๑๑
ภัททิยะ ท่านสำคัญว่ากระไร สารัมภะ (ความแข่งดีกัน) ย่อมเกิดขึ้น
เพื่อประโยชน์หรือเพื่อความเสื่อมเสีย ?—
ภัททิยะ บุคคลเหล่าใดเป็นสัตบุรุษ–บุคคลเหล่านั้นย่อมชักชวนสาวกว่า “แนะผู้เจริญ—ท่านจงละสารัมภะเสียเถิด เมื่อท่านละสารัมภะเสียได้ จะได้ไม่ทำกรรมที่เกิดเพราะสารัมภะ ด้วยกายวาจาใจ”
จิตราจับแขนสามี บอกให้เขาดูคนหมู่หนึ่งที่กำลังขึ้นบันไดไปเบื้องหน้าหล่อน พร้อมกับพูดเป็นเชิงตำหนิแกมเห็นขัน
“ดูๆ ดูพ่อโฉมเอกของฉัน ! ให้เราไปทาบทามขอลูกสาวเขาไว้จนจะหมั้นกันอยู่แล้ว ยังมาเที่ยวกับผู้หญิงเป็นกองโต !”
“เอ๊ะ เขามากันเมื่อไหร่ เราไม่ยักเห็น” เจริญว่า
ในทันใดนั้นเอง ผู้ที่เขาทั้งสองกำลังกล่าวขวัญอยู่ก็หันหลังกลับ ลงบันไดมา เมื่อเห็นจิตรากับเจริญ สีหน้าของเขาซึ่งมีรอยยิ้มอยู่แล้ว ก็มีลักษณะยิ้มมากขึ้นอีก ตรงเข้ามายังสามีภรรยาและพูดว่า
“แหม คุณ ! เคราะห์ดีจริงได้พบที่นี่ กำลังคิดถึงใจจะขาด”
“ตอแหล !” จิตรากล่าว “มากับสาว ๆ เป็นกองโตหรือจะมาคิดถึงคนแก่อย่างฉัน ระวังนะ ฉันเวลานี้รักษาการณ์ในตำแหน่งแม่ยายเธอ”
เขาทำเสียง จุ๊! จุ๊! แล้วว่า “อะไร ช่างไม่ระวังตัวกลัวแก่กลัวเฒ่าเสียมั่งเลย”
“ดูเถอะ” เจริญเสริม “จะมาทำเอากันแก่ไปด้วยน่ะนะ”
“แล้วใครเขาไม่รู้ เขาจะว่าผมเลี้ยงต้อย” บันลือต่ออีก
“กลัวแม่สาวกองโตนั่นเขาจะได้ยินยังงั้นรึ?” แล้วจิตราถามต่อไปโดยเร็ว “แล้วนี่มายืนทำหน้าฉะเอ๋ยอยู่ ว่าไงเมื่อตะนี้เห็นลงกระไดออกเร็วจี๋ ราวกับจะรีบไปไหน ทำไมถึงมาหยุดกึกอยู่ยังงี้ ?”
“ก็เพราะมาติดแม่เหล็กเสียแล้วละซี ขอรับ”
ตอบแล้วบันลือทำท่าจะนั่ง เจริญมองดูเขาอย่างสงสัยพร้อมกับขยับที่ให้ จิตราพูดว่า
“เอ๊ะ นี่จะมานั่งอยู่ที่นี่จริงๆ รึ? ไม่ต้องประจบถึงยังงั้นหรอกน่ะ ถึงรักษาการณ์ตำแหน่งแม่ยายก็—”
“เมื่อตะกี้คุณว่าผมว่าให้ระวังนะ คุณรักษาการณ์ตำแหน่งแม่ยาย นั่นหมายความว่ายังไง ?” บันลือถาม “ลูกเขยคิดถึงแม่ยายใจจะขาดไม่ได้ยังงั้นรึ ถ้ายังงั้นละก็ผมไม่ขอรับลูกสาวของคุณละ”
“ไม่ใช่ยังงั้น” เจริญอธิบาย “เขาหึงแทนลูกสาวเขา”
“หึงใคร ?” บันลือถามอย่างทะลึ่ง
“หึงผู้หญิงที่มากับแกน่ะซิ”
“อ๋อ” บันลือหัวเราะ “แหม หนักมือ ! ยังไม่ทันหมั้นกันเลย พึ่งจะว่าราคากันเท่านั้น จะให้ลูกเขยถือพรหมจรรย์เสียแล้ว”
“ฟังพูด” จิตรากล่าว ทำเสียงโกรธ “ว่าราคา ! เห็นลูกสาวฉันเป็นผักเป็นปลาไปรึ แหม เกลียด ลูกเขยอย่างนี้ไม่อยากได้”
“โธ่ ผมไม่ได้ว่าเป็นผักเป็นปลา” บันลือตอบเสียงวิงวอน “ลูกสาวคุณจิตรา จะเอาไปเปรียบกับผักกับปลายังไงได้ ผมว่าเป็นเพชรน้ำหนึ่ง จึงได้มีราคาถึง ๘,๐๐๐ หรือไม่ยังงั้นก็เป็นที่ดินที่อยู่ในชัยสมรภูมิดีที่สุด ใครได้อยู่ในที่นั้นจะสมบูรณ์ด้วยประการต่าง ๆ ราคาถึงได้แพงนัก”
สีหน้าจิตราเริ่มมีลักษณะขรึมอย่างจริงจัง หล่อนถามเรียบ ๆ “นี่หมายความว่ากระไร ที่มาพูดอย่างนี้ ?”
เขารีบตอบโดยเร็วด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ทำให้ผู้ฟังต้องสิ้นโกรธ “หมายจะยั่วคนสวยให้ทำท่าโกรธให้ดูหน่อย” หันไปทางเจริญในทันที “เมื่อกลางวันกันพบแก ว่าจะถามเรื่องสำคัญแล้วก็ลืมบ้าแท้ ๆ” หันมาทางจิตราอีก “ผมต้องการประวัติย่อของนางสาวภรณี” เขาทำลิ้นรัวเสียงอย่างยืดยาวเมื่อกล่าวอักษร ‘ร’ “อายุเท่าไหร่ ลูกใคร เคยเรียนหนังสือโรงเรียนไหน สูงกี่เซ็นต์ หนักกี่กิโล ผิวเหมือนสำลีหรือเหมือนถ่าน ได้รู้จักกับคุณจิตราตั้งแต่ครั้งไหน ทำไมแม่ถึงตาย ทำไมพ่อถึงยังอยู่ พบใคร ๆ ก็ถาม ไม่ข้อนั้นก็ข้อนี้ เมื่อวันก่อนน้องสาวผมแกทำท่าจะเป็นลมตาย เพราะแกถามผมว่าแม่คนนี้เคยอยู่โรงเรียนไหน แล้วผมตอบแกไม่ถูก”
ในขณะที่จิตรายังจ้องดูผู้พูดด้วยความคิดลังเลไปในแง่ต่าง ๆ เจริญถามด้วยสีหน้าเป็นงานเป็นการอย่างที่สุด
“จะต้องการให้จดคำตอบให้ไหม ?”
“อ๋อ แน่ !” บันลือตอบด้วยสีหน้าอย่างเดียวกัน “ไม่จดใครจะไปจำไหว”
“ต้องการเดี๋ยวนี้ ?”
“เดี๋ยวนี้ได้ก็ยิ่งดี”
ชายทั้งสองทำท่าค้นกระดาษดินสอหรือปากกา จิตรานิ่งดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พูดขึ้นอย่างเหลือที่จะกลั้นความหมั่นไส้ไว้ได้
“เมื่อไหร่จะกลับไปหาแม่สาว ๆ แส้ ๆ ที่พาเขามาเสียทีล่ะ ? เจริญก็พลอยไปด้วย ขวางเหมือนจะตายอยู่แล้ว”
บันลือลุกขึ้นจากที่ “เขาคงนึกว่าผมหาผ้าคลุมหัวของเขาไม่พบ” เขาพูด แล้วถาม “จะขึ้นไปเต้นรำกันไหมนี่ ? เผื่อไปจะได้ขออนุญาตพ่อตาเต้นรำกับแม่ยายสัก ๒–๓ เที่ยว ลาไปชั่วคราวนะขอรับ เดี๋ยวพบกันใหม่”
เขาคล้อยหลังไปแล้ว จิตราก็ปรารภขึ้นว่า
“เป็นมนุษย์ที่เต็มไปด้วยปัญหา จนน่าหมั่นไส้เป็นที่สุด”
เจริญหัวเราะแล้วว่า “เธอเองน่ะแหละเป็นคนที่ชอบสร้างปัญหาเหลว ๆ ขึ้น แล้วก็คิดให้มันยุ่งไปต่าง ๆ นี่ นี่แหละ เขาว่าคนไม่เด็ดขาด ทำลงไปแล้วเอามาคิดท่าโน้นท่านี้ ก่อนที่จะริ ทำไมไม่คิดเสียให้เสร็จ”
“แน่ะ ฉันเป็นคนริเมื่อไหร่ เธอต่างหากเป็นคนริขึ้น”
“ก็แล้วเธอมาหนุนหลังฉันทำไมล่ะ”
“ไม่รู้เรอะ ก็ฉันเห็นว่าเธอริดีน่ะซิ”
“ดีแล้วก็ปล่อยให้มันดีเรื่อยไปซี นี่เธอไปคิดจะให้มันเสียโดยที่ไม่มีมูลอะไรเลย”
จิตรานิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงว่า “ที่จริงก็ไม่น่าคิดแต่ฉันหมั่นไส้บันลือ พูดขวาง ๆ อะไรไม่รู้”
“ตั้งแต่ฉันรู้จักเขามา ฉันก็เห็นเขาขวางอยู่อย่างนี้ไม่เคยเห็นเป็นอย่างอื่น แล้วเชื่อว่าตั้งแต่แรกที่เธอรู้จักก็คงไม่เคยขวางน้อยกว่านี้เลย”
ทั้งสองฝ่ายนิ่งเงียบไปด้วยกัน จนกระทั่งผู้รับใช้ประจำสถานที่นำอาหารจานใหม่มาวางให้บนโต๊ะ จิตราจึงพูดแก่สามีว่า
“ฉันเกือบจะอิ่มอยู่แล้ว กับข้าวยังอยู่อีกเป็นสองอย่าง รับประทานมาก ๆ หน่อยเถอะ เธอน่ะเมื่อบ่ายรับประทานน้อยเหลือเกิน”
อีกครู่หนึ่งต่อมา เจริญเอ่ยขึ้นว่า
“เธอกับภรรู้จักกันตั้งแต่ครั้งไหน ฉันเองก็ลืมเสียแล้ว”
“โธ่!” จิตราร้อง “ก็รู้จักเมื่ออยู่โรงเรียนน่ะซี”
“อายุไกลกันเป็นไหน ๆ ทำไมถึงทันกันได้”
“สิบปี” จิตราบอก “ในระหว่างปีหลังที่ฉันจะออกจากโรงเรียนนั่นแหละแกก็ไปเข้า ตัวนิดเดียว แต่น่าเอ็นดูพิลึก พอรุ่งขึ้นอีกปีคุณพ่อท่านไปเมืองนอก ฉันไปเสียเกือบแปดปี กลับมาเห็นแกเป็นสาวเบ้อเร่อ จำแกไม่ได้ แต่แกจำฉันได้ดี แล้วมาตอนหลัง อีหมู่ที่ฉันไป ๆ มา ๆ ติดต่ออยู่กับโรงเรียน แกเรียนจบแล้วเลยเป็นครูสอนเด็กเล็ก ๆ ตอนนี้สีที่ได้รู้จักคุ้นเคยกันมาก ทุกข์สุขของแกเป็นยังไงแกก็ขยายให้ฟังหมด ถึงได้ติดต่อกันเรื่อยมาจนกระทั่งแกลาออกจากโรงเรียน ไปอยู่หัวเมืองกับพ่อแก ตอนนั้นออกจะห่างเหินกันมาก เพราะฉันเป็นโรคไม่ชอบเขียนจดหมาย แกเขียนมา เราก็ลืมเสียมั่ง ผลัดตัวเองมั่ง ไม่มีได้ตอบ จนทีหลังมาอีก แกกลับเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ แกเขียนจดหมายบอก ไอ้ความที่เราขี้เกียจเขียนนี่แหละ ต้องอุตส่าห์ไปหาแกด้วยตนเอง เธอคงจำไม่ได้เสียแล้ว เมื่อฉันพาเธอไปเที่ยวหาบ้านแกนะ พอพบตัวแก เธอเล่าให้แกฟังว่าเธอขับรถหาบ้านเสียเหงื่อตก พอกลับมาถึงบ้านเรา เธอว่าหาบ้านแล้วไปพบคนในบ้านสวยอย่างนั้น เธอไม่เสียดายแรง เผอิญฉันปิดประตูรถหนีบมือเธอเข้า เธอเลยว่าฉันแกล้งเพราะโกรธว่าเธอชมยายภร”
เจริญยิ้มในหน้า ไม่แต่เพียงเวลาโน้นที่เขาเชื่อดังที่จิตรากล่าว แม้ในเวลานี้เขาก็ยังเชื่อเช่นนั้น ภายในระยะปีแรกที่ได้แต่งงานกัน เขามองเห็นจุดอ่อนแอในนิสัยภรรยาของเขาได้เกือบทุกจุด แต่เมื่อเห็นแล้วเขายังรู้ด้วยว่า จุดเหล่านั้นมิใช่จุดที่เกิดแต่สันดาน หากเป็นจุดที่เกิดแต่เหตุการณ์และเครื่องแวดล้อม ทั้งเป็นจุดที่มักจะเกิดแก่ผู้ที่เคยประสบแต่ความสุข ความพอใจ และความหรูหราเกือบไม่เว้นคน เพราะเช่นนั้นเขาจึงไม่ถือเอาเป็นข้อเสียหายในนิสัยของหล่อน
ในกรณีอันเกี่ยวกับเรื่องที่จิตราทำประตูรถหนีบมือเขานั้น เขามิได้คิดว่าหล่อนเจตนาทำร้ายเขา แต่รู้ว่าหล่อนกระแทกประตูโดยแรง เพราะความที่หล่อนไม่พอใจในคำพูดของเขาที่กล่าวชมความสวยของหญิงอื่นนอกไปจากตัวหล่อนด้วยน้ำเสียงชื่นชอบมากไป จิตราเป็นบุตรีของผู้ที่มีเกียรติ มีอำนาจ มียศ มีทรัพย์ ตัวหล่อนเองเป็นผู้ที่มีชื่อในความสวยงาม ทั้งได้เคยไปอยู่เรียนในเมืองแก้วทั้ง ๒ ทวีป เป็นเวลาเกือบ ๑๐ ปี จึงเป็นธรรมดาที่สมาคมต่างๆ ย่อมจะยกหล่อนเป็นเอกในทางความสมบูรณ์ด้วยรูปสมบัติ คุณสมบัติ และก็เป็นธรรมดาอีกที่จิตราจะเชื่อเอาว่า ความยกย่องเหล่านั้นเป็นความจริงที่เหมาะสมแก่ตัวหล่อนทุกประการ เมื่อเชื่อเช่นนี้แล้วผู้ใดมากล่าวความให้ผิดไป หรือแม้แต่เพี้ยนไปจากความที่หล่อนเชื่อ ความขัดเคืองก็เกิดขึ้นแก่หล่อนทั้งที่หล่อนมิได้มีเจตนา และโดยที่หล่อนก็ไม่ทันรู้สึกตัว
เจริญรู้ว่าดวงใจแห่งภรรยาของเขานั้น เข้าลักษณะที่เรียกว่า ‘ดีเป็นแก้ว’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ความโอบอ้อมอารีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์แทบจะไม่เลือกบุคคล ผู้ใดมาปรับทุกข์ให้ฟังหรือแม้แต่แสดงความเดือดร้อนหรือความรำคาญให้รู้ จิตราไม่เคยที่จะเพิกเฉยเสียก่อนที่จะได้พยายามจนเต็มความสามารถ เพื่อจะแก้ทุกข์หรือแก้ความเดือดร้อนแก้ความรำคาญให้เขา แต่ถ้าผู้ใดมากล่าวขวัญแก่จิตราถึงคุณสมบัติอันเด่นของหญิงคนหนึ่งคนใดหลายคำนัก โดยมิได้ยกจิตราขึ้น เทียบในทางที่ฟังได้ว่า หญิงนั้นวิเศษจริง แต่จิตรายังวิเศษยิ่งไปกว่า ความรู้สึกหงุดหงิดจะเกิดขึ้นในใจจิตราโดยเร็ว
จุดอ่อนแอมีลักษะดังกล่าวแล้วนี่ก็ดี มีลักษณะเป็นอย่างอื่นก็ดี เจริญเห็นแล้ว อภัยให้แล้วก็มิได้คิดที่จะแก้ไข แต่นิสัยของเจริญเป็นผู้ที่อกพูดตรงตามความคิดมิได้ความเห็นของเขาจึงหลุดปากเขาออกมาบ้าง ส่วนจิตราเป็นหญิงมีปัญญา มีสมองที่ฝึกแล้วลับแล้วด้วยการศึกษา เมื่อสามีพูดคำหนึ่ง หล่อนเข้าใจความกว้างขวางไปได้เท่ากับเขาพูดสัก ๑๐ คำ และตามวิสัยของผู้มีปัญญา ถ้าไม่หลงใหลตัวเองจนเข้าลักษณะ ‘เมาไม่มีเวลาสร่าง’ ย่อมจะมีเวลาสำนึกได้ว่าตนต้องตำหนิ เมื่อนั้นเมื่อนี้ เพราะเหตุใดเรื่องใด จิตราเป็นหญิงที่รักคุณสมบัติของตนยิ่งนัก เมื่อเห็นว่าสิ่งใดมาเป็นเหตุให้คุณสมบัติด่างพร้อยก็ไม่ทอดธุระที่จะพยายามทำลายสิ่งนั้นเสีย
เมื่อสามีภรรยาต่างบริโภคเสร็จแล้วเขาปรึกษากันว่าจะขึ้นไปยังที่ลีลาศดีหรือไม่ดี จิตรากล่าวว่าหล่อนเบื่อสถานที่นั้น แต่อยากจะเห็นหญิงสาวที่มากับบันลือ เจริญลุกขึ้นสวมเสื้อชั้นนอกพร้อมกับพูดว่า
“ก็คงไม่ใช่ใคร นอกจากที่เรารู้จัก ๆ แล้วทั้งนั้นแต่จะดูก็ตามใจเธอ เผื่อเวลาที่เขามากับเจ้าบันลือเขาจะมีปีกมีหางงอกออกไปจากที่เราเคยเห็นเวลาเขาไปกับคนอื่น”
จิตราตอบอย่างเป็นงานเป็นการ “จริง ๆ ด้วยอย่างที่เธอว่านี่น่ะ รู้ไหมผู้หญิงเวลาที่เขาอยู่กับคน ๆ หนึ่งเขาทำท่าอย่างหนึ่ง พอไปถึงอีกคนหนึ่งเข้า ท่าเขาเป็นอย่างอื่นไปอีกแล้ว”
“ก็จะรู้ได้ยังไง ! เธอไม่เคยปล่อยฉันไปหาความรู้จากผู้หญิงอื่นมั่งเลยนี่ ฉันจะรู้อะไรเรื่องผู้หญิง ก็รู้จากเธอคนเดียวเท่านั้นเอง”
เจ้าหล่อนหัวเราะคำพูดนั้น ซึ่งตรงกับความจริงและเป็นที่พอใจหล่อน เปิดกระเป๋าถือ ชำเลืองดูผู้ที่อยู่ในเขตสายตา เห็นเขาไม่มองมาทางตน ก็ฉวยโอกาสใช้ฝุ่นแตะหน้าสองสามครั้ง แต้มสีที่ริมฝีปากอีกเล็กน้อย พอเสร็จปิดกระเป๋าแล้วเงยหน้าเตรียมจะลุกจากที่ ก็เห็นบันลือกำลังเดินเข้ามาหา
“อ้าว มาอีกแล้ว ทำไมอีกล่ะ ?” หล่อนถาม
เขาหัวเราะแล้วตอบว่า “มาดู กลัวจะหนีกลับเสียก่อน ผมกะเวลาแม่นไหมล่ะ คะเนว่าถ้าจะกินอิ่มพอดี แล้วก็รีบลงมา”
“เรื่องราวอะไร วันนี้ถึงมายุ่งกับคนแก่เสียจริง ๆ สาว ๆ เป็นกองไม่ไปนั่งเฝ้า”
“หรือจะมาเร่งเอาประวัติย่อ ?” เจริญถาม
“ผมจะบอกให้ว่าทำไม” บันลือกล่าว สีหน้าแสดงความรู้สึกขึ้นในใจ “วันนี้ผมถูกน้องสาวเขาฉุดตัวมาแล้วในหมู่แม่สาวกองโตที่คุณเห็นน่ะมีสาวที่น้องเขาอยากได้เป็นพี่สะใภ้คนที่สามปนอยู่ด้วย เข้าใจหรือยัง ?”
“ไม่เข้าใจ” จิตราตอบทำหน้าขรึม “ไม่เข้าใจว่าเอาเรื่องนี้มาบอกผู้ทำการตำแหน่งแม่ยายทำไม หรือจะให้ฉันล่าทัพ ?”
“ไม่ถึงกับยังงั้นหรอก เป็นแต่อยากให้คุณบอกผมหน่อยว่าของคุณน่ะจะเอาเข้าประกวดกับของน้องผมได้ไหม ?”
“โอ๊ย อย่าว่าแต่คนเดียว ต่อให้หามาเป็นร้อย ๆ ไม่เชื่อถามเจริญดูซี”
“ยังไม่ทันจะได้เห็นข้างหนึ่งเขาเลย !” สามีของหล่อนกล่าว
“นั่นน่ะซี” บันลือเสริม “ขึ้นไปข้างบนหน่อยเถอะคนดีของบันลือ อีกสักครู่เดียวเท่านั้น ผมจะพาขึ้นไปให้คุณดู”
เจ้าหล่อนยิ้มอย่างเห็นขัน เจริญพูดว่า
“กำลังจะขึ้นไปอยู่แล้ว เมื่อแกมาถึงน่ะ บ่นอยู่ว่าอยากจะเห็นผู้หญิงที่แกพามา ระวังเถอะ ทำการแม่ยายที่จะร้ายกว่าตัวแม่ยายหรือตัวลูกสาวเองเสียอีก”
ทั้งสามต่างหัวเราะ แล้วบันลือก็ผละจากสามีภรรยาวิ่งขึ้นบันไดไปโดยเร็ว