๒
โปตริยะ บุคคลที่จำนวนนี้คือ บุคคลจำพวกหนึ่งกล่าวติคนที่ควรติ—แต่ไม่กล่าวชมคนที่ควรชม—บุคคลจำพวกหนึ่งกล่าวชมคนที่ควรชม—แต่ไม่กล่าวติคนที่ควรติ บุคคลจำพวกหนึ่งไม่กล่าวที่คนที่ควรติ ทั้งไม่กล่าวชมคนที่ควรชม—บุคคลจำพวกหนึ่งกล่าวที่คนที่ควรติบ้าง.... กล่าวชมคนที่ควรชมบ้าง — สี่จำพวกนี้ บุคคลจำพวกที่กล่าวติคนที่ควรติบ้าง กล่าวชมคนที่ควรชมบ้าง ตามเรื่องที่จริงที่แท้ตามการอันควรนี้ ชอบใจเราว่าดีกว่าสูงกว่า (บุคคลสามจำพวก) เพราะเหตุอะไร เพราะความเป็นผู้รู้จักเวลาในสถานนั้น ๆ เป็นการดี
ในขณะที่บันลือเดินตามผู้รับใช้ประจำโรงแรมจะไปนั่งยังโต๊ะอาหาร เขามองกวาดไปรอบห้อง จึงสบสายตากับชายผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังจะลงมือรับประทานอาหารอยู่เหมือนกัน ทั้งสองฝ่ายต่างแสดงกิริยาทักทายกันด้วยความยินดี ฝ่ายผู้ที่นั่งอยู่แล้วพยักเรียกผู้ที่กำลังเดิน และบันลือก็เดินตรงไปหาผู้ที่เรียกเขา ด้วยท่าทางแสดงความเต็มใจ
“มากินเหมือนกันไม่ใช่หรือ?” ฝ่ายหนึ่งถาม “มากินด้วยกันเถอะ” แล้วพูดต่อไปโดยไม่รอฟังคำตอบ “ไหนใคร ๆ เขาลือกันว่าแกไปอยู่ป่าอยู่ดงไม่ได้มากรุงเทพฯ ตั้งร้อยปีแล้วยังไงล่ะ ?”
บันลือนั่งตรงหน้าเพื่อน ยิ้มพลางตอบว่า
“นี่ ทำเนียมฟังเขาว่าต้องเอา ๕ หาร แล้วจะได้ความจริง แต่นี่เอา ๕๐ หารแล้วก็ยังผิดลึก ที่จริงกันหายหน้าไปจากเพื่อนฝูงสักปีครึ่งเห็นจะได้”
“แหม มันก็นานเอาการอยู่ เพราะยังงั้น ๆ ใคร ๆ เขาถึงว่า ๑๐๐ ปี กันเองรู้สึกว่าไม่ได้พบแกนานกว่านั้นไปอีกนะ แล้วนี่แกกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เกือบเดือน”
“อุบ๊ะ ตั้งเดือน แล้วไม่มีใครได้พบได้เห็นแกเลย ยังงี้เอง ใคร ๆ เขาถึงว่านายบันลือเป็นคนลึกลับเสมอ”
“ที่จริงน่ะ บันลือไม่ใช่ฆ้องปากแตกเหมือนคนที่ว่าเท่านั้นเอง กันกลับมาเพราะถูกเรียกตัวให้กลับ คุณยายท่านเจ็บ กระเพาะอาหารเป็นพิษ กันมาถึงแล้วก็มาเฝ้าท่านอยู่ทั้งกลางวันกลางคืน ไม่ได้โผล่ไปไหนเลย”
“อ้อ แล้วนี่ท่านเป็นยังไงบ้าง ท่าเห็นจะหายดีแล้ว แกถึงได้ออกเวรได้”
“จะเรียกว่าหายก็ได้แล้ว แต่ใจท่านยังไม่ค่อยดี ที่จริงหมอว่าท่านพ้นอันตรายมาตั้งอาทิตย์แล้ว แต่ท่านไม่ยอมให้กันออกห่าง กลัวจะกลับไม่สบายเวลากันไม่อยู่ กันสงสารท่านก็เลยไม่ขัดใจ นี่วันนี้ทำใจแข็ง ทิ้งท่านมา เพราะเสียอ้อนวอนเสน่ห์ไม่ได้ เขาจะเอารถของกันใช้ กันไม่มีคนจะขับรถให้เขา เลยต้องใช้ตัวเองขับรถด้วย”
“อ้อ นี่แกมากับเสน่ห์เขาหรือ แล้วเขาไปไหนเสียล่ะ ?”
“เชื่อว่ากำลังเพลินอยู่กับแม่ยอดเสน่ห์ของเขา” บันลือหัวเราะ แล้วเล่าเรื่องที่ตัวเขาทำหน้าที่ขับรถจากที่ใดไปยังที่ใดบ้าง “นี่พอกินเสร็จกันต้องรีบไปรับเขาอีก เพราะต้องรีบไปส่งเจ้าหล่อนที่ ๆ ทำงานให้ทันบ่ายโมงพอดี” เขากล่าวในตอนท้าย
“เจ้าเสน่ห์มันก็เป็นเจ้าเสน่ห์ตามเคย” สหายของบันลือกล่าว “เวลาทำงานเสือกไปเที่ยวซื้อผ้ากับผู้หญิง คนใหม่ของมันนี่ชื่ออะไร ?”
“เขาเรียกของเขาว่ารา–”
“อ้อ ยังอยู่กับแม่อินทิรานั่นเองรึ เอ๊ะ คราวนี้เกาะได้นานจริงนะ”
“นานที่ไหน เอ! แกนี่ก็อยู่ในกรุงเทพฯ นี่ตลอดเวลา ทำไมจึงไม่ฉลาดกว่ากันเลย อินทิราน่ะเขาแต่งงานไปแล้ว คนนี้เขาชื่อสุทธิรา”
“เฮ้อ ก็ใครจะไปจำของมันได้ ราใหม่นี้เป็นยังไง แหม ชื่อเพราะจริงแฮะ”
“ชื่อเพราะ แต่รูปร่างท่าทางมันก็ไอ้เห็ดราดี ๆ นี่เอง”
“ไอ้บ้า!” อีกฝ่ายหนึ่งบ่น “เกิดมาไม่เคยเห็นใครบ้าเหมือนไอ้เจ้าเสน่ห์คนนี้เลย แล้วแกก็ช่างบ้าพอให้มันจูงหูมาขับรถให้มัน เวลางานก็ไม่เป็นงาน ดันเอามาบำเรอแม่เจ้าประคุณเสียนี่ กันหวั่น ๆ ว่าวันหนึ่งมันจะถูกไล่ออกเป็นแน่”
เขาหยุดพูดยกขวดเบียร์ขึ้นจะรินให้ตนเอง แล้วก็ชะงักถามเพื่อนว่า “แกจะดื่มอะไรฮึ บันลือ ไอ้ในถ้วยของแกน่ะมันอะไร ?”
“ยิน–บิตเตอร์” บันลือตอบ “กันดื่มพอแล้ว” หันไปทางผู้รับใช้ “ขอน้ำเย็นให้ฉัน”
รวมซ่อมและมีดปลาไว้ในจานอาหาร ที่เขารับประทานหมดไปแล้ว บันลือพูดขึ้นว่า “กันยังไม่ได้ถามถึงแหม่มของแกเลยเจริญ สบายดีดอกหรือ?”
“ไม่ค่อยสบาย ลงพุงเสียอีกแล้ว”
“อีกแล้ว!” บันลืออุทานพร้อมกับหัวเราะ “แหม แกนี่มันช่างดกจริงนะ คนหลังของแกน่ะมันได้กี่เดือน สักสี่เดือนได้กระมัง กันจำได้ดูเหมือนมันออกเมื่อวานซืนนี่เอง”
“เฮ้อ บ้าจริงแฮะจนจะเต็ม ๒ ขวบเดือนหน้านี่แล้ว คิดดูง่าย ๆ มันออกก่อนที่แกจะหายหัวไปจากกรุงเทพฯ แล้วแกหายไปสักกี่เดือน จริงนะ บันลือ แกไปอยู่ทำไมไอ้ที่เมืองบ้าของแกน่ะฮะ”
“กันบอกแล้วว่ากันไปหากิน”
“หากินทางไหน ? ทำนาบนหลังคน ! ระวังเถอะ เรื่องมันจะตรงกันข้าม คนมักจะทำนาบนหลังแก”
บันลือหัวเราะด้วยความขันอย่างจริงใจ ในคำพูดของสหายนั้น และตอบเร็ว ๆ ว่า “กันไม่ได้ทำนา กันทำไร่ทำสวน”
“เออ นั่นแหละยิ่งดีนัก หน้าใหม่ ๆ ยังงี้ !—กันเคยเห็นมาหลายคนแล้ว เอาเงินไปลงทุนทำไร่จะให้ไร่มันเลี้ยงตัว ลงท้ายไม่แต่มันจะไม่เลี้ยงมันกินตัว แล้วซ้ำมันยังกินลูกกินเมียกินพ่อกินแม่เสียด้วย”
บันลือขมวดคิ้วแล้วถามด้วยเสียงค่อนข้างกระด้าง “แกลองชี้ตัวไอ้คนโง่ ๆ อย่างที่แกว่ามาให้กันดูสักคนถี”
จากกระแสเสียงนี้ เจริญรู้ว่าบันลือมีความรู้สึกไม่พอใจ เพราะเหตุที่ถูกขัดคอ แต่เจริญเป็นผู้ที่ไม่ครั่นคร้ามต่อความโกรธของใคร ในเมื่อตัวเขาอยู่ในอารมณ์ที่จะแสดงความคิดเห็นอย่างจริงใจของเขา เขาออกนามบุคคลที่เคยประสบความล้มเหลวในเรื่องที่กล่าวนี้ ๓ คน และอธิบายต่อไปว่า
“คนหนึ่งใน ๓ คนนี่ตายไปแล้ว ตายอย่างไม่มีอะไรเหลือไว้ให้ลูกให้เมียเลย อีกคนหนึ่งหลวงจำนงฯ จวนจะหมดตัวเหมือนกัน ดีแต่ยายเมียแกเก่ง อีกคนหนึ่งเคราะห์ดีหน่อยที่ยังหนุ่มมากเวลานี้ประจำแผนกอยู่ในกองของกัน เจ้าคนนี้เมื่อแรกกลับจากนอกก็อวดดี หยิ่งเหมือนแกยังงี้แหละ เกลียดราชการทำไม่ได้ไม่ให้ใครบังคับบัญชาต้องทำงานอิสระ ลงท้ายก็หนีราชการไม่พ้น”
บันลือรู้สึกว่าตนกับสหายจะต้องขัดใจกัน ถ้าหากเขาทั้งสองจะพูดกันถึงเรื่องเหล่านี้ต่อไปอีก ก็มองดูนาฬิกาข้อมือ แล้วเตรียมจะเปลี่ยนเรื่องสนทนา เจริญสังเกตเห็นกิริยานั้นก็รีบพูดขึ้นว่า
“อย่างแกน่ะเรอะแกเป็นคนมีทรัพย์สมบัติมาก แกจะเอาไปพล่าเล่นเสียสักเท่าไรก็ได้ เพราะฉะนั้นแกอาจจะทู่ซี้ไปได้นานกว่าคนอื่น ถึงยังงั้นกันก็จะทายไว้ว่า อย่างช้าที่สุด ภายใน ๓ ปีต่อจากวันนี้แกจะไม่พูดถึงเรื่องทำไร่ทำสวนอีกเลย แล้วถ้าใครมาชวนแกพูด แกก็จะพาลเตะเขาเข้าด้วย”
“เพราะว่ากันจะอายความเฟเลียของกันยังงั้นรึ?” บันลือถาม “ดีละ กันจะจำคำของแกไว้ แล้วถ้าเผื่อภายในสามปีนี้การงานของกันเป็นผลดี แกจะใช้หนี้ไอ้การปรามาสหน้าคนของแกวันนี้ด้วยวิธีไหน”
“กันจะเรียกแกว่าพ่อทุกคำที่กันพูดกับแก”
คำตอบนั้น ทำให้บันลือเห็นขันจนคลายความฉุน ลักษณะยิ้มจึงปรากฏในวงหน้า เมื่อเขาหยิบผ้าเช็ดมือจากตักวางไว้บนโต๊ะพร้อมกับลุกขึ้นยืนและพูดว่า
“กันต้องไปละ ได้เวลาพอดี—บ๋อยเอาบัญชีมาเซ็นเร็ว”
“ไม่ต้อง กันจะเซ็นเอง” เจริญว่า “กันเรียกแกมานั่งที่นี่เพราะตั้งใจจะเลี้ยงแก”
“ขอบใจ” บันลือตอบ “ฝากความระลึกถึงให้แหม่มของแกด้วย”
“ขอบใจ” และเมื่อสหายออกเดินแล้ว เจริญก็เรียกไว้อีก “เดี๋ยวก่อน บันลือ ขอพูดอีกคำเถอะ ถ้าแกมีเมียเป็นฝั่งเป็นฝาเหมือนพวกเรา ๆ นะ ไอ้เรื่องทำไร่ทำนาบ้า ๆ บอ ๆ นี่ จะไม่เกิดขึ้นในหัวของแกเลย—”
“ตรงกันข้าม—”
“เดี๋ยวก่อน แกไม่ต้องตอบ กันต้องการให้แกฟังความเห็นของกันให้ตลอด เมื่อแกลงทุนเข้าไปแล้ว กันจะบอกวิธีหาผลสำเร็จให้ แกต้องหัดกินข้าวต้มกับกรวดแช่เกลือขั้ว นอนกับเสื่อบนกระดานแทนนอนที่นอนบนเตียง ถ้าแกทำได้อย่างนี้ ๕ ปี บางทีแกจะเป็นเศรษฐีเพราะการทำไร่”
บันลือใช้นิ้วมือเคาะโต๊ะ ๒–๓ ครั้ง สีหน้าแสดงอาการใช้ความคิด เมื่อเจริญหยุดพูดแล้ว เขาจึงว่า
“นี่แปลว่าแกก็รับรู้ว่าการกสิกรรมน่ะ เป็นทางหากินได้เหมือนกัน แต่แกดูถูกว่าคนอย่างกันทำไม่ได้ ใช่ไหมล่ะ ดีละ วันหลังพบกัน เราลองคุยถึงเรื่องนี้ดูอีกสักที วันนี้เวลาหมดเสียแล้ว”
แล้วบันลือก็ละจากสหายเดินไปขึ้นรถ