๑๙

ทั้งคู่เป็นคนทุศีล ตระหนี่ ด่าว่าสมณพราหมณ์ หญิงชายคู่นั้นเป็นภริยาผีอยู่ร่วมกัน—

ทั้งคู่เป็นผู้มีใจศรัทธา ใจบุญ สำรวมในศีล เลี้ยงชีพโดยชอบ หญิงชายคู่นั้นเป็นภริยาสามี (ที่) พูดคำอ่อนหวานต่อกัน ย่อมบังเกิดความเจริญมาก อยู่ด้วยกันโดยผาสุก—

 

ภรณีตื่นจากหลับพร้อมกับมีความปรารภอยู่ในสมองว่า วันนี้เป็นวันธรรมสวนะใช่หรือไม่ ถึงเวลาที่หล่อนควรลุกขึ้นไปใส่บาตรกับคุณยายหรือยัง ?

หล่อนลืมตา มองเห็นที่ว่างข้างตัว จึงนึกถึงความจริงขึ้นได้ คุณยายที่ไหนกัน หล่อนอยู่ไกลจากท่านไม่รู้ว่าที่ร้อยโยชน์ บนพื้นเสื่อข้างที่นอนของหล่อน ซึ่งมีหมอนและผ้าห่มวางอยู่เรียบร้อยนั้นเมื่อคืนนี้นางพวงได้เป็นผู้นอน

ภรณีมองลอดผ้ามุ้งออกไปภายนอก ห้องนี้มืดแต่สีของแดดที่ลอดเข้ามาตามช่องลม ทำให้ภรณีรู้ว่าเป็นเวลาสายแล้ว หล่อนออกจากมุ้งโดยเร็วด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ เช้าวันนี้เป็นเช้าวันแรกที่หล่อนตื่นขึ้นในบ้านของ ‘เขา’ แล้วหล่อนก็ทำตัวเป็นผู้นอนสายอวดเขาเสียแต่ในวันแรกนี้ทีเดียวหรือ ?

มองดูหน้าต่างและประตู เห็นปิดสนิทหมดทุกบานแต่ภรณีจำได้ว่าประตูไหนจะนำหล่อน ไปยังห้องที่เจ้าของบ้านเขา บอกแก่นางนมของเขาว่าเป็นห้องคุณผู้หญิง เดินพลางภรณีนึกเคืองนางพวงอยู่ในใจ เพราะเหตุที่นางพวงนอนกรนดังราวกับเสียงเข็นเรือ ภรณีเกือบจะไม่ได้นอนหลับหรือหลับก็หลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดคืนพึ่งจะได้หลับสนิทเมื่อก่อนรุ่งสางนี้เอง

ผ่านประตูมายังอีกห้องหนึ่ง ห้องนี้ก็มืด เปิดหน้าต่างได้หน้าต่างเดียวด้วยความลำบากยากยิ่ง แล้วคิดถึงสิ่งที่ต้องการใช้ในเดี๋ยวนั้น ได้ของแล้วยังคิดถึงห้องน้ำประตูห้องนี้มีถึง ๕ ประตู ประตูติดต่อกับห้องหนังสือประตูด้านหน้าเรือน ประตูติดกับห้องที่ภรณีเพิ่งออกมาประตูติดกับห้องน้ำ ประตูติดต่อกับห้องเจ้าของบ้าน ๒ ประตูหลังนี้ ภรณีต้องระวังอย่าเปิดผิดเป็นอันขาด นิ่งคิดทบทวนความจำอยู่ครู่หนึ่งเมื่อคืนนี้ จิตใจของหล่อนอยู่ในภาวะตื่นเต้นและประหม่า ทั้งความมืดและความจอแจก็ช่วยทำให้สมองของหล่อนมึนงงหนักขึ้นด้วย แข็งใจจับลูกบิดหมุนค่อย ๆ อย่างระมัดระวัง สาธุ ! หล่อนเลือกประตูถูกแล้ว มองเห็นตุ่มน้ำตั้งอยู่ตรงหน้า

ราว ๆ ๑๕ นาทีภายหลัง ภรณีแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแต่ยังเคว้งคว้างอยู่กลางห้องไม่รู้จะไปไหนหรือทำสิ่งใด ข้อร้ายที่สุดอยู่ที่ตรงความขลาดของหล่อนเอง ไม่ว่าความคิดจะแนะให้ทำนั่นหรือทำนี่ หล่อนก็ยั้งความคิดเสียด้วยกลัวตัวจะทำผิดอยู่ร่ำไป แต่อย่างไรก็ตาม หล่อนจะต้องออกจากห้องนี้ไปพบกับใครสักคนหนึ่งจงได้ ประหลาดแท้ บ้านทั้งบ้านไม่มีเสียงผู้คนดังมาถึงหูหล่อนบ้างเลยทั้งเจ้าของบ้าน ทั้งลูกของเขาทั้งนางนมของเขาพากันไปอยู่ที่ใดหมด ?

– ตัดสินใจเด็ดขาด ถอดกลอนประตูที่ติดต่อกับหน้าเรือนทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏแก่ตามีสภาพอันชวนให้พิศวงและตะลึงลาน เป็นสิ่งที่แปลกที่ใหม่ที่สายตาของภรณีไม่เคยชมมาแต่ก่อน แต่เจ้าหล่อนไม่มีเวลาที่จะคิดที่จะเสพอารมณ์แห่งความตื่นเต้นไปในทางรื่นรมย์ เพราะสภาพดังกล่าวแล้ว ใช้สายตามองไปรอบตัวโดยเร่งรีบ มองแล้วไม่พบมนุษย์แม้แต่สักรูปสักนาม เดินโดยเตาไปทางปลายระเบียงด้านหนึ่ง ยืนอยู่ที่นั่นเป็นครูหล่อนค่อยหายใจคล่องขึ้น กลางที่ราบถัดไปจากที่ดินแปลงใหญ่อันมีพันธุ์ไม้ชนิดหนึ่งขึ้นเป็นพืดได้ระยะกัน หล่อนมองเห็นสีขาวของหมวกกันแดด ๓ ใบเคลื่อนไหวอยู่

ภรณีลงจากเรือนโดยไม่รั้งรอ หล่อนลืมนึกที่จะสวมรองเท้าเมื่อจะออกมาจากห้อง แต่ไม่เป็นไร หล่อนจะเดินเท้าเปล่า ศีรษะที่สวมหมวกกันแดดจะเป็นศีรษะใครบ้าง หล่อนไม่นำพา หล่อนจำเป็นจะต้องพบต้องพูดกับใครคนหนึ่ง ถ้ามิฉะนั้นหล่อนจะถึงซึ่งความเป็นผู้มีสติวิปลาศโดยไม่ต้องสงสัย

เดินผ่านลานดินทั้งใหญ่ทั้งยาวมาถึงไร่ ต้นไม้เพิ่งสอนเป็นขึ้นอยู่ในระหว่างพอที่คนจะเดินเรียงสองได้สบาย แต่ภรณีไม่กล้าลัดไปตามช่องว่างนี้ หล่อนอุตส่าห์เดินไปตามทางที่เห็นชัดว่าเป็นทางเดิน มองไปข้างหน้าหมวก ๓ ใบ หายจากสายตาไปเสียอีกแล้ว เดินไปอีก เดินไปอีกแล้วแต่หนทางจะเลี้ยวไปทางไหน อ้อ โน่นแน่ะหมวกมองเห็นอยู่รำไร นี่ไร่อะไรอีก ทั้งกิ่งทั้งใบสูงพอดีระดับตา เร่งฝีเท้าขึ้นอีกหน่อย เลี้ยวขวา ทีนี้เห็นตัวคนได้ถนัดเขากำลังมุงดูสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และพูดจาออกท่าออกทางเป็นงานเป็นการที่สุด ภรณีลดฝีเท้าลงบ้างแล้วเข้าไปใกล้จะถึงตัวเขา มองดูสิ่งที่เขากำลังดู แต่ไม่มีความรู้เลยว่าสิ่งนั้นคืออะไร หล่อนหยุด ไอเบา ๆ แล้วกระแอมก็ยังไม่มีใครหันมาดูหล่อนก้าวไปอีก ๒ ก้าว ไออีกครั้งหนึ่ง แล้วตั้งต้น

“นี่ค่ะ—”

หล่อนชะงักหยุดนิ่งดังถูกตรึง ตา ๓ คู่หันมาทางหล่อนพร้อมกัน ๒ คู่นั้นไม่มีอำนาจกระทบกระเทือนความรู้สึกของหล่อนดอก แต่คู่ที่สามหล่อนจำเขาไม่ได้จริง ๆ หรืออีกนัยหนึ่ง ไม่ได้คาดว่าเป็นตัวเขา หล่อนหลงเชื่อความคาดคะเนของตนเองเป็นมันเป็นเหมาะ คิดเสียว่าเขาคงจะพาลูกของเขา นางนมของเขาไปเที่ยวชมภูมิประเทศกันอย่างสำราญ

ฝ่ายเขา ด้วยความที่เคยชินแก่การแสดงคารวะต่อสุภาพสตรีเป็นนิจจนติดนิสัย พอเห็นว่าหญิงคนหนึ่งมาปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ ก็เปิดหมวกออกโดยทันที ต่อจากนั้นอาการงงเกิดขึ้นแก่เขาอึดใจหนึ่งเต็ม ๆ ในที่สุดจึงพูดขึ้นว่า

“เดินเล่นรึ ?”

เดินเล่น ! หล่อนได้เดินมาอย่างที่ปากตลาดเรียกว่าเดินอย่างควายหาย ภรณีคิดคำตอบไม่ออก

“เด็ก ๆ กับนมไปตั้งแต่เช้า” เขาพูดสืบไปแล้วชักนาฬิกาพกออกจากกระเป๋ากางเกง “นี่ก็ควรจะกลับมากินเสียทีแล้วนี่ พ่อถีพาไปเข้าป่าเข้าดงที่ไหนก็ไม่รู้”

“เห็นว่าจะพากันไปดักนก” เจ้าของหมวกใบหนึ่งพูด หมวกของเขานั้นยังอยู่บนศีรษะของเขาเป็นปกติดี

“เมื่อผมมาจากบ้าน เห็นอยู่กันที่บ่อน้ำ” อีกคนหนึ่งบอก เขาผู้นี้สวมหมวกอยู่เหมือนกัน

“ยังงั้นรึ ? ก็คงดักกันอยู่แถวนั้นแหละแกไปดูทีซี คิดบอกให้กลับบ้านถี่ นพ แกไปกินข้าวกินปลาเสียก่อนประเดี๋ยวกลับมาว่าไอ้เรื่องเครื่องสับดินนี่กันใหม่ ฉันว่าเราจะต้องการอีกสักสองเครื่องนะ”

สั่งเสร็จเขาหันมาทางหญิงสาวทันที แต่เมื่อหันมาแล้วก็ไม่รู้จะพูดว่ากระไร หรือทำอย่างไรแก่หล่อน จึงหันกลับ

“นพ เดี๋ยวก่อน ยังมีอะไรอีก” เขารู้ดีว่า ‘อะไร’ ที่เขาว่ามีนั้น ไม่มีอยู่ในสมองของเขาเลย “ไปพูดกันที่เรือนอีกหน่อย”

“ไปหรือยัง ?” เขาถามภรณี พลางสวมหมวกลงบนศีรษะ หล่อนเห็นท่าว่าเขาจะให้หล่อนเดินไปข้างหน้าจึงรีบบอก

“จำทางไม่ได้แล้ว”

เขาทำท่าเหมือนจะยิ้ม แต่หายิ้มไม่

“นพ” เขาหันมาตรงหน้าผู้ที่เขาเรียกนั้น “วันนี้แกต้องเอารถไปที่สถานี เอาของให้นายสถานีด้วย แล้วส่งโทรเลขไปกรุงเทพฯ ด้วย ไปบ่ายหน่อยก็ได้ เมื่อคืนนี้ทางดีตลอด ไปเถอะ แกไปกินข้าวได้ ขอบใจ”

เขาออกเดิน ภรณีเดินตาม เขาเดินค่อนข้างเร็วแต่ภรณีก็เป็นผู้ที่เคยอยู่ในชนบท ชำนิชำนาญในการเดินเท้าอยู่บ้าง

หล่อนเพิ่งเห็นเดี๋ยวนี้เองว่าเขาแต่งกายอย่างเดียวกับนายคิดและนายนพไม่มีผิด กางเกงขาสั้นสีกากี เสื้อเชิ้ตสีเดียวกับกางเกง ต่างกันนิดเดียวที่ตรงถุงเท้ารองเท้า บันลือสวมถุงเท้าหนายาว สวมรองเท้าหนังมีเชือกร้อยและผูกอยู่ นายนพกับนายคิด สวมแต่รองเท้าหนังมีที่ร้อยเชือก แต่ไม่มีเชือกร้อย

ระยะทางซึ่งเมื่อขาไป ภรณีรู้สึกว่ายาวนักหนานั้น ครั้นขามาปรากฏว่าใกล้นิดเดียว แต่เมื่อใกล้จะถึงบันไดเขาเลี้ยวไปทางหนึ่ง ภรณีแข็งใจเลี้ยวตามไปด้วยจึงเห็นบันไดเล็กอีกถึง ๒ บันได ซึ่งหล่อนไม่ทันสังเกตในตอนต้น บันลือควักกุญแจออกจากกระเป๋ากางเกง ไขประตูห้องบนบันไดหนึ่ง แล้วหันกลับมากล่าวแก่ภรณี

“เชิญขึ้นมาบนนี้”

เขาหายเข้าไปข้างใน แล้วมีเสียงบ่น “ป่านนี้ยังไม่มีใครมาเปิดหน้าต่าง”

แล้วเขาก็ทำงานนั้นด้วยมือของเขาเอง ภรณีอยากจะช่วยแต่ไม่ช่วยยืนนิ่งดูเขา เสียงปัง ๆ ๆ ๖ ครั้ง แล้วเขาหันมากล่าวแก่หล่อนอีก

“เชิญนั่งที่นี่”

หล่อนนั่งลงยังที่ ๆ เขาบอก คือบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ มองไปทางไหนเห็นแต่หนังสือวางอยู่ระเกะระกะ หนังสืออยู่ในตู้ หนังสืออยู่บนโต๊ะใหญ่แบบสวยปกใหม่เอี่ยม หนังสืออยู่บนโต๊ะกลม หนังสืออยู่บนโต๊ะสี่ขา ซึ่งมีขาหักห้อยอยู่ข้างหนึ่ง หนังสืออยู่บนเก้าอี้ หนังสืออยู่บนม้าแบบม้านั่งตามร้ายขายข้าวแกง ลักษณะที่วางแสดงว่า ได้มีการจัดที่ซ้อนกันเป็นตั้ง ก็ซ้อนตามลำดับขนาด เล่มใหญ่อยู่ล่างที่สุด เล่มเล็กก็ซ้อนอยู่เบื้องบนแต่กลับหน้ากลับหลังกลับล่างกลับบน ที่ตั้งเป็นแถวก็ตั้งตามลำดับสูงต่ำแต่กลับหัวกลับท้าย โต๊ะตัวงามที่ภรณีนั่งอยู่ใกล้นั้น มีสมุดปกแข็งเล่มใหญ่ถนัดซ้อนและเรียงกันอยู่หลายเล่ม บันลือยืนก้มหน้าจัดการกับพวงลูกกุญแจซึ่งติดอยู่กับสายนาฬิกา แล้วนำลูกกุญแจมาวางให้ภรณีบนโต๊ะ

“ลิ้นชักนี้” เขาอธิบาย “เงินสำหรับค่าใช้จ่ายในบ้าน แยกไว้ต่างหากเพราะขี้เกียจทำบัญชี แต่คิดว่า—เธอควรจะต้องทำ”

เขาเดินไปที่ริมเสา ตู้นิรภัยขนาดกะทัดรัดน่าเอ็นดูตั้งอยู่ตรงนั้น เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วหันมาทางหญิงสาว “มาดูวิธีเปิด” เขาเบนตัวเปิดช่องให้หล่อนมองเห็นตู้ถนัด “หนึ่ง สอง พอเห็นตัว ‘ดี’ ก็หมุนอีกที แล้วเปิดได้”

ตู้นั้นแบ่งออกเป็นสองชั้น ชั้นล่างเต็มไปด้วยกระดาษ บันลือสอดมือเข้าไปภายใน แล้วหยิบกุญแจออกมาส่งให้ภรณีเป็นดอกที่สอง พร้อมกับพูดว่า “มีคนละดอกจะได้สะดวกด้วยกันทั้งสองคน”

“ทีนี้ตู้บน” เขาพูดสืบไป พลางยืดตัวขึ้นเล็กน้อย “หันจนดังกึก แล้วก็หันอีก” บานตู้น้อยก็เปิดออก มองเห็นธนบัตรเรียงกันอยู่หลายตั้งหลายม้วน เขาหยิบส่งให้หล่อนตั้งหนึ่งโดยไม่ต้องเลือกก่อน

แล้วเขาสอนวิธีปิด แล้วให้หล่อนซ้อมวิธีเปิดด้วยลูกกุญแจดอกที่เขาได้มอบให้แก่หล่อน ต่อจากนั้นก็ลุกขึ้นยืน

ภรณียืนขึ้นด้วย กุญแจ ๒ ดอกธนบัตรมัดหนึ่งในมือหล่อน หล่อนไม่เข้าใจว่าเขาจะให้ทำอย่างไรแก่ธนบัตรนั้น ทำใจกล้าเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ ไขกุญแจลิ้นชักวางธนบัตรไว้ภายใน แล้วก็ปิดลิ้นชักและลั่นกุญแจไว้ตามเดิม

หล่อนเงยหน้าขึ้น เห็นบันลือยืนทำท่าคิดอย่างเพ่งเล็ง แล้วเดินปัง ๆ มาที่โต๊ะเขียนหนังสือ หยิบลูกกุญแจออกมาจากลิ้นชัก ๒ ดอก วางลงบนทั้งสมุดแล้วว่า

“นี่กุญแจตู้ กับกุญแจลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งที่ห้องกลาง สั่งให้ทำอย่างแน่นหนาทีเดียว ปลอมไม่ได้ง่าย ๆ อ้อ นี่บัญชีจ่ายเงินคนงาน เล่มนี้พวกรายอาทิตย์ เล่มนี้ ทุก ๆ วันที่ ๑ ทั้งสองพวกต้องมีลายมือเซ็นรับ ถ้าไม่ยังงั้นเขามักจะลืมบ่อย ๆ ว่าเขารับเงินไปแล้ว”

เขาหยุดพูด ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แล้วกล่าวว่า

“ขอบใจ”

ภรณีต้องใช้ความคิดเป็นครู่ ก่อนที่จะรู้ว่า คำนั้นมีความหมายเท่ากับ “เชิญคุณไปได้”

หล่อนหันกลับไปทางเก่า เขาเอ่ยขึ้นว่า

“ออกทางนี้ก็ได้”

แล้วเขาชี้ทางให้ แต่เมื่อภรณีมาถึงประตูที่เปิดตรงไปยังห้องของหล่อน ก็ปรากฏว่าติดกลอนที่ขัดอยู่ทางด้านโน้น เจ้าของบ้านเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย เขาพูดว่า

“ขอโทษ ลืมนึกถึงกลอน”

เมื่อภรณีกลับลงมาทางบันไดเล็ก หล่อนมองเห็นศีรษะคนเดินไว ๆ ตามกันมาเป็นแถวยาวในทางระหว่างไร่ และเมื่อหล่อนขึ้นมาอยู่บนระเบียงยาวทางหน้าเรือนแล้ว หันกลับไปดูอีก ก็เห็นตัวคนได้ชัดขึ้น คนเล็ก ๆ วิ่งหยอย ๆ มาข้างหน้า คนผู้ชายเดินตามในระยะห่างหน่อย หลังจากคนผู้ชายไปอีก เป็นคนผู้หญิง ๓ หรือ ๔ คนถือวัตถุที่ใช้ในประโยชน์อย่างเดียวกัน คือ วัตถุสำหรับทำความเตียนให้แก่สถานที่ มองดูเป็นภาพอันน่าขัน ราวกับแถวคนทั้งแถวนั้นเป็นขบวนแห่ไม้กวาดหาใช่อื่นไกลไม่ คนท้ายที่สุดอุ้ยอ้ายมาก ไม่ค่อยจะเลี้ยวจากมุมไร่ได้เลย คือนางพวง

ภรณีกลับเข้าในห้องของหล่อน ค่อยรู้สึกตัวเป็นตัวมีความคิดมีสติปัญญาเช่นที่เคยมีในยามปกติ หล่อนรู้แล้วหน้าที่ของหล่อนคืออะไร สมุห์บัญชี ! รักษากุญแจตู้เซฟ จ่ายเงินค่าแรงคนงาน ! หล่อนนึกสงสัย คนงานมีอยู่ด้วยกันรวมสักกี่คนหนอ นายคิดกับนายนพคู่หนึ่ง แล้วยังมีใครอีก ? ตั้งแต่เข้ามาหล่อนก็ได้เห็นแต่เพียงชาย ๒ คนนี้เท่านั้น ภรณีนึกอยากหัวเราะอย่างจริงจัง เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันแต่งงานมาแล้ว

หล่อนเปิดหน้าต่างห้องออกทุกบานแล้วเริ่มทดลองกุญแจ ต่อจากนั้นหยิบหีบหนังใบน้อยออกจากก้นกระเป๋าใหญ่ นี่คือหีบใส่สมบัติส่วนตัวของหล่อนแท้ ๆ คืออาภรณ์ ๒–๓ ชิ้น มีค่าไม่มาก ซึ่งเป็นมรดกที่มารดาของหล่อนได้ละไว้ให้บ้าง คุณยายของหล่อนเองได้หยิบยกให้บ้าง แต่หล่อนเพิ่งจะได้รับมอบให้มีกรรมสิทธิ์เด็ดขาด พ้นจากควบคุมของนางจำนงฯ เมื่อเช้าวันแต่งงานนั่นเอง ขณะนี้หล่อนต้องการสายสร้อย ๓ กษัตริย์เส้นเล็กซึ่งเป็นสายสร้อยข้อมือ สำหรับใช้เป็นที่ร้อยลูกกุญแจไว้ด้วยกัน เพื่อสะดวกแก่การรักษา

เมื่อร้อยลูกกุญแจตู้นิรภัยเข้าในเส้นสายสร้อย หล่อนมองเห็นในทันทีว่า ขนาดของอาภรณ์จะทนต่อน้ำหนักแห่งกุญแจไม่ได้นาน แต่ไม่เป็นไร หล่อนจะใช้สายสร้อยนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ภายหลังก็จะคิดอ่านแก้ไข

เมื่อวางใจจากเรื่องลูกกุญแจแล้ว ภรณีคิดถึงการจัดอย่างอื่น พิเคราะห์ดูตัวห้อง ทั้งโปร่ง ทั้งโล่ง ทั้งยาว ทั้งใหญ่ ไม่ต้องสงสัย เป็นห้องใหญ่ที่สุดในบรรดาห้องบนเรือนนี้ เมื่อจัดดีแล้วจะเป็นที่อยู่ที่นั่งที่นอนอันน่าสบายหนักหนา ขอบใจเจ้าของบ้าน เพียงขั้นสมุห์บัญชีก็อุตส่าห์ให้ห้องที่ดีที่สุด ซึ่งมีลักษณะเป็นห้องประธาน เพราะมีประตูออกได้รอบด้าน ราวกับจะป้องกันมิให้ผู้อยู่ต้องลำบากในการต้องลงทางนั้น อ้อมไปขึ้นทางนี้เมื่อจะเข้าออกตามห้องต่าง ๆ

เฉพาะเครื่องแต่งห้องออกจะมีน้อยชิ้น เตียงใหญ่มาก ตู้ค่อนข้างใหญ่ โต๊ะเครื่องแป้งสวยเก๋กระทัดรัด เหมาะสำหรับให้สตรีใช้ และน่ารักนักหนา ม้านั่งประจำโต๊ะเครื่องแป้งบุด้วยนุ่นและแพรสี เก้าอี้นวมขนาดคนร่างสันทัดนั่งกำลังสบายทุก ๆ ชิ้นเป็นสีเดียวกัน นอกจากนั้นไม่มีอะไรอีก

การรื้อและจัดห้องส่วนตัว ซึ่งเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นของใหม่ทุกชิ้นทั้งเป็นของที่ได้เลือกแล้วโดยความพอใจ ทำความเพลิดเพลินให้แก่ภรณีมาก ตู้ใหญ่ทำให้หล่อนแยกของต่างชนิด จัดไว้เป็นส่วนเป็นสัดได้สบาย ทั้งเป็นระเบียบเรียบร้อยงดงาม ความเพลิดเพลินทำให้ภรณีไม่รู้สึกต่อเสียงจ้อกแจ้กที่ดังอยู่ทางหน้าห้อง หรือถึงแม้ว่าได้ยินเสียงนั้นบางครั้งบางคราวก็ไม่เอาใจใส่ จนกระทั่งเด็กชายก้องวิ่งเข้ามาถึงตัวและแจ้งแก่หล่อนว่า

“คุณพ่อบอกให้ไปทานข้าว”

ภรณีหันขวับมารวบตัวเด็กไว้ในวงแขนทันที แล้วก้มลงลงจะจูบเด็กที่แก้ม แต่ยั้งไว้ เกิดความอาย ทำให้ร้อนไปทั้งตัว—ในขณะที่ได้ยินเสียงเด็ก อารมณ์ของหล่อนกำลังซาบซ่านอยู่ด้วยความรู้สึกขอบใจ ขอบใจใคร ? ขอบใจมนุษย์หรือมนุษย์ตนไหน หล่อนไม่ยอมแถลงแม้แต่กับตัวของหล่อนเอง—หล่อนยิ้มกับเด็กมองดูตาอันใสแจ๋ว แล้วว่า

“ขอบใจ เดี๋ยวอาภรปิดตู้ก่อน”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ