๑๔

ดูก่อนภิกษุ ธรรมบท ๔ ข้อ—คือความไม่มีโลภจัด (จนถึงอิจฉาปองร้าย) ความไม่พยาบาท ความมีสติสัมปชัญญะ ความมีใจตั้งมั่น แน่วแน่น ปรากฏว่าเป็นข้อธรรมอันเลิศ ยั่งยืนเป็นแบบแผนมาแต่ก่อน — ไม่เคยถูกทอดทิ้ง (ในอดีต) ไม่ถูกทอดทิ้ง (ในปัจจุบัน) จักไม่ถูกทอดทิ้ง (ในอนาคต)—

 

ภรณีใจหายวาบ เมื่อได้ยินคำว่าแต่งงาน แต่งงานวันที่ ๑๙ ต่อจากงานวันเลี้ยงสำหรับการหมั้นเพียง ๒ วัน

“ก็….ก็….” หล่อนพึมพำ “ก็ไหนว่าจะยังไม่แต่งยังไงคะ ?”

จิตราหัวเราะอย่างเบิกบาน “เมื่อแรกก็ว่าอย่างนั้นแหละ แต่ทีหลังเกิดมีเรื่องหาฤกษ์ไม่ได้ขึ้น ตลอดปีนี้ไม่มีวันดีสำหรับที่เธอกับบันลือจะแต่งงานกันได้ นอกจากวันที่ ๑๙ เดือนหน้า วันไหนดีสำหรับเธอไม่ดีสำหรับบันลือ วันไหนดีสำหรับเขาไม่ดีสำหรับเธอ ถ้าจะให้ดีสำหรับสองคนต้องรอไปจนต้นปีหน้า ผู้ชายเขาบอกเด็ดขาดว่าเขารอไม่ได้”

“ทำไมถึงรอไม่ได้คะ” ภรณีถาม

“ก็เขาอยากแต่งงานกับเธอเร็ว ๆ น่ะซี” สีหน้าจิตราแสดงความร่าเริงยิ่งนัก “เป็นของธรรมดานี่ภร ผู้ชายเวลาเขารักผู้หญิงแล้วละก็ เขาก็อยากแต่งงานเร็ว ๆ ทุกคนแหละ อะไร เท่านี้ก็ไม่เข้าใจ ก็เหมือนกับเราเวลาชอบใจของสิ่งไหนเราอยากได้มาเป็นของเราเร็ว ๆ ใช่ไหม ผู้ชายก็เหมือนกัน เขารักผู้หญิงเขาก็อยากได้ผู้หญิงไปเป็นของเขาเร็ว ๆ เข้าใจหรือยัง ?”

เข้าใจ ? ความจริงภรณีก็ควรจะเข้าใจในเรื่องของคู่อื่น เท่าที่หล่อนเคยได้ยินได้ฟัง เมื่อหญิงชายคู่หนึ่งหมั้นกันแล้ว ฝ่ายชายย่อมเป็นฝ่ายเร่งเร้าที่จะทำการวิวาห์เสมอ แต่ในเรื่องของหล่อนเองนี้–! “เขารัก–เขาอยากแต่งงานเร็วๆ–!” คำพูดนี้หมายความว่า ‘เขา’ ของหล่อนรักหล่อน—? ตั้งแต่หมั้นกันมาแล้วเกือบเข้า ๓ เดือน เขาได้มาหาหล่อนครั้งหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นที่แน่แก่ใจหล่อนนัก ว่าเขาตั้งใจมาหาหล่อน พูดกับหล่อนประโยคหนึ่งหรือสองประโยค ซึ่งไม่เป็นที่แน่แก่ใจหล่อนนักว่าเขาจงใจพูดกับหล่อนโดยตรง นอกจากนี้ก็—ไม่มีอะไรอีกเลย—‘เขา’รักหล่อน– –? ภรณีสนเท่ห์และรันทดอยู่ในใจ

แต่ก็ช่างเขาเถอะ นั่นเป็นเรื่องของเขา หล่อนไม่ควรจะคิดยุ่งไปให้มากนัก ว่าถึงเรื่องของหล่อนเอง—แต่งงานภายใน ๒๒ วัน นับจากวันนี้ คิดแล้วใจสั่นดังจะเป็นลม ก็หล่อนยังไม่รู้จักเขาเลย และเขาก็ยังไม่ได้รู้จักหล่อน ๒๒ วัน นับจากวันนี้มีหวังหรือไม่ที่หล่อนจะได้รู้จักเขาขึ้นบ้าง และ และ — และทำให้เขารู้จักหล่อนขึ้นสักเล็กน้อย ? โดยไม่รู้สึกตัว ภรณีได้ใฝ่ฝันถึงเวลาที่เขากับหล่อนจะได้พบกันในวันที่ ๑๗ ซึ่งหล่อนหวังเป็นหนักเป็นหนาว่าจะทำตัวของหล่อนให้ ‘ดี’ ขึ้นกว่าเมื่อเขากับหล่อนพบกันในคราวแรก หล่อนหวังไว้ว่าจะคุมสติให้มั่น มิให้ความพรั่นพรึงความอายและความประหม่ามีอำนาจเหนือตัว เพื่อเขาจะได้เห็นหล่อนเป็นตัวของหล่อนตามธรรมชาติและตามปกติที่หล่อนเป็นโดยแท้จริง หล่อนหวังไว้ด้วยว่าต่อจากวันที่ ๑๗ ไปแล้ว บางที—บางที—เขา—เขาอาจจะ—บางที–หล่อนจะได้รู้อารมณ์ของหญิงที่—ที่มี—คู่รักบ้างก็เป็นได้ แล้วความกลัว ความหวาดที่เกิดขึ้นแก่หล่อนทุกคราวที่นึกถึงเขาในฐานะเป็นผู้ที่หล่อนจะแต่งงานด้วย ก็คงจะตกไป แต่บัดนี้—

บัดนี้นอกจากความยุ่งยากทางจิตใจ ความลำบากทางวัตถุก็ปรากฏขึ้นด้วย จิตราพูดว่า

“ความจริงพี่ก็เห็นใจภรเหมือนกัน วันมันกระชั้นไปจริง ๆ แต่งเร็ว แต่งช้านะไม่แปลก แต่ควรจะมีเวลาเตรียมตัวนานกว่านี้หน่อย ทีนี้มันจำเป็นไม่รู้จะทำยังไง ที่จริงตัวบันลือเองน่ะเขาไม่ถือหรอกเรื่องฤกษ์เรื่องดาว แต่คุณยายของเขาน่ะซี ท่านว่าหลานท่านแต่งงานตั้งสองหนแล้วไม่เห็นยั่งยืน ท่านโทษว่าเป็นเพราะดวงชาตาของผู้หญิงไม่ถูกกับเขา หรืออย่างนั้นก็ไม่หาฤกษ์ให้ดี สำหรับเธอน่ะนัยว่าดวงชาตาเหมาะกันจี๋เลยกับดวงชาตาของบันลือ แต่เจ้ากรรมเวลาตั้ง ๔–๕ เดือนมีฤกษ์วันเดียวเพราะยังงั้นก็ต้องแต่งในวันนั้น หรือไม่ยังยังงั้นก็รอไปจนปีหน้า”

“๒๒ วัน !” ภรณีพึมพำ “จะต้องทำอะไรบ้างก็ไม่ทราบ ?”

“ที่จริง มันไม่ใช่หน้าที่ของเธอจะต้องยุ่งกับเรื่องทำอะไรหรือไม่ทำอะไร แต่เธอน่ะ—” สีหน้าจิตราออกบึ้ง “เธอน่ะลูกไม่มีแม่ เพราะงั้น แหม พี่อยากเป็นแม่เธอเสียเองเหลือเกิน” แล้วจิตราก็นึกขันตัวเอง “รู้ไหมล่ะ คู่หมั้นของภรน่ะ เขาเรียกฉันว่าแม่ยาย” ย้อนกลับมาคิดเป็นงานเป็นการ “เดี๋ยวก่อน มีอะไรที่จะต้องทำมั่ง เครื่องเหย้าเครื่องเรือนน่ะเราไม่ต้องเกี่ยวละผู้ชายเขาจะจัดเอง เรื่องของเราก็มีแต่เรื่องเครื่องแต่งตัวเธอทำอะไรไปแล้วมั่งล่ะ?”

“ยังไม่ได้ทำอะไรเลย” ตอบแล้วภรณีรู้สึกเหมือนน้ำตาจะหยด หล่อนกลั้นไว้ได้ด้วยความลำบาก

“ต๊ายยังไม่ได้ทำอะไรเลยรึ เอ๊ะยังไงกัน?” จิตราทำหน้านิ่ว หล่อนอยากจะกล่าวคำร้ายให้มารดาเลี้ยงของภรณีสัก ๒–๓ คำ แต่เว้นเสีย พูดว่า “ฮื้อ ช่างเถอะแล้วคิดจะทำอะไรมั่งล่ะ ? อย่างเสื้อผ้าชั้นนอกชั้นในจะต้องหาอะไรมั่ง?”

“ก็เห็นจะต้องแล้วแต่นาย” เป็นคำตอบอย่างแผ่วเบา

จิตราร้องฮื้อ! ด้วยความรำคาญจนยั้งปากไว้ไม่ทัน “เมื่อไหร่เธอจะออกจากปีก— อุ๊ยไม่ใช่ปีกด้วยซ้ำ ไอ้ปีกนี่เขากกกันให้อุ่นให้พ้นอันตราย อย่างเธอนี่เขากดหัวเธอ ขอโทษเถอะ พูดตรงไปหน่อย แต่มันถึงเวลาแล้วนะที่เธอจะทำอะไรตามใจของเธอมั่ง”

ภรณีไม่ติดใจจะโต้แย้ง หล่อนตอนเรียบ ๆ “เกี่ยวกับเรื่องเงินค่ะ นายเป็นคนเก็บเงิน”

“ก็เงินของเธอไม่ใช่รึ ? ของเธอแท้ ๆ เธอต้องการก็เรียกเอาสิ”

ภรณียังไม่ติดใจที่จะแย้งอยู่นั่นเอง “คุณพี่กรุณาพูดหน่อยสิคะ” หล่อนว่า แล้วอดไม่ได้จึงอธิบาย “ดิฉันไม่อยากจะทำอะไรให้เกิดขัดใจกันขึ้นเวลานี้ เพราะ—” สีหน้าของหล่อนแดงเรื่อขึ้น “เพราะไหน ๆ เราก็จะพ้นเขาไปในไม่ช้า ดิฉันอยากจะให้พ้นไปโดยดี”

“ก็ถูกเหมือนกัน คิดอย่างนั้นน่ะถูกที่สุด แต่พี่รำคาญผู้ใหญ่ไม่ทำหน้าที่ผู้ใหญ่ เอ้า ไหนว่าไปถีเธอจะให้พี่พูดอะไร?”

“พูดอะไรก็แล้วแต่คุณพี่เถอะค่ะ คือว่าให้นายเห็นความจำเป็น ว่าดิฉัน— ก็จะย้ายบ้านไป— อยู่กับคนอื่น— อย่างน้อยก็ต้องมีเสื้อผ้า– –”

จิตราลุกจากที่ปราดไปยืนอยู่ที่หน้าตู้เสื้อผ้าของภรณี “ฉันจะเป็นแม่ยายนายบันลือของเธอเสียจริง ๆ ละ” หล่อนว่า “ไหน ๆ เปิดตู้ออกดูถีเธอมีอะไรอยู่แล้วมั่ง จะต้องหาอะไรเพิ่มเติมมั่ง เราต้องทำแต่ที่จำเป็น เพราะเวลาของเรามันมีน้อยนัก อีกอย่างหนึ่งตามเสียงพระเอกของเธอก็ดูเหมือนว่าเขาจะพาเธอไปเก็บไว้กับเขาคนเดียวที่หัวเมือง เธอคงยังไม่ต้องการเครื่องแต่งตัวหรู ๆ มากนัก อ้อ พูดถึงเรื่องนี้เมื่อคืนวานเขาถามฉันว่าเธอจะไม่เบื่อรึ ไอ้ที่ ๆ เขาอยู่น่ะมันก็ป่าเราดี ๆ นี่เอง”

เขาถาม ? อ้อ เขาปรารภถึงหล่อนบ้างเหมือนกัน ? ภรณีตอบอย่างมั่นคงด้วยน้ำใจอันแน่วแน่

“อะไรที่เป็นหน้าที่ ดิฉันไม่เคยท้อถอยเลยค่ะ แล้วที่จริงเวลานี้ดิฉันก็ยิ่งกว่าอยู่ป่า”

“ตกลง” จิตราหันกลับไปหาตู้อีก ภรณีกระดากใจที่จะให้จิตราเห็นสมบัติส่วนตัวของหล่อนซึ่งแสดงถึงความขัดสนแห่งผู้เป็นเจ้าของอย่างจะแจ้ง แต่หล่อนหักความรู้สึกเช่นนั้นเสียโดยเร็ว ไขกุญแจเปิดตู้ตามความประสงค์ของจิตรา พร้อมกับพูดแกมหัวเราะ

“เปิดออกมาคุณพี่จะเห็นว่าเท่ากับตู้เปล่า”

จิตราไม่แสดงความเห็นอย่างไร เมื่อเห็นสิ่งของที่อยู่ในตู้แล้ว ความคิดอันหนึ่งเด่นอยู่ในใจของหล่อน หล่อนได้ชักจูงหญิงที่มีแต่ตัวแท้ ๆ ไปยกให้แก่บันลือ แต่หล่อนเชื่อว่าหญิง ๆ คนนี้มีคุณสมบัติซึ่งเป็นค่าล้ำแห่งสมบัติทั้งหลาย และด้วยเหตุนี้หล่อนไม่เสียใจในการกระทำของหล่อน ทั้งยังหวังเต็มเปี่ยมอีกด้วยว่าต่อไปภายหน้า หล่อนจะได้ภูมิใจในการกระทำของหล่อน

ครึ่งชั่วโมงล่วงไปโดยการคิดในการจดสิ่งของที่ต้องการลงในกระดาษแผ่นหนึ่ง แล้วจิตราพูดถึงสิ่งสำคัญที่จำเป็นที่สุดแก่ภรณี คือเครื่องแต่งตัวชุดที่จะใส่ในวันแต่งงาน “ไอ้นี่แหละ ช้าไม่ได้” จิตราว่า

หล่อนพูดต่อไปเมื่อได้ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “พี่รู้แล้ว พี่ต้องพูดทีเดียวให้เสร็จตลอดเรื่อง พี่จะต้องมารับเธอไปนั่นมานี่บ่อย ๆ ไอ้เสื้อน่ะถ้าช่างเขาไม่เคยกับเรา เราต้องลองทุกตัว ถ้าพี่นัดเมื่อไหร่เธอจะต้องไปได้ทุกที แหมยายเยื้อนแกคงเกลียดหน้าพี่ขึ้นอีกร้อยเท่า” หล่อนหัวเราะ แต่คราวนี้พี่ต้องขู่แกให้อยู่มือ ต้องขู่ว่าถ้าแกรวนผู้ชายเขาเบื่อ เขาอาจจะถอนหมั้น เอ๊ะ แต่พูดอย่างนี้ แกอยากแกล้งเธอ แกยิ่งรวนใหญ่ก็ไม่รู้”

ภรณีหัวเราะ ค่อยแช่มชื่นขึ้นเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่ามีผู้เอาใจใส่ช่วยเหลือตนอย่างจริงจัง จิตราพับกระดาษใส่ไว้ในกระเป๋า พลางพูดว่า

“เสร็จเรื่องแล้วนะ พี่จะต้องกลับบ้าน หมู่นี้เจริญเขากลับเร็วทุกวัน ถ้าเธอคิดอะไรได้อีกก็จดไว้ก็แล้วกัน ปิดตู้เสียเถอะเร็วเข้า วันนี้เธอต้องพาพี่ไปหายายแม่ร้าของเธอ แต่เวลาพี่พูดกับแกเธอเลี่ยงไปไหนเสียก่อนก็ได้ ให้พี่พูดกับแกคนเดียวดีกว่า”

ภรณียิ้มแทนคำตอบ เมื่อรู้ว่าจะมีเหตุทำให้มารดาเลี้ยงเกิดความไม่พอใจ หล่อนไม่มีความปรารถนาอันใดยิ่งไปกว่าที่จะหลีกเลี่ยงไปเสียไกลที่สุดที่จะไกลได้ ปิดบานตู้ลั่นกุญแจแล้วหยิบสิ่งของที่วางเกะกะอยู่เข้าที่เสียดังเดิม แล้วก็ออกจากห้องไปพร้อมกับแขกของหล่อน

ประมาณ ๒๐ นาทีภายหลัง เมื่อรถของจิตราออกประตูบ้านไปแล้ว ภรณีไปที่ครัว เพื่อดูงานของหล่อนเหมือนอย่างเคย หล่อนคิดว่านางจำนงฯ คงยังอยู่บนเรือนในที่ ๆ จิตราได้พบและสนทนาด้วย แต่นางจำนงฯ ได้ลงไปที่ครัวแล้วในระหว่างที่ภรณีเดินไปส่งเพื่อนผู้มีอาวุโสของหล่อนนั่นเอง นางเยื้อนกำลังพูดกับนางเจิมด้วยกิริยาของผู้ที่จะพูดเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยยืดยาว แต่เมื่อเห็นภรณีนางเยื้อนก็หยุดชะงักดังถูกมนต์จังงัง ทำอาการขบฟันปลอมอันเป็นอาการที่นางเยื้อนกระทำเสมอเพื่อให้ฟันเหล่านั้นกระชับกับเหงือกยิ่งขึ้น เห็นสายตาที่มารดาเลี้ยงมองมาดูตนพร้อมกับทำคอแข็ง ภรณีเกิดความคิดคล้าย ๆ กับจะเห็นว่ากำหนด ๒๒ วันที่จิตราแจ้งแก่หล่อนในวันนี้ เป็นกำหนดที่ไม่กระชั้นไปเสียแล้ว

ความจริงนับแต่วันที่หลวงจำนงฯ พร้อมด้วยภรรยาได้รับของหมั้นไว้จากสุภาพสตรีชราผู้เป็นยายของบันลือ นางจำนงฯ ได้ยุติการว่ากล่าวเสียดสีลูกเลี้ยง อย่างที่เกือบจะกล่าวได้ว่าโดยเด็ดขาด ถ้าภรณีได้ฟังคำแสลงหูบ้าง นาน ๆ ครั้งหนึ่งก็น่าจะเป็นเพราะนางเยื้อนเผลอตัวเสียความตั้งใจไปชั่วขณะ แต่ทั้งนี้เป็นเรื่องของการเสียดสีต่อหน้า ซึ่งแต่ก่อนนี้ภรณีเคยได้รับอยู่เป็นนิจ ส่วนการเสียดสีลับหลัง ไม่ต้องสงสัยว่าจะไม่ทวีขึ้นตามส่วนของความดันแห่งความอดกลั้นที่นางเยื้อนผจญอยู่ เคราะห์ร้ายที่คู่สนทนาของนางเยื้อน ซึ่งนางเยื้อนใช้เป็นเครื่องระบายความคิดความรู้สึกของตนนั้น ได้เริ่มพยายามทำตัวจะเป็น ‘พวก’ ของภรณี พร้อมกับที่นางเยื้อนเริ่มอดกลั้นวาจาเมื่ออยู่ต่อหน้าภรณีด้วย นางเยื้อนนินทาว่ากล่าวภรณีอย่างใด นางเจิมก็เล่าให้ภรณีฟังจนสิ้น ภรณีฟังแล้วก็นิ่งอยู่ นิ่งทั้งโดยวาจา โดยกิริยา และโดยสีหน้า ภรณีรู้ว่าหล่อนควรจะต้องติตัวเองอย่างหนัก ในการที่ปล่อยให้หญิงผู้เป็นแม่ครัวเก็บเรื่องที่นายพูดให้ฟัง มาแจ้งแก่หล่อนผู้มีฐานะเป็นลูกอยู่ในบ้าน หลายครั้งหล่อนนึกจะห้ามปรามตัดบทเสียมิให้นางเจิมพูดอีก แต่ทุกครั้งหล่อนเกิดนึกเสียดาย กลัวจะไม่ได้รู้ข้อความที่ตนถูกนินทา จึงยึดการ ‘นิ่งเสีย’ มั่นไว้ก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่นี้ เมื่อภรณีมองเห็นทางที่จะพ้นจากนางเยื้อนปรากฏอยู่รำไร หรืออีกนัยหนึ่ง หล่อนแน่ใจว่าหล่อนจะเป็นผู้ชนะอยู่แล้ว หล่อนสนใจมากยิ่งนักในความร้ายนานัปการที่นางเยื้อนกระทำแก่หล่อน หล่อนต้องการจะรู้ให้ละเอียด รู้ให้ตลอดจนถึงที่สุด ว่าความร้ายของนางเยื้อนมีความแรงปานไหน ยิ่งรู้มาก สะสมจำไว้ได้มาก ชัยชนะของหล่อนก็ยิ่งจะมีรสหอมหวาน ชวนชื่นชวนเสพสำหรับใจของหล่อนเป็นทวีคูณ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ