่าเร่า
เขาถามกันก็ถลันเข้ารับเอา กูรู้เท่ามึงอยู่สิ้นทุกสิ่งอัน
แต่ต่อหน้ายังกล้ามาขึ้นเสียง ลับหลังใครจะเถียงได้ฤๅนั่น
อีแสนงอนค่อนว่าสารพัน ใครจะทันมึงเล่าเจ้ามารยา
แต่เด็กห้ามก็ยังปามเอาจนเจ็บ แนมเหน็บเอาผู้ใหญ่ไม่คิดหน้า
ใจคอเหี้ยมโหดโฉดปัญญา ปากกล้าด่าคนไม่เกรงใจ
ศรีมาลาช่วยมากี่ตำลึง กูมึงชี้หน้าว่าเล่นได้
มันเหลือเลี้ยงจะเลี้ยงเอาไว้ไย ฉวยกระชากไม้ได้ไล่ตีมา
ขวับขวับยับตลอดไปทั้งหลัง ลายกระทั่งทั่วตัวตลอดบ่า
สร้อยฟ้ากลัวเต็มทีวิ่งหนีมา ประทานโทษเมียราแต่ครั้งเดียว
ศรีมาลาสงสารก็สิ้นแค้น วิ่งแล่นเข้ายุดฉุดไม้เหนี่ยว
หม่อมตีนี่กะไรเป็นริ้วเรียว สร้อยฟ้าตลบเลี้ยวเข้าเรือนใน
ปิดประตูใส่กลอนด้วยความกลัว กลิ้งเกลือกเสือกตัวลงร้องไห้
เจ็บระบมตรมทั่วทั้งตัวไป นางพิไรร่ำพลางเพียงวางวาย ฯ
๏ โอ้ว่าอนิจจาตัวกูเอ๋ย ไม่คิดเลยเมื่อพ่อพามาถวาย
จะถูกทั้งตีด่าประดาตาย แสนอายสุดอย่างแล้วครั้งนี้
พ่อแม่อยู่ไกลไม่เหลียวเห็น จะได้ใครผ่อนเข็ญให้กูนี่
จะพึ่งผัวดังเอาตัวทุ่มอัคคี เขาขยี้เหยียบยับดังสับปลา
โอ้พ่อร่มโพธิทองของน้องแก้ว ร่มแล้วหล่นแดดออกแผดจ้า
กิ่งก้านเขารานเสียโรยรา ยังแต่ฆ่าตายเปล่าเจ้าประคุณ
เมื่อแรกเห็นจะเป็นจิรังกาล มิรู้พาลพวกพกกระเชอนุ่น
โอ้ชีวิตเห็นจะปลิดลงเป็นจุณ จะสิ้นบุญปลดปลงลงม้วยมุด
เหมือนลอยคว้างอยู่กลางทะเลไหล จะว่ายไปพึ่งพิงตลิ่งสุด
จะพึ่งตอตอหลักก็หักทรุด จะต้องมุดตัวเร้นเป็นเรือดไร
โอ้พ่อตราชูทองของน้องเอ๋ย กะไรเลยเอนเอียงหาเที่ยงไม่
ยามร้อนเมียจะผ่อนไปพึ่งใคร ทั้งญาติวงศ์อยู่ไกลกันต่างเมือง
ทำไฉนจะให้รู้ไปถึงบ้าง เห็นสิ้นอย่างสุดหล้าฟ้าเหลือง
ครั้งนี้เห็นทีจะฝืดเคือง ใครเลยจะกระเตื้องให้คืนตรง
มีแต่พวกพาลาพากันซ้ำ เห็นจะจมมันก็ตำแล้วค้ำส่ง
กระเดือกดิ้นกว่าจะสิ้นชีวิตลง อันจะคงคืนรอดเห็นเต็มที
๏ ดังเพชรนิลบิ่นหลุดออกจากเรือน ทลายแหลกแตกเปื้อนลงป่นปี้
จะมืดคล้ำดำไปไม่มีดี สักกี่ปีจะได้คืนขึ้นเรือนรอง
คะนึงครวญป่วนจิตรคิดระคาย ไม่เหือดหายหันหุนยิ่งขุ่นหมอง
ให้คิดแค้นศรีมาลาน้ำตานอง แต่ตรึกตรองตรอมใจไม่ไสยา
พอดึกนึกได้ในทันที ขรัวครูของเรามีดีหนักหนา
นานแล้วมิได้จะไปมา จะยังอยู่ฤๅว่าเที่ยวเชือนแช
จำจะเสาะแสวงให้แจ้งความ ว่าไปอยู่อารามแห่งไหนแน่
ได้เถรขวาดเป็นสมอารมณ์แท้ ถ้าพบแกครั้งนี้มิเป็นไร
คะนึงครวญจนจวนเข้ายามสาม ให้วาบหวามจิตรปลงภวงค์ไหว
มือซ้ายก่ายหน้าตรึกตราไป จนหลับใหลสิ้นสมปฤดี ฯ
๏ ครั้นแสงทองส่องสว่างกระจ่างฟ้า พระสุริยาแจ่มจำรัสรัศมี
เจ้าสร้อยฟ้าตื่นพลันทันที ยิ่งคิดก็ยิ่งมีความโกรธา
กลุ้มกลัดขัดแค้นให้เคืองใจ ด้วยพระไวยผัวรักเป็นหนักหนา
ไปเชื่อถ้อยฟังคำศรีมาลา มันยุยงเจียนฆ่าให้ม้วยมุด
แค้นคำที่สน่ำเสนอผัว ยกเนื้อยอตัวเป็นที่สุด
ถ้านิ่งให้คงกระหน่ำซ้ำจนทรุด เอาจนหลุดลอยลิ่วปลิวตามลม
กูก็ชาติเรือกุไลใบสลัด ถึงลมพัดก็คงเรียดเสียดประสม
จะฝ่าฝืนคลื่นไว้มิให้จม ถึงใบบ้อยจะระทมก็ตามที
เต็มจนก็จะทนลงทอดสู้ เมื่อจะอยู่ฤๅมิอยู่ให้รู้ที่
จำจะหาต้นหนที่คนดี มาช่วยชี้ทิศให้ในสายชล
เถรขวาดเธอฉลาดล้ำมนุษย์ พอจะยุดเหนี่ยวเถรเป็นต้นหน
มันทำแค้นกูก่อนให้ร้อนรน จะแก้แค้นแทนทนในครั้งนี้
คิดแล้วจึงเรียกอีไหมเหวย อย่าช้าเลยออเจ้าเข้ามานี่
กูเจ็บช้ำนี่กะไรใช่พอดี ฤๅจะโจทเจ้าหนีก็ตามใจ
นี่เจ้าคิดอย่างไรในใจเจ้า เห็นว่าเราเสียทีฤๅอีไหม
จะเป็นพวกศรีมาลาฤๅว่าไร จงบอกไปจริงจริงอย่านิ่งฟัง ฯ
๏ อีไหมฟังว่าน้ำตาย้อย ข้าน้อยก็เป็นข้ามาแต่หลัง
พระแม่เจ้าเลี้ยงไว้ที่ในวัง ตั้งแต่แม่ยังเป็นข้าไท
เจ้ายากจากเวียงเชียงใหม่มา ยังอุตส่าห์สู้ยากหาจากไม่
มาเห็นเขาข่มเหงไม่เกรงใจ ลูกนี้ไม่วายแค้นสักเวลา
ถ้าวานนี้ช่วยได้ก็ไม่ฟัง จะเฆี่ยนหลังเสียให้ตายก็ไม่ว่า
แม่จะคิดฉันใดในปัญญา แก้แค้นศรีมาลาให้แหลกลง ฯ
๏ ข้าคิดแล้วนางไหมอย่าได้พรั่น ขยี้มันให้เป็นแป้งระแนงผง
ครูเราเจ้าหัวนี้ตัวยง เพียงดังองค์ปู่เจ้าสมิงพราย
แม้นว่าใครดีผีก็อยู่ สู่ใครให้พบก็พบง่าย
ให้เป็นก็เป็นสะดวกดาย ถ้าให้ตายก็ตายลงทันตา
ชำนิชำนาญการเสน่ห์ก็ถนัด เอ็งเร่งรัดเร็วรีบออกไปหา
เล่าความตามเข็ญที่เป็นมา แม้นเถรขวาดนับหน้าอย่านอนใจ
จงเห็นแก่พระปิ่นเชียงอินท์นั้น ผ่อนผันแก้แค้นให้จงได้
จะให้ทองห้าตำลึงให้ถึงใจ ตัวเอ็งก็จะให้ถึงส่วนกัน ฯ
๏ อีไหมว่าไฮ้อย่าว่าเจ้า ข้อยบ่เอาสินจ้างเป็นอย่างซั่น
จริงแล้วเจ้าหัวตัวสำคัญ ตัวของฉันจะลาไม่ช้าที
ว่าแล้วเท่านั้นมิทันช้า วันทาลุกออกไปจากที่
ลูบตัวหัวใส่น้ำมันตะนี ห่มสีนกกาลิงดูพริ้งเพรา
ผ้านุ่งพุ่งไหมตาตาราง สอดซับในบางชมพูเข้า
ส้มสูกเลือกสรรแต่กลั่นเกลา กินข้าวเช้าอิ่มพลันก็ครรไล ฯ
๏ จะกล่าวถึงเถรขวาดราชครู แต่เดิมอยู่วัดเวียงที่เชียงใหม่
รู้วิชาสารพัดจัดเจนใจ ทั้งเวียงชัยขึ้นชื่อระบือฤทธิ
เมื่อทัพไทยไปประชิดติดเชียงใหม่ ไปอยู่ป่าหาเหล็กไหลกายสิทธิ
พอรู้จะมาสู้ปัจจามิตร ไม่สมคิดเพราะไทยได้พารา
เจ้าเชียงใหม่ให้สัตย์เสียเสร็จสิ้น เถรเสียดายดังจะดิ้นดับสังขาร์
ครั้นเมื่อต้อนลาวลงอยุธยา เจ้าเชียงใหม่ให้มาเป็นเพื่อนตน
ด้วยเชื่อถือความรู้พระครูเถ้า ไว้ปัดเป่าแก้ววิบัติเมื่อขัดสน
เอากำลังอุปเท่ห์เล่ห์เวทมนตร์ ช่วยให้พ้นภัยปลอดรอดกลับไป
ครั้นว่าเจ้าเชียงใหม่ได้คืนหลัง แต่สร้อยฟ้านั้นยังต้องอยู่ใต้
เธอห่วงลูกอาวรณ์ร้อนฤทัย จึงสั่งให้ราชครูอยู่เพื่อนนาง
เผื่อจะเกิดขุกเข็ญเป็นอย่างไร ให้เถรคอยแก้ไขเมื่อขัดขวาง
อย่าให้ใครล่วงรู้ดูท่าทาง ให้เป็นอย่างพระธุดงค์ที่ลงมา
เถรขวาดรับคำแล้วทำตาม ไปอยู่วัดพระรามเกือบพรรษา
แกไม่ทิ้งเพศลาวชาวลานนา ฉันสุราเข้าค่ำอยู่ร่ำไป
ไปลงโบสถ์เมามายทำวายวุ่น จนเจ้าคุณพระพิมลไม่ทนได้
ว่าเถรตู้ขี้เมาไม่เอาไว้ จึงขับไล่จากคณะวัดพระราม
เถรก็เที่ยวซัดเซระเหระหน กับเณรจิ๋วสองคนเที่ยวด้นถาม
จะหาวัดลับลี้หนีถ้อยความ พยายามมาถึงวัดพระยาแมน
เห็นกุฎีมีร้างข้างป่าช้า ทั้งพระเณรศิษย์หาไม่หนาแน่น
ก็เข้าอยู่อาศัยไปตามแกน เที่ยวบิณฑ์บาตขาดแคลนพอเลี้ยงตัว
แต่เณรจิ๋วนั้นดีมีปัญญา เที่ยวบอกเล่าข่าววิชาของท่านขรัว
ว่าศักดิสิทธิฤทธีภูตผีกลัว รักษาใครหายทั่วทุกแห่งมา
พวกชายหญิงชาวบ้านร้านตลาด ก็เกลื่อนกลาดติดตามมาถามหา
บ้างมาขอเครื่องรางบ้างขอยา บ้างขอผ้าประเจียดลงเป็นองค์พระ
ที่บ้างถูกคุณไสยมาไหว้บน ให้ปัดเป่าเอาน้ำมนต์รดศีรษะ
เขาถวายข้าวปลาธารณะ ค่อยเปลื้องปละอดอยากลำบากใจ
แต่ลางวันพ้นเพลตาเถรเถ้า ยังกินเหล้าเช้าค่ำหาทิ้งไม่
จะต้องเลี้ยงหมาไว้เห่าเฝ้าบันได ใครจู่มาหมาไล่ให้รู้ตัว
สบเพลากินเหล้ายังเมามาย เณรก็ช่วยเพทุบายให้ท่านขรัว
ว่าท่านอาพาธไปให้มึนมัว พอยังชั่วจะไปบอกให้ออกมา
เพราะเณรจิ๋วรู้เช่นเห็นความชั่ว ก็ไม่กลัวขรัวครูจะด่าว่า
อยู่ด้วยเพราะสมัครรักวิชา จึงได้เป็นศิษย์หาต่างตาใจ ฯ
๏ วันนั้นนางไหมไปตอนเช้า ถึงเข้าถามพระครูอยู่ฤๅไม่
พอหมาเห็นเห่าโฮกกระโชกไป ล้อมนางไหมไล่กระชั้นอยู่พันพัว
เณรจิ๋วร้องเฉดไอ้เปรตหมา นั่นใครมาหาข้าฤๅหาขรัว
นางไหมหนีหมาประหม่ากลัว ร้องเจ้าหัวจงช่วยข้อยด้วยรา
เณรจิ๋วไล่หมาคว้าข้อมือ ลากรื้อขึ้นข้างบนให้พ้นหมา
เคยรู้จักยักคิ้วทำหลิ่วตา ฉวยชายผ้าข้าขอเถิดเป็นไร
นางไหมปัดมือว่าฮือจ้า ปลาขอดแล้วยังกระดิกได้
เณรจิ๋วว่าปลาหมอบ่ท้อใคร ถึงเกล็ดลอกปอกไปใจยังดี
นางไหมว่าไฮ้เจ้าเณรจิ๋ว ฉังจ้าปลาซิวตามตอดขี้
ว่าพลางย่างเท้าเข้ากุฎี เห็นตาชีเถรขวาดขัดสมาธิเอน
ก็ทรุดนั่งวางกระทายไหว้ท่านขรัว ว่าเจ้าตัวใช้ข้ามาหาเถร
ยกส้มสูกลูกไม้ไปประเคน เจ้าเณรรับถ่ายกระทายคืน ฯ
๏ เถรขวาดทักว่าสีกาไหม ช่างนานมานานไปเหมือนคนอื่น
ให้รูปคอยน้อยฤๅทุกวันคืน ไม่มีชื่นจนจะหง่อมลงงอมแงม
สีกาลงมาแต่เชียงใหม่ ค่อยสบายฤๅไรดูเห็นแจ่ม
ห่มสอดสีรับสลับแกม สองแก้มเป็นกระติกน่าเอ็นดู
ถ้าอยู่เวียงเชียงใหม่ที่ไหนเล่า จะใส่ต่างวางเข้าจนกบหู
ลงมาอยู่เมืองใต้ไทยเป็นครู รูหูแคบเชือนเหมือนกับไทย
เจ้านายใช้มาเป็นหยังหั้น อยู่ดีด้วยกันฤๅไฉน
ฤๅว่าเกิดทุกข์โศกมีโรคภัย นางไหมมีผัวแล้วฤๅยัง ฯ
๏ นางไหมไหว้ตอบขรัวตาขวาด ไร้ญาติบ่เห็นจะเป็นฉัง
แสนลำบากยากจนพ้นกำลัง อยู่ลำพังบ่าวนายไม่คลายใจ
อันลูกผัวตัวข้อยนี้แสนขลาด แต่ตลาดก็บ่ออกไปเบิ่งได้
นับเบี้ยก็บ่เป็นเหมือนเช่นไทย นี่เจ้าใช้มาดอกจึงออกมา
ด้วยว่าหม่อมไวยผัวกับตัวนาง เริศร้างแรมรักเสียหนักหนา
ไปเชื่อถ้อยฟังคำศรีมาลา เขายุให้ตีด่าดังข้าไท
เจ้าหัวโปรดด้วยไปช่วยกัน เชิญขวัญหม่อมมาให้จงได้
ให้นอนด้วยองค์นางพอสร่างใจ ท่านจะให้ทองมาห้าตำลึง ฯ
๏ เถรขวาดหัวร่ออ่อเท่านั้น ให้เชิญขวัญหม่อมไวยมาให้ถึง
นอนกับนายของเจ้าได้เคล้าคลึง ความขึ้งเคียดนั้นจะพลันคลาย
ข้อธุระสีกามาหาเรา จะช่วยเจ้าอย่าวิตกให้โศกหาย
แต่ความทุกข์ของหลวงตาประดาตาย เจ้านายโปรดบ้างจะบางเบา
ว่ากันตัวต่อตัวแต่หัวที ถ้าสิ้นทุกข์โศกดีจะขอเจ้า
เอาไว้อยู่คู่ชีวิตแทนศิษย์เรา พอหุงข้าวกลางวันให้ฉันเพล ฯ
๏ นางไหมว่าไฮ้ขรัวตาขวาด ข้าบ่ปรารถนาเว้าเอาผัวเถร
ตาจนเป็นน้ำข้าวมาเร้าเกน เดนแร้งถามข่าวทุกคราววัน
หาคิดถึงตัวไม่อยากได้สาว จะสึกห่อผ้าขาวฤๅไรนั่น
อายุเก้าสิบปีบ่มีฟัน แมลงวันตัวเมียบ่บินตอม ฯ
๏ เถรว่าตัวเราถึงเถ้าแก่ ก็ชอบชมสาวแส้แก้มหอมหอม
นี่คนแก่ดอกมิใช่ลูกไม้งอม ถึงนกหกมาตอมไม่หล่นไป
อันมนุษย์นี้มันสุดที่ไหนเจ้า ถึงแก่เถ้าก็เผยอเอออวยได้
ยังไม่เหม็นคาวปลาอย่าว่าไป การงานทำได้เรี่ยวแรงมี
เป็นแต่ว่าเหนื่อยนักขี้มักหอบ ต้องวางจอบนั่งพูดดูดบุหรี่
น้ำท่าหากินไปตามที พอแรงมีลุกขึ้นจ้ำจนค่ำลง
กระถดเข้ามานี่สีกาไหม วานเข้ามาให้ใกล้หยิบผ้าส่ง
จริงหนาว่ากันให้มั่นคง ดูสบงบ้างเป็นไรสุดใจจริง ฯ
๏ เณรจิ๋วเยี่ยมหน้าคาประตู ว่าขรัวครูอย่าไปเว้าเอาผู้หญิง
ข้าบอกให้มิใช่จะช่วงชิง เห็นนอนนิ่งอยู่แต่วัดมาอัตรา
จะเข้าเนื้อเข้าใจอันใดนั่น คอยเว้าเอาแต่ฝันเถิดดีกว่า
วันนั้นไปบิณฑ์บาตยาจนา เกี้ยวสีกามันยังก้มถ่มน้ำลาย
เถรขวาดร้องว่าฮ้าอ้ายจิ๋ว อ้ายอัปรีย์ขี้ริ้วพูดง่ายง่าย
เพ้อเจ้อเซ้าซี้ไม่มีอาย ตะวันบ่ายหาเพลเถิดเณรเคอะ
เณรจิ๋วขัดใจไพล่ลุกมา หลวงตานั่งเกี้ยวคนเดียวเถอะ
ไม่กลัวบาปกลัวกรรมทำหยำเยอะ เถรด่าว่าอ้ายเตอะจะต้องตี
อย่าว่าให้ยืดยาวเลยสาวไหม เจ้าเชิญให้สร้อยฟ้าออกมานี่
พรุ่งนี้ฤกษ์งามยามก็ดี จงลอบหนีออกมาอย่าวุ่นวาย ฯ
๏ นางไหมรับคำแล้วอำลา พรุ่งนี้ข้อยจะมามิให้สาย
ออกจากวัดลัดทางย่างเยื้องกราย แลเห็นนายนั่งเยี่ยมหน้าต่างคอย
สร้อยฟ้าเห็นหน้าพยักยิ้ม อีไหมกริ่มเข้าห้องย่องค่อยค่อย
กระซิบเล่าความออกบอกตะบอย ข้าน้อยไปหาขรัวตาครู
ท่านขรัวเห็นแน่ว่าแก้ได้ อย่าให้เสียน้ำใจจะช่วยอยู่
พรุ่งนี้ให้ไปหาว่ากันดู เจ้ากูจะทำให้สำคัญ ฯ
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าสร้อยฟ้า ฟังว่าปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
นอนตรึกนึกสมอารมณ์ครัน ครั้นรุ่งแสงสุริยันขึ้นทันใด
ไปอาบน้ำชำระราคี ขัดสีนวลละอองให้ผ่องใส
เห็นรอยตีที่แขนยังแค้นใจ หลังไหล่ลูบช้ำระกำกาย
เจ็บแผลแต่ไม่ถึงที่เจ็บใจ ไม่แก้แค้นมึงได้ก็ไม่หาย
ถึงรอยไม้หายแล้วก็ไม่วาย ยังไม่ตายแล้วจะแก้ไม่แพ้มัน
ผลัดผ้าลุกมาเข้าห้องนอน ค่อนค่อนอกใจให้หวั่นหวั่น
หวีหัวผัดหน้าสียาฟัน ห่มสไบสองชั้นเข้าทันที
หยิบหีบหมากส่งให้อีไหมรับ พลางขยับลุกเลื่อนออกจากที่
ข้าวของสมควรล้วนดีดี ส่งให้ทาสีที่ไว้ใจ
พอพระไวยไปเฝ้าเจ้าก็มา ใครหาทันสงกาสังเกตไม่
ถึงวัดพระยาแมนเข้าทันใด ขึ้นไปบนกุฎีด้วยปรีดา
นั่งราบกราบกรานอาจารย์เจ้า ของข้าวประเคนให้หนักหนา
บ่าวไพร่ให้ไปพักอยู่ศาลา สร้อยฟ้ากับอีไหมอยู่ในนั้น
สร้อยฟ้าวอนว่าพระอาจารย์ ความทุกข์ของหลานนี้สุดกลั้น
ด้วยหม่อมผัวทำโพยโบยรัน ให้น้อยน้ำหน้ามันศรีมาลา
ยุแยงแสร้งส่อทุกสิ่งไป พระไวยเชื่อฟังที่มันว่า
ละร้างห่างเหทุกเวลา ปะตามีแต่ค้อนให้เคืองใจ
ทั้งท่านทองประศรีที่เป็นย่า ระดมด่าเคี่ยวเข็ญหาเว้นไม่
ขรัวปู่เอ็นดูให้พ้นภัย ให้พระไวยนั้นกลับมาหลับนอน
ว่าพลางทางแก้ซึ่งถุงทรัพย์ นับให้ขวัญข้าวเจ้าหัวก่อน
ถ้าหม่อมไวยเธอมาอย่าอาวรณ์ จะขนคอนมาให้ทุกสิ่งอัน ฯ
๏ เถรขวาดนิ่งนั่งฟังสร้อยฟ้า แล้วตอบว่าทุกข์ไปทำไมนั่น
ถ้ารูปทำลงให้ไม่ถึงวัน พระไวยก็จะหันมาคืนดี
ว่าแล้วเท่านั้นมิทันช้า จุดธูปเทียนบูชาเข้านั่งที่
หยิบขันสำริดประสิทธี ฤกษ์ดีตักน้ำมาเสกพลัน
อึดใจเป่าไปก็พล่านพลุ่ง เป็นฝอยฟุ้งฟองฟูขึ้นท่วมขัน
ส่งไปให้เจ้าสร้อยฟ้านั้น อธิษฐานเสียให้ทันที่ฤกษ์ดี ฯ
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าสร้อยฟ้า รับทูนเกศาเกษมศรี
ขอพระเวทวิเศษประสิทธี ให้สูญสิ้นราคีที่ร้ายรอง
จงเข้าดลใจพระไวยผัว ให้มืดมัวลุ่มหลงลงมาห้อง
แล้วชิงชังศรีมาลาอย่านึกปอง ต้องมนตร์พันพัวให้มัวใจ
ครั้นอธิษฐานเสร็จแล้วสระผม ที่เกรียมตรมขุ่นหมองค่อยผ่องใส
นวลหน้าฝ้าจับกระจายไป สบายใจพูดจากับอาจารย์ ฯ
๏ ครานั้นเถรขวาดราชครู พิเคราะห์ดูปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
หยิบขี้ผึ้งปากผีมามินาน เอาเถ้าพรายมาประสานประสมพลัน
ลงอักษรเสกซ้อมแล้วย้อมถม เป่าด้วยอาคมแล้วจึงปั้น
เป็นสองรูปวางเรียงไว้เคียงกัน ชักยันต์ลงชื่อศรีมาลา
อิกรูปหนึ่งลงชื่อคือพระไวย เอาหลังติดกันไว้ให้ห่างหน้า
ปักหนามแทงตัวทั่วกายา แล้วผูกตราสังมั่นขนันไว้
ซ้ำลงยันต์พันด้วยใบเต่ารั้ง ให้เณรจิ๋วไปฝังป่าช้าใหญ่
แล้วปั้นรูปสร้อยฟ้ากับพระไวย เอาใบรักซ้อนใส่กับเลขยันต์
เถรนั่งบริกรรมแล้วซ้ำเป่า พอต้องสองรูปเข้าก็พลิกผัน
หันหน้าคว้ากอดกันพัลวัน เอาสายสิญจน์เข้ากระสันไว้ตรึงตรา
รูปนี้จงฝังไว้ใต้ที่นอน ไม่ข้ามวันก็จะร่อนลงมาหา
แล้วเสกแป้งน้ำมันจันทน์ทา ประสมด้วยว่านยาน้ำมันพราย
ครั้นเสร็จส่งให้เจ้าสร้อยฟ้า ไปเถิดสีกาตะวันสาย
พรุ่งนี้ถ้ากะไรได้แยบคาย ให้นางไหมขยายมาส่งเพล ฯ
๏ เจ้าสร้อยฟ้าตอบว่าอย่าร้อนใจ ขอแต่ให้สมคิดเถิดคะเถร
ว่าแล้วอำลาทั้งเถรเณร ออกบริเวณวงวัดลัดกลับไป
พอถึงเคหาพยายาม ทำตามเถรสั่งหาช้าไม่
ครั้นพลบค่ำร่ำคอยละห้อยใจ ทอดตัวลงในที่นอนครวญ ฯ
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าหมื่นไวย นอนอยู่ในห้องฝันให้ปั่นป่วน
ว่าสาวน้อยสร้อยฟ้ามาเชิญชวน ให้ไปนอนแนบนวลที่ห้องนาง
หลงพูดพึมเพ้อละเมอหา ตื่นขึ้นเห็นศรีมาลาอยู่เคียงข้าง
ให้ร้อนวาบปลาบใจดังไฟฟาง พลิกกระด้างกระเดื่องดูไม่เต็มตา
สว่างแสงอัจกลับวะวับห้อง ละเมอมองเงาฉงนชะโงกหา
พระพายพัดเกสรขจรมา หวั่นวาบวิญญาณ์สยองใจ
พระจันทร์แจ่มกระจ่างสว่างดวง โชติช่วงดาวอร่ามวามไสว
เที่ยวค้นคว้าหาน้องในห้องใน ต่อเข้าใกล้จึงรู้ว่าผิดคน
คิดว่าเจ้ามิรู้เงาพฤกษชาติ ให้หวั่นหวาดหนังพองสยองขน
ฤๅผีร้ายมันลองคะนองตน แต่เพ้อพกมาจนถึงเรือนนาง
เข้าแอบฟังข้างฝาสงัดเงียบ ไม่ไหวเกรียบประทีปไฟไสวสว่าง
ผลักบานดาลดึงอยู่กึ่งกลาง เคาะเคาะคอยพลางจะดูที ฯ
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าสร้อยฟ้า ไม่พูดจาจามไอให้อึงมี่
เห็นเดชะพระเวทวิเศษดี ด้วยเถรชีสั่งไว้ทุกสิ่งพร้อม
ถ้าแม้นผัวมาหาอย่ากลัวผิด ให้ลองฤทธิพระครูดูใจหม่อม
จะเกรี้ยวกราดเหมือนแต่ก่อนฤๅหย่อนยอม ใครมาด้อมอยู่นี่ผีฤๅคน
ช่างไม่เกรงน้ำใจพระไวยผัว ตัวข้อยสร้อยฟ้านี้ยับป่น
ต้องโบยตีเหลือที่จะทานทน ฤๅผีปู่สู่ตนจะบนบวง
ยังอุตส่าห์มาเยียนต้องเฆี่ยนตี พรุ่งนี้จะเชิญไปกินขวง
คงจะให้แก่เจ้าบ่เว้าลวง อย่าเป็นห่วงมาห้องน้องจะนอน ฯ
๏ โอ้ว่าสร้อยฟ้าแก้วตาพี่ มิใช่ผีสางดอกมาหลอกหลอน
ดวงจิตรเจ้าอย่าคิดอนาทร ขวัญอ่อนเจ้าอย่าอาลัยครวญ
เจ้าหวาดหวั่นวันตีเมื่อต้องโทษ ขวัญแม่โลดผาดผันจึงปั่นป่วน
มาจะรับขวัญน้องประคองควร ให้คืนเข้าร่างนวลสนิทกาย
งามแช่มแม่จงแย้มใบดาลรับ อย่าหวนหับห้องเมินเชิญขยาย
จงคลายโศกเสื่อมทุกข์สุขสบาย เหือดหายที่โทษบรรเทาใจ ฯ
๏ หม่อมดอกฤๅฉันไม่ทันรู้ ฉันคิดอยู่ว่ามาจะไม่ได้
นี่หม่อมมาได้ลาแล้วฤๅไร ไม่เกรงใจแม่ศรีมาลาเลย
ถ้าหล่อนฟื้นตื่นขึ้นไม่พานพบ จะเต้นหรบอยู่แล้วแก้วแม่เอ๋ย
จะตามหาท่านผู้ชายร้องวายเวย นิจจาเอ๋ยก็จะชวดที่ชมกัน
เชิญกลับไปห้องอย่าหมองมัว ฉันคนชั่วดอกมิใช่สาวสวรรค์
สารพัดชั่วช้าทุกสิ่งอัน เถิดเท่านั้นเมื่อแล้วก็แล้วไป
หลังน้องพองพังไปทั้งกาย หารู้ที่จะสบายด้วยหม่อมไม่
รอยไม้ลายทั่วทั้งตัวไป เจ็บทั้งในนอกเนื้อก็เหลือทน
ยังจะมาก่อกรรมให้ซ้ำเสีย หน่อยหม่อมเมียจะมาด่าเล่นจ้นจ้น
แต่กระนี้ยังไม่วายจะอายคน จะก่อกวนให้เขาก่นกะไรไป ฯ
๏ โอ้ว่าแก้วแววตาของพี่เอ๋ย อย่านึกเลยพี่หาเป็นเช่นนั้นไม่
พี่รักเจ้าเท่าเทียมกับดวงใจ มิได้วายรักสักเวลา
ผิดพลั้งมั่งก็ตีกันซีเจ้า ฤๅเปล่าเปล่าผัวพาลพาโลว่า
เจ้าขึ้นเสียงเปรี้ยงชี้ไม่พริบตา โกรธาดอกจึงถึงทุบตี
เป็นเหตุเพราะเจ้าห้าวหาญนัก ฮึกฮักไม่เกรงน้ำใจพี่
คลายแค้นก็ยังแสนจะปรานี เจ้าถือโทษประหนึ่งพี่จะเด็ดไป
ผัวผิดคิดมั่งเมื่อครั้งรัก จะหาญหักเคียดขึ้งไปถึงไหน
จงเสื่อมโศกสร่างเศร้าให้เบาใจ อย่าตัดไมตรีพี่นี้จริงจริง ฯ
๏ อย่าพักวอนให้อ่อนไม่หายแค้น เหลือแสนฝังใจไว้ทุกสิ่ง
ยามดีมีแต่จะชังชิง คุณหญิงยิ่งยั่วให้หยามใจ
หม่อมด่าสารพัดจะตัดรอน แคะค่อนขอดว่าไม่ปราศรัย
รอดด้วยพ่อชุมพลจึงพ้นภัย ไม่หลบเข้าห้องได้ก็วายปราณ
แต่กระนั้นยังขยับจับกระบี่ หม่อมศรีมาลาซ้ำเอาฉานฉาน
ด่าให้เมียฟังตั้งประจาน เพื่อนบ้านเบื่อฟังกำลังมัว
ไม่หนำใจใส่ความว่าทะเลาะ ฉวยดาบมาจะเฉาะกะลาหัว
ว่าเล่นว่าได้จะให้กลัว เพราะหม่อมหญิงหล่อนยั่วให้ยวนใจ
เออเมื่อกอดจูบกันทำหยันเย้ย หัวอกใครไหนเลยจะอดได้
มากล่าวแต่ลมลวงให้ลืมไป ฉันเข้าใจไม่มีเปล่าทุกเช้าเย็น
ถึงกรางทองให้กินไม่ยินดี ตั้งแต่นี้ต่อไปไม่ขอเห็น
ผู้ชายปราบปรามเมียก็ไม่เป็น เอ็นลิ้นสิ้นดีแต่เล่ห์กล ฯ
๏ เออน่าฟังน้อยฤๅถ้อยคำ ช่างจะร่ำไรเรื่องแต่เบื้องต้น
เมื่อขึ้นเสียงย่อนย่อนไม่ผ่อนปรน เจ้าก่อก่อนแล้วมาบ่นเอากับใคร
ผัวห้ามเจ้าจะยั้งมั่งแล้วฤๅ กลับดึงดื้อเอาเสียอีกหาหลีกไม่
กระทบกระเทียบเปรียบปรายมากมายไป คือว่าใครได้สลัดถึงตัดรอน
ผัวห้ามก็ยิ่งพกโมโหฮึก กลับสะอึกเข้ามาเถียงเอาย่อนย่อน
ผัวมาหากลับว่าเป็นแง่งอน ความที่ร้อนรักนุชนี้สุดทน
พี่เรียกหาแก้วตาไม่เปิดรับ ยังมากลับว่าพี่จนปี้ป่น
ว่าพลางทางร่ายพระเวทมนตร์ สะเดาะกลอนถอนหล่นลงทันที ฯ
๏ สร้อยฟ้าผลักกรานใบดาลเปิด ดูเอาเถิดหม่อมไวยอะไรนี่
แกล้งกวนโมโหเป็นโกลี ประเดี๋ยวนี้เป็นอะไรก็เป็นไป ฯ
๏ ชิต้าฉาแต้เจ้าแม่เอ๋ย คารี้คารมกะไรเลยหาเหือดไม่
คันมือเถิดฤๅให้สมใจ ทำเป็นคว้าหาไม้จะตีเอา ฯ
๏ กล้าดีตีซิไม่ฟังกัน หุนหันหดมือไปไหนเล่า
มิข่วนให้เลือดพรูก็ดูเอา ทำผลักไสไม่ให้เข้ามาไยดี ฯ
๏ ชะกะไรใจน้องดื้อจริงหนอ สะพ้านคอเอนเอียงลงกับที่
อุ้มขึ้นที่นอนวอนพาที ผัวไม่ตีให้เจ้าช้ำระกำใจ
น้องเอ๋ยเลิกทีที่ขุ่นเคือง จะกระเดื่องกระดากดิ้นผินไปไหน
ว่าพลางสอดคล้องทำนองใน สำราญใจจนหลับไปกับนาง ฯ
๏ ครั้นแสงทองส่องฟ้าเวหาเหลือง อร่ามเรืองเหนือใต้ไสวสว่าง
แดดส่องเข้าช่องหน้าต่างกาง พระไวยนางสร้อยฟ้าก็ตื่นพลัน
ลุกจากเตียงชวนกันบ้วนปาก อีไหมคลานเอาพานหมากมาตั้งนั่น
ปะตาสร้อยฟ้าให้ตากัน ฝ่ายพระไวยผายผันจะเข้าวัง
ผลัดผ้าคว้าร่มลงจากเรือน ทนายหนุ่มกลุ้มเกลื่อนมาตามหลัง
คิดถึงสร้อยฟ้าพะว้าพะวัง จนกระทั่งท้องพระโรงเข้าทันใด
เจ้าพระยาพระหลวงแลหมื่นขุน ว้าวุ่นเข้าเฝ้าอยู่ไสว
ปางพระองค์ผู้ดำรงภพไตร สำราญราชหฤทัยเปรมปรีดิ์
พระจึงมีสีหนาทประภาษถาม อ้ายพลายงามเป็นกะไรจึงหมองศรี
ดูหน้าตาฝ้าคล้ำไม่มีดี เอ็งนี้ไม่สบายด้วยอันใด
ฤๅเมียมึงหึงหวงจ้วงจาบ หยามหยาบเกินเลยฤๅไฉน
ใครมีเมียสองมักหมองใจ จะหาความสบายได้มิใคร่มี
ถ้าแม้นมีสามสี่เสียดีกว่า ต้องตำราว่าเป็นสุขเกษมศรี
แน่ะกูว่าแล้วเอ็งตรองดูให้ดี มันจะเป็นราคีข้างหน้าไป ฯ
๏ พระหมื่นไวยบังคมก้มเกล้า ให้มัวเมาหมกมุ่นไม่ทูลได้
ไม่สว่างสร่างมนตร์ที่ดลใจ จึงมิได้กราบทูลพระกรุณา ฯ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ