๑๗
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ละวาจาหยาบ เว้นจากวาจาหยาบแล้ว วาจาไม่มีโทษ สบายหู น่าดูดดื่ม จับใจ เป็นที่พอใจชน—(เขาย่อม) กล่าววาจานั้น นี่ภิกษุทั้งหลายเราเรียกว่าบุคคลมธุภาณี (ผู้พูดหวาน)
คุณนายลำดวน ค่อย ๆ นั่งลงบนเสือที่ปูอยู่บนพื้นห้อง ใช้เวลานานหน่อยกว่าจะจัดขาทั้งสองให้เข้าที่สบายได้โดยเรียบร้อย เสร็จจากนี้แล้วก็ขมวดคิ้ว ใช้สายตาเพ่งมองไปในที่ใกล้ตัวโดยรอบ ส่วนมือก็ช่วยคลำตามที่ ๆ สายตามองเห็นไม่ได้ เช่นที่ใต้กระดาษ ใต้ผ้าที่ซับซ้อนกันอยู่เป็นตั้ง ๆ ในซอกตระกร้าเครื่องเย็บ และในท้ายที่สุด คุณนายลำดวนลากเชี่ยนหมากเงินเครื่องนากเข้ามาใกล้หน้าตัก ครั้นไม่เห็นของที่ต้องการจึงยกลิ้นที่รองเครื่องขึ้นเสีย และมองดูภายในเชี่ยน
หญิงสาวที่นั่งอยู่บนเสื่ออีกผืนหนึ่ง ไม่ไกลจากคุณนายเท่าใดนัก ลดมือที่ถือผ้าและเข็มลงบนตัก โดยไม่ต้องถามเพียงแต่เห็นท่านมองและคลำที่นั่นที่นี่ หล่อนก็เดาถูกว่าท่านหาสิ่งใด วันหนึ่ง ประมาณ ๒–๓ ครั้ง คุณนายลำดวนต้องหาสิ่งของนี้ บางทีก็หาพบโดยง่าย บางทีก็หาอยู่นานกว่าจะพบ เมื่อ ๒ วันก่อนนี้ คุณนายถือของอยู่ในมือซ้าย แล้วท่านก็เที่ยวเดินหายืนหาของเพราะท่านไม่แน่ใจว่า เมื่อท่านลุกจากที่นั่งไปยืนดูผู้ช่วยของท่านทำงานอยู่ที่จักรเย็บผ้านั้น ท่านได้ถือของ ๆ ท่านไปด้วย ท่านเชื่อว่าท่านได้วางของไว้บนเก้าอี้ หรือที่โต๊ะรองผ้ากับเครื่องมือสำหรับการเย็บ ที่อยู่ใกล้จักร
หญิงสาวกลัดเข็มไว้กับผ้า วางผ้าลงบนเสื่อ แล้วคลานเข้ามาตรงหน้าคุณนาย
“หาแว่นตาหรือคะ ?” เจ้าหล่อนถาม
“จ้ะ แถวนี้ไม่มี ถ้าจะวางทิ้งไว้ในห้องเล็กน่ะเอง แม่ภรณีไปดูให้ยายทีเถอะ”
คุณนายลำดวนเป็นบุคคลคนเดียวที่สามารถเรียกชื่อภรณีรวมทั้งคำนำชื่อด้วยโดยไม่ตกหล่นเช่นนี้ ตลอดจนกระทั่งในเวลาที่ควรจะใช้สรรพนามบุรุษที่ ๒ แทนนามได้ ‘แม่ภรณี’ แทนสรรพนามทุกคำ และเมื่อท่านจะใช้คำแทนชื่อตัวของท่านเองต่อหล่อน ท่านก็ใช้คำว่า ‘ยาย’ ไม่มีขาดปาก
และเมื่อท่านนับตัวของท่านเองเป็นยายของภรณีเช่นนี้แล้ว ท่านก็ทำตัวของท่านเป็นยายอย่างแท้จริง ทั้งเป็นยายที่เมตตาปรานีต่อหล่อนยิ่งนัก เอาใจใส่ทะนุถนอมทุกเวลาในการบริโภค ท่านเกรงว่าหล่อนจะลำบากด้วยรสอาหารที่แม่ครัวทำมาถูกปาก แต่อาจจะไม่ถูกปากหล่อน ในการนอนท่านกลัวหล่อนจะลำบาก เพราะคนใช้ไล่ยุงไม่หมดมุ้งหรือปูที่นอนไม่ดีพอ ในการอยู่เฉยเป็นปกติ ท่านห่วงว่าหล่อนจะเหงา ในเวลาทำงานท่านวิตกว่าหล่อนจะเมื่อยหรือจะเบื่อ
ในตอนต้น ๆ ที่ภรณีมาอยู่กับคุณนายลำดวน หล่อนเรียกคุณนายลำดวนว่า ‘ท่าน’ ตามที่คนใช้ในบ้านเรียก ทั้งในเวลาที่พูดกับคนอื่นและในเวลาที่พูดกับตัวท่านเอง แต่หล่อนทำเช่นนั้นอยู่ได้เพียง ๒–๓ วันเท่านั้น หลังจากที่คุณนายลำดวนฟังได้ถนัดว่าหล่อนใช้สรรพนามบุรุษที่สองต่อท่านอย่างไร ท่านก็ท้วงและถามในทีอนุญาตแก่หล่อนว่า “ทำไมไม่เรียกยายว่ายาย”
ภรณีกำลังจะคลานออกห่างจากคุณนายลำดวน เพื่อจะไปยังห้องที่ท่านบอกอยู่แล้ว เผอิญสายตาของหล่อนมองสูงขึ้นเล็กน้อย หล่อนชะงักแล้วก็ยิ้มและพูดเรียบ ๆ
“แว่นตาอยู่ที่—” เสียงของหล่อนแสดงความอ่อนน้อมยิ่งขึ้น “อยู่บนหน้าผากคุณยาย”
คุณนายลำดวนยกมือขึ้นคลำหน้าผากตัวเอง
“ดูซี” ท่านร้อง “แหม ยายนี่เลอะเทอะใหญ่” แล้วดึงแว่นตาให้กลับลงมาอยู่บนดั้งจมูก
ภรณีคลานกลับไปยังที่ของหล่อน คุณยายมองตามและดูอยู่จนกระทั่งหล่อนนั่งลงเรียบร้อยและจับงานขึ้นทำ สมองอันแจ่มใส แต่เชื่องช้าเพราะความชราแห่งสังขารค่อย ๆ เริ่มทำการคิดแต่เพียงเผิน ๆ และขาดกระท่อนกระแท่นเป็นตอน ๆ ก่อน ภายหลังจึงค่อย ๆ คิดลึกเข้า ๆ และคิดเป็นเรื่องยาวติดต่อกันโดยตลอด
คุณยายคิดถึงหลานสะใภ้คนใหม่นี้โดยรอบทุก ๆ แง่ทุกๆ ด้านเท่าที่ท่านได้เห็นหล่อน เป็นหญิงสาวที่น่ารักทั้งโดยรูป โดยจริต โดยกิริยา ว่าถึงน้ำใจของหล่อน คุณยายมิใช่นักจิตวิทยาที่สามารถ แต่อาศัยความชำนาญที่ได้จากการพบปะวิสาสะกับเพื่อนร่วมโลกมานักต่อนัก คุณยายมีความเห็นว่าหลานสะใภ้ของท่านมีใจหนักไปในทางเคารพต่อผู้ใหญ่ และเป็นผู้ที่ ‘นุ่งเจียม ห่มเจียม’
คุณยายไม่สงสัยเลยว่าหลานชายของท่านจะไม่รักหลานสะใภ้ยิ่งนัก แต่ท่านสงสัยว่าหลานของท่านออกจะแปลกจากชายทั้งหลายไปสักหน่อย มีเยี่ยงอย่างรึ แต่งงานใหม่ ๆ ยังไม่ข้ามวัน ละภรรยาไว้กับยาย ตัวเองไปเสียยังต่างจังหวัดแล้วอยู่เสียที่นั่นจนเกือบเดือนยังไม่กลับมา คุณยายยังจำได้เมื่อครั้งท่านแต่งงานกับคุณตาของบันลือ ทั้งฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาวมิได้เคยเห็นหน้ากันก่อนวันงาน ถึงกระนั้น เมื่อเสร็จสิ้นพิธีแล้ว ฝ่ายชายก็ไม่ยอมคลาดจากฝ่ายหญิงแม้แต่สักอึดใจ หรือผู้ชายสมัยนี้–ใจเขาเด็ดกว่าใจชายสมัยก่อน ?
คุณยายถอนสายตาจากขอบย่ามที่ท่านกำลังเย็บมองไปยังเชี่ยนหมาก ที่ในนั้นมีจดหมายลายมือหลานชายของท่านเก็บอยู่ ตามคำบอกเล่าของผู้ถือจดหมายมาส่งให้คุณนายลำดวน ดูเหมือนบันลือจะได้เขียนก่อนเวลาที่รถไฟออกจากสถานีไม่เท่าไรนัก ความสำคัญที่เขาเขียนมามีอยู่ว่าเขาขอฝากภรณีไว้กับท่าน ๒–๓ วัน และระหว่างที่เขายังไม่อยู่นี้ ขอให้ท่านรับลูกชายหญิงของเขามาไว้กับท่านด้วย ในท้ายที่สุดเขาขอให้ท่านแจ้งแก่นางพวงให้เป็นที่เข้าใจว่าเขาประสงค์ให้ภรณีกับเด็กทั้งสองมีความสนิทชิดเชื้อกันฉันท์มารดากับบุตร
คุณนายลำดวน ได้ปฏิบัติตามคำขอร้องของหลานชายครบถ้วนทุกข้อ ท่านจัดห้องพักให้ภรณี เรียกตัวหลานหญิงคนใหญ่มาชี้แจงให้ทราบความประสงค์ของหลานชาย ในฐานะที่เจ้าหล่อนปกครองลูกชายหญิงของบันลือแทนตัวบันลืออยู่ รับเด็กทั้งสองนี้มาไว้ที่บ้านท่าน สอนให้เรียกภรณีว่าคุณอา ซึ่งภายหลังภรณีได้เปลี่ยนเสียใหม่ คือให้ตัดคำว่า ‘คุณ’ ออกเสีย แล้วคุณนายลำดวนพูดแก่นางพวงให้นางพวงยกย่องภรณีสมกับที่ภรณีเป็นภรรยาของบันลือ
แล้วคุณนายลำดวนก็ตั้งหน้าคอยวันที่หลานชายจะกลับมารับภรรยาและบุตรของเขา คุณนายลำดวนคอยวันนั้นด้วยและกลัววันนั้นด้วย ท่านคอยเพราะมีความสนเท่ห์และรำคาญในข้อที่บันลือไม่รีบร้อนจะพาภรรยาไปไว้กับตัว ท่านกลัวเพราะอาลัยเหลนเล็ก ๆ ว่าจะต้องไปไกลจากท่านนานนับเป็นเดือน ๆ
แลท่านคิดเสียดายหลานสะใภ้คนใหม่ ซึ่งท่านได้เริ่มรักและปรานีไว้มากแล้ว ไม่อยากให้หล่อนห่างท่านไปเสีย ๗ วัน ล่วงไปแล้วก็อีก ๗ วัน แล้วก็อีก ๗ ภรณีได้ไปวัดกับคุณยายในวันธรรมสวนะถึงสองครั้งแล้ว แล้วก็ได้ไปครั้งที่สามอีก บัดนี้เดือนใหม่ย่างเข้ามากว่าครึ่งเดือน บันลือเคยกลับเข้ากรุงเทพฯ ในเดือนหนึ่งอย่างช้าที่สุดไม่เกินวันที่ ๒๐ แต่สำหรับเดือนนี้ คุณยายมีความเห็นว่าเขาควรจะกลับเสียตั้งแต่วันที่ ๑ ที่ ๒ และเมื่อวันที่ ๑๕ ล่วงไป เขายังไม่กลับคุณยายก็สงสารหลานสะใภ้ยิ่งขึ้นทุกวัน
ความจริง ภรณีมิได้มีอาการกิริยาเป็นเครื่องเตือนใจให้คุณยายระลึกถึงข้อที่หล่อนเป็นเจ้าสาว อันเจ้าบ่าวละไปเสียในวันแต่งงานแม้แต่น้อย กิริยาอาการของหล่อนดูเหมือนกับหล่อนเป็นเด็กสาวที่ย้ายจากผู้ปกครองคนเก่ามาอยู่กับผู้ปกครองคนใหม่ ตั้งแต่ตื่นนอนเช้าจนถึงเวลานอนอีกในตอนกลางคืน หล่อนนั่งอยู่กับคุณยาย ช่วยทำงานที่คุณยายทำ พูดกับคุณยายเมื่อคุณยายพูดด้วย รับใช้คุณยายในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่าที่คุณยายแสดงความต้องการ หรือมิฉะนั้นก็พูดเล่นกับเด็กชายก้องเด็กหญิงป่องหรือเล่านิทานให้เด็กฟัง เมื่อเด็กพากันมาเล่นในห้องที่คุณยายอยู่ แต่คุณนายลำดวนเป็นหญิงรุ่นเก่า เคยเป็นสาวในสมัยที่หญิงสาวทุกคนมีความเคร่งครัดในอันจะซ่อนความรู้สึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกเกี่ยวกับเพศตรงกันข้าม เพราะกลัวความอัปยศเป็นที่สุดแล้ว คุณนายลำดวนเชื่อเอาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า หลานสะใภ้ของท่านซ่อนความรู้สึกอันจริงใจของหล่อนไว้ตามวิสัยของหญิงที่มีอายุ
แต่คนอื่น ๆ นั่นสิ ทำให้คุณนายลำดวนรำคาญนัก ลูกหลานของคุณนายลำดวนมีมาก ทั้งหลานหญิงหลานชายทั้งที่เป็นผู้มีอายุแล้ว ทั้งที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว ลูกหลานเหล่านี้คราวใดเขามาเห็นภรณีอยู่กับคุณนายลำดวน เขาก็ตั้งปัญหาให้ท่านต้องตอบซ้ำ ๆ ซาก ๆ ร่ำไป คุณนายลำดวนเป็นผู้ชราแล้ว โดยปกติความจำของท่านจะแจ่มใสก็แต่ในเรื่องที่ท่านได้ผ่านมา ได้ประสบมา เมื่ออยู่ในวัยสาวในเรื่องที่ท่านได้ฟัง ได้รู้ เมื่ออายุล่วงเข้าปัจฉิมวัยนี้ ฟังแล้ว รู้แล้ว ท่านก็มักจะลืมเสียภายในเวลาไม่กี่วัน แต่เฉพาะเรื่องระหว่างหลานชายกับหลานสะใภ้ด้วยเหตุที่เป็นเรื่องอันมีปัญหาชวนให้คิด ทั้งเป็นเรื่องที่ท่านถูกกวนให้พูดบ่อย ๆ คุณนายลำดวนจึงจำได้โดยละเอียดลออไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำรายละเอียดของเรื่อง ดูเหมือนจะขยายออกนอกความจริงไปบ้างแล้วด้วย เพราะเมื่อความจริงเท่าที่คุณนายลำดวนได้รู้ได้เห็นยังไม่เป็นความที่ให้ความเข้าใจแจ่มแจ้งแก่ผู้ที่ชอบตีปัญหาเรื่องของคนอื่น คุณนายลำดวนมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะทำให้ข้อปัญหาตกไป ก็ชักข้ออธิบายแปลก ๆ ต่าง ๆ ซึ่งบางทีก็เพี้ยนจากความจริง หรือเกินความจริงไปบ้างมากล่าวแก่ผู้ถาม ตามแต่สติปัญญาของท่านจะเกิดขึ้น ทั้งนี้คุณนายลำดวนทำไปโดยมิได้มีจิตเจตนา
พิธีแต่งงานระหว่างบันลือกับภรณีตั้งต้นในเวลา ๗ นาฬิกา พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์แล้วรับอาหารบิณฑบาต พร้อมด้วยปัจจัยอันควรแก่สมณะ เสร็จจากพิธีซึ่งคุณยายเป็นผู้กะเกณฑ์ว่าต้องมีเพื่อสวัสดิมงคลแก่คู่บ่าวสาว แล้วก็มีการลงนามในทะเบียนสมรส ซึ่งฝ่ายเจ้าพนักงานนำมาคอยอยู่ หลังจากนี้ประมาณครึ่งชั่วโมง บันลือแจ้งแก่คุณยายและผู้ที่มาในงานของเขาว่า เขามีธุระเกี่ยวกับการขนเครื่องจักรขึ้นรถไฟซึ่งเขาจำเป็นต้องดูแลด้วยตนเอง แล้วเขาก็ขับรถออกไปจากบ้าน ใกล้เที่ยงเขากลับมาพอดีได้เวลารับประทานอาหาร ๑๓ นาฬิกาเศษ เขาชี้แจงว่าเขาจะต้องรีบไปคุมการงานที่สถานีก่อนเวลาที่กำหนดไว้ให้เจ้าสาวออกจากบ้านไปขึ้นรถไฟเพียง ๗ นาที เขาโทรศัพท์มาบอกให้เจ้าสาวงดการที่จะเดินทางไปกับเขาไว้ก่อน เพราะมีเหตุขัดข้องบางประการซึ่งเขาจะชี้แจงให้ทราบในภายหลัง
เหตุขัดข้องนี้คืออะไร ไม่มีผู้ใดรู้จนแล้วจนรอด พี่สาวน้องสาวของบันลือรวมทั้งเขย ซึ่งหมายใจว่าจะได้ฟังเรื่องราวละเอียด เมื่อเขาไปพบบันลือก่อนเวลารถไฟออกนั้น ครั้นไปถึงสถานีแล้วก็หาพบตัวบันลือหรือรถยนต์ที่บันลือใช้ไม่ ภายหลังเมื่อคนขับรถนำจดหมายของบันลือมาให้แก่คุณนายลำดวน จึงเป็นที่ทราบกันว่า บันลือได้นั่งรถยนต์ไปดักคอยขึ้นรถไฟที่สถานีเหนือขึ้นไปอีก เมื่อถูกซักว่าเหตุใดบันลือจึงทำดังนั้น คนขับรถก็ไม่สามารถที่จะตอบได้
แต่เหตุขัดข้องนี้ คุณนายลำดวนได้ชี้แจงไปแก่ญาติหลายคนว่า เกี่ยวด้วยพาหนะที่จะพาผู้เดินทางจากสถานีรถไฟไปสู่ที่อยู่ของเขาบ้าง เกี่ยวด้วยทางระหว่างสถานีกับที่อยู่ของบันลืออาจจะชำรุดหรือพังเพราะน้ำท่วมหรือถูกพายุฝนบ้าง เมื่อได้ชี้แจงไปเช่นนี้หลายครั้งแล้ว ตัวท่านผู้ชี้แจงเองก็พลอยเชื่อคำชี้แจงของตัวเองไปพร้อมกับผู้ฟังด้วย
เสียงเครื่องยนต์กับเสียงประตูรถเปิดและปิดทำให้คุณนายลำดวนผู้ซึ่งยังมีประสาทแห่งโสตแม่นยำดี ตื่นจากการครุ่นคิดในเรื่องหลานสะใภ้กับหลานชาย ท่านเงยหน้าขึ้นอย่างแช่มช้า และพูดขึ้นอย่างแช่มช้าเช่นเดียวกัน
“แม่ภรณีไปดูทีรึ เสียงรถใครมา ?”
หญิงสาวคลานห่างออกไปเล็กน้อย ภายหลังจึงลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง ครั้นแล้วก็กลับมายังคุณยาย และแจ้งว่า
“คุณจิตราค่ะ”
“อ้าวแม่ภรณีไปเชิญเข้าไปในห้องรับแขกที่จะได้นั่งคุยกันให้สบาย”
เมื่อเห็นหลานสะใภ้คลานไปยังที่ ๆ หล่อนนั่งอยู่เมื่อครู่ก่อน คุณนายลำดวนจึงว่า “ทิ้งไว้ก่อนก็ได้นี่นะ เดี๋ยวยายจะเรียกนางแหววมาเก็บให้ แม่จิตราเขาจะคอย”
แต่ภรณีได้พับย่ามและรวบรวมเครื่องเย็บลงในหีบอย่างไม่เร่งรีบ คุณยายไม่อาจทายใจหล่อนได้ว่า โดยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ภรณีไม่มีความประสงค์จะพบจิตราสองต่อสอง
เมื่อภรณีปิดหีบเครื่องเย็บ ก็พอดีจิตรามาถึงประตูห้องเจ้าหล่อนผู้นี้คุกเข่าลงข้าง ๆ ภรณี แล้วทำความเคารพเจ้าของบ้านโดยเรียบร้อย
“จำเริญ ๆ แม่คุณ” คุณนายลำดวนกล่าว “นั่งเสียบนเสื่อซีจ๊ะ”
จิตรายิ้มและไม่ตอบว่ากระไร
“ขอบใจ อุตส่าห์มาเยี่ยม” สตรีผู้สูงอายุพูดอีก “มาคนเดียวหรือจ๊ะ ?”
“มาคนเดียวค่ะ” อีกฝ่ายหนึ่งตอบ
แล้วก็นิ่งเงียบกันไป เป็นความเงียบในระหว่างเจ้าของบ้านกับแขก ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ต้องการจะปฏิบัติให้ถูกใจซึ่งกันและกัน แต่ยังมิรู้ที่จะปฏิบัติสถานใด
ผ้าที่ภรณีพับไว้ถูกคลี่ออกโดยมือจิตรา พร้อมกับที่จิตราถามเบา ๆ ว่า “ทำอะไรน่ะ ภร?”
ภรณีตอบว่า “เย็บย่ามค่ะ” แล้วคุณยายลำดวนก็พูดต่อคำพูดของหล่อนนั้น
“ย่าม จะทำไปช่วยพระท่านขึ้นกุฏิใหม่ แม่ภรณีเย็บเร็วเร็ว ประเดี๋ยวใบ ๆ สอยก็เร็ว ฝีเข็มก็ถี้ถี่”
จิตราหันมายิ้มกับผู้ที่อ่อนอายุกว่า นิ่งไปอีกครู่หนึ่งแล้วหล่อนจึงตั้งคำถามที่ติดอยู่ตรงริมฝีปาก ตั้งแต่ก่อนที่หล่อนจะขึ้นรถออกจากบ้าน
“บันลือยังไม่มา ?”
“ยังค่ะ” เป็นคำตอบเรียบ ๆ
“จดหมายมีมาหรือยัง ?”
“ไม่มีค่ะ”
จิตราเพ่งดูตาและสีหน้าผู้พูด เห็นเฉยอยู่ไม่มีลักษณะแสดงความรู้สึกผิดปกติอย่างใด ก็สบายใจ คลายกังวล แต่พร้อมกันนั้นจิตราก็รู้สึกพิศวงและรำคาญ หญิงสาวคนนี้ไฉนจึงมีความสามารถในการสะกดความรู้สึกนึกคิดได้มากนัก หรือว่านิสัยของหล่อนมีธรรมชาติอันไม่มีความรู้สึกต่อสิ่งที่คนทั้งหลายเขารู้สึกกัน และความเข้าใจของจิตราที่ทำให้หล่อนรักใคร่เอ็นดูต่อหญิงคนนี้ เพราะเชื่อว่าเป็นผู้มีสติปัญญา และความคิดนึกลึกซึ้งนั้นเป็นแต่เพียงความเข้าใจที่จิตราเข้าใจไปตามความคิดของหล่อนเอง เนื้อแท้แห่งนิสัยของภรณี หล่อนเป็นหญิงที่ไม่มีสมองสำหรับจะคิดถึงสิ่งที่ควรคิดอย่างใดเลย ?
ในระหว่างสองสัปดาห์ที่แล้วมา จิตรากับสามีของหล่อนเกือบจะต้องเป็นปากเสียงกันเพราะเรื่องภรณี จิตราเห็นบันลือทำตัวของเขาเป็นที่น่าตำหนิในข้อที่ละภรณีไปเสียในวันแต่งงานโดยมิได้แสดงความจำเป็นให้ปรากฏชัดเจนแต่อย่างหนึ่งอย่างใด มิหนำซ้ำเมื่อละไปแล้ว ก็เพิกเฉยไม่ส่งข่าวคราวให้เป็นเครื่องแสดงน้ำใจรักหรือคิดถึงหญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของตน แม้แต่โดยตัวอักษรสักสองหรือสามตัว หรือโดยคำพูดสักสองหรือสามคำ ส่วนเจริญเห็นว่าการที่บันลือทำเช่นนั้นเป็นเรื่องธรรมดาอันไม่น่าที่ใครจะต้องเก็บไปนึกคิดแม้แต่สักน้อย วิสัยของชายที่กำลังก่อสร้างงานอันใดอันหนึ่งขึ้น ความลุ่มหลงในงานนั้นก็อาจจะมีอำนาจทำให้เขาลืมคิดถึงสิ่งอื่น แม้สำคัญและไม่สำคัญไปบ้างชั่วครั้งคราว เฉพาะคำปรารภของจิตราที่ว่า บันลือไม่แสดงน้ำใจรักหรือคิดถึงภรณีเสียเลยนั้น เจริญเห็นเป็นสิ่งที่น่าขันอย่างที่สุดแล้ว “ก็คนมันมีธุระจนกระทั่งต้องทุราศไปโดยไม่ทันบอกให้ใครรู้เรื่องรู้ราว” เจริญว่า “จะให้มันเอาเวลาที่ไหนมานั่งเขียนจดหมายรักถึงเมีย ยิ่งกว่านั้น” เจริญเสริมในตอนท้าย “ไอ้ใจของมัน ๆ ก็ยังไม่ได้รักจริง ๆ ด้วย มันจะเอารักที่ไหนมาแสดง”
จิตราแย้งว่า รักหรือมีรัก บันลือก็ควรจะทำหน้าที่ของเขาให้ถูกถ้วน เจริญยิ่งเห็นขันหนักขึ้น “หน้าที่เขียนจดหมายรักนี่มันต้องไอ้ผัวอายุ ๒๐” เขาตอบ “บันลือน่ะอายุมัน ๓๐ เสียแล้ว แล้วมันเคยมีเมียถึง ๒ คน”
จิตราโกรธหนัก หลอนย้อนถามเขาว่า ถ้าเช่นนั้นชายทั้งหลายยิ่งอายุมากขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งเห็นแก่ตัวฝ่ายเดียว ผู้อื่นนอกจากตัวแม้แต่ภรรยาหรือบุตรจะทุกข์สุขอย่างไรเป็นอันว่าชายไม่พักต้องคำนึงถึงกระนั้นหรือ เจริญแก้ว่าการที่ชายเมื่ออายุมากขึ้น ฝักใฝ่ในการงานมากขึ้นนั่นแหละแสดงว่าเขาคำนึงถึงสุขและทุกข์ของภรรยาและบุตรยิ่งกว่าเมื่อเขาอายุยังน้อย จิตราแย้งว่า ข้อนี้ไม่เป็นเครื่องพิสูจน์อันแน่นอน ชายย่อมกระทำการงานด้วยความบากบั่น เพราะเห็นแก่ตัวของเขาคนเดียว กล่าวคือ หวังในลาภในยศ ซึ่งเขาเป็นผู้รับโดยตรงก็ได้เหมือนกัน เจริญย้อนถามว่า อันลาภและยศที่มาถึงหัวหน้าครอบครัวนั้น บุคคลในครอบครัวเช่นภรรยาและบุตร ย่อมได้เสพผลด้วยหรือมิใช่ จิตราตอบว่า ภรรยาและบุตรได้รับผลเหล่านั้นในลักษณะเป็นผลที่กระท้อนมากระทบ เปรียบเหมือนแสงสว่างฉายมาต้องวัตถุสิ่งหนึ่ง ทำให้เกิดเงากระท้อนไปยังวัตถุที่สอง ส่วนจิตใจของมนุษย์จะเป็นหญิงก็ดี ชายก็ดี ย่อมมีความต้องการในผลที่มาถึงตนโดยตรงด้วยกันทั้งสิ้น เฉพาะหญิงที่แต่งงานแล้ว ความสุขและความพอใจขึ้นอยู่แก่อาการที่สามีแสดงน้ำใจให้ปรากฏว่า เขามีเจตนาจะทะนุถนอมภรรยาของเขาหรือไม่ ลาภก็ดี ยศก็ดี ซึ่งสามีได้สร้างขึ้นและเป็นผลที่กระท้อนมากระทบภรรยา เกือบจะนับได้ว่าไม่มีค่าเสียเลย เมื่อยกมาเทียบกับน้ำใจและเจตนาของสามี ซึ่งภรรยาย่อมตีราคาไว้สูงยิ่งนัก เจริญฟังแล้วนึกอยากหัวเราะ ปรารภอยู่ในใจว่า ภรรยาของตนเห็นจะไม่มีเวลาที่จะคิดอย่างผู้สูงอายุไปกว่านี้ ถึงแม้เมื่ออายุของหล่อนย่างเข้า ๖๐ แล้วเขาตอบแก่หล่อนว่า
“ไอ้ความถนอมน่ะ มันต้องมีความรักเป็นเครื่องสอน แต่บันลือยังไม่ทันจะได้รักยายภรเราก็รู้กันอยู่แล้ว เท่าที่มันทำก็ทำอย่างตรงไปตรงมา ใจมันเป็นยังไงมันก็ทำออกไปอย่างนั้น จะเอาอะไรกับมันมากไปกว่านี้อย่างไรได้”
จิตรารู้ว่าคำพูดของสามีสมเหตุสมผล แต่หล่อนเปลี่ยนความรู้สึกของหล่อนให้เห็นชอบในเหตุผลของเขามิได้ มิหนำซ้ำหล่อนต้องการจะให้เขามามีความรู้สึกตรงกับหล่อนเสียอีก ครั้นเมื่อหล่อนไม่สามารถที่จะหาเหตุผลมาลบล้างเหตุผลของเขา และทำให้เขารู้สึกอย่างเดียวกับหล่อน หล่อนก็โกรธ ครั้งหนึ่งหลังจากที่จิตรามาหาภรณี ครั้นกลับไปพบกับเจริญ เขาถามหล่อนว่า “ยายภรว่ายังไร ?” หล่อนตอบแก่เขาว่า ภรณีไม่ได้ออกความเห็นอย่างหนึ่งอย่างใด ในเรื่องที่เกี่ยวกับการอยู่ การไปของบันลือ เจริญฟังแล้วก็หัวเราะ จิตราก็โกรธเขา ว่าเขาหัวเราะเยาะหล่อน “เป็นที่ว่าฉันบ้าไปคนเดียว” หล่อนกล่าวแก่เขา ครั้นอีกหนหนึ่งจิตรพบภรณีอีก แล้วกลับไปเล่าให้สามีฟังอีกว่า “ยายภรเฉยเหมือนทองไม่รู้ร้อน” เจริญวางหน้าเฉยเสียไม่ออกความเห็นว่ากระไร จิตราก็เคืองและท้าเขาว่า “พูดออกมาก็แล้วกัน ว่าคนในโลกนี้ไม่มีใครเขาบ้าเหมือนฉัน” ความจริงจิตรารู้ว่า ถ้าภรณีจะได้บ่นหรือปรารภการกระทำของบันลือให้จิตราฟัง ก็เป็นข้อที่ทำให้จิตราหนักใจมากขึ้นอีกหลายเท่า และบางทีจะทำให้เจริญ รวมทั้งจิตราเองด้วยมีความเห็นว่า ภรณีเป็นผู้ไม่รู้จักประมาณตัว แต่ถึงกระนั้นเมื่อภรณีมิได้แย้มพรายความรู้สึกของหล่อนให้จิตราเข้าใจเสียบ้างเลย ก็เป็นข้อที่ทำจิตรารู้สึกรำคาญ
คุณนายลำดวนเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นหลานสะใภ้และแขกของหล่อนต่างพากันนิ่งเงียบอยู่
“ฉันกลัวว่าพ่อปุ๊จะไปมีเรื่องยุ่ง ๆ อะไรทางโน้น ถึงได้เงียบหายไป แต่ยังไง ๆ อีกสัก ๒–๓ วันก็คงต้องมา เดือนหนึ่งเขาต้องมาหนหนึ่ง นั่นแหละ ที่จริงธรรมดาของเขามักจะจู่มาแล้วก็จู่ไปไม่ทันให้รู้เนื้อรู้ตัวเสมอ”
แล้วคุณนายลำดวนก็เล่าถึงนิสัยของหลานชายเท่าที่ท่านสังเกตและจดจำไว้ ในตอนต้นจิตรานั่งฟังในลักษณะเสียไม่ได้ หล่อนกำลังไม่ชอบบันลือเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อคุณยายกล่าวถึงนิสัยส่วนที่ดีของหลาน หล่อนนึกอยากขัดคอท่านเป็นกำลัง แต่ครั้นเมื่อได้ฟังไป ๆ อีกครู่ใหญ่ พอหล่อนลืมนึกว่าบันลือเป็นสามีของภรณี มิตรภาพอันเก่าแก่มีอำนาจเหนือความรู้สึกอื่น จิตราก็ฟังต่อไปด้วยความเพลิดเพลิน