๒๕

สหายเป็นมิตรของคน (ที่) มีธุระเกิดขึ้นเนือง ๆ

สหายทั้งหลาย เมื่อความต้องการเกิดขึ้น ย่อมนำมาซึ่งสุข (แก่สหายผู้ซึ่งมีความต้องการ)

 

อีกครั้งหนึ่งบันลือมาเดินเตร่อยู่บนชานสถานีคอยเวลาที่รถไฟจะมาถึง นายสถานีทักเขาว่า “หมู่นี้แขกมากจริงครับ” เขาหัวเราะและตอบ “แล้วยังจะมีมาอีกเรื่อย ๆ”

เมื่ออยู่แต่ลำพังคนเดียวแล้ว เขารำพึงว่าเขาได้รบกวนจิตราอย่างน่าที่จะให้หล่อนโกรธและติเตียนได้อย่างรุนแรง เขาได้ทำไปด้วยความความเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ เพราะฉะนั้นเขาเตรียมพร้อมที่จะรับคำติเตียนของจิตราอย่างหน้าชื่นทุก ๆ คำ เขาเคยล้อจิตราหลายครั้งในเรื่องความโอบอ้อมอารีของหล่อน เขาถามหล่อนว่าเมื่อหล่อนช่วยเหลือผู้หนึ่งผู้ใด หล่อนแน่ใจหรือว่าความกรุณาเป็นเครื่องชักจูงให้หล่อนช่วย มิใช่ความอยากได้หน้าอันเกิดแก่สัญชาตญาณความอยากอวดเป็นเหตุกระตุ้นเตือนให้หล่อนทำ จิตราโกรธจัดทุกคราวที่ถูกเขาถามเช่นนี้ หล่อนว่าเขาว่าเป็นผู้หามนุษยธรรมมิได้ จึงไม่เชื่อในมนุษยธรรมที่มีในมนุษย์ทั้งหลาย มาคราวนี้เขาเองต้องเรียกร้องเอาความโอบอ้อมอารีของหล่อนมาเพื่อแก้ความยุ่งยากให้แก่ตัว

เขาเป็นชายที่เคยมีวิจารณญาณฉับไว และแม่นยำรวดเร็วในการตัดสินใจเด็ดขาดและถูกต้องตามทางที่ควร แล้วกระทำไปตามที่ตัดสินไว้ โดยปราศจากความพิทักพิพ่วนรีรอลังล การกระทำของเขาทุก ๆ อย่าง ทั้งในส่วนที่เกี่ยวแก่ตัวเองผู้เดียว ในส่วนที่เกี่ยวแก่วงศ์ญาติ ในส่วนที่เกี่ยวแก่สังคม ย่อมดำเนินไปในทางตรง ทางสะดวก ทางง่าย อันเป็นทางที่ผู้มีปัญญาเฉียบแหลมย่อมเลือกใช้ด้วยกันทุกคน มิใช่ทางที่วกวนขยักขย้อน อ้อมค้อม ยุ่งยาก อันเป็นทางที่ผู้มีปัญญาน้อย มีความสงสัยเป็นเจ้าเรือนมักจะเลือกนำมาใช้เสมอ แต่บัดนี้ เขาเริ่มจะต้องผจญกับความเคลือบแคลงในการตัดสินใจของตนเอง สิ่งหนึ่งในตัวเขากระซิบบอกเขาว่า การตัดสินใจของเขาในเรื่องทั้งหมดก็เหมาะเจาะถูกต้องดีดอก แต่ในเรื่องสตรี—บันลือรู้สึกความร้อนอย่างร้อนระอุเกิดขึ้นในตัว เป็นความร้อนด้วยฤทธิ์แห่งความโกรธและความอาย

บันลือเคยผิดมาครั้งหนึ่งเมื่อเขารักส่องสีถึงขนาดแห่งความลุ่มหลง นั่นเป็นเรื่องที่ล่วงไปนานเต็มทีแล้ว นานจนเขาแกล้งทำลืมเสียได้บ่อย ๆ–ความลืมเป็นยาดับอายของผู้ที่มีนิสัยหยิ่ง ในทุก ๆ สิ่งที่มีอยู่ในตัว เช่นบันลือ—แต่เรื่องใหม่ที่เกิดขึ้นและเป็นอยู่ในระยะ ๒–๓ เดือนหลังนี่เล่า ? เมื่อเขาตัดสินใจจะแต่งงานกับภรณี เขายึดหลักความจริงเกี่ยวแก่การครองชีพโดยสุขสบาย เหมาะสมแก่ความต้องการแห่งธรรมชาติของชีวิต และถูกต้องตามความนิยมแห่งสังคมเป็นเครื่องประกอบแนวทางวินิจฉัย ครั้นเมื่อการเป็นไปตามที่เขาตกลงใจแล้ว เหตุไฉนเขาจึงไม่ปฏิบัติต่อภรณีและต่อตัวเองตามทางที่ตรงที่ถูกที่ง่ายอันเป็นทางที่เขาเคยใช้ในภรณีทั้งปวง ? เหตุไฉนเขาไม่ถือเอาหล่อนเป็นประโยชน์แก่เขาเท่าที่ควรจะเป็นได้ แล้วใช้หล่อนไปด้วยรักหล่อนไปด้วย ขันหล่อนไปด้วย สมเพชหล่อนไปด้วย เหมือนดังที่ชายธรรมดาพึงปฏิบัติต่อหญิงธรรมดาทั่วไป ? เหตุผลกลใดเขาจึงละโมบมาก ทะยานใจหวังจะผูกขาดตัดทอนเอาตัวของหล่อนใจของหล่อน รวมทั้งชีวิตและดวงจิตของหล่อนในปัจจุบัน ในอนาคต รวมทั้งในอดีตเป็นของเขาอย่างเด็ดขาดแต่ผู้เดียวโดยสิ้นเชิง ? เหตุผลกลใดเขาจึงปล่อยให้ความเชื่อในเหตุนิดเดียวซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจนักว่า มันเป็นความเชื่ออันแท้จริงหรือเป็นแต่เพียงความสงสัย มากีดกั้นเขาไว้จากประโยชน์ที่เขาควรจะได้จากหล่อน ?

เสียงหวูดรถไฟดังขึ้น บันลือถอนใจอย่างค่อยรู้สึกสบาย เขาต้องออกจากบ้านมาตั้งแต่ก่อนค่ำเพราะต้องการจะตรวจดูทางว่าเสียหายไปอย่างไรบ้าง เนื่องจากที่ฝนได้ตกลงมาอย่างขนานใหญ่เกือบตลอดวัน เป็นการจำเป็นอย่างยิ่งที่เขาจะต้องระมัดระวังมิให้จิตราได้รับความกระทบกระเทือน และตรากตรำเนื่องจากการเดินทาง แต่ความเบื่อและความเหนื่อยใจเพราะเหตุที่ต้องมาคอยหล่อนนานนักก็ทำให้เขาอดมิได้ที่จะกระสับกระส่ายด้วยความรู้สึกรำคาญ

รถจักรและรถนั่งชั้น ๓ รวม ๓ คัน ผ่านหน้าเขาไป บันลือโดดขึ้นรถคันที่ ๔ เดินย้อนหลังไปเล็กน้อย เขาพบห้องโดยสารชั้นสองและชั้นหนึ่ง จิตราอยู่ในรถคันนี้ เขาจำหล่อนได้แต่ไกล ทั้งที่เห็นหล่อนแต่เพียงส่วนหลัง เขารู้ว่าหล่อนยืนใจเต้นคอยมองหาผู้ที่หล่อนรู้จัก เด็กหญิงแดงยืนเกาะมือคนใช้ผู้หญิงอยู่ตรงทางเดิน บันลือฉวยตัวเด็กขึ้นใส่บ่า แล้วเรียกชื่อมารดาของเด็กค่อนข้างดัง

“จิตรา ผมอยู่บนนี้แล้ว เที่ยวมองหาใคร?”

หล่อนหดตัวกลับเข้ามาในหน้าต่างโดยเร็ว ก่อนที่จะออกวาจาอย่างใด บันลือพูดขึ้นอีก

“ผมจะกอดคุณจนหายใจไม่ออก ถ้าไม่กลัวยายแดงจะเก็บเอาไปฟ้องพ่อ ตาตุ๊ล่ะ ไปไหน ? โยเยใหญ่หรือเปล่า?”

เขาจูบเด็กหญิงที่แก้มทั้งสองข้างโดยแรง พร้อมกับพูดว่า “จูบลูกถูกแม่ ! น้องอยู่ไหนหนู ?”

จิตราหัวเราะออกมาได้ ความหงุดหงิดตื่นเต้นวิตกหายไปราวกับปลิดทิ้ง เพราะคำพูดและกิริยาของบันลือ

“ใครเขาจะหอบเอาเด็กสองขวบมาด้วย น่ากลัวออกจะตาย” หล่อนว่า

ไม่ใช่เวลาที่ควรโต้แย้งกับหล่อน บันลือจึงวางตัวเด็กหญิงไว้ริมที่นั่ง พลางถามหาสิ่งของที่จะต้องขนลงจากรถ

เขาจัดการกับของเหล่านั้นโดยเร็ว หลังจากนั้นเพียง ๓ นาที จิตราก็ยืนอยู่กับเขาและลูกของหล่อนบนชานสถานี

“หายกลัวหรือยัง ?” เขาถามหล่อน “แปลกจริง ผมเห็นผู้หญิงทุกคนกลัวเรื่องนั่งรถไฟเวลากลางคืน”

หล่อนทำตาคว่ำ “ฉันไม่ได้กลัวรถไฟหรอกย่ะ ฉันกลัวอ้ายอะไรที่มันทำให้ฉันต้องมาหรอก”

“พูดดี ๆ หน่อย คุณขอรับ ไอ้อะไรที่มันทำให้คุณต้องมาน่ะ คือผมไม่ใช่หรือ?”

หล่อนหัวเราะกิ๊ก และเอื้อมมือมาลูบและบีบแขนเขา “ฉันหมายความถึงไอ้สิ่งที่มันทำให้เธอเรียกฉันมาอีกต่อหนึ่ง” หล่อนบอก

“มันเป็นอีขอรับ ไม่ใช่ไอ้” บันลือตอบพลางทำหน้าขรึม

“บอกมานะ อย่าโยกโย้ อัดใจจะระเบิดเสียหลายหนแล้ว ยุ่งก็ยังกับอะไรดี”

“ส่องสี เวลานี้เขามาพักอยู่กับผม”

จิตราอ้าปากค้าง “อะไรกัน ?” หล่อนพูดได้เพียงเท่านั้น

“แล้วรู้ไหมใครพาเขามา ? ผมบอกไปในโทรเลขแล้ว สัตว์ประหลาดทำเหตุ เขามากับม้าตัวทองของคุณ มาพร้อมกับภัสดาของคุณเมื่อวานนี้”

“อ๊ะ ยังไงกัน !”

“นั่นน่ะซิ อะไรกัน ยังไงกัน ทำไมกัน ? ผมถามตัวเองมาพักหนึ่งแล้วยังตอบไม่ถูก แต่ว่าเมื่อคุณมาเสียอีกคนหนึ่งแล้วเรื่องมันก็กลายเป็นไม่มีอะไร เพราะยังงั้นเราไปพูดกันในรถก็ได้ ขืนยืนอยู่อย่างนี้ ยายแดงแกจะเมื่อยแย่ อ้อ รีบบอกเสียอีกอย่างหนึ่ง เจริญไม่ได้เป็นคนชวนส่องสีมา เขาชวนตัวเขาเอง แล้วเจ้าหมอนั่นก็ไม่มีปัญญาจะห้าม เพราะหมอเองก็ไม่รู้ว่าเขาเคยเกี่ยวข้องกับผมอย่างไร”

เขาโอบตัวเด็กขึ้นอุ้มอีกและชวน “ไปเถอะคุณทางข้างหน้ามืดหน่อยแต่ผมมีไฟฉาย หรือคุณจะถือเองจะได้ตามถนัด” เขาส่งไต้ไฟฟ้าให้หล่อน “เวลานั่งไปในรถยนต์ยิ่งมืดใหญ่ แต่รับรองได้ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย นอกจากจะหวาดไปเอง ผมเตรียมที่นอนมาให้ตาตุ๊ด้วย คุณทิ้งแกไว้กับใคร”

“ฝากไว้กับคุณยาย” เขาร้องเอ๊ะ หล่อนจึงอธิบายต่อ “คุณยายน้อยน้องของคุณแม่”

บันลือตระเตรียมสำหรับความสะดวกสบายของจิตราอย่างรอบคอบ เขาจัดให้หล่อนนั่งบนพื้นรถ มีที่นอนทั้งอันเป็นที่รองและมีเบาะทั้งหนาทั้งใหญ่เป็นที่พิง เมื่อจิตรานั่งลงเรียบร้อยพร้อมกับร้องว่า “เอ๊ะ มันสบายเกินไปแล้ว” บันลือก็จับตัวเด็กหญิงให้นอนลงตรงหน้าหล่อน “อานั่งตรงนี้ หนูนอนกลาง” เขาบอกแก่เด็ก “หลับเลย หนูไม่ต้องกลัวอะไร” คนของจิตราอีกสองคนนั่งต่อไปทางท้ายรถ นายกับคนประจำรถอีกคนหนึ่งนั่งที่ข้างหน้า

เมื่อรถแล่นอยู่ในทางเรียบร้อยแล้ว จิตราเริ่มเล่าถึงความฉุกละหุกและความลำบากต่าง ๆ ก่อนที่หล่อนจะขึ้นรถไฟมาได้ บันลือคอยระวังออกวาจาแสดงความปรานี่เห็นอกเห็นใจทุกคราวที่หล่อนเว้นระยะคำพูด เวลาล่วงไปเกือบครึ่งชั่วโมง จิตราจึงหยุดเล่า บันลืออดมิได้เต็มทีก็ถามออกไปว่า

“บ่นพอแล้วหรือขอรับ ?”

หล่อนทำเสียงเขียวตอบมาในทันใด “ซักเขาเองแล้วก็หาว่าเขาบ่น แล้วในที่สุดฉันก็ยังไม่รู้จนเดี๋ยวนี้ว่าคุณทำให้ฉันตาเหลือกแล่นมาถึงนี้ทำไมกัน”

“ถ้าคุณไม่มีปัญญาจะรู้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมนึกได้อย่างเดียว หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง”

“แปลว่าทั้งนี้ทั้งนั้นเธอซัดเจริญคนเดียว ?”

“เปล่า เปล่า” ปฏิเสธอย่างแข็งขัน “ผมไม่ได้ซัดว่าเป็นความผิดของเจริญ” เขาเอกเขนกคร่อมขาทั้งสองของเด็กหญิงผู้ซึ่งหลับสนิทเพื่อให้ตัวเขาอยู่ใกล้จิตราพอจะพูดกันได้ยินแต่เพียงระหว่างหล่อนกับเขา “แม่โฉมยงหล่อนบอกว่าหล่อนจะมา เจริญไม่รู้จะคัดค้านอย่างไรเช่นเดียวกับผม เจ้าหล่อนบอกว่าจะมาอยู่ด้วยสักอาทิตย์หนึ่ง ผมก็ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธว่ายังไง”

แล้วบันลือเล่าให้จิตราฟังถึงข้อความที่เขาได้สนทนากับเจริญในตอนก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะแยกกันไปนอนเมื่อคืนนี้ เจริญได้กล่าวถึงกิริยาที่ส่องสีได้ทอดท่าให้เขาทำความรู้จักกับหล่อน ด้วยสำนวนของชายที่รู้เชิงชั้นของหญิงเป็นอันดีแล้วก็ทำซื่อเดินไปตามเชิงของหล่อนโดยสุภาพ เพื่อจะดูให้เห็นเชิงที่ลึกล้ำไปกว่านั้น ทั้งนี้โดยไม่มีเจตนาอย่างอื่นนอกจากจะคิดถึงความสนุกชั่วคราวตามนิสัยของผู้ชาย “เผอิญพบเจ้าหล่อนชนิดส่องสี” บันลือเสริมพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ แล้วก็สารภาพโดยไม่ได้ตั้งใจ “แต่ผมเองก็นึกไม่ถึงว่าส่องสีจะจุ้นจ้านถึงแค่นี้”

“แปลกจริงเทียว เจริญไม่รู้จักกับส่องสี” จิตราปรารภ “ฉันเคยชี้ให้ดูไม่รู้ว่ากี่หน แล้วเวลารู้แล้วว่ายังไงมั่ง?”

“ผมเชื่อว่าจนเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่รู้ ผมไม่ได้บอกอยากเซ่อ ผมก็แกล้งปล่อยให้เซ่อต่อไป”

“แล้วภรล่ะรู้ไหม ? เขาว่ายังไงมั่ง?”

“คนนั้นผมเดาไม่ถูกว่าเขารู้หรือไม่รู้ ผมอยากจะถามคุณเหมือนกัน เขารู้เรื่องของผมที่เกี่ยวกับเรื่องเมียคนก่อน ๆ มากน้อยสักแค่ไหน”

“นั่นฉันก็ไม่รู้เขาเหมือนกัน เพราะเขาไม่เคยพูดกับฉันเลยสักคำเดียว ที่จริงฉันเห็นภรเป็นผู้หญิงที่แปลกคนหนึ่ง ผู้หญิงอื่น ๆ ที่ฉันเคยเห็นมาน่ะ เขาต้องอยากรู้อยากฟังเรื่องของผู้หญิงทุกคนที่เคยเกี่ยวกับตัวหรือกับคู่รักของเขามาก่อนตัวเขา บางคนเมียเขาตายแล้วยังหึงก็มี ส่วนแม่ภรไม่เห็นมีไอ้พรรค์นั้นเสียเลย เรื่องอื่นยังเคยถามเคยซัก เช่นเธอมีพี่น้องกี่คน ใครเป็นยังไง อยู่ที่ไหน และอะไรต่ออะไรอีก แต่เรื่องเมียคำเดียวไม่เคยออกจากปากเขา”

จิตราหยุด แล้วพูดต่อไปเมื่อเห็นบันลือนิ่งอยู่

“แต่แกจะรู้แล้วหรือยังไม่รู้ก็ตามเถอะ เราควรจะต้องบอกแกเสียมันเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจดีที่สุด”

“ความบริสุทธิ์ !” บันลือหัวเราะ แล้วพูดด้วยเสียงชนิดที่เรียกว่าทีเล่นทีจริง “พอคุณมาถึงเสียแล้ว อะไรที่มันดำ ๆ ด่าง ๆ อยู่มันก็กลายเป็นบริสุทธิ์ขึ้นมาได้เอง”

“แปลกนี่” จิตราตอบตามน้ำเสียงของเขา “ฉันเป็นพระเจ้าหรือจะเอาความบริสุทธิ์เที่ยวแจก” แล้วหล่อนนึกถึงความเหนื่อยที่ได้รับเมื่อตอนต้นแห่งวันนี้ ก็ปรารภด้วยความเคืองใจ “บ้าจริงเทียว คน ๆ หนึ่งเกิดอยากจะทำวิตถารแล้วก็มาเดือดร้อนถึงเรา อยากรู้นักแม่โฉมเอกเขานึกยังไง จะตามมาหึงเมียเธอยังงั้น ? บ้า ผัวของตัวก็มี ยังจะเที่ยวตามหวงผัวเก่า ฉันว่าเธอต้องพูดกับภรเสียให้เข้าใจนะ ไม่ยังงั้นจะเดือดร้อน คนอย่างยายภรแกจะเข้าใจวิธีของแม่ส่องสีได้ยังไง เดี๋ยวแกก็จะเกิดหึงขึ้นมามั่งเท่านั้น”

บันลือถอนตัวจากท่าเอกเขนก ความจริงอย่างหนึ่งที่แฝงอยู่ในใจปรากฏแก่ใจอย่างจะแจ้ง ถ้าเขาอาจจะบอกแก่ภรณีได้ด้วยอาการที่เขากอดหล่อนไว้ในวงแขน และกระซิบแก่หล่อนว่า “ภรจ๋า ส่องสีคือภรรยาของฉันที่เลิกกันไปหลายปีแล้ว ฉันไม่เข้าใจว่าเขามาที่นี่ทำไม แต่ฉันก็ไม่ต้องการจะเข้าใจอะไรของเขา เขามาอย่างแขกมาขอพัก เราก็รับเขาอย่างเราเป็นเจ้าของบ้าน” ถ้าเขาอาจทำดังนี้ การกระทำของส่องสีจะไม่เป็นความสะดุ้งสะเทือนหรือเป็นภาระแก่เขาเลย

“ตัวเขาเองน่ะ เขาเคยมีคู่รักมั่งหรือเปล่า ?” เขาถามขึ้นในเสียงหัวเราะเรื่อย ๆ พร้อมกับสะบัดแขน ๒–๓ ครั้งคล้ายกับว่าสนใจที่จะแก้เมื่อยให้ตัวเองมากกว่าอย่างอื่น

“อย่างที่เรียกว่าคู่รักจริง ๆ จัง ๆ น่ะเชื่อว่าไม่เคย ถ้าอย่างที่มาวอ ๆ แว ๆ กันประเดี๋ยวประด๋าวละก็ไม่ได้ ผู้หญิงทุกคนแหละพอรุ่นสาวขึ้นมาก็ต้องมีไอ้เรื่องพรรค์นี้”

“ถ้ายิ่งเป็นคนสวยอย่าง—”

“แม่ภร—”

“โอ๊ะ ไม่ใช่อย่างจิตรา—”

“เธอพูดอะไรโดยไม่แขวะฉันมั่งได้ไหม บันลือ ? เมียของเธอสองคนสามคนสวยทั้งนั้นทำไมต้องมาเอาฉันเป็นตัวอย่าง ? คนที่หนึ่งเมื่อเธอจรดเข้าไปที่เขา เธอก็รู้ว่ามีคนเขาจ้องอยู่ก่อนเธอไม่รู้ว่ากี่สิบคน—”

“แต่พอเงาของผมผ่านเข้าไปเท่านั้น” บันลือต่อพร้อมกับหัวเราะด้วยเสียงค่อนข้างดัง “คนอื่น ๆ ก็เท่ากับไม่มีตัวอยู่ในโลก นี่เป็นความจริง คุณจะปฏิเสธไม่ได้เป็นอันขาด”

“โอ๊ย ใครจะไปปฏิเสธก็เพราะว่าเพียงแต่เงาของเธอเท่านั้น ก็ลบคนออกไปจากโลกได้หมด เธอถึงได้อยู่กับส่องสียืดยาวถึง ๓ เดือน—”

“แต่เราไม่ได้เลิกจากกันเพราะมีคนอื่นเข้ามาแทรกนะ—”

“ไม่มีก็เหมือนมี เพราะถ้าส่องสีไม่แน่ใจว่าเขาจะต้องการผู้ชายสักกี่ร้อยคนเขาก็หาได้ เขาก็คงไม่ทิ้งเธอง่าย ๆ เหมือนอย่างนั้น แล้วกี่วันต่อจากที่เขาโกรธกับเธอเขามีคนควงใหม่แล้ว เธอจำได้ไหมล่ะ ?”

น้ำเสียงจิตราแสดงความเคืองและหมั่นไส้อย่างรุนแรง เป็นเหตุให้บันลือหัวเราะด้วยความขันอย่างจริงใจ เขารู้ว่าจิตราไม่เคยลืมข้อที่เขาไม่เชื่อฟังคำตักเตือนของหล่อนในครั้งกระโน้น เช่นเดียวกับเขาไม่เคยลืมว่าเขาได้พ่ายแพ้แก่จิตราอย่างราบคาบ แต่เฉพาะคืนนี้ เขารู้สึกประหลาดใจตัวเองที่คำพูดของจิตราอันเกี่ยวกับความสัมพันธ์และความแตกแยกระหว่างเขากับส่องสี มิได้ทำความเคียดแค้นเจ็บอายให้แก่เขา เหมือนดังที่เคยเป็นในกาลก่อน

“ผมเสียใจเสียแล้วที่ผมโทรเลขเรียกคุณมาให้ลำบากลำบนเปล่า ๆ” เขาพูดอย่างสงบเสงี่ยม “ผมควรจะพาส่องสีหายเข้าป่าไปสักสามวัน แล้วก็เกณฑ์ให้ไปหย่ากับผัวภายในหนึ่งอาทิตย์มันถึงจะหายกันกับคราวที่แล้วมา”

หล่อนรู้ว่าเขาแกล้งพูดก็แกล้งตอบเพื่อให้พอกัน “ดีนักเชียว ฉันจะได้จัดการให้ยายภรฟ้องหย่าเอาสมบัติของเธอเสียสักหนึ่งในสาม”

“เพื่อว่าแม่ภรจะได้เอาสมบัติไปเลี้ยงคนรักเก่า ๆ ที่เงาของผมลบออกไปจากโลกยังงั้นหรือ ? ท่าไม่เลวนัก เขาว่าประวัติศาสตร์ต้องซ้ำรอยตัวเองเสมอ ผมเป็นคนอายุยังไม่ถึงสามรอบ ประวัติของผมจะซ้ำรอยอีกก็น่าสนุกดี”

จิตรารู้สึกสะดุดใจด้วยน้ำเสียงของเขาซึ่งเป็นเสียงหัวเราะ แต่ก็มีกังวานประหลาดพิกลอย่างไรอยู่ หล่อนสงสัยว่าเขาโกรธแต่ทายไม่ได้ว่าเรื่องอะไร ถึงกระนั้นหล่อนก็โกรธเขาขึ้นมาบ้างแล้ว และอยากจะแกล้งว่าเล่นให้พอใจหล่อน

“เธอน่ะเป็นโรคนึกว่าคนในโลกนี้ชั่วชาติเหมือนกันทุกคน สำหรับเธอ ตัวอย่างของผู้หญิงก็คือแม่ส่องสี ตัวอย่างของผู้ชายก็คือตัวเธอ ฉันจะบอกให้ว่าเธอเข้าใจผิด ถ้าภรแกมีคู่รักของแกอย่าว่าแต่เธอเป็นแค่เธอ ต่อให้วิเศษกว่าเธออีกร้อยเท่าก็ไปเอาแกมาแต่งงานด้วยไม่ได้ เธอนึกว่าผู้หญิงทุกคนเขาเห็นแก่เงิน เห็นแก่ความโก้เก๋อย่างเดียวหรือ ? ความบริสุทธิ์ ความซื่อ ความสัตย์ผู้หญิงไม่รู้จักว่าเป็นยังไง ?—”

“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน” บันลือขัดอย่างวิงวอน “นี่คุณปรักปรำผมเปล่า ๆ แท้ ๆ ตัวอย่างของผู้หญิงคือจิตรา ผมเคยพูดอย่างนี้มากี่หนแล้ว แม้แต่จะหาเมียผมก็บอกว่าอยากได้อย่างคุณ สำหรับผม ส่องสีเป็นตัวอย่างของผู้หญิง !? นี่คุณเอาที่ไหนมาว่า แต่คนที่เป็นตัวอย่างของคนน่ะมันหาได้ง่าย ๆ หรือขอรับ อีตรงนี้ต่างหากเล่าที่มันเป็นปัญหา”

“เธอนึกว่าภรเป็นคนอย่างไร ?” จิตราถามเสียงขุ่น

เขาหัวเราะแล้วย้อนถาม “นี่เรากำลังพูดถึงใครกันแน่ ผมนึกว่าเรากำลังพูดกันถึงเรื่องผู้หญิงตัวอย่าง ไม่ได้พูดถึงคนธรรมดา”

“พูดถึงใครก็ไม่รู้ละ รู้ไม่ได้เพราะว่าเธอน่ะหลายเหลี่ยมนัก เดี๋ยวก็มาท่านั้นเดี๋ยวก็มาท่านี้ เธอถามว่าภรมีคู่รักใหม่ใช่ไหมล่ะ ? แล้วพอฉันล้อเข้าหน่อยว่าจะให้ยายภรฟ้องหย่าเธอก็มาประชดประชันว่าแกจะได้เอาเงินไปเลี้ยงคู่รัก แล้วยังงี้หมายความว่ากระไร ? พูดถึงใครตอบมาถี?”

“ก็นั่นมันตอนหนึ่งนี่ขอรับ คุณมายั่วผม ผมก็ยั่วคุณไป ส่วนที่ผมถามว่าภรเคยมีคู่รักมั่งไหม ผมหมายถึงว่าถ้าเขาเคยผ่านเรื่องพรรค์นี้มาแล้วเขาอาจจะไม่ถือสาเรื่องส่องสีเลย เขาคงถือว่าใจกับตัวเป็นคนละส่วน ใจคิดตัวไม่ทำก็ไม่มีอะไรเสียหาย หรือตัวทำท่าน่าเสียวไส้ต่าง ๆ ใจไม่ได้คิดยังงั้นเลยก็ไม่มีบาป แต่ถ้าเขาไม่เคยผ่านเรื่องพรรค์นี้มาก่อน มันก็ยากที่จะไม่ให้เขา—ยุ่ง”

“ก็ทำไมเธอไม่ถามให้มันหมดจดออกมาอย่างงี้ล่ะ ?” เสียงจิตราอ่อนลง “พูดโยกไปโยกมาให้ฉันโมโห”

“ขอให้ผมแก้ว่านั่นเป็นเพราะคุณคอยจะโมโหผมอยู่แล้วใช่ไหม ? ตั้งแต่ได้รับโทรเลขแล้วก็โมโหเรื่อยมา”

หล่อนหัวเราะและรับ “จริง ตั้งแต่ได้รับโทรเลขแล้วก็โมโหเรื่อย มันก็น่าโมโหนี่มายุ่งจนตีนปัดทำอะไรก็ไม่ถูก ไอ้เวลาก็มีอยู่ ๒–๓ ชั่วโมงเท่านั้นเอง”

หล่อนตั้งต้นเล่าถึงเรื่องความยุ่งยากลำบากอีกพักหนึ่ง บันลือก็ทำหน้าที่แสดงความเห็นอกเห็นใจเช่นเดียวกับคราวก่อน เขารู้สึกว่าอารมณ์ของเขาเย็นรื่น และอาจจะฟังจิตราพูดเรื่องๆ เดียวกับที่หล่อนพูดอยู่นั้นได้เป็นเวลาหลาย ๆ ชั่วโมงโดยไม่รู้สึกรำคาญเลย บางคราวความคิดของเขาเลื่อนลอยไปบ้าง จนไม่ได้ยินว่าหล่อนพูดถึงอะไร แต่เขาคอยระวังสนองคำของหล่อนได้เหมาะแก่เวลาเสมอ และความมืดเป็นฝ่ายเขาในข้อที่จิตราไม่อาจเห็นสีหน้าและแววตาของเขาได้

ภายหลังจิตราย้อนกลับมาพูดเรื่องส่องสีเรื่องเจริญและเรื่องที่อยู่ของบันลือ ตั้งคำถามต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับบุคคลและสถานที่นี่ มันถือให้คำตอบแก่หล่อนอย่างตรงไปตรงมาบ้าง ยั่วให้หล่อนขัดใจโดยการใช้โวหารอันยอกย้อนตอบแก่หล่อนบ้าง เป็นเหตุให้คู่สนทนาทั้งสองฝ่ายได้รับอารมณ์ร่าเริงในทางสนุก สลับกับอารมณ์คิดอันเป็นงานเป็นการ จนรถแล่นมาถึงที่หมายก่อนที่จิตราจะได้มีเวลานึกถึงความมืดความเปลี่ยวและความยาวแห่งระยะทาง

รถหยุดสนิทในที่ใกล้ต้นยางคู่ จิตราจึงเหลียวไปเห็นแสงไฟอันแจ่มจ้าที่บนเรือน หล่อนร้องด้วยความพิศวง “อ้าว ถึงแล้วหรือนี่ ? ไหนว่าเดินทางกันเป็นชั่วโมง ๆ ก็ไม่รู้จักถึง เตรียมเบื่อมาเสียออกแย่”

เจ้าของบ้านหัวเราะแล้วว่า “เตรียมมาล้วนแต่ดี ๆ ทั้งนั้น เตรียมโมโห เตรียมเบื่อ ถ้าผู้รับรองเส้นประสาทอ่อนหน่อยก็เสร็จกัน ทำอะไรไม่ถูกเลย”

พูดแล้วบันลือก็ลุกจากที่เดิม ขึ้นนั่งบนขอบริมรถเพื่อรอให้ผู้อยู่ที่ทางข้างท้ายลงจากรถเสียก่อน จิตราสวมรองเท้าซึ่งหล่อนได้ถอดออกเสียเพื่อความสะดวกแก่การพับขาขึ้นบนที่นอน บันลือพูดขึ้นอีกว่า “แน่ะ ภัสดาเดินอกตั้งมารับแล้ว”

หล่อนหันไปดู แล้วก็หันกลับมาทำธุระกับรองเท้าพลางว่า

“ฉันลืมถามไป พวกนี้เขาว่ายังไงกันมั่งเวลาเขารู้ว่าฉันจะมา”

“ผมเพิ่งบอกเจริญเมื่อผมจะขึ้นรถไปรับคุณนี่เอง บอกแล้วผมก็ออกรถไป ไม่ยอมให้คำอธิบายอะไรเลย เชื่อว่าคงด่าคลุ้งเทียว”

จิตราหัวเราะแล้วหันไปเรียกสามี “เจริญ! ทางนี้ ฮัลโหล!” เสียงของหล่อนมีกังวานแห่งความรักและความชื่นชม “ลูกก็อยู่ตรงนี้ หลับมาเรื่อยตลอดทาง”

“เอามาทั้งสองคนรึ ?” เจริญถาม และเข้ามายืนเกาะรถอยู่ข้างภรรยา

“คนเดียว ยายแดง แล้วทำไงถึงจะอุ้มแกลงได้ละ แม้นไหวไหมแก?”

เจริญอ้อมไปทางท้ายรถแล้วขึ้นมาข้างบน เขาช้อนตัวลูกน้อยขึ้นได้อย่างง่ายดาย แล้วส่งให้แก่คนเลี้ยงผู้ยืนคอยอยู่ข้างล่าง บันลือสั่งต่อไปทันที

“ตรงไปที่เรือนนั่นแหละ—อ้าว!” เขาชะงักเมื่อเห็นภรณีเดินมาใกล้ “ไปหา...คนที่เดินมานั่นแน่ะ—ภร” เขาแข็งใจเรียกชื่อหล่อนออกไปได้ “ช่วยชี้ที่นอนให้หนูแดงหน่อย”

จิตราสอดแขนไขว้กับแขนของสามีกอดไว้ พลางถามว่า

“รู้ตัวแล้วหรือยัง เธอพาเอาอะไรมาให้บันลือเขา ทำให้เดือดร้อนถึงฉันต้องแล่นมาอีกคนหนึ่ง”

สามีของหล่อนหัวเราะ เขายังไม่เข้าใจการกระทำและความคิดของบันลือกับจิตราแจ่มแจ้งนัก แต่ความพอใจในการที่ภรรยามาถึง เป็นความรู้สึกเด่นอยู่เหนือความรู้สึกอื่น “ต้นร้ายปลายดีน่า” เขาตอบ แล้วพูดสืบไป “ใครจะไปรู้! ไม่เคยเห็นผู้หญิงวิตถารอย่างนี้”

“แล้วในที่สุดทำไมถึงรู้ล่ะ ?”

“เขาบอกเอง นั่งเล่าให้ฟังอย่างสนุกสนาน เจ้าของบ้านมันโกง หายหัวไปทั้งวัน ถึงเวลากินทีหนึ่งถึงจะโผล่มา แม่คนนั้นแกไม่รู้จะทำอะไรแกก็เกาะเราแจ”

“แอ้ม !” จิตราทำเสียงเบา ๆ แล้วเอียงคอมองดูสามี

บันลือพูดแกมหัวเราะ “เห็นไหมว่ามันจำเป็นที่ผมจะต้องเชิญเอาคุณมา พวกเราผู้ชายไม่มีปัญญาที่จะป้องกันตัวเอง”

“อื้ม์ !” จิตราทำเสียงอีก แล้วก็หันกลับไปถามสามี “ภรล่ะ ภรเขาว่ายังไง ? เขารู้เรื่องไหม ?”

เจริญทำท่าคิด แล้วจึงตอบแกมหัวเราะ

“เดาไม่ถูก แม่นั่นก็หายตัวเก่งเหมือนกัน แกมีธุระวันยังค่ำ”

เขาทั้งสามเดินมาใกล้จะถึงเรือน ส่องสีผู้ซึ่งยืนอยู่บนระเบียงส่งเสียงแหลมต้อนรับไปว่า

“แหม พี่จิตร ! พี่จิตร ไม่นึกเลยว่าจะมาพบกันในที่อย่างนี้ มันแปลกแสนจะแปลก ฉันเพิ่งรู้เมื่อค่ำนี่เองว่าพี่จิตรกับคุณเจริญ—บันลือทำอะไรเป็นความลับหมดเขาบอกแต่เมียเขาคนเดียวเท่านั้น คุณเจริญก็พึ่งรู้ว่าพี่จิตรจะมา”

จิตรานิ่งฟังคำพูดทั้งหมดนี้ด้วยอาการยิ้มน้อย ๆ หลายปีมาแล้ว ส่องสีกับหล่อนมิได้แลกเปลี่ยนคำพูดกันเกิน ๒–๓ คำ และเหตุที่ทำให้เจ้าหล่อนทั้งสองเกิดหมางใจกันขึ้น คือเหตุอันใดต่างฝ่ายต่างก็ไม่รู้แน่ ส่องสีจำได้ว่านับแต่เวลาที่หล่อนกับบันลือหย่าขาดจากกันแล้ว จิตราได้ทำเป็นไม่รู้จักหล่อน ส่วนจิตราก็จำได้ว่า นับแต่หย่าขาดจากบันลือ ส่องสีได้ทำท่าเป็นคนที่ไม่รู้จักกับจิตราไปด้วย

เมื่อส่องสีหยุดพูดแล้ว จิตรากล่าวด้วยกิริยาอันดี

“เดี๋ยว ขอโทษ ประเดี๋ยวคุยกันใหม่ ขอไปดูที่พักเสียก่อน อ้าว ! แม่บ้านยังไม่ได้พบกันเลย” หล่อนจับมือภรณีด้วยมือข้างซ้ายของหล่อน มือขวาโอบรอบบ่าภรณี “มาดูถี ให้พี่อยู่ยังไง”

เดินเคียงกันเข้ามาในห้อง จิตราตัดพ้อภรณีในข้อที่มิได้ส่งข่าวถึงหล่อน แล้วก็พูดถึงเรื่องอื่นต่อไปโดยไม่รอฟังคำตอบ เห็นมุ้งที่กางอยู่ริมฝาก็ทักมุ้ง เห็นตู้ก็ทักตู้ เห็นเตียงก็ทักเตียง เมื่อเดินไปที่หน้าต่างก็ทักภูมิประเทศและตัวเรือน ภรณีเดินตามและให้คำตอบไปตามเรื่อง ที่สุดจิตราหยุดยืนตรงหน้าเปียโนที่ตั้งอยู่ใกล้หน้าต่าง ๆ หนึ่งและกล่าวว่า

“อ้าว นี่เปียโนนี่ ไหนบันลือเขาว่าเธอเล่นออแกน ?”

“เปียโนมันพึ่งมาก่อนหน้าคุณพี่ห้าวันเท่านั้นเองค่ะ”

“อ๋อ ก็แปลว่าบันลือพึ่งซื้อมาสำหรับเธอเมื่อไปกรุงเทพ ฯ คราวที่แล้วมานั่นเอง แล้วเป็นยังไงยังเล่นได้ดีไหมเธอน่ะ ?”

“ไม่เป็นเรื่อง” ภรณีตอบพร้อมกับยิ้มและส่ายหน้า “มือแข็งเสียหมดแล้ว ดูโน้ตก็ไม่ค่อยทัน”

“หัดเสีย หัดเสีย” จิตรากล่าวอย่างขึงขัง “พี่จะบอกให้ บันลือชอบดนตรีเหลือเกิน แล้วชอบอย่างคนเป็นเสียด้วย ถามเขาซีนักแต่งคนไหนเกิดเมื่อไหร่ ตายเมื่อไหร่ แต่งเพลงอะไรไว้มั่ง ตอบได้เป็นฉากเชียว”

“ก็—ภรรยา—ก็เก่งมากนี่คะ เมื่อเช้านี้เข้ามานั่งเล่นอยู่เป็นนาน แต่โน้ตเพลงที่นี่ไม่มีพอ เขาต้องเล่นเพลงของเขาที่เขาจำได้ขึ้นใจ”

สีหน้าจิตราขรึมไปเล็กน้อย หล่อนถาม

“ทำไมเธอถึงรู้ว่าส่องสี—?”

“มีคนเขาบอก—”

“ใครบอก ? เจริญหรือ ?”

“ไม่ใช่ค่ะ แม่นมของ—คุณบันลือเอง แกจะตายเสียให้ได้ วันนี้ไม่ยอมขึ้นมาบนเรือนตลอดวัน แกว่าทนดูไม่ได้”

จิตรานิ่งไปอึดใจหนึ่งจึงพูดขึ้น

“อย่าไปฟังเสียงคนอย่างนมนั่น ภร แกอยู่ข้างหลังเรามา ๑๐๐ ปี บันลือเขาเป็นเยนเติลแมน เขาโทรเลขเรียกพี่มา เพราะส่องสีนี่แหละ เจ้าหล่อนแร่มาหาเขาเองเขาไม่ได้รู้ได้ชี้ด้วยเลย ผู้หญิงมาถึงบ้านเขา เขาก็ต้องรับรอง เธอต้องวางตัวของเธอให้เหมาะกับเรื่อง อย่าเอาแต่ความระแวงมาถือเป็นอารมณ์”

ภรณีมองไปในที่ซึ่งมิใช่วงหน้าหรือดวงตาของจิตรา มีความรู้สึกว่าก้อนอะไรก้อนหนึ่งแล่นขึ้นแล่นลงอยู่ตามลำคอ พยายามกลืนให้หายได้ด้วยความยากยิ่ง ในที่สุดหล่อนเดินไปที่เก้าอี้นวม แล้วหันกลับมากล่าวแก่อีกฝ่ายหนึ่ง

“คุณพี่จะนั่งที่นี่ไหมคะ ? หรือจะอาบน้ำ หรือจะรับประทานอาหาร ?” หล่อนหัวเราะ “คุณพี่จะทำอะไรก่อน ?”

“เรื่องกินน่ะ พี่กินมาแล้วเมื่อค่ำ แต่ให้กินอีกก็กิน พี่กินไม่รู้ว่าวันละกี่สิบหน ให้พี่อาบน้ำก่อนเถอะรู้สึกเย็น ๆ แต่เหนียวตัวพิลึก กระเป๋าของพี่อยู่ไหนล่ะ ? อ้อขอน้ำร้อนให้พี่อาบหน่อยได้ไหม ? ลำบากไหมเธอ ? ถ้าลำบากก็ไม่ต้อง พี่จะลูบตัวเอา”

“ไม่ลำบากหรอกค่ะ แต่ต้องรอนิดหน่อยตกลงจะอาบน้ำก่อนอื่นหรือคะ ? เดี๋ยวดิฉันไปสั่งเอาน้ำร้อนเดี๋ยวนี้”

ภรณีออกจากห้อง สวนกับบันลือที่ประตู เขาผู้นี้เมื่อเห็นจิตรานั่งอยู่บนเก้าอี้นวม ก็เข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าและถาม

“หายเหนื่อยหรือยังขอรับ คนสวยของบันลือทำไมมานั่งอยู่คนเดียว ?”

“ก็เจ้าของห้องเขาเพิ่งออกไปไม่เห็นหรอกหรือ เขาออกไปหาน้ำร้อนให้ฉันอาบ ไปเรียกเอาคนโรคมาน่ะมันยุ่งยังงี้เห็นไหม–?” หล่อนลุกขึ้นยืนและมองไปรอบตัว “ห้องนี้ท่าสบาย หน้าต่างประตูมีมากเหลือเกิน เอ๊ะเมื่อตะกี้ภรบอกว่าประตูไหนไม่รู้เปิดทะลุถึงห้องน้ำ”

เขาจับมือหล่อนสอดเข้าไปในแขนของเขา “มา ผมจะบอกให้” เขาพาหล่อนเดินพลางชี้ “นี่ประตูห้องน้ำ นั่นประตูห้องหนังสือ ภัสดาของคุณนอนในนี้” เขาพยายามจะเปิดประตูแต่ไม่สำเร็จ “ติดกลอนทางโน้นเสียแล้ว ประเดี๋ยวต้องจัดการเปิด” เขาหัวเราะและมองดูหน้าหล่อน แล้วจับลูกบิดประตูหันไปมาเพื่อให้แน่ใจว่าประตูติดกลอนหรือติดกุญแจ

“โน่นประตูห้องนอนผม” เขาพูดต่อไปโดยไม่วางมือจากลูกบิด “จำให้แม่น ๆ นะคุณ ประตูไหนห้องไหน เดี๋ยวผลัวะผละเข้าไปผิดห้องดึกๆ ดื่นๆ ผมไม่รับผิดชอบนะ”

จิตราจับเนื้อที่ปลายแขนเขาได้อย่างว่องไวและบิดโดยแรง เขาร้องโอ๊ย ! ด้วยความเจ็บและตกใจ ปล่อยมือจากลูกบิดในทันที ครั้นเมื่อเขาจะถอยหลังและหันหน้ามาทางหล่อน ส้นรองเท้าของเขาก็เหยียบเอาปลายรองเท้าของหล่อนเข้า เขายั้งตัวโดยแรงแล้วหมุนกลับ วางเท้าเฉียดเท้าจิตราไปนิดเดียว ส่วนแขนเขาก็โอบตัวจิตราไว้โดยแรงเพื่อยึดเป็นหลัก ครั้นเมื่อตั้งตัวได้ เขาหาปล่อยหล่อนไม่ กลับกอดไว้ด้วยแขนทั้งสองข้างและพูดเบา ๆ

“ทำเป็นชาววัง เดี๋ยวจะจูบแก้ลำเสียหรอก”

หล่อนผลักอกเขาพลางหัวเราะ แต่พูดอย่างเคือง

“เอ ! มาล่วงเกินคนแก่ เดี๋ยวยายภรแกจะ—แกเป็นเด็กโบราณร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม เธอรู้ไหม ?”

“ขอบคุณสวรรค์” บันลือกล่าวแกมหัวเราะ “ผมเอื้อมคนสมัยใหม่เต็มทน” เขาคลายวงแขนจากร่างหล่อนแล้วจับมือหล่อนขึ้นจูบ

เมื่อเงยหน้าขึ้นแล้ว เขาเห็นภรณียืนอยู่ตรงกลางห้อง เขาจึงว่า

“เจ้าของห้องมาแล้ว ผมหมดหน้าที่ ต่อไปนี้จะคอยแต่ว่าเมื่อไหร่พระแม่เจ้าจะเสวย จะได้โดยเสด็จด้วย”

“อ้าว !” จิตราร้อง “มีใครคอยจะกินพร้อมกับฉันด้วยหรือ ? กินเสียก่อนเถอะนะ อย่าคอยฉันเลย เดี๋ยวหิวแย่”

บันลือสั่นศีรษะ “ไม่ถึงกับแย่” เขาตอบ “เชิญแต่งเนื้อแต่งตัวตามสบาย ขอแต่อย่ามัวคุยกันเสียสองคนจนลืมพวกเราหมดก็แล้วกัน” แล้วเขาก็ออกไปจากห้อง

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ