๓
นรชนผู้เลี้ยงมารดาบิดา มีปกติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล กล่าวถ้อยคำไพเราะ อ่อนหวาน ละวาจาส่อเสียด ประกอบในอันทำจัดความตระหนี่ มีวาจาสัตย์ ข่มความโกรธได้—ชื่อว่าสัปบุรุษ
บันลือกลับมาถึงที่พัก คือที่บ้านคุณนายลำดวนผู้เป็นยาย เวลา ๑๔ นาฬิกาเศษ จอดรถไว้ในที่ร่ม หยิบของที่วางอยู่ข้างตัว มีหีบห่อและขวดล้วนแล้วแต่เป็นที่บรรจุยาและอาหารสำหรับคนป่วย แล้วลงจากรถเดินไปที่ตึก
แต่พอก้าวขึ้นบันได บันลือขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกสะดุดใจและฉุนเฉียว—เสียงฝีเท้าคนดังสนั่นหวั่นไหวอยู่เหนือศีรษะ แล้วเจ้าของฝีเท้าก็แสดงตัวให้รู้ว่าตัวเป็นใคร โดยวิธีส่งเสียงอันเต็มไปด้วยลักษณะโมโหดังเท่ากับเสียงฝีเท้า
“อีบ้า หาความเขา เขายังไม่เห็นสักหน่อย เฮ่อ”
อีกเสียงหนึ่งว่า “หนอย พ่น อย่ามาพ่นเลย เอาของหนูไป หนูรู้”
เสียงแรกตอบ “อีผี มุกสะบั้นเลย—” เสียงส้นเท้ากระแทกพื้นและเสียงดิ้น “เอ บอกแล้วว่าไม่มี ๆ เดี๋ยวเตะให้หมาเฉือมเสียเลย”
บันลือแลไปทางห้องที่หญิงผู้เป็นยายนอนอยู่ เขารู้ว่าเสียงแสดงโทสะของเขาจะทำให้คุณยายอกสั่นหนักยิ่งกว่าเสียงอื่นใดในโลก เขายั้งปากไว้ไม่ใช้เสียง แต่จะยั้งมือยั้งเท้าพร้อมกับยั้งปากหาได้ไม่ วางของลงบนพื้นตรงหน้าด้วยกริยาแรงเกือบเท่าโยน แล้วสาวเท้าขึ้นบันไดไปชั้นบนโดยเร็ว
ในใจของเขากำลังมีความอยากที่จะจับคู่วิวาททั้งสองโยนลงไปจากตึกพร้อมกัน แต่เมื่อร่างกายของเขาปรากฏแก่เด็ก เด็กหญิงร้องขึ้นอย่างปิติยินดี “คุณพ่อมาแล้ว” ส่วนเด็กชายผู้กำลังชกและเตะหญิงผู้ใหญ่คนหนึ่งอยู่เป็นพัลวันก็หยุดชกหยุดเตะ สีหน้าแสดงความโมโหเปลี่ยนเป็นสีหน้าอันแจ่มใส โมโหในใจบันลือก็ดับลงไปสิ้น
อย่างไรก็ตาม เขาพูดด้วยเสียงกระด้าง “ลูกฉันรึ ทำไมถึงเลวอย่างนี้ กิริยาก็หยาบ ภาษาก็ต่ำ ใครพาแกมาที่นี่ ฉันไม่เห็นอยากได้เลยลูกเลว ๆ อย่างนี้”
หญิงผู้ใหญ่รีบจัดเสื้อผ้าที่ยุ่งไปเพราะเหตุที่ได้ปลุกปล้ำกับเด็กชาย ส่วนปากก็พูดอย่างร้อนรน
“คุณก้องเธอว่านมหรอกนะคะ ไม่ได้ว่าคุณน้อง”
เห็นสายตาที่บันลือมองมายังตน ไม่คลายลักษณะขุ่นมัวลงบ้างเลย ทั้งบันลือได้หันหลังกลับลงบันไดไป โดยไม่ตอบว่ากระไรด้วย นางพวงก็นึกโกรธขึ้นบ้าง มองดูเด็กทั้งสอง พลางนินทาบิดาของเด็กอยู่ในใจ “เจ้าโมโหโทโสเหมือนใครล่ะ ก็เหมือนคุณพ่อน่ะเอง” ขยายชายพกแล้วนุ่งใหม่ให้กระชับขึ้น ใจก็นึกถึงมันถือเมื่อครั้งยังเล็กเท่ากับบุตรชายของเขาในเวลานี้ ในเวลาที่โมโหเพราะอยากได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วไม่ได้ดังใจ บันลือก็เคยยื้อยุดผ้าห่มของนมพวง ทั้งยังอ้าปากตะโกนจนสุดเสียงให้นม “เอาผ้ามา หนูจะเอาผ้า หนูไม่ให้นมห่มผ้า” เมื่อเป็นเช่นนี้ ไฉนคุณบันลือจึงมาทำท่าโกรธลูกเพราะเหตุทำอำนาจด้วยความโมโหเล่า ?
บันลือสวนทางกับหญิงคนใช้ประจำตัวคุณนายลำดวนที่เชิงบันได หญิงนั้นแจ้งแก่บันลือว่า “ท่านให้ไปดูว่าใครทะเลาะกันข้างบน”
เขาตอบแก่คนใช้ว่า “ไม่ต้องไปดูหรอก ไปขนของหน้าตึกเข้าไปในห้องคุณยาย”
เมื่อเขาเข้าไปในห้องคุณนายลำดวน เจ้าของห้องต้อนรับเขาด้วยสีหน้าและแววตาแสดงความยินดี แล้วกล่าวเป็นเชิงถาม
“มาพอดีได้ตัดสินความ ?”
เว้นระยะนิดหนึ่ง แล้วหญิงชราพูดสืบไป
“นังพวงมันเต็มที ไม่เป็นเรื่องเป็นราว ขัดใจไอ้ที่ไม่ควรขัด แล้วบทมันจะตามใจขึ้นมา ไม่ว่าจะเอาอะไร มันปล่อยให้เสียหมด เมื่อมันเลี้ยงพ่อปุ๊มันก็เป็นอย่างนี้ ถึงลูกพ่อปุ๊มันก็ไอ้อย่างนี้อีกน่ะแหละ”
บันลือรู้ว่าคำปรารภนี้ไม่ยุติธรรมแก่นางพวง และรู้ด้วยว่าบรรดาผู้ที่เคยตามใจเด็กมาแล้ว น่าจะไม่มีใครเคยตามใจเด็กคนไหน ยิ่งกว่าที่คุณยายของเขาเคยตามใจเขาผู้เป็นหลานรักอย่างสุดสวาทขาดใจของท่าน เหตุที่ทำให้เขารู้ความจริงอันนี้ได้นั้น เป็นเพราะว่าตั้งแต่เล็กจนรุ่นหนุ่ม เวลาแห่งการเติบโตของเขาได้แบ่งแยกออกเป็น ๒ ส่วน ตามความต้องการของคุณยายและคุณย่า กล่าวคือเด็กชายบันลือจะอยู่ในความเลี้ยงดูของคุณยายสัก ๒–๓ สัปดาห์ แล้วก็ย้ายไปอยู่ในความเลี้ยงดูของคุณย่า แล้วก็ย้ายกลับมาอยู่ในคุณยายเสียอีก ๒–๓ สัปดาห์ สลับกันดังนี้เรื่อย ๆ ไป และตลอดเวลาที่กล่าวแล้ว ทุกครั้งที่เด็กชายบันลือย้ายตัวเองจากผู้เลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งไปยังผู้เลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่ง เขาย่อมจะได้ยินฝ่ายที่เขาอยู่ด้วยนินทาฝ่ายที่เขาพึ่งละมาเป็นนิจ คุณย่ามักจะบ่นว่า “เจ้านี่มันโตขึ้นมันจะเป็นยังไง้ มันมิเหยียบคอคนหักหมดรึ แต่เดี๋ยวนี้มันยังเป็นยังงี้ เอาอะไรจะเอาให้ได้ทันใจ แม่ลำดวนแกตามใจหลานจนน่าหมั่นไส้” ส่วนคุณยายก็มักจะบ่นว่า “แม่อ่อนแก่หัดเด็กให้โมโหร้าย เวลามันจะเอาอะไรควรจะให้ได้ก็ไม่รีบให้ ๆ ไปเสีย ต้องให้โมโหเสียก่อนถึงจะให้ ทีนี้เด็กก็เคยตัว จะเอาอะไรสักนิดหนึ่งก็ต้องแผลงฤทธิ์ ไม่ยังงั้นกลัวจะไม่ได้” แต่ด้วยน้ำใสใจจริง บันลือรู้ว่า คุณย่าและคุณยายของเขาย่อมจะช่วยกันตามใจเขาไม่มากไม่น้อยกว่ากัน ท่านทั้ง ๒ นี้เป็นคู่มิตรที่รักใคร่สนิทสนม และเอาใจซึ่งกันและกันยิ่งนัก ความเห็นของท่านในเรื่องต่าง ๆ สอดคล้องต้องกันอยู่เสมอ เรื่องการเลี้ยงดูเด็กชายบันลือ เป็นเรื่องเดียวที่ทำให้ท่านติเตียนกันและกันในเวลาลับหลัง และตามความจริงนั้นแม้แต่ในเรื่องนี้เอง ความแตกต่างระหว่างท่านทั้งสองก็มีอยู่แต่เพียงว่า คุณย่าเคยตีบันลือบ้างเป็นการลงโทษ เพราะคุณย่าเป็นผู้ที่มีโมโหร้ายอยู่ ส่วนคุณยายนั้นไม่เคยลงโทษบันลือโดยวิธีหนึ่งวิธีใดเลย
โดยไม่ตอบคำปรารภของคุณยาย บันลือถามขึ้นว่า
“บ้านไหนเอาเด็กมาส่งไว้?”
คำถามนี้มีความหมายว่า บุตรทั้งสองของผู้ถาม มาจากบ้านไหนในจำนวน ๓ บ้าน คือบ้านของบันลือเองซึ่งมีพี่สาวใหญ่ดูแลอยู่บ้านหนึ่ง หรือบ้านของมรกต กับบ้านของไพฑูรย์ ซึ่งเป็นน้องสาวของบันลืออีก ๒ บ้าน
คุณนายลำดวน ตอบว่า “ยายให้เขาเช่ารถไปรับมาเองแหละ พอมาถึงได้สักครู่ ยายไล่ให้แกขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าเสียให้สบาย นางพวงไปทำท่าไหนกับแกก็ไม่รู้ เลยเอ็ดตะโรกันใหญ่”
“พี่น้องวิวาทกันน่ะครับ แล้วนมแกก็ไม่มีปัญญาจะห้ามคุณยายไปรับมาจากบ้านไหนครับ”
“เจ้าเส็งไปรับมาจากบ้านอาเล็ก ทำไมจ๊ะ ?”
“คือว่าผมไปแวะที่บ้านแม่กลางมา เขาว่าไพฑูรย์ไม่สบายเป็นไข้ ผมนึกถึงเด็ก ๆ อยู่แล้วกลัวจะกวนอาเขาเวลาที่เขาเจ็บไข้ คิดว่าเย็นวันนี้จะโทรศัพท์บอกพี่มุกดาให้ช่วยรับกลับไปไว้บ้านเสียที เมื่อคุณยายไปรับมาเสียก่อนก็ดีแล้ว”
ในเวลานั้นเอง คนใช้ผู้ได้รับคำสั่งจากบันลือให้ไปขนของที่เขากองไว้ ก็เข้ามาในห้อง มีลูกชายหญิงของบันลือแข่งหน้าแข่งหลังกันเข้ามาด้วย และพยายามจะแย่งของที่คนใช้ถืออยู่นั้น ต่อเมื่อมองสบตาบิดา อาการยื้อแย่งจึงค่อยเพลาลง แม้กระนั้นเด็กชายก็ยังคว้าเอาหีบขนมปังไปถือไว้ได้ ส่วนเด็กหญิงนั้นปล่อยถุงหนึ่งในมือให้คนใช้ตามเดิม
บันลือเปิดหีบและแก้ห่อเพื่อให้คุณยายดูของที่อยู่ภายใน คุณยายแสดงความปิติยินดีตอบแทนความเอาใจใส่ของเขา แล้วท่านหยิบขนมปังอย่างดี ซึ่งบันลือซื้อมาสำหรับท่านโดยเฉพาะ ส่งให้แก่เหลนน้อย ๆ ของท่านคนละ ๒ ชิ้น และมองดูเด็กทั้งสองรับประทานอาหารอันมีราคาแพงนั้นด้วยสายตาแสดงความสุขใจ ภายหลังท่านเล่าอาการภายในของท่าน ตามที่ท่านรู้สึกเมื่อเวลาที่รับประทานอาหารแล้ว เล่าโดยละเอียดโดยถี่ถ้วน โดยยืดยาวตามอารมณ์ของท่าน ที่ต้องการความเห็นอกเห็นใจ และความพะเน้าพะนอจากหลานชายสุดที่รัก บันลือก็ฟังด้วยความตั้งใจอยากรู้อาการของท่านด้วย ฟังด้วยความตั้งใจจะเอาใจท่านด้วย แต่ถึงกระนั้นความตั้งใจของเขาก็ยังแพ้ต่อความเบื่อและความกังวลในเรื่องบางเรื่องในบางขณะ สมองของบันลือกำลังวุ่นอยู่ที่เด็กทั้งสอง และอาการที่เด็กเคี้ยวขนมพลางทำกิริยาหยุกหยิกและโต้เถียงกันไปพลางด้วยนั้นเป็นเครื่องรำคาญแก่ตาและแก่ใจบันลืออย่างที่สุด
เด็กหญิงพูดว่า “คุณพ่อคะ ตาก้องน่ะนักจิกมือหนึ่งเลย—”
ยังไม่ทันจบประโยคเด็กชายก็ขัดขึ้น “ปล่าวครับ ปล่าว ผมปล่าวจริง ๆ ครับ คุณพ่อ มุกทั้งนั้นเลย ยายป่องน่ะ”
“อย่า อย่า อย่าเชื่อละ แกนะซีมุก เอาของเขาไปเขาเห็น”
“หยุดทีเถอะ” บันลือขัดเสียงแข็ง “ไอ้ภาษาที่แกพูดน่ะมันเหลือเกิน ฉันเป็นพ่อแกฉันยังฟังไม่เข้าใจ มนุษย์ที่ไหนเขาจะฟังแกรู้เรื่องฮะ”
“ยายป่องเขาว่าผมเอาดินสอเขาไปครับ—”
“ดินสออะไร ?” คุณยายลำดวนถาม “หนูเอาของน้องไปก็คืนให้น้องไปเสียซี”
“ผมปล่าวครับ ปล่าวจริง ๆ ยายป่องเอาไว้ที่ไหนไม่รู้แล้วมาว่าผม นมพวงเลยเล้งผมใหญ่”
“หนอยจีบ จีบอีกแล้ว อย่างเชื่อเสียนี่—”
บันลือร้องจุ๊ย๎อย่างแรงและว่า “เอ เด็กคู่นี้พูดอะไรอย่างที่คนธรรมดาเขาพูดกันไม่ยักเป็น ไปเรียนภาษาอะไรมาไม่ยักรู้” แล้วลุกจากที่นั่นไปยืนถอดเสื้อชั้นนอกอยู่ทางหนึ่ง
แต่สุภาพสตรีผู้เป็นยายของบันลือเข้าใจคำพูดของทั้งสองได้ดี ท่านค่อย ๆ ซักถามจนได้ความชัดว่าเด็กหญิงมีดินสอแท่งหนึ่ง ซึ่งเด็กชายบุตรของคนใช้ที่บ้านไพฑูรย์ได้ให้เป็นกรรมสิทธิ์ บัดนี้ดินสอนั้นหายไป และเด็กชายก้องได้ถูกน้องสาวกล่าวหาว่าเป็นผู้ลักของนั้น
ในท้ายที่สุดเรื่องได้จบลงโดยคุณนายลำดวนสั่งให้คนใช้ไปซื้อดินสอดำมาให้แก่เหลนคนละแท่ง
แต่สำหรับบันลือ เรื่องนี้มิได้จบลงโดยง่าย เช่นที่กล่าวแล้ว แม้กระทั่งในเวลาบ่าย เมื่อบันลือนั่งอ่านหนังสือที่เกี่ยวด้วยวิชากสิกรรมอันเป็นวิชาที่เขากำลังสนใจเป็นพิเศษอยู่ในปัจจุบัน สมองของเขาก็หาได้แน่วแน่อยู่ในวิชานั้นไม่ ความคิดเรื่องลูกหญิงได้มารบกวนบ่อย ๆ ทำให้เกิดเป็นปัญหาขัดข้อง เป็นอริต่อความสงบและความเพ่งเล็งของเขาอย่างรุนแรง
คราวนี้มิใช่คราวแรกที่บันลือได้ถูกรบกวนโดยปัญหาเรื่องบุตรทั้งสอง แท้จริงบันลือได้ผจญกับปัญหานี้มาแล้วหลายครั้งหลายหน หากแต่ว่าเขายังไม่เคยรู้สึกถึงความสำคัญและความยากแห่งข้อปัญหาชัดเจนเหมือนคราวนี้เท่านั้นเอง
ลูกชายลูกหญิงของบันลือเป็นลูกแฝด กำพร้ามารดาตั้งแต่อายุได้ ๑๘ เดือน และเติบโตขึ้นมาในความดูแลของพี่สาวและน้องสาวของบันลือ ซึ่งในเวลานั้นยังเป็นโสด และอยู่ในความปกครองของบิดาทั้ง ๓ นาง ต่อมาเมื่ออายุของเด็กทั้งคู่อยู่ในระหว่าง ๒–๓ ขวบ อาทั้งสองได้แต่งงาน และออกไปจากบ้านเกิดในระยะเวลาห่างกันไม่ถึงปี เด็กก็ได้ชื่อว่าอยู่ในความปกครองของป้าแต่คนเดียว
ต่อมาอีกเมื่อเด็กมีอายุย่างเข้า ๔ ขวบ มุกดาพี่สาวของบันลือได้ออกเรือนไปอีกคนหนึ่ง ในตอนนี้บันลือเริ่มรู้สึกถึงความยุ่งยากที่ลูกทั้งสองของตนเป็นต้นเหตุ เพราะเมื่อมุกดาย้ายจากบ้านท่านบิดาไปแล้ว ตำแหน่งแม่บ้านประจำบ้านนี้ ซึ่งมุกดาเคยครอบครองอยู่ในฐานะเป็นลูกสาวคนโต ก็เป็นตำแหน่งว่างหามีเจ้าหน้าที่ประจำไม่ นางยิ้มภรรยาน้อยของท่านเจ้าบ้าน ต้องการจะได้ตำแหน่งนี้เป็นกำลัง ก็พยายามที่จะทำกิจทุกอย่างที่มุกดาเคยทำอยู่ก่อน รวมทั้งกิจอันเกี่ยวด้วยการดูแลลูกชายหญิงของนายบันลือผู้เป็นลูกชายคนเดียวของท่านเจ้าบ้านด้วย
แต่การพยายามของนางยิ้มได้ถูกกีดกันขัดขวางอย่างรุนแรงโดยธิดาทั้งสามของผู้เป็นพ่อบ้าน สตรีทั้งสามนี้เกลียดการที่จะเห็นแม่เลี้ยงผู้อ่อนอายุ และเคยเป็นผู้มีฐานะเป็นคนใช้มาเป็นผู้ครองตำแหน่งแม่บ้านในฐานะเท่าเทียมกับมารดาของตนได้เคยครองเมื่อมีชีวิตอยู่ ก็ไม่ละโอกาสที่จะติเตียนว่ากล่าวแม่เลี้ยงทั้งต่อหน้าและลับหลังในทำนองที่จะ ‘กด’ แม่เลี้ยงไว้ในฐานะเดิม และเพื่อเหตุนี้ พี่น้องทั้ง ๓ นางได้ถือเอาวิธีการที่นางยิ้มปฏิบัติต่อบุตรธิดาของบันลือ มีการควบคุมพี่เลี้ยงของเด็กทั้งสอง การอบรมตักเตือนเด็ก เป็นต้น มาเป็นเหตุส่วนหนึ่งสำหรับที่จะใช้ติเตียนแม่เลี้ยงอย่างรุนแรง เจ้าหล่อนอ้างว่านางยิ้มเลี้ยงเด็ก ‘ให้เป็นไพร่’ เพราะท่วงทีกิริยาของนางยิ้มส่อถึงฐานะเดิมของนางอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังมีนางพวงซึ่งเป็นนางนมของคุณบันลือ!—ข้าเก่าของคุณหญิงหรือจะทนดู ‘คุณนายใหม่’ ชี้นิ้วอยู่เหนือตนได้ ? และนางพวงจะนินทาว่ากล่าว ‘คุณนายใหม่’ ด้วยเรื่องใดก็ไม่ถนัดเท่ากับเรื่องวิธีเลี้ยง ‘ลูกคุณปุ๊ของฉัน’ นางพวงพยายามที่จะทำให้หญิงผู้มีหน้าที่เลี้ยงเด็กชายก้องและเด็กหญิงป่องอยู่ในอำนาจของตน ส่วนางยิ้มก็ตั้งความพยายามไปในทางนี้ด้วยทั้งป้าและอาของเด็กก็ออกปากอย่างเด็ดขาดว่า ถ้าจะละให้เด็กอยู่ในอำนาจของนางยิ้ม จะเป็นภัยแก่เด็กทั้งทางสุขภาพและทางคุณสมบัติ แล้วทั้ง ๓ ฝ่าย ก็ปรารภแก่บันลือด้วยถ้อยคำต่าง ๆ กัน ล้วนแล้วแต่มีความหมายไปในเชิงว่า เด็กทั้งสองกำลังตกอยู่ในทางแห่งความเสื่อมเพราะเหตุที่ขาดผู้ดูแลอันดี
ความยุ่งยากทั้งนี้เป็นที่รำคาญแก่บันลืออยู่บ้าง แต่เมื่อเกิดรู้สึกความรำคาญขึ้นแล้ว เขาก็พิจารณาให้เห็นเรื่องรำคาญเป็นเรื่องขันไปเสีย บันลือถือว่าเรื่องลูกของเขาเป็นแต่เพียงเหตุที่คู่ปรับทั้ง ๒ ฝ่ายสมมติกันขึ้นเพื่อนินทาว่าร้ายกัน ความสำคัญอันแท้จริงจะมีอยู่ในเรื่องนี้ก็หาไม่
หลังจากนั้นประมาณปีเศษ ท่านบิดาของบันลือสิ้นชีพลง บ้านของตระกูลตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่บันลือแต่ผู้เดียว ส่วนลูกหญิงรวมทั้งภรรยาน้อยและวงศ์ญาติของท่านผู้ตายต่างได้รับมรดกอันเป็นทรัพย์ส่วนอื่น ซึ่งบันลือได้จัดการให้เป็นไปตามพินัยกรรมโดยเรียบร้อย ภายในเวลา ๒–๓ เดือน และในระยะเวลาการจัดงานศพและงานแบ่งทรัพย์มรดกนี้ บันลือได้สำนึกถึงความหนักแห่งภาระของชายผู้ซึ่งจะต้องเป็นทั้งพ่อบ้านและแม่บ้านให้แก่ตัวเอง จึงขอร้องพี่สาวให้กลับเข้ามาอยู่ในบ้านเดิม เพื่อดูแลการบ้านแทนตัวเขา มุกดายินยอมด้วยความเต็มใจและสามีของหล่อนก็ไม่ขัดขวาง เพราะหลวงสำรวจ ฯ สามีของมุกดาก็มิใช่ใครอื่น นอกจากญาติสนิทคนหนึ่งของมุกดานั่นเอง หน้าที่การดูแลบ้านของบันลือก็ตกอยู่แก่มุกดาโดยตลอด ทำให้ปัญหาเรื่องผู้ปกครองเด็กชายก้องและเด็กหญิงป่องถึงที่สุดลงคราวหนึ่ง
แต่ในระยะเวลาอันใกล้เคียงกันนี้เอง ความคิดใหม่ได้เกิดขึ้นแก่บันลือ คือความคิดที่จะออกหัวเมืองเพื่อ ‘หากิน’ ดังที่เขาได้บอกแก่เพื่อนฝูงของเขา ตลอดอายุของบันลือที่ล่วงแล้วมา เมื่อต้องการจะทำสิ่งใดเขาย่อมจะได้ทำทุกครั้ง คราวนี้เขาต้องการจะออกหัวเมืองเพื่อ ‘หากิน’ เขาก็ได้ทำตามความต้องการอีก และทำโดยมิได้บอกกล่าวหรือปรึกษาหารือผู้หนึ่งผู้ใดเลย
ในตอนต้น ๆ บันลือเที่ยวไปตามจังหวัดเหล่านั้นแห่งละ ๓–๔ วันบ้าง ๑–๒ สัปดาห์บ้าง จนถึงตอนหลังเมื่อเขาเริ่มงานของเขาอย่างจริงจังแล้ว เขาจึงพักอยู่ต่างจังหวัดคราวละนาน ๆ กลับเข้ากรุงเทพฯ เพียงเดือนละครั้งชั่ววันสองวัน เพื่อจัดธุระเกี่ยวกับผลประโยชน์ของเขา และของพี่น้องซึ่งเขามีหน้าที่จัดการโดยตรงแต่ผู้เดียว ในตอนนี้เองเขาเริ่มสังเกตเห็นว่า ลูกหญิงและลูกชายของเขาเป็นเด็กที่ไม่มีระเบียบ และขาดมารยาทอันควรแก่ลักษณะของเด็กผู้ดีหลายประการ
คราวหลังสุด ที่บันลือเกิดความรู้สึกในเรื่องนี้แรงมาก ก็คือคราวที่เขากลับเข้ามาในกรุงเทพฯ เพื่อพยาบาลคุณยายนั่นเอง คุณนายลำดวนพอใจที่จะได้ชมเชยเหลนน้อย ๆ พร้อมกับหลานสุดที่รัก ก็ขอร้องให้เด็กทั้งสองมาที่บ้านของท่านบ่อย ๆ และให้พักอยู่คราวละหนึ่งคืนบ้าง สองคืนบ้าง เป็นเหตุให้บันลือได้เห็นมารยาท และนิสัยของเด็กถนัดกว่าเมื่อเวลา ๖–๗ เดือนที่แล้วมาเป็นอันมาก