๑๖

ดูกรคฤหบดีบุตร เหล่านี้แลเป็นโทษ ๖ อย่างในการประกอบเนืองๆ ซึ่งการดื่มน้ำเมาอันเป็นเหตุที่ตั้งแห่งความประมาท ทำความเสื่อมทรัพย์อันผู้กินเหล้าจักเห็นด้วยตนเอง ๑ เหล้านั้นทำความทะเลาะกันให้เจริญ ๑ เป็นบ่อเกิดแห่งโรค ๑ ทำความนินทาให้เกิด ๑ ให้เปิดองค์อวัยวะที่ทำความอายให้กำเริบ ๑ ทำให้ปัญญาถอยกำลัง ๑

 

อีกสิบนาทีต่อมา ภรณีไม่เป็นผู้ไม่รู้จะวางตัวไว้แห่งใดอีกแล้ว แขกของบันลือที่แปลก หรือว่ามนุษย์มีความแปลกเช่นนี้ด้วยกันทุกคน ? ผู้ใดได้รับความห้อมล้อมแล้ว ยิ่งมีผู้มาช่วยห้อมล้อมให้มากขึ้นอีก ส่วนผู้ที่อยู่เดียวดายไม่มีผู้ใดเหลียวแล ภรณีได้พบจิตราแล้ว แต่มิได้เข้าใกล้กัน จิตราอยู่ในวงล้อมวงหนึ่ง หล่อนเห็นภรณีก็ส่งเสียงมาว่า “อ้อ ภร บันลือเขากลัวหน้าเธอจะหมอง เขาสั่งพี่ไว้ เธออยากขึ้นไปบนโน้นเมื่อไหร่ก็บอกพี่นะ แต่รออีกสักครู่ละก็ดี เวลานี้ถ้าจะกำลังแน่น แล้วพี่ก็ยังขี้เกียจขึ้นกระได ท้องหลาม” หล่อนบอกแก่ผู้ที่อยู่ในวงเดียวกับหล่อน แล้วก็หัวเราะด้วยลักษณะที่ทำให้ผู้อื่นต้องพลอยหัวเราะไปด้วย

ภรณีได้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ชายทั้ง ๔ คนก็นั่งลงใกล้ ๆ หล่อน ต่อจากนั้นไม่ช้า ภรณีรู้สึกว่าหมู่น้อยที่หล่อนร่วมอยู่ได้กลายเป็นหมู่ใหญ่ขึ้นทุกที และการสนทนาก็ดำเนินไปโดยไม่ขาดระยะ จนกระทั่งมาถึงขีดที่ต่างพูดไม่มีใครฟังใคร และภรณีเลือกไม่ถูกว่าจะสนใจในคำพูดของผู้พูดคนใด ในที่สุดหล่อนได้เลือกฟังคำพูดของผู้ที่คนอื่น ๆ ไม่สนใจฟัง เมื่อเห็นผู้ใดพูดออกไปเปล่า เพราะผู้อื่นกำลังนั่งอยู่ทางอื่น ภรณีก็จับตาดูเขาผู้นั้น ครั้นมีผู้อื่นหันมาช่วยฟัง และมีผู้อื่นหลงพูดไปเปล่าอีกหล่อนก็หันไปฟังเขาอีก ครั้นแล้วก็รู้สึกตัวว่ายิ่งฟังมากเท่าใดก็ยิ่งรู้เรื่องที่ฟังน้อยลงเท่านั้น

ดนตรีที่ห้องลีลาศได้บรรเลงไปแล้ว ๒–๓ เพลง เสน่ห์เตือนภรณีถึงข้อที่หล่อนควรเต้นรำกับเขาในเที่ยวที่ ๓ ที่ ๔ หลังจากที่หล่อนได้เต้นกับคู่หมั้นของหล่อนแล้ว หล่อนบอกเขาอีกว่าหล่อนเต้นรำไม่เป็นและไม่เคยเต้น ผู้ที่นั่งอยู่กับหล่อนพากันแสดงความประหลาดใจและไม่เชื่อ สุภาพสตรีสาวรุ่นใหญ่ราวรุ่นจิตราหรือเหนือไปกว่านั้น จึงขยายความแห่งคำพูดของภรณี

“พ่อหนุ่ม ๆ นี่น่ะ ชอบฝันว่าเมืองไทยเป็นเมืองฝรั่งร่ำไป ต้องเข้าใจว่ายังมีพ่อแม่อีกเยอะเทียวนะ ที่ไม่ยอมให้ลูกสาวของเขาเต้นรำ ลูกของเขายังสาวไม่ได้ ต่อเมื่อแต่งงานไปแล้วนั่นแหละ มันแล้วแต่สามีเขา”

ห้องที่เต็มอยู่เมื่อครู่ก่อนว่างไปมาก โดยเฉพาะสตรีเกือบจะไม่มีเหลืออยู่เลย จิตราก็ได้หายไปด้วย หล่อนคงจะลืมภรณีเสียชั่วขณะ หญิงที่อยู่ในหมู่เดียวกับภรณีก็กำลังลุกขึ้นจะออกจากห้องไปเหมือนกัน ภรณีพบตัวเองเป็นหญิงคนเดียวอยู่ในหมู่ชายถึง ๗ คน

หล่อนเริ่มสงสัยว่าหล่อนจะนั่งอยู่จะนั่งอยู่เช่นนี้แหละหรือ หล่อนควรแสดงความประสงค์ที่จะย้ายที่บ้างหรือยัง ทันใดนั้นเองหล่อนเห็นบันลือเข้ามาทางประตูใกล้ที่ ๆ หล่อนนั่งอยู่ หล่อนมองดูเขา แต่เขามองปราดข้ามศีรษะหล่อนไปโดยเร็ว เขาเดินไปยังคนอีกหมู่หนึ่งซึ่งอยู่ทางมุมห้องด้านโน้น เขาคงมองหาใครที่ไม่ใช่ตัวหล่อน ภรณีนึกครั้นแล้วเขาหันกลับมา และสายตาของเขาประสานกับสายตาของหล่อน คิ้วที่ขมวดอยู่ก็คลายออกทันที เขาเดินเข้ามาใกล้

ชายในหมู่เดียวกับภรณีพูดขึ้นว่า “ตาลายไปแล้วรึ ? ท่าจะอดใจมานาน เห็นแล้วเลยไม่เชื่อตาตัวเอง”

บันลือหัวเราะ “ล้อได้ล้อไป” เขาว่า “ไม่ถึงทีเราบ้างก็แล้วไปเถอะ” ทอดสายตามายังภรณี “ขึ้นไปข้างบนหรือยัง ?” เขาถามด้วยเสียงเบา ซึ่งแสดงว่าเขาพูดกับหล่อนโดยเฉพาะ

หล่อนลุกขึ้นยืน ผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยที่อยู่บนตักตกลงบนพื้น ชายทุกคนที่กำลังจะลุกขึ้นยืนก้มลงพร้อมกันเพื่อจะเก็บผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น คนหนึ่งหยิบได้ก่อนแล้วส่งให้หล่อน หล่อนรู้สึกร้อนที่หน้า แต่ยิ้มให้เขาได้พร้อมกับกล่าวขอบคุณด้วยเสียงเป็นปกติ

“เราก็ไปมั่งซี”

“ไปซี จะมานั่งอยู่ทำไม” เสียงพูดตามหลังภรณีมา

ในระหว่างที่ขึ้นบันได บันลือกล่าวแก่คู่หมั้นของเขาว่า

“ที่ห้องเต้นรำ มีเฉลียงยาวออกไปเหมือนข้างล่างเหมือนกัน ใครไม่เต้นรำก็นั่งเล่นได้สบาย”

ภรณีหาคำตอบไม่ได้ หล่อนอยากจะพูดกับเขาบ้าง พูดกับเขาเหมือนดังที่หล่อนพูดกับชายอื่นมาแล้วเมื่อครู่ก่อน แต่หล่อนพูดไม่ถูก สมองของหล่อนไม่ช่วยหล่อนเสียเลย

พอเขากับหล่อนมาถึงประตูห้องเต้นรำ ดนตรีที่กำลังบรรเลงอยู่ก็หยุดชะงักลงทันที ทำให้คู่เต้นรำหยุดชะงักไปด้วย และหันไปดูวงดนตรีด้วยความงงงวย ๑ นาที แล้วเสียงเพลงจึงดังขึ้นใหม่อีก ประมาณ ๒–๓ จังหวะเท่านั้น ก็เป็นคำอธิบายอย่างดี ดวงตาหลายสิบคู่หันไปทางบันลือกับภรณีเดินมา ใครคนหนึ่งตบมือขึ้นแล้วคนอื่น ๆ ก็ตบรับจนเป็นเสียงกราวใหญ่ไปรอบห้อง

คิ้วของบันลือขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่เขายิ้มก้มลงดูหน้าคู่หมั้นพลางถาม

“รู้จักเพลงนี้ไหม ?”

“รู้จักค่ะ” หล่อนตอบ รู้สึกว่าหน้าร้อนและขาสั้น ราวกับบันลืออ่านความรู้สึกของหล่อนได้ เขาจับแขนหล่อนไขว้กับแขนของเขา พร้อมกับพึมพำแกมหัวเราะ

“ใครก็ไม่รู้ช่างเป็นคนมาจัดการสั่ง”

เพลงไบรเดิล มาร์ช ยุติลงเพียงครึ่งเพลง พอดีกับบันลือพาคู่หมั้นของเขาออกประตูสู่เฉลียง

ที่นั่นมีแสงสว่างแต่เพียงอ่อน ๆ โดยอาศัยแสงสว่างอันแจ่มจ้าที่ส่องออกมาจากในห้อง ภรณีได้นั่งลงในไม่ช้าเพราะบันลือได้เลื่อนเก้าอี้ตัวหนึ่งให้หล่อน ตัวเองยืนอยู่และหันไปหัวเราะตอบเสียงที่ล้อเลียนเขาอยู่รอบข้าง สตรีที่นั่งอยู่ก่อนแล้วต่างยิ้มเป็นเชิงปราศรัยแก่ภรณี และภายหลังเมื่อเจ้าหล่อนเหล่านั้นจับเรื่องสนทนากันก็หันมาทางภรณีเป็นครั้งเป็นคราว แสดงกิริยาเชิงชวนให้หล่อนร่วมการสนทนาด้วย

เมื่อดนตรีตั้งต้นบรรเลงเพลงใหม่ มีผู้ถามเป็นเชิงเตือนให้บันลือเต้นรำกับ ‘คู่’ ของเขา เขาหัวเราะแทนคำตอบ เมื่อผู้ถามหันไปทางอื่นแล้ว เขาจึงพูดแก่ภรณี

“ไปเต้นรำกันหรือยัง ?”

หล่อนตอบด้วยเสียงคล้ายขออภัย “ดิฉันเต้นไม่เป็นจริง ๆ ค่ะ”

เขายิ้มและไม่โต้แย้ง นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นพร้อมกับพยักหน้าไปตามทางยาวแห่งเฉลียง

“ถ้าเบื่อนั่งหรือรู้สึกเวียนหัวคน” เขาหัวเราะ “นั่งดูคนหมุนไปหมุนมาไม่มีเวลาหยุดก็น่าเวียนหัวอยู่ เฉลียงนี้ยาวติดต่อกันจนถึงด้านข้างทางโน้น ไปเดินเล่นพักตาได้สบายห้อง ถัดจากห้องนี้ไปเป็นห้องแต่งตัวผู้หญิง แล้วมีห้องในเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง พอเปิดประตูก็ถึง ข้าง ๆ ห้องนั้นมีกระได ถ้าอยากหนีลงไปข้างล่างเงียบ ๆ ก็ได้”

เขานิ่ง มองไปรอบ ๆ ตัวเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นอีก

“บ้านนี้เหมาะที่จะเป็นสโมสรมากกว่าจะเป็นบ้านอยู่ คุณพ่อท่านชอบบ้านที่มีเฉลียงมาก ๆ ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนต้องให้พบเฉลียง ท่านว่าท่านติดนิสัยมาแต่เด็กเพราะเมื่อเล็ก ๆ ท่านเคยอยู่เรือนฝากระดานแฝด มีนอกชานแล่นกลางไอ้แบบมีนอกชานใหญ่ติดต่อกันรอบเรือน ตกลงบ้านนี้เลยมีเฉลียงเยอะ ที่เยอะ แต่หาห้องให้คนอยู่ไม่ได้” เขาลดเสียงเบาลงอีก กังวานอ่อนเกือบเท่าเสียงผู้หญิง “แต่บ้านของเราที่หัวเมืองไม่ใหญ่โตเร่อร่ายังงี้หรอก”

หล่อนเหลือบตาขึ้นสบตาเขา อยากพูด อยากแสดงความรู้สึกให้ปรากฏ ความรู้สึกเห็นบุญเห็นคุณเห็นความกรุณาที่เขาแสดงต่อหล่อน แต่พูดไม่ออก และแสดงด้วยกิริยาอย่างอื่นก็ไม่ได้ ความปลาบปลื้มปีติและความสุขที่เปี่ยมอยู่ในใจหล่อนขณะนั้นลึกซึ้งและแรงกล้า จนถึงกับทำให้หล่อนเกิดความกลัวต่อความรู้สึกของตัวเองไม่น่าเชื่อเหลือที่จะเชื่อ ว่าชีวิตของหล่อนจะเปลี่ยนแปลงไปได้ดังที่หล่อนมองเห็นอยู่

“เตรียมของสำหรับออกหัวเมืองเสร็จแล้วหรือยัง?” เขาถามอีกครู่ต่อมา

หล่อนพอใจที่เขาถามให้หล่อนตอบได้ “เสร็จหมดแล้วค่ะ แต่ยังไม่ได้จัดลงหีบ”

“เหลือเวลาพรุ่งนี้อีกวันเดียวนะ แต่ไม่เป็นไรขาดเหลือก็ให้คนขึ้นรถมาเอา ทั้งวันมาวันกลับ ๓ วันเท่านั้นเอง อ้อ มีอีกข้อหนึ่งเพิ่งนึกขึ้นได้ทีหลัง ของที่จะเอาไปทั้งหมดอยากให้ขนมาพักไว้ที่บ้านคุณยายให้พร้อม เพราะว่าเราจะออกจากนั่นตรงไปสถานีรถไฟที่เดียว สักสามโมงเช้า เสร็จจากเลี้ยงพระส่งพระแล้ว จะให้รถไปรับของแต่—เจ้าสาวไม่ต้องย้อนกลับไปด้วยก็ได้ไม่ใช่หรือ ?”

“ได้ค่ะ” หล่อนตอบเร็ว สิ่งใดเป็นความประสงค์ของเขา หล่อนย่อมจะไม่ตอบให้เป็นอย่างอื่น

“ดี” เพราะวันนั้นจะฟกมากหน่อยรถไฟออกจากกรุงเทพ ฯ ๑๕.๑๕ ถึงสถานีปลายทาง ๒๐.๒๕ เราต้องขึ้นรถยนต์ไปจากที่นั่นอีกเกือบ ๒ ชั่วโมงจึงจะถึงบ้านเรา เพราะยังงั้นพอเจ้าสาวออกจากบ้านมาแล้ว ไม่ต้องกลับไปอีกดีกว่า พอเสร็จงานจะได้พักให้สบาย ตอนเที่ยงมีการจะต้องนั่งโต๊ะอีก แต่เห็นจะไม่เหนื่อยเท่าไหร่เพราะกันเองทั้งนั้น ไม่มีใครเลยนอกจากพี่กับน้องแท้ ๆ กับเขย คุณพ่อกับคุณแม่ของเจ้าสาวก็ว่าจะไม่ยอมกินด้วย คุณยายยังไม่แน่ ท่าก็คงไม่สู้อีกน่ะแหละ ท่านไม่ชอบนั่งเก้าอี้”

“ก็—” ภรณีเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันมั่นคงเป็นครั้งแรกที่หล่อนนึกจะออกความเห็น “ก็มีแต่กันเองทั้งนั้นทำไมไม่นั่งรับประทานบนพื้นล่ะคะ ?”

“เออ จริงนะ” เขารับอย่างชื่นชม “ก็มันของง่ายแท้ ๆ ทำไมไม่มีใครนึก ถ้าใช้แบบนี้บางทีคุณหลวงกับคุณนายจะมากินด้วยกระมัง”

“ดิฉันจะถามดู” ภรณีกล่าว ปลาบปลื้มในความเห็นชอบของเขาราวกับได้ทำกิจการอันสำคัญอย่างใดอย่างหนึ่งสำเร็จลง

เขานั่งอยู่ในท่าเดิมอีกครู่หนึ่ง คือท่าพับแขนข้างซ้ายพาดไว้กับโต๊ะ ก้มตัวลงจนศีรษะของเขาอยู่ในระดับเดียวกับศีรษะของภรณี แล้วเขาขยับตัวขึ้นตรงและพูดว่า

“ขอโทษ ต้องไปดูทางข้างหลัง วันนี้พี่สาวไม่ค่อยแข็งแรงอะไร ๆ ทางหลังบ้านคงไม่เป็นเรื่อง ขอโทษนะ” เขากล่าวอีกพร้อมกับยิ้มด้วยลักษณะที่ทำให้ภรณีมีความรู้สึกดังตัวจะละลายไปกับที่

หล่อนมองตามร่างของเขา ซึ่งกำลังเดินหลีกคู่เต้นรำตรงไปทางประตู เมื่อเดินอยู่คนเดียวดูเขาก็ไม่สูงใหญ่เท่าใดนัก แต่เมื่อผู้ใดเข้าใกล้เขา ไม่ว่าหญิงหรือชาย มักจะเตี้ยกว่าเขาเกือบทุกคน ข้อนี้ภรณีเห็นเป็นสิ่งประหลาดน่าพิศวง ! ไม่ใช่แต่ข้อนี้ข้อเดียว ยังมีข้ออื่น ๆ อีก ซึ่งหล่อนไม่สามารถบรรยายให้ถูกถ้วนได้ รูปร่างของเขาผิวพรรณของเขาท่วงทีของเขา มารยาทของเขา น้ำเสียงของเขา และ—กิริยาที่เขาแสดงต่อหล่อนเป็นไปได้เทียวหรือที่เขาผู้นี้คือผู้ที่หล่อนจะ—จะแต่งงานด้วยในสองวันข้างหน้า ?

จิตรามาจากที่ใดที่หนึ่งมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าภรณีและถามว่า “พระเอกไปไหนเสียล่ะ ? เห็นนั่งอยู่ตรงนี้แผลบเดียวหายไปอีกแล้ว”

หล่อนนั่งลงในที่ ๆ บันลือละไปและพัดตัวเองด้วยพัดด้ามจิ้วแพรสีเดียวกับเครื่องแต่งกายของหล่อน

“ออกไปทางนี้เดี๋ยวนี้เองแหละค่ะ” ภรณีตอบ มีความรู้สึกอย่างเด่นชัดว่าตนกำลังพูดถึงผู้ที่เป็นของตนโดยแท้

“อยากจะชมเขาหน่อย” จิตราบอก สีหน้าแฉ่งอยู่ด้วยความสนุกร่าเริง “แต่อยากจะว่าด้วย อยากจะว่าเขาแกล้งจะทำลายขาสองข้างของฉันเสียแล้วเพลงเพราะเสียทุกเพลงนี่นั่งไม่ได้เลย พวกเจ้าของวงเขาบอกว่าบันลือเลือกเองทุกเพลง บางเพลงถึงกับส่งโน้ตไปให้ซ้อม”

“แต่ตัวเองไม่เห็นเต้นรำ” ภรณีกล่าวด้วยความรู้สึกเป็นเจ้าของเช่นเดียวกับคราวก่อน

“ก็อย่าว่าเลย ! คู่หมั้นไม่เต้น !” จิตราหัวเราะเอื้อมมือไปบีบคางภรณี “รู้ตัวไหมคืนนี้น่ะ มีคนอิจฉาเยอะเทียว ไม่มีละผู้หญิง ๆ ที่จะหรูเท่าเธอน่ะน้อยนัก”

ภรณีถอนใจเพื่อระบายความปลาบปลื้มที่ล้นอยู่ในความรู้สึก

จิตรารวบพัดแล้วชวนขึ้น “ไปห้องแต่งตัวกันไหมภร ? หน้าพี่ดำมิดหมีแล้ว พี่รู้แล้วเหนียวหนับ ๆ ไอ้ลีลาศกับเมืองเรานี่มันไม่ค่อยจะลงโบสถ์กันเลย สนุกก็สนุก แต่ร้อนเหลือกำลัง พัดลมออกหึ่ง ช่วยอะไรไม่ได้”

ทั้งสองหญิงลุกขึ้นพร้อมกัน การเคลื่อนไหวทำให้ผู้ที่อยู่ข้าง ๆ หันมามองดู ภรณีจึงพูดเป็นเชิงอธิบาย

“คุณจิตราชวนไปห้องโน้น”

หล่อนได้รับการยิ้มแทนคำตอบ

เมื่ออยู่ในห้องอันมีขนาดไม่ใหญ่นัก แล้วจิตราเช็ดหน้าพลางมองไปรอบตัว แล้วหันมาบอกแก่ภรณี

“ผัดหน้าเสียมั่งซี ภร ถึงมันไม่ดำ มันก็หมดนวลไปแล้ว บันลือเขายิ่งเป็นห่วงอยู่ กระเป๋าของเธอล่ะ ?”

“ไม่มีค่ะ—”

“ไม่มีมาเลย ? จริงแหละ ต๊ายตาย นี่เป็นความบกพร่องของพี่เอง เอาของพี่ซีงั้นก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าแทนพัฟ เอ้า พัฟนี่เขาก็มีให้ แต่ไม่ไหว หน้าใครมั่งก็ไม่รู้ แต่แป้งเห็นจะพอใช้ได้”

ภรณีไปยืนผัดหน้าตรงกระจกเงา ซึ่งมีขนาดใหญ่ดังลับแล มีกรอบและเชิงรองประดับมุกตั้งอยู่ระหว่างประตูที่ติดต่อกับห้องในเข้าไปอีก

จิตราทำธุระทั่ว ๆ ไปเกี่ยวกับการแต่งตัว พลางปรารภถึงความสนุกสนานแห่งงานในคืนนี้ เมื่อภรณีผัดหน้าเสร็จแล้ว จิตรายังไม่เสร็จจากการทำเหงื่อให้หมดไปจากหน้า และผมของหล่อนนั้นอยู่ในลักษณะที่เจ้าของจับรวบไว้เหนือหูเหนือคอเมื่อมิให้ถูกน้ำถูกแป้ง ภรณีฟังพลางใจก็นึกถึงผู้เป็นเจ้าของงานไปพลาง และคำที่จิตราพูดเป็นเชิงยกย่องความสำเร็จแห่งงานนั้น ทำให้หล่อนชื่นใจดังหนึ่งตัวหล่อนเป็นผู้ได้รับความยกย่องเอง

สตรีสามนางเดินเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นจิตรากับภรณีก็ร้องทักมาแต่ไกล ทักภรณีแต่น้อยคำเพราะไม่คุ้นเคยกันมาก่อน แล้วก็ตรงไปยืนอยู่ข้างจิตรา และในทันทีนั้น เจ้าหล่อนทั้ง ๔ ได้เปิดการสนทนาซึ่งจะเป็นเรื่องยาว ตั้งต้นด้วยคำว่า “หลวงสนอง ฯ กับเมีย—” แล้วสาธยายต่อไปถึงความไม่ลงรอยกันระหว่างสามีภรรยาคู่นี้แม้กระทั่งในการเต้นรำ เพลงใดสามีชอบ ภรรยาเห็นว่าไม่ดี เพลงใดภรรยาจะเว้นเสียไม่เข้าร่วมลีลาศกับคู่อื่นมิได้ สามีมีความเห็นว่า ‘ไม่เป็นรส’ ภรณีไม่มีความสนใจที่จะฟัง อารมณ์ของหล่อนไม่อยู่ในภาวะที่จะยอมเข้าใจความไม่ลงรอยกันระหว่างสามีภรรยาหรือคู่หมั้น ! เมื่อโลกในความรู้สึกของหล่อนกำลังสดชื่นแจ่มใสเห็นปานนี้จะให้หล่อนเข้าใจความยุ่งยากของโลกได้อย่างไร

หล่อนละจากที่ ๆ หล่อนยืน เดินช้า ๆ ไปทางประตู ใจนึกถึงคำของบันลือ เขาแนะนำหล่อนไว้ เฉลียงยาวติดต่อไปถึงมุมตึกด้านโน้น ถ้าเบื่อ–ไปเดินเล่นได้สบาย หล่อนจะไปเดินเล่นพักตาพักหู และ—และคิดถึงเขา

เดินมาตามทางที่ยาวตรงมาข้างหน้า ถัดจากห้องแต่งตัวสำหรับสุภาพสตรี มีห้องที่แสงสว่างส่องออกมาภายนอกอีกห้องหนึ่ง ภรณีพยายามจะดูเข้าไปภายใน แต่เห็นได้เพียงพื้นห้องกับส่วนล่างแห่งเก้าอี้ ๒–๓ ตัวเพราะบังตาปิดอยู่ทั้ง ๒ ประตู เดาว่าห้องนี้จะเป็นอีกห้องหนึ่งที่เจ้าของงานจัดไว้ เพื่อประโยชน์แก่แขกของเขา แต่จะเป็นประโยชน์ในทางใด ภรณีรู้ตัวว่าไม่มีโอกาสที่จะทายถูก เดินต่อไปอีก มองไปในที่แจ้งบ้างพิเคราะห์ดูห้องที่ปิดอยู่บ้าง และรำพึงถึงความรโหฐานแห่งเคหะนี้ไปพลาง

มาถึงที่เลี้ยว ภรณีหยุดยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ที่นั่นออกจะมีด หล่อนไม่นึกอยากเดินไปให้ถึง อีกประการหนึ่งจิตราอาจจะแต่งตัวเสร็จแล้ว ถ้าไม่เห็นภรณีก็คงจะต้องเที่ยวหา

หล่อนหันหลังกลับเดินมาตามทางเก่า พอมองเห็นประตูห้องที่มีบังตาปิดไว้ ก็เห็นชายคนหนึ่งออกมาจากห้องนั้น

ด้วยตาและสมอง หล่อนจำเขาได้ทันที แต่ด้วยใจหล่อนไม่เชื่อว่าเขาคือเขา หล่อนลืมเขาเสียสนิทที่เดียวในระหว่างชั่วโมงหลังแต่เขาจำหล่อนได้โดยเร็ว อุทานขึ้นด้วยความประหลาดใจ และตรงเข้ามาหา

“เจ้าประคุณเพิ่งได้เจอ” เขาพูดเป็นคำแรกหลังจากที่ได้มองดูหล่อนอยู่ครู่หนึ่ง “นี่ยังไงมาเดินอยู่คนเดียวใคร—คน— ใคร ๆ—คนอื่น ๆ ไปไหนกันเสียหมด ?”

“ดิฉันมาห้องแต่งตัวแล้วเลยออกมาเดินเล่น” ภรณีตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ “คุณวิชิตมาจากทางไหน ?” หล่อนหัวเราะ เป็นยังไงมั่ง ดิฉันมองหาหลายหนแต่ไม่เห็นเลย” หล่อนหยุดแล้วเสริม “ยังนึกเป็นห่วง สมศรีอยู่ไหน ?”

เขาพึมพำถ้อยคำอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ในคอ ถ้าภรณีมีความสังเกตดีกว่านั้น จะเห็นว่าเขาต้องใช้ความพยายามในอันที่จะยืนให้ตรง เขาพูดดังขึ้นพอที่หล่อนจะได้ยิน

“อุตส่าห์มาเจอ ไม่ได้ฝันเลยว่าจะได้พบ สวยจริง หรูจริง ลอยฟ้าเทียวนะ นี่ยังจำผมได้รึ ?”

“ถามพิกล” ภรณีว่า “คนเคยรู้จักกันทำไมถึงจะจำไม่ได้”

“ขอบพระเดชพระคุณเป็นล้นพ้นเหลือที่จะพรรณนา” เขาหัวเราะแล้วค่อย ๆ บรรจงก้าวเท้าเข้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ภรณีเริ่มรู้สึกผิดสังเกต แต่ยังมิได้นึกถอยหนี “คุณจะฆ่าผมเสียแล้ว”

หญิงสาวเริ่มขยับตัวถอยหลังอย่างระมัดระวัง แต่ฝืนหัวเราะด้วยกระแสเสียงเป็นธรรดาอย่างที่สุด “เหลวไหล” หล่อนกล่าว “สมศรีอยู่ไหนคะ ?”

ไม่มีคำตอบ เขายืนนิ่งจ้องดูหล่อน ภรณีเริ่มรู้สึกว่าหัวใจของหล่อนเต้นผิดปกติ และก่อนที่หล่อนจะไหวทันว่าเขาจะทำสิ่งใด เขายื่นมือออกมาคว้ามือหล่อนไว้แน่น

“หนเดียว หนสุดท้าย” เขาพูดเสียงค่อนข้างดังเมื่อหล่อนสะบัดมือ “ผมมีสิทธินี่นาที่จะขอได้” เขาก้มลงโดยเร็วและจูบหล่อนที่แขน

“ขี้เมา !” ภรณีกล่าวเสียงสั่นด้วยความโกรธ กระชากมือของหล่อนหลุดจากมือเขาได้ด้วยความแรง “ไม่มีจรรยา ไม่มีมารยาท ไม่มีศีล ไม่มีสัตย์”

หล่อนก้าวเท้าลงไปข้างหน้า เขาพยายามจะขวางแต่ขาแกว่ง ทำให้ก้าวถลำไปอีกทางหนึ่ง เมื่อเขาตั้งตัวได้ หล่อนพ้นจากเอื้อมแขนเขาไปไกลแล้ว

ภรณีเดินเร็วมาก ทั้งที่ขาก็สั่น ผ่านประตูห้องที่มีบังตาปิดประตูแรก หล่อนสะดุ้งโดยแรงเมื่อเห็นมีผู้ยืนยึดบังตาประตูที่สองอยู่

เขาปล่อยบังตาก้าวเท้าออกมาภายนอก ความคิดของภรณีวิ่งวุ่นอยู่ในสมองจนไม่รู้ว่าจะคิดอะไรบ้าง พยายามจะพูด ทั้งที่ไม่รู้จะพูดว่ากระไร แต่ฝ่ายเขาได้พูดขึ้นก่อน

“ใครนะ ผู้ชายคนนั้น ? มองไม่เห็นหน้า”

“คุณวิชิตค่ะ”

“อ้อ แขกตัวเก็ง ! ทำไมถึงรีบทิ้งเขามาเสียเร็วนักล่ะ ?”

“ดิฉันหนีเขามา เขาเมา”

“น่าเห็นใจ ฤทธิ์แชมเปญ คืนวันนี้มีน้อยคนที่จะทนได้ เห็นจะคุ้นเคยกันมาก ?”

“เปล่าค่ะ คือ—เขา–เขา—แต่ดิฉัน—เป็นความจริง—ดิฉัน—ใจ—”

เขายกมือขึ้นในท่าห้าม “อย่าเลย ฉันไม่มีความตั้งใจที่จะรู้เรื่องหลังฉากของใคร เรื่องใจไม่สำคัญ” เขาหัวเราะ “นอกปัญหา แต่งงานกันแต่ตัวพอแล้ว ส่วนใจใครก็ใจใคร เป็นอิสระ”

“จะกลับไปนั่งรึ หรือจะเดินตากลมอีก ?” เขาถามเมื่อเห็นหล่อนยังนิ่งอยู่

“คุณจิตราอยู่ที่ห้องโน้น” ภรณีตอบ แล้วรู้สึกว่าเสียงของตนแปลกไปจนเกือบจำไม่ได้ ทั้งรู้สึกว่าร่างกายมีอาการเหมือนกับขาแข็งอยู่กับที่ ชาไปทั้งที่ไม่เข้าใจความหมายแห่งคำพูดที่ตนได้ฟังแล้วนั้น

“เชิญ” เขาเบนตัวเล็กน้อยเป็นเชิงหลีกทางให้ และเมื่อภรณีบังคับขาให้ออกเดินได้แล้ว เขาก็หันกลับเข้าไปในห้องที่เขาเพิ่งออกมา

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ