๒๗

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ถึงความมั่งคั่ง แล้วตั้งอยู่นานไม่ได้ ย่อมเป็นเพราะสถานใด สถานหนึ่งใน ๔ สถาน คือ ๑. ไม่หาของที่หาย ๒. ไม่ซ่อมแซมของเก่า ๓. ไม่รู้จักประมาณการบริโภค ๔. ตั้งสตรีหรือบุรุษทุศีลเป็นแม่เรือนหรือพ่อเรือน

 

อีกสามวันต่อมา ในระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารกลางวัน พร้อมด้วยภรณีและแขกผู้มาพักอยู่ด้วยทั้งสามคน บันลือได้รับโทรเลขฉบับหนึ่งเขาฉีกออกอ่านแล้วมองดูกระดาษแผ่นนั้นนิ่งอยู่นาน ภายหลังอาการยิ้มน้อย ๆ ปรากฏขึ้นในสีหน้าของเขา เขาพับโทรเลขใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง

โทรเลขนั้นส่งในนามของมุกดา แจ้งว่าหล่อนจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ จำนวนผู้ที่จะมาเป็นผู้ใหญ่ ๕ เด็ก ๒ บันลือยิ้มเพราะนึกขันตัวเอง ในข้อที่ไม่เข้าใจการกระทำของตัวเอง เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเหตุใดเขาจึงเขียนจดหมายไปป่าวร้องเชื้อเชิญพี่น้อง ในเมื่อเขาเองก็เพิ่งจะได้ละจากพี่น้องมาเมื่อไม่กี่วันนี้ และยังมิทันจะได้นึกอยากพบปะกับพี่น้องอีก หรือต้องการความครึกครื้นจอแจมาเปลี่ยนอารมณ์แต่อย่างใดเลย

ที่จริงเขารู้ดีว่าสิ่งใดเป็นเหตุให้เขาเขียนจดหมายถึงมุกดา เมื่อ ๒–๓ วันที่แล้ว ส่องสีคือตัวเหตุสำคัญ ข้อที่บันลือไม่เข้าใจ คือความตื่นเต้นของตัวเองในการมาของส่องสี จนถึงกับตกใจเที่ยววิ่งวุ่นร้องขอความคุ้มครองจากคนทั้งหลาย สมองของเขาฟั่นเฟือนไปเสียแล้วหรือ—หรือว่าจิตใจของเขาวิปลาศไปอย่างใด ?

มองดูส่องสีแล้วมองต่อไปยังภรณี เจ้าหล่อนทั้งสองจำเพาะจะนั่งคู่กันระหว่างมุมโต๊ะคั่น—ถูกละ ส่องสีทำให้เขาตกใจจนต้องการความคุ้มครองจากคนอื่น แต่ว่าคุ้มครองในแง่ไหน คุ้มครองบันลือให้พ้นภัยที่จะเกิดจากการพบปะอย่างใกล้ชิดกับส่องสีกระนั้นหรือ ? หามิได้เลย บันลือรู้ดีว่าไม่มีอำนาจใดในโลก ไม่ว่าจะเป็นอำนาจทางดีหรือทางชั่ว จะชักจูงให้เขาอภิรมย์ยินดีด้วยส่องสีได้อีก ความปรารถนาของเขาในความคุ้มครองของผู้อื่นนั้น เกิดจากความต้องการที่จะป้องกันความเข้าใจผิดของ—ของผู้ที่ยังรู้จักเขาไม่ดีพอ

แต่หลังจากที่ได้อยู่ใกล้ส่องสีมาแล้ว ๕ วัน เขามองเห็นว่าความตื่นของตัวเข้าลักษณะที่เรียกว่าตื่นไปเองโดยไม่มีมูล มองดูส่องสีให้ทั่วทั้งร่างกาย แล้วเฝ้ามองต่อไปทุกอิริยาบถที่เคลื่อนไหว แล้วเฝ้าฟังคำพูดของหล่อนทุกคำ จะหาสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันเป็นเรื่องเป็นราวสักนิดก็ไม่มี คนเช่นนี้หรือจะเป็นภัยหรือเป็นประโยชน์แก่ใครได้ ? วิสัยคนธรรมดา จิตใจฝักใฝ่ไปในทางดี แต่อดที่จะมีส่วนชั่วปนอยู่มิได้ ทั้งการกระทำและคำพูดย่อมมีแก่นสารไปในทางที่ปนชั่ว ชั่วปนดี เป็นเครื่องสังเกตแก่ผู้ที่ได้พบเห็น คนพาลจิตใจฝักใฝ่ไปในทางเบียดเบียนผู้อื่น เพื่อหาประโยชน์ใส่ตัว การกระทำเป็นไปในทางเบียดเบียน และคำพูดส่อไปในทางให้ร้าย ก็ยังมีร่องมีรอยให้ผู้เห็นผู้ฟัง จับเหตุจับผลอันเป็นแก่นสารในทางชั่วได้ แต่ส่องสีนี้ การกระทำของหล่อน คำพูดของหล่อน แม้บันลือจะได้คิดแล้วคิดอีก ตรองแล้วตรองอีก สังเกตแล้วสังเกตอีก ก็ไม่พบความหมายเป็นแก่นสารไปในทางใดเลย

เป็นไปได้หรือที่หญิงคนนี้ได้เคยเป็นสื่อแห่งความรักถึงขีดลุ่มหลงให้แก่เขา แล้วก็ได้เคยเป็นสื่อแห่งความโกรธถึงขีดพยาบาท ความเกลียดถึงขีดมุ่งร้ายให้แก่เขาด้วย ! อะไรทำให้เขารักหล่อน เขารักหล่อนด้วยอะไร ? ถูกละ ถ้าผู้ใดกล่าวว่าส่องสีเป็นคนไม่สวย ผู้นั้นจะถูกหาว่าลำเอียงเพราะความเกลียด แต่ความสวยของส่องสีที่บันลือเห็นอยู่บัดนี้ มีลักษณะคล้ายดอกไม้ที่เหี่ยวเพราะถูกแดดเผาเสียก่อนที่จะได้บานเต็มที่ กิริยาของหล่อนประเปรียว ว่องไว แต่มีลักษณะรีบร้อนคล้ายผู้ที่จะรีบทำให้เสร็จ หรือรีบเร่งจะไปไหนเป็นพัก ๆ พ้นจากนั้นแล้วก็มีอาการอืดเกียจคร้าน แม้แต่จะกระดิกนิ้วกระดิกมือ มองดูหล่อนหยิบส้มโอใส่ปากและกัดเคี้ยวทีละน้อย ๆ เขารู้สึกคล้ายกับว่า ๆ กำลังมองดูหนูแทะแตงกวา ดวงตาของหล่อนไม่เคยอยู่นิ่ง มองส่ายไปทางนั้นมาทางนี้ ก็คล้ายกับตาของหนูที่คอยระวังอาหาร กลัวจะถูกสัตว์อื่นมาแย่งชิงเอาไปต่อหน้า เมื่อหล่อนใช้มือจับสิ่งของ เขารู้สึกว่าเขาเห็นหล่อนมีนิ้วมากกว่าคนธรรมดา ดูยุ่มย่ามอยู่ตามของที่หล่อนจับ นี่เห็นจะเป็นที่หล่อนไว้เล็บยาวมาก และทาไว้เป็นสีแดงเข้ม จนข่มสีอื่นตามอวัยวะต่าง ๆ ของหล่อนเสียสิ้น ลักษณะทั่วไปของหล่อนเป็นเช่นที่เป็นอยู่บัดนี้แต่ไหนแต่ไรมา หรือว่าเพิ่งจะเป็นก็เผอิญเขาได้เห็น?

หล่อนกำลังคุยไม่หยุดปากอยู่กับเจริญและจิตรา ถึงสมัยที่หล่อนอยู่ในต่างประเทศกับบิดามารดาของหล่อน ซึ่งเป็นสมัยที่จิตราได้ทำความรู้จักกับหล่อนเป็นครั้งแรก บันลือฟังพลางมองดูหล่อนอย่างเพลิน ในบางคราวเขาเป็นผู้ที่อาจจะเพลินในสิ่งที่ขัดตาได้เท่า ๆ กับเพลินในสิ่งที่เจริญตา ความรู้สึกที่เกิดแก่เขาในระหว่างความเพลินทั้งสองสถานนี้ แตกต่างกันในลักษณะที่เป็นความรังเกียจ สังเวช หรือเป็นความรื่นรมย์ยินดี

เขาได้ยินเจริญพูดกับภรณีเบา ๆ ในที่ไม่ต้องการแข่งเสียงกับผู้ที่พูดอยู่แล้ว เขามองไปยังภรณี เห็นหล่อนยิ้มกับเจริญแล้วเหยียดแขนออกเล็กน้อย เพื่อเอื้อมหยิบเกลือให้แก่เขาผู้นี้ ช้อนตักเกลือนั้นเล็กนิดตามธรรมดาของช้อนตักเกลือทั้งหลาย แต่เมื่ออยู่ระหว่างนิ้วมือภรณี ก็หาทำให้เห็นว่าขนาดของช้อนเล็กเกินขนาดมือของภรณีไม่ บันลือเคยสังเกตมาหลายครั้ง ภรณีมีวิธีจับของทั้งเล็กและใหญ่ให้เห็นว่าขนาดและน้ำหนักแห่งของพอเหมาะกับขนาดและกำลังแห่งมือหล่อนเสมอ เขาไม่เคยเห็นหล่อนมีท่าว่าเกร็งข้อ หรือเบ่งกล้ามเนื้อ หรือตึงเส้นเอ็นส่วนหนึ่งส่วนใดเลย

“วันนี้ไปเที่ยวอำเภอให้ได้นะ บันลือ” เสียงส่องสีพูดขึ้น

เขามองกลับมายังหล่อน และตอบอย่างอารมณ์ดี

“ได้ แต่ประเดี๋ยวคุณก็หลับเสียจนเย็นเหมือนเมื่อวานนี้ คนอื่นก็พลอยเตรียมตัวค้างไปด้วย”

“ไม่หลับ วันนี้ไม่หลับ” ส่องสีตอบอย่างยืนยัน แล้วหัวเราะคิก ๆ เมื่อพูดต่อไป “เมื่อวานก็ไม่ได้หลับจนเย็น ตื่นขึ้นทีหนึ่งแล้ว แล้วนึกขึ้นมาว่าไม่รู้จะทำอะไรเลยหลับต่อไปอีก”

ภรณีพูดขึ้นว่า “ขอรับประทานโทษ” แล้วลุกจากเก้าอี้ เดินไปที่ริมระเบียงเรือน ชายชาวพื้นเมืองคนหนึ่งเดินมาถึงตรงนั้น มือซ้ายจับชายโสร่งโจงไว้ มือขวาถือตะกร้าใบใหญ่

ส่องสีมองตามภรณี “อะไรนั่น บันลือ ยางคู่ของเธอจะไปไหน ? เอ๊ะ นั่นตะกร้าอะไร ? ฮึอะไรน่ะ พี่จิตร ? เอ๊ะ ตะกร้าอะไร ?”

ความกระตือรือร้นของส่องสีทำให้เจริญกับจิตราต้องเหลียวไปทางที่ภรณียืนอยู่ด้วย แต่บันลือรู้ว่าไม่มีสิ่งที่น่าทึ่งน่าพิศวงอย่างใดเกิดขึ้นเลย ความสอดรู้สอดเห็นอย่างแรงกล้าจนเกินส่วนที่มีประจำอยู่ในสันดานมนุษย์ธรรมดา เป็นนิสัยอันหนึ่งของส่องสี เมื่อหล่อนอยากรู้อยากเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้นมา หล่อนทำอาการเสมือนกับว่า ความเป็นความตายของหล่อนขึ้นอยู่กับสิ่งนั้น เขาให้คำตอบแก่หล่อนโดยสุภาพ ทั้งที่สมองของเขากำลังรำพึงถึงเดรัจฉานวิสัย เกี่ยวด้วยสัญชาตญาณ ความสอดรู้สอดเห็นอันเป็นอาการแสดงออกส่วนหนึ่งของสัญชาตญาณความรักตัว วิสัยสัตว์มีความจำเป็นที่จะต้องรักษาตัวจากภัยอันเกิดแก่สัตว์ด้วยกัน จึงต้องมีความระแวดระวังสังเกตความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ไม่ว่ามากว่าน้อยเป็นเครื่องช่วยตัวมนุษย์ซึ่งยังไม่ไกลจากเดรัจฉานวิสัย ก็มักจะมีความระแวดระวังอย่างมากตกค้างอยู่ในสันดาน แต่การแสดงออกของสัญชาตญาณความระวังตัวกลัวภัยนี้ มนุษย์ด้วยกันพากันเรียกว่าความอยากรู้อยากเห็น แล้วก็มีความเข้าใจจำกัดอยู่ภายในขอบเขตแห่งความหมายของคำนั้นเอง

“เขาเอาไข่มาส่ง” เป็นคำอธิบายที่เขาให้แก่ส่องสี ส่วนชายผู้ถือตะกร้าไข่ มองมาเห็นเขาก็พูดขึ้นด้วยเสียง

“ไอ้แดงหงอนของพ่อคุณท่ามันเพลีย วานนี้มันงึมไปชั่ววัน”

บันลือหันไปยิ้มรับคำพูดนั้น แล้วก็ลุกขึ้นจากที่เดินเข้าไปหาผู้พูด “หมั่นให้ยามันหน่อยซี” เขากล่าวเมื่อไปถึงริมระเบียงแล้ว

“ไอ้หน่อยก็ไข้ชั่ววัน วานนี้ตัวมันอึ้ด นอนงึม เช้านี่ค่อยถอย ได้ยาแม่คุณ ตัวมันค่อยเยียบ”

“พ่อลุงกลับไปนี่ละก็ ให้เสียอีกเม็ดหนึ่งนะ” ภรณีสั่ง “แล้วให้นอนนิ่ง ๆ อย่าให้ถูกเยียบถูกอึ้ด แดดก็ถูกไม่ได้ ลมก็ถูกไม่ได้เข้าใจไหม ?” แล้วหล่อนสั่งต่อไป ให้เขานำตะกร้าไข่ไปที่เรือนครัว

ชายนั้นเดินห่างเจ้าของบ้านไป แล้วก็ปล่อยชายโสร่งที่เขาโจงไว้ให้ตกลงมากรอมขาตามเดิม บันลือควักโทรเลขจากกระเป๋าส่งให้ภรณี

เขายืนนิ่งดูหล่อนอ่านโทรเลข รู้สึกว่าหล่อนใช้เวลานานมาก ครั้นแล้วก็พับกระดาษแผ่นนั้นส่งคืนให้เขาโดยไม่พูดว่ากระไร ทั้งสีหน้าของหล่อนก็เฉย คล้ายกับไม่มีความรู้สึกอันใดเลย หมู่นี้ภรณีออกจะใช้สีหน้าเฉยเช่นนี้ทุกเวลาที่หล่อนพูดกับเขา หรือที่เขาพูดกับหล่อน ความสะดุดใจในข้อนี้ ทำให้บันลือเกิดโมโหมาหลายครั้งแล้ว แต่มิใช่โมโหอันเกิดจากความโกรธ ความแค้น และความชิงชัง เป็นโมโหอันเกิดจากความสนเท่ห์ งงงวย ไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ จึงไม่เป็นโมโหที่ก่อให้เกิดมีการกระทำเพื่อตอบแทน ตรงกันข้าม บันลือโมโหเพราะความเฉยของภรณีมากเท่าใด ก็เกิดความใคร่ที่จะทำให้ภรณีพูดกับตัวด้วยลักษณะที่หล่อนพูดกับคนอื่นมากขึ้นเท่านั้น

บัดนี้ หล่อนละจากเขากลับไปนั่งที่โต๊ะ แล้วในทันใดนั้นเอง ก็ยิ้มตอบคำพูดของเจริญที่พูดว่า

“ขอลาไปนอน ยิ่งอิ่มเข้าไปด้วย ลืมตาจะไม่ขึ้นเสียให้ได้”

ทั้งนี้เพราะในตอนกลางคืน เจริญได้เข้าป่าไปกับบันลือ พร้อมด้วยนายพรานชาวพื้นเมือง และผู้ชำนาญป่าอีกหลายคน พึ่งจะกลับมาถึงที่พักเมื่อแดดแข็งแล้ว กวาง ๑ ตัว อีเก้ง ๑ ตัว ที่เขาช่วยกันยิงมาได้ ทำให้เจริญร่าเริงมากตลอดเวลาสายจนถึงกลางวัน

“เราก็ควรจะนอนนะ ภร” จิตราว่า “เพราะเมื่อคืนเรานอนไม่เต็มอิ่ม อดเป็นห่วงไม่ได้ ตื่นขึ้นมาตอนตีสี่ เผอิญตื่นพร้อมกันเสียด้วย เลยนอนคุยกันเสียเป็นนาน กว่าจะได้หลับอีกสักตีห้าได้ไหม ?”

“แล้วตอนเช้าพี่จิตรตื่นสายกว่าฉันเป็นไหน ๆ” ส่องสีกล่าว “ฉันตื่นขึ้นมาไม่พบใครสักคน เที่ยวเดินเบื่อแทบตาย”

จิตรารำคาญคำว่าเบื่อของส่องสีมาหลายครั้งแล้วครั้งนี้หล่อนจึงว่า

“ส่องสีน่ะ รู้สึกว่าอยู่ในโลกโดยความเบื่อใช่ไหม ? เห็นแต่บ่นว่าเมื่อวันละหลายหน”

“ก็มันเบื่อจริง ๆ นี่นา” อีกฝ่ายหนึ่งตอบ “ตื่นขึ้นหาคนจะพูดด้วยก็ไม่มี”

“พี่น่ะตรงกันข้าม” จิตราหันมาทางภรณี “หาเวลาเบื่อยังไม่ได้ มาถึงนี่ดูอะไร ๆ มันสบายไปหมด กินสบาย นอนสบาย นั่งเฉย ๆ ก็สบาย ถ้าไม่เกรงใจว่าหนุ่มสาวเขาแต่งงานกันใหม่ ๆ จะอยู่เสียสักสามเดือน”

“ใครแต่งงานใหม่ พี่จิตร ?” ส่องสีถาม

จิตราหัวเราะแล้วว่า

“ก็เจ้าของบ้านนี้น่ะซี เขาแต่งงานกันไม่ทันกี่วันเราก็มากวนแล้ว ที่จริงจะนับว่าเขากำลังอยู่ในระหว่างฮันนีมูนก็ได้”

“อะไรกัน !” ส่องสีอุทาน “เขาแต่งงานกันมาตั้งสามเดือนแล้วไม่ใช่หรือ ? นานพอที่จะเบื่อหน้ากันแล้วละเมื่อคราวฉันยังไง พอจวนจะครบสี่เดือนก็หย่ากันพอดี”

จิตราอึ้งไปเพราะความรำคาญ ที่กำเริบขึ้นมากลายเป็นความเบื่อหน่ายชิงชัง บันลือหัวเราะดังมาจากที่ ๆ เขายืนอยู่แล้วพูดว่า

“คุณส่องสีชอบเอาตัวของเธอไปเที่ยวเปรียบกับใคร ๆ ทั่วไป ผมบอกให้ก็ไม่เชื่อ คุณน่ะเป็นมนุษย์ตัวอย่าง หาใครเหมือนอีกเป็นไม่มีแล้ว”

“ขอบใจ” ฝ่ายเจ้าหล่อนตอบด้วยเสียงอันแหลม “ฉันก็ไม่ชอบเหมือนใครในโลก”

“ภร” จิตราเอ่ยขึ้นในทันทีนั้น เพื่อระงับความอึดอัดของตัวเอง “ไปเล่นเปียโนให้พี่ฟังหน่อยเถอะ อากาศสบายอย่างนี้ เผื่อได้ฟังเพลงเพราะ ๆ ละก็วิเศษเป็นไม่มีอะไรสู้เทียว”

ดูเหมือนภรณีจะเพลินอยู่กับการจัดสิ่งของที่ยังวางอยู่บนโต๊ะจนไม่ได้ยินคำพูดใด ๆ จิตราจึงพูดซ้ำอีก

“แหม ก็มือแค่ดิฉัน เพลงมันจะเพราะได้ยังไงล่ะคะ” ภรณีกล่าว สายตายังจับอยู่ที่โต๊ะและผิวหน้ากำลังเป็นสีแดงเรื่อ ๆ

“ทำไม เซเรเนด ของ ชูเบอร์ต ที่เธอเล่นเมื่อวานนี้น่ะ เพราะดีออก แล้วก็เพลงชุดของสเตร๊าส์ เธอก็เล่นได้ออกดี ไปไป๊ อย่าให้เสียอ้อนวอน”

สีหน้าภรณีแดงจัดยิ่งขึ้น และรู้สึกว่านิ้วมือก็เริ่มสั่นเสียก่อนที่ตาจะได้มองเห็นเปียโน เมื่อวานนี้กับวันนี้ต่างกันมาก เพราะเมื่อวานนี้มีแต่จิตรากับส่องสีเป็นผู้ฟังและภรณีมีความทะนงที่จะแสดงความสามารถของตนเพื่อข่มการแสดงของส่องสีให้ราบคาบประจักษ์แก่ความคิดของจิตรา แต่วันนี้—อย่างไรก็ตาม หล่อนไม่อาจขัดคำขอร้องของจิตราได้ หลังจากที่คำขอร้องนั้นกลายเป็นคำวิงวอนและมีทีท่าจะกลายเป็นคำตัดพ้อ

หล่อนเดินไปเรียกคนใช้มาเก็บของที่โต๊ะอาหาร แล้วหล่อนเองก็เข้าในห้องของหล่อน

“บันลือ” ส่องสีเรียก “มานั่งที่นี่เถอะนะ ไปยืนอยู่ทำไม”

เมื่อเขาเดินมาใกล้จะถึงที่นั่งส่องสีก็พูดว่า “ที่บ้านเธอนี่น่ะมันขาดอะไรไปอย่างหนึ่งเธอรู้ไหม ? เก้าอี้ ไอ้เก้าอี้พวกนี้มันดีแต่สำหรับเวลากินข้าวเท่านั้นเอง”

“ก็ผมไม่เคยขาด ไม่เคยคิดว่าจะมีแขกชั้นสูงอย่างคุณ” เจ้าของบ้านตอบเรียบ ๆ “บ้านไร่บ้านป่าก็จำเป็นต้องขาด ๆ เหลือ ๆ อย่างนี้เอง”

“สั่งเอามาไว้สักชุดเถอะน่ะ แบบสวย ๆ ใหม่ ๆ มีถมไป ฉันซื้อไปไว้ที่บ้านเมื่อสองเดือนมานี่เองหกตัวด้วยกัน บ้านหัวเมืองนะไม่ใช่บ้านกรุงเทพฯ” แล้วส่องสีก็อธิบายลักษณะเก้าอี้ที่หล่อนซื้อใหม่อย่างยืดยาว พร้อมกับบอกชื่อห้างที่ขายเก้าอี้นั้นด้วย

ระหว่างนี้เสียงเพลงที่ดังขึ้นจากเปียโนก้องกังวานอยู่ครู่หนึ่งแล้ว จิตราทำท่าสงบอารมณ์ตั้งใจฟังอย่างจริงจัง และพอใจที่ได้ทำดังนั้น เพื่อจะไม่ต้องเอาใจใส่กับคำพูดของส่องสี ส่วนบันลือมีความสนใจมากในเสียงเพลง แต่ต้องรักษากิริยาให้เป็นทีว่าเอาใจใส่ฟังส่องสีพูด จนกระทั่งส่องสีเองรู้สึกเบื่อที่ต้องส่งเสียงแข่งกับเสียงเพลงก็หยุดพูด ครั้นแล้วหลังจากที่ได้นั่งนิ่งอยู่ ๓–๔ นาทีหล่อนก็หาวหลายครั้งในที่สุดก็ลุกจากที่นั่งโดยไม่พูดจาว่ากระไร แล้วหายเงียบเข้าไปในห้องที่พักของหล่อน

จิตราหันมามองดูบันลือ แล้วพูดเบา ๆ ว่า “หวังใจว่าจะนอนหลับเค้เก้ไม่ออกมาพูดกวนหูมนุษย์อีก”

“สัตว์ประหลาด” เขาตอบพร้อมกับส่ายหน้า

“แล้วยังไง ? ตราบเท่าที่แม่เทวดานี้ยังไม่กลับ ฉันก็จะต้องอยู่เป็น—เป็นอะไร ? จริงนะ ฉันก็ยังไม่รู้ว่าอยู่สำหรับเป็นอะไร ?”

“เป็นเพื่อน” บันลือตอบด้วยเสียงหนักและอ่อนโยน พร้อมกันนั้นเขาสอดมือเข้าในกระเป๋ากางเกง ด้วยนึกจะหยิบโทรเลขให้จิตราดู แต่ครั้นแล้วก็กลับชักมือออกและพูดว่า “ก็ไหนคุณว่าอยู่ที่นี่สบาย อยากจะอยู่สักสามเดือน ถ้าไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน ?”

“นั่นมันส่วนความอยากความสบาย แต่ความเบื่อมันก็มีเหมือนกัน บอกตรง ๆ ฉันเบื่อส่องสีจวน ๆ จะทนไม่ได้อยู่แล้ว” จิตราส่ายหน้าประกอบคำพูด แล้วปรารภ “ภรแกรู้สึกยังไงมั่งนะ ? แหม แกช่างซ่อนความรู้สึกเก่งพิลึก อ่านอะไรของแกไม่ออกเลย”

บันลือมองดูผู้พูดด้วยความประหลาดใจ พร้อมกับใช้ความคิดอย่างเพ่งเล็ง ภรณีมิได้แสดงความรู้สึกอย่างใดให้จิตรารู้ นี่จะแปลว่าภรณีไม่มีความรู้สึกอย่างใดเลยหรือจะแปลว่าภรณีเป็นผู้เชี่ยวชาญในการซ่อนความรู้สึกอย่างเอกอุ ? สีหน้าเฉยของหล่อนที่กวนเส้นประสาทเขาบ่อย ๆ นั้นมีความหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือว่าหาความหมายอันใดมิได้เลย ? ฟังเสียงเพลงที่หล่อนทำให้กังวานอยู่ในหูของเขาบัดนี้ เขานึกอยากจะเห็นสีหน้าและท่าทางของหล่อน—ที่จริง เขานึกอยากเห็นหล่อนเมื่อใดเขาก็เห็นหล่อนได้เมื่อนั้น โดยไม่พักต้องอาศัยสายตา ทั้งรูปร่างท่วงทีสีหน้ารวมทั้งสิ่งอื่น ๆ ที่ประกอบกันเป็นตัวหล่อน อยู่ในความจำของเขาอย่างแม่นยำถนัดชัดเจน สิ่งเดียวที่เขานึกไม่ออก ตรองไม่เห็น เดาไม่ได้คือจิตใจของหล่อน เผอิญเขาก็สนใจในสิ่งนี้ยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ ทั้งหมด เมื่อไร และโดยวิธีใด เขาจึงจะทำสิ่งนี้ให้พ้นจากลักษณะเป็นความลับสำหรับเขาได้

“ความอยากได้หน้าของฉันน่ะ มันไม่พอกับความรำคาญของฉันดอกนะ บันลือ” จิตราพูดสืบไป “แล้วเธอกับเจริญน่ะ เอาเปรียบฉันข้างเดียว เช้าขึ้นก็ออกเที่ยวเข้าป่าเข้าดงไปไหนไม่รู้วันยังค่ำ ๆ ส่วนฉันต้องนั่งฟังคนบ้าพูดบ้า ๆ อะไรอยู่คนเดียว”

“โถ !” เขาตอบอย่างอ่อนหวาน “เป็นพระเดชพระคุณอย่างที่สุด ผมเห็นใจคุณจริง ๆ ยังไม่เคยคิดสักอึดใจเดียวว่าคุณมาช่วยแก้ความขัดข้องให้ผมเพราะอยากได้หน้า คราวนี้ไม่ใช่อย่างนั้นแน่ ๆ ถ้าจะว่ามาเพราะความอ่อนแอละก็อาจเป็นได้ คนเราบางคนมีความอ่อนแออย่างประหลาด ผมคนหนึ่งละอ่อนแอพิลึก บางเวลาผมต้องช่วยใคร ๆ เพราะว่าถ้าไม่ช่วยกลัวเขาจะนินทาว่าใจดำ” แล้วบันลือก็หัวเราะ

มองเห็นความเคืองปรากฏในสีหน้าจิตรา บันลือก็เอื้อมมือไปจับมือหล่อนบีบพร้อมกับหัวเราะอย่างขบขันยิ่งขึ้น และพูดว่า

“อกตัญญูจริงนะบันลือนี่ !” เขาเปลี่ยนเสียง “เพราะรักดอกจึงหยอกเล่น ย่อมเป็นประเพณีเสน่หา—อย่าโกรธเล้ยคนสวย”

จิตราชักแขนของหล่อนให้พ้นจากมือเขา เมินหน้าพร้อมกับพูดว่า “เกลียด ไม่อยากพูดด้วย”

ขอร้อง “โธ่ !” เบา ๆ และก็ไม่พูดอะไรอีก

เสียงเพลงอันเป็นทำนองปลุกความร่าเริง ทำให้เขาเห็นสีหน้าหัวเราะของภรณี หล่อนหัวเราะบ่อยครั้งอยู่ในหมู่ ๒–๓ วันนี้ แต่เขาไม่แน่ใจว่าหล่อนหัวเราะด้วยความร่าเริงอย่างแท้จริง หรือหัวเราะเพราะรู้สึกขันชั่วครู่ชั่วคราว อย่างไรก็ตาม บันลือสังเกตเห็นว่า คำพูดของเขาไม่ว่าจะขบขันหรือคมคายเพียงใด ไม่เคยทำให้ภรณีหัวเราะได้เลย แต่คำพูดของผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เจริญพูด เป็นเหตุให้ภรณีหัวเราะ ก่อนที่คนอื่นจะมองเห็นแง่ขันเสียด้วยซ้ำ

บันลือสังเกตเห็นอีกว่า ภรณีกับเจริญมีโอกาสนั่งคุยกันในที่ห่างจากคนอื่นคราวละนาน ๆ บ่อย ๆ เป็นเหตุให้เกิดความสงสัยว่าบุคคลทั้งสองนี้ เคยรักใคร่สนิทสนมกันมานานเพียงใด ยิ่งกว่านั้นความเพลิดเพลินที่ปรากฏเป็นอาการแห่งบุคคลทั้งสองในระหว่างที่เขาสนทนากัน เป็นเหตุให้เกิดความสงสัยว่าเจริญมีลักษณะอย่างใดอยู่ในตัวจึงเป็นที่ถูกใจภรณีมากนัก

แท้จริงในเรื่องความชอบพอระหว่างเจริญกับภรณีนี้ ภรณีเป็นฝ่ายรับมากกว่าที่จะเป็นฝ่ายให้ ไมตรีจิตที่เจริญมีต่อภรณีนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่เจริญจะได้เห็นตัวภรณี ทั้งจิตราและภรณีจะประหลาดใจไม่น้อย ถ้าหล่อนรู้ว่าเจริญจำประวัติส่วนตัวของภรณีในบางตอนได้แม่นยำและละเอียดลออดีกว่าที่จิตราจำได้เสียอีก

จิตรารู้และจำได้ว่าภรณีเป็นลูกที่เกิดแต่มารดาที่มิได้แต่งงานกับบิดาของหล่อนตามประเพณีนิยม ถ้าจะกล่าวให้สั้นและง่ายโดยไม่กังวลถึงความเข้าใจของผู้ฟังและความรู้สึกของบุคคลสำคัญในเรื่อง ก็กล่าวได้ว่าเป็นลูกเมียน้อย ตั้งแต่เล็กทีเดียว จนกระทั่งถึงอายุที่ควรเล่าเรียน ภรณีอยู่กับมารดาและญาติทางมารดาของหล่อนและเพิ่งจะได้ทำความรู้จักกับบิดา เมื่อหล่อนเติบโตจนเกือบจะเป็นสาวแล้ว รายละเอียดนอกไปจากนี้จิตรารู้แล้วก็ลืมหาได้สนใจจำไว้ไม่ ส่วนเจริญสินอกจากจะจำรายละเอียดได้ถี่ถ้วนเท่าที่ภรรยาเคยเล่าให้ฟัง เขายังสามารถพิเคราะห์เหตุการณ์และวิจารณ์รายละเอียดของเหตุการณ์ที่เขาจำไว้ได้ด้วย

ทั้งนี้ก็เพราะว่าประวัติการกำเนิด และบั้นต้นแห่งการเติบโตของภรณีคล้ายคลึงกับประวัติของเจริญเองมากที่สุดเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นทุกชั่วคนและอาจจะเกิดต่อไปทุก ๆ ชั่วด้วย ญาติฝ่ายหนึ่งมียศ มีทรัพย์ มีความอารี ญาติอีกฝ่ายหนึ่งหลงใหลในยศในทรัพย์ ในความอารีของญาตินั้น แม้ลูกในอกก็ยกให้เขาไป เพราะหวังจะให้ลูกได้ความสุขจากส่วนแห่งยศแห่งทรัพย์ แห่งความอารีของเขาด้วย อีกหลายปีต่อมาลูกชายของฝ่ายผู้มีบุญทำหญิงที่บิดามารดารับฝากไว้จากญาติให้เป็นภรรยาของตน ครั้นแล้วก็ไม่มีการตบแต่งเชิดชูยกย่องออกหน้าลูกที่เกิดแต่พ่อหนุ่ม แม่สาว ที่ถือความพอใจของตนเป็นใหญ่กว่าความรู้สึกของบิดามารดาก็อยู่ในฐานะที่เรียกว่าเป็นลูกเมียน้อย หรืออย่างดีที่สุดก็เรียกว่าลูกเมียเดิม พ่อแม่ของเด็กที่มีกำเนิดเช่นนี้ บางคู่ก็เลิกร้างกันเสียตั้งแต่เด็กยังอยู่ในครรภ์แม่ ส่วนปู่และย่ากับตา และยาย ก็กินแหนงแคลงใจกันแต่นั้นมา บางคราวถึงกับตัดความเป็นญาติ ขาดความเป็นมิตร มุ่งหน้าเป็นศัตรูซึ่งกันและกัน

เมื่อแรกรู้ความเจริญมีความรู้สึกมากในเรื่องกำเนิดอันไม่น่านิยมชมชื่นของเขา เขาจะเป็นชายที่มีปมด้อยขนาดใหญ่อยู่ในจิตใจ ซึ่งจะเป็นภัยส่วนหนึ่งแห่งความเจริญ ถ้าหากเขาไม่เผอิญเป็นผู้มีความเด่นบางประการอยู่ในตัว เช่นความเด่นในการเรียนเก่ง และความเด่นในการกีฬาเป็นเครื่องทดแทนความด้อยแห่งกำเนิด ถึงกระนั้นก็ดี เจริญไม่อาจยืนยันว่าตัวเป็นผู้ที่ไม่มีปมด้อยแฝงอยู่ในจิตไร้สำนึก เขาสงสัยว่ากรุณาจิตและมุทิตาจิตที่เขารู้สึกเป็นพิเศษ ต่อผู้มีกำเนิดอันคล้ายคลึงกับตัวเขาเป็นเครื่องแสดงออกของปมที่กล่าวแล้ว

เฉพาะภรณี หล่อนไม่เคยต้องผจญกับความน้อยหน้าต่อน้องซึ่งเกิดแต่ภรรยาแต่งของบิดา เพราะเมื่อมารดาของภรณีตั้งครรภ์ ความมีวาสนาแห่งญาติผู้ใหญ่ทางฝ่ายบิดาของภรณีก็กำลังเสื่อมลงอยู่แล้ว ทรัพย์สมบัติกองใหญ่ละลายไปด้วยกรณีต่าง ๆ ซึ่งเจ้าของทรัพย์เองก็ไม่รู้ชัดว่าเกิดแต่เหตุใด หญิงผู้เป็นย่าของภรณีเกียจกันภรรยาคนแรกของลูกชาย มิให้ได้รับความยกย่องเป็นภรรยาที่ออกหน้า เพราะต้องการจะให้ลูกชายแต่งงานกับธิดาของผู้มั่งคั่งคนหนึ่งเพื่อจะใช้ความมั่งคั่งของหญิงนั้นฟื้นฟูฐานะแห่งครอบครัวของตน เหตุการณ์เป็นไปตามความปรารถนาแต่มิได้เป็นอยู่ยั่งยืน ความเสื่อมที่เกิดแล้วชะงักอยู่ชั่วคราว กลับเสื่อมทรุดลงไปอีกและบิดาของภรณีเป็นผู้มีสติปัญญาอยู่ในระดับอันค่อนข้างต่ำ การก้าวหน้าในทางราชการเป็นไปอย่างเฉื่อยช้า ฐานะส่วนรวมของครอบครัวนี้ก็ถอยลงมาจนเท่ากับฐานะแห่งญาติฝ่ายมารดาของภรณี และภรณีกลับเป็นผู้ที่มีโอกาสในการศึกษาดีกว่าน้อง ๆ ของหล่อน เพราะตาและยายของภรณีเป็นผู้ใฝ่ใจ ในการก้าวหน้าให้ทันเพื่อนและเต็มใจเสียสละส่วนทรัพย์อันไม่มากมายของตน เพื่อจะได้ชื่อว่าได้ให้หลานเล่าเรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุดโรงเรียนหนึ่ง

เสียงเพลงชุดของสเตร๊าส์จบลงด้วยบลูดานุบ ท่อนปลายในระหว่างความเงียบซึ่งกระแสคลื่นแห่งเสียงเพลงยังก้องอยู่ในกระแสคลื่นแห่งอากาศนั้น จิตราหันมาพูดแก่บันลือว่า

“เขาเล่นพอฟังได้นะ ถ้าเธอหมั่นติหมั่นสอนสักหน่อยจะดีขึ้นได้อีกเยอะทีเดียว”

บันลือยิ้มแทนคำตอบ เขาได้เคยฟังเพลงที่ภรณีเล่น ๒–๓ ครั้งแล้ว มีความคิดอย่างที่จิตรากล่าวแก่เขานี้ แต่เขาไม่เคยแสดงตัวให้ภรณีรู้ว่าเขาได้ยินเพลงที่หล่อนเล่น เขาไม่เข้าใจตัวเองว่าเหตุใดจึงเป็นดังนั้น แต่ก็ปล่อยตัวให้เป็นดังนั้นเรื่อยมา เสียงเพลงทำนองเซเรเนดกังวานมาแทนเพลงวอลต์ส บันลือฟังด้วยความตั้งใจ เขาจับความบกพร่องในทำนองแห่งเพลงได้หลายแห่ง และรู้ว่าผู้เล่นไม่เข้าใจเพลงที่คนเล่นลึกซึ้งพอ ถึงกระนั้นเขานึกชมหล่อนที่มีความรู้สึกในทางดนตรีพอสมควร จึงทำให้เสียงเพลงมีลักษณะอันหนึ่งที่เป็นอำนาจทำความรู้สึกของผู้ฟังให้เพลิดเพลินไปตามเพลงได้เหมือนกัน

  1. ๑. Serenade

  2. ๒. Schubert

  3. ๓. Strauss

  4. ๔. Blue Danube

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ