ดูกรคฤหบดีบุตร มารดาบิดาเป็นทิศเบื้องหน้า—ย่อมอนุเคราะห์บุตรด้วยสถาน ๕ อย่าง คือ ห้ามบุตรจากความชั่ว ๑ ให้ตั้งอยู่ในความดี ๑ ให้ศึกษาศิลปวิทยา ๑ ให้ประกอบด้วยภรรยาที่สมควร ๑ มอบทรัพย์ที่ตนควรให้ในสมัย (อันควร) ๑

 

“แหม ขอโทษที เธอขา ปล่อยให้คอยนานไปหน่อย”

เมื่อได้ยินคำเหล่านี้ ดังมาในเสียงเจือหัวเราะ พร้อมกับที่ได้เห็นตัวผู้พูด บันลือก็หันไปโค้งคำนับอย่างงามแล้วตอบว่า

“ไม่เป็นไรมิได้ เมื่อแน่ใจว่าจะได้พบ ถึงจะให้คอยนานกว่านี้สักสองเท่าก็ไม่เดือดร้อน เพราะรู้สึกว่าไม่ได้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์”

“ทุเรศ!” อีกฝ่ายหนึ่งร้อง “พอเปิดฉากก็ใช้บทเคลือบน้ำตาล แต่ขอบอกกล่าวล่วงหน้าเสียเร็ว ๆ วันนี้อย่าแสดงบทนี้จะดีกว่า”

“ทำไม ? กำลังใจไม่ดีหรือขอรับ ?”

หล่อนหัวเราะ “กำลังใจฉันน่ะดีเสมอ ฉันเตือนสำหรับคุณหรอกเชิญเข้ามาข้างในซีคะ”

หล่อนนำเขาเข้าในห้องรับแขกพร้อมกับพูดสืบไปว่า

“พูดกับทำไม่เหมือนกัน ไม่รู้จักอายมั่งหรือพูดละก็ราวกับอยากพบจะเป็นจะตาย แต่ทั้งที่รับแล้วว่าจะไม่ให้คอย ก็ไม่ทำเหมือนที่รับ วันนี้เป็นวันครบอาทิตย์พอดีจะแก้ตัวว่ากระไร ?”

หล่อนนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง บันลือก็ลากเก้าอี้ตัวหนึ่งเข้าไปใกล้หล่อน แล้วจึงนั่งลงและตอบว่า

“ข้อแก้ตัวของผมไม่มี มีแต่คำสารภาพ ใจผมคิดถึงคุณเหลือเกิน แต่ผมเอาคำตอบมาให้คุณยังไม่ได้ก็เลยไม่กล้ามา แม้แต่วันนี้ได้คำตอบมันก็ยังไม่กระจ่าง แต่ว่าวันนี้เป็นวันที่จะครบอาทิตย์ ก็จำเป็นต้องมาสำหรับรักษาสัญญาไว้ก่อน”

“ทำไมนะ” จิตรากล่าว มองดูคู่สนทนาของหล่อนอย่างทึ่งแกมความรู้สึกขัน “กะอีจะตอบว่าเอาหรือไม่เอาเท่านั้น มันยากนักเทียวรึ”

“โธ่ ถ้าเป็นเรื่องผักเรื่องหญ้าก็ง่ายซีคุณ นี่เป็นเรื่องคนทั้งคน ตรองแล้วมันแสนยาก—นี่ภัสดาคุณยังไม่กลับอีกหรือ ?”

“ยังค่ะ หมู่นี้เขากลับเกือบ ๕ โมงทุกวัน”

“มิน่าล่ะ คุณจิตราจึงไม่พร้อมที่จะรับแขกเวลา ๔ โมง เวลานั้นเห็นจะเป็นเวลาแต่งองค์ทางเครื่องสำอาง ภัสดามาถึงจะได้รับขวัญให้ชื่นอกชื่นใจ—”

“พิลึกจริง!” จิตราว่า พร้อมกับหัวเราะและค้อนให้ “ธุระอะไรมานั่งขอดค่อนเขา คุณควรจะขอบใจที่ฉันแต่งตัวเรียบร้อยสะอาดสะอ้านมานั่งพูดอยู่กับคุณ นี่เป็นเพราะฉันตั้งใจแต่งตัวไว้รับภัสดาของฉัน ถ้าไม่ยังงั้นคุณจะต้องมานั่งพูดอยู่กับผู้หญิงหน้าตาสกปรก เป็นมันเยิ้ม หัวยุ่งเป็นอีบ้า คุณชอบเรอะ ผู้หญิงสกปรกอย่างนั้น”

“ผู้หญิงอื่นยังไง ๆ ผมก็ไม่ชอบ ถ้าผู้หญิงจิตราละก็ยังไงๆ ก็ชอบทั้งนั้น แต่ว่าผมอดอิจฉาไม่ได้”

หล่อนค้อนให้อีกแล้วว่า “ขวาง พูดกับเธอฉันเกิดความหมั่นไส้ชั่วโมงละร้อยหน วันนี้เลิกยั่วเสียทีไม่ได้เรอะ เมื่อจะพูดธุระอะไรก็ให้มันเป็นธุระหน่อยเถอะ ว่ายังไงคำตอบเรื่องเด็กของฉัน โธ่เด็กของฉันน่ารักมากนะ เธอเห็นแล้วจะติดใจ”

เขาหัวเราะอย่างเห็นขันและไม่รู้สึกเชื่อในคำกล่าวขวัญนั้นเลย ตอบว่า “เห็นหรือไม่เห็นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่คุณจิตราว่าดี บันลือก็เห็นดีด้วย แต่ทีนี้ผมไม่รู้ว่าผมจะมีเมียไปทำไมกัน”

“เออ!” จิตราอุทาน “ไอ้นี่ก็ตอบยาก ในโลกนี้ใคร ๆ เขามีเมียทำไมกันฉันก็ไม่เคยศึกษาไว้เสียด้วย”

“คนอื่นก็ตามทีเขาเถอะ แต่ผมน่ะ ผมมีเมียมาแล้วถึงสองคน ก็ไม่เคยยืดสักคนเดียว จะมีคนที่สามอีกเดี๋ยวก็—”

เจ้าหล่อนขัดขึ้นกลางคำ “นี่ บันลือ เธอลืมเสียแล้วรึ เมื่อมาในเรืออีตาฝรั่งรัสเซียแกดูลายมือเธอ แล้วแกพยากรณ์ว่าอะไรที่เกี่ยวกับเธอ จะต้องจำนวน ๓ จึงจะสมบูรณ์”

เขาหัวเราะและถาม “ใครจะเป็นคนหาให้ผมได้ จำนวนมันไม่ใช่น้อยนะ”

“อย่ารวนน่า บันลือ พูดกันจริงๆ”

ชายหนุ่มทำท่าสงสัย “ผมจำตาหมอดูได้ แต่ลืมเสียแล้วแกทายผมว่ากระไรบ้าง” เขาตอบแล้วหัวเราะอีก และพูดต่อไป “อ้อ ผมจำได้ว่าแกทายคุณว่ากระไร แกว่าคุณมีนิสัยชอบอยู่เหนือคนอื่น”

หล่อนค้อนให้และมีการฉิวเล็กน้อย

“แล้วคุณก็มีนิสัยชอบจำแต่ไอ้เรื่องเลว ๆ ของคนอื่นไว้ แล้วก็จำผิดด้วย แกว่านิสัยของฉันน่ะไม่ว่าอยู่กับใครจะบังคับคนนั้นได้เสมอ นิสัยมันชอบเหนือเองต่างหาก ไม่ใช่ว่าฉันชอบเอาตัวเองไปเที่ยวข่มคนอื่นเมื่อไหร่”

เขารีบยอมแพ้โดยดี “ผมก็เข้าใจอย่างคุณว่า แต่ใช้ภาษาสับเพร่าไปหน่อย” หัวเราะด้วยอดนึกขึ้นไม่ได้ “ชอบอยู่เหนือกับนิสัยบังคับให้อยู่เหนือ สองคำนี้หมายความผิดกันไกลนะครับ”

จิตราทำหน้าเฉยแล้วก็นิ่งอยู่ บันลือเห็นดังนั้นจึงว่า

“โธ่ พูดผิดไปนิดเดียวก็โกรธด้วย”

“พูดผิด” จิตราทวนคำ “เธอตั้งใจจะว่าฉัน ฉันรู้หรอก แต่ฉันไม่อยากโกรธเธอให้เสียหัว ฉัน—”

เขารีบขัดขึ้นก่อนที่หล่อนจะได้ทันพูดต่อ “สาธุ! ดีนักหนาที่คุณไม่ได้โกรธ ผมรู้สึกว่าถูกชกสัก ๕ ทีจะเจ็บน้อยกว่าเวลาที่เห็นคุณโกรธผมแม้แต่เพียงสักอึดใจเดียว”

“ว่าเขาละก็ว่าได้ เขาโกรธละก็ไม่ชอบ—”

“โธ่ คนอื่นโกรธผมสักร้อยสักพัน ผมไม่หวั่นเลย ขอแต่อย่าให้จิตราโกรธก็แล้วกัน ยิ้มหน่อยเถอะขอรับ คนสวย ที่จริงถึงจะบึ้งก็สวยไม่น้อย แต่สวยดุผมกลัว รู้สึกว่าไม่เป็นตัวจิตรา เคยเห็นแต่จิตราเป็นคนสวยหวานอยู่เสมอ พอเห็นหน้าเห็นยิ้มใจผมก็บาน”

“ตบหัวแล้วลูบหลัง” จิตรากล่าว พยายามกลั้นยิ้มไว้ได้โดยยาก “ยังไง เรื่องเด็กของฉันจะต้องการหรือไม่ต้องการก็บอกมา”

บันลือหัวเราะอีก “เดี๋ยวก่อน” เขาว่า “เมื่อตะกี้เรากำลังพูดเรื่องหมอดูลายมือ โปรดช่วยความจำผมหน่อยก่อน ผมจะมีเมียได้ถึงทีละ ๒ คนใช่ไหม ? ผมจำได้ว่าอย่างนั้น”

“เอาอีกแล้ว!” จิตราถอนใจ “แกว่าสิ่งสำคัญ ๆ ที่เกี่ยวกับชีวิตของเธอจะต้องเป็น ๓ ทั้งหมด จึงจะเป็นผลสมบูรณ์ ที่แกแน่ใจที่สุดคือว่าเธอจะได้รับมรดกถึง ๓ หน แต่งงาน ๓ หน มีลูก ๓ คน หรือ ๓ คู่ หรือ ๓ โหล”

บันลือร้องว่า “โอ้ยตาย ถ้ามีลูกถึง ๓ โหลเห็นจะต้องหัดให้กินหญ้าแทนข้าวละ”

“ก็ดีเหมือนกัน ฉันจะฝากลูกฉันไปหัดด้วย เรื่องภรว่าอย่างไร ตอบมาน่ะ”

“ภร” บันลือบ่น แปลความหมายแห่งชื่อเอาตามสำเนียงที่ได้ยิน แล้วนึกติอยู่ในใจ แล้วถามเป็นเชิงปรารภ “นี่ผมควรจะแต่งงานอีกเป็นครั้งที่ ๓ รึ เพราะเหตุใด ?”

จิตราไม่ตอบ หล่อนได้ตั้งใจไว้แต่เดิมว่าจะไม่ใช้เหตุผลอันหนึ่งอันใดส่งเสริมบันลือในเรื่องนี้ หล่อนจะทำแต่ชักชวนเขาอย่างยินดียินร้ายแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น หล่อนเชื่อว่าถ้าบันลือได้ฟังเหตุผลแสดงถึงประโยชน์ที่เขาจะได้รับ เมื่อแต่งงานแล้วมากเพียงใด เขาก็จะยิ่งหาเหตุผลในทางตรงกันข้ามมาแสดง เพื่อคัดค้านมากขึ้นเพียงนั้น

แต่ความเชื่อของจิตราที่กล่าวแล้ว เกิดจากจิตราได้ไว้จากการสังเกตนิสัยส่วนรวมของบันลือ เฉพาะในกรณีเกี่ยวกับการมีคู่เป็นครั้งที่ ๓ นี้ เนื่องจากบันลือรู้สึกตัวอยู่ว่าความคิดที่ทำให้เขานึกอยากแต่งงานใหม่ มีความเห็นแก่ตัวฝ่ายเดียวเป็นต้นเหตุสำคัญ ซึ่งนับว่าไม่เป็นการยุติธรรมแก่หญิงที่จะมาเป็นคู่ของเขา บันลือจึงต้องการผู้สนับสนุน ยิ่งมากเท่าไรก็ยิ่งดี เพื่อเขาจะได้หลอกตัวเองว่า เขาแต่งงานครั้งนี้เพราะพ่ายแพ้แก่ความเห็นของญาติและมิตร

เขาเอ่ยขึ้นภายหลังที่นิ่งไปเป็นครู่ใหญ่

“ก่อนที่ผมจะให้คำตอบ เราต้องปรึกษากันอย่างตรงไปตรงมา”

“เราน่ะ คือใครบ้าง ?”

“คือจิตรา ผู้ซึ่งได้แนะนำแม่สาวภรให้กับผมและผมผู้ซึ่งได้รับการแนะนำ”

“ที่ปรึกษาว่ากระไร ?” เจ้าหล่อนถาม กระแสเสียงคล้ายกับว่าจะถามแต่เพียงเท่านั้นแท้ๆ แต่นิสัยของหล่อนนั้นเป็นผู้ที่มีความอารี ฝักใฝ่ในการช่วยเหลือผู้อื่น ทั้งเมื่อคิดจะช่วยผู้ใดแล้ว ก็มักจะเพ่งเล็งช่วยจนเต็มกำลังกายกำลังใจ เหตุฉะนั้นการที่จะสงวนปากสงวนคำ เพื่อเอาเชิงแก่ผู้ที่หล่อนกำลังตั้งใจช่วยอยู่ จึงเป็นสิ่งที่เหนือความสามารถ เพียงชั่วขณะจิตเดียวที่จิตรารู้สึกอึดอัดใจในข้อที่ตัวต้องฝืนตัวไว้ หล่อนก็ลืมความตั้งใจเดิมเสียสิ้น พูดต่อไปว่า

“จิตราน่ะ พูดอะไรก็พูดตรงไปตรงมาเสมอ ไอ้เรื่องยักเยื้องไม่ใช่นิสัยของบันลือ” ชายหนุ่มกล่าวแกมหัวเราะ “แต่นั่นเป็นความเห็นของคุณนะ ผมรีบรับเอาเสียเพราะจะได้ตัดข้อโต้เถียงไปข้อหนึ่ง แล้วผมจะพิสูจน์ให้เห็นเสียเดี๋ยวนี้ว่า ในเรื่องที่ผมกำลังจะปรึกษาคุณ ผมไม่ยักเยื้องเลย ผมจะบอกคุณตรง ๆ ว่าผมอยากหาแม่ให้ลูกสองคนของผม แต่ผมไม่อยากได้เมีย”

ความเอาใจใส่อย่างยิ่งเกิดขึ้นแก่จิตรา “ก็ลูกของเธอก็มีป้ามีอาเป็นแม่อยู่แล้วไม่ใช่เรอะ ?” หล่อนถามด้วยเสียงอ่อนโยน

“โดยทางใจ พี่สาวผมเป็นแม่ของลูกผมจริง แต่โดยทางสมอง ทางความรู้ เด็กสองคนนั้นไม่มีแม่”

“พูดให้แจ่มแจ้งกว่านั้นหน่อยเถอะค่ะ”

บันลือเป็นผู้มีนิสัยซื่อตรง จงรักต่อญาติของเขายิ่งนัก ด้วยเหตุนี้ แม้เขาจะเป็นผู้ที่ไวในการเห็นข้อบกพร่องของมนุษย์ทั่วไป รวมทั้งข้อบกพร่องของญาติของเขาเองด้วย เขาก็ถือมั่นในข้อที่ไม่ชอบกล่าวความบกพร่องของพี่น้องให้เข้าหูผู้อื่น เขานิ่งไปเป็นครู่ ก่อนที่จะอธิบายว่า

“พี่สาวผมเป็นคนช่างตามใจคน แล้วนิสัยลูกผมดูเหมือนจะต้องการคนกด”

“ก็อาล่ะคะ ?”

“อาก็เหมือนป้า”

จิตรานิ่งตรอง “เอ ยายภรแก้รู้จักกดใครเป็นหรือไม่ก็ไม่รู้” หล่อนปรารภในที่สุด “เห็นแกเลี้ยงเด็กก็—ตามใจเด็กยังกะอะไร”

“ผมอยากจะเลี้ยงลูกของผมเอง” บันลือกล่าว “แต่จะให้เลี้ยงด้วยตัวผมเองคนเดียวก็ไม่ไหว ใจเย็นไม่พอ อีกอย่างหนึ่งผมจะออกไปทำงานอยู่หัวเมือง”

“นั่นน่ะซิ แต่ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะเอาลูกไปไว้หัวบ้านหัวเมืองด้วย—เอาไปยังไงกัน เดี๋ยวแกไปเจ็บไข้–อ้อ แล้วแกจะต้องเรียนหนังสือหนังหา”

“มันยุ่งไปหมดทั้งนั้นแหละคุณ” บันลือกล่าวสีหน้าเคร่งขรึม ขณะนั้นจิตราเห็นเขาเป็นแต่เพียงนายบันลือบิดาหนุ่มที่มีลูกเล็ก ๆ สองคน และมีความกังวลถึงความเป็นอยู่ของลูกเหนือสิ่งใด ๆ ในโลก มิใช่นายบันลือคนโก้คนเก๋มีกิจสำคัญอยู่แต่เพียงจะแสวงหาความสุขให้แก่ชีวิตของตัว

“ถ้าเธอจะเอาแกไปหัวเมืองด้วย” จิตรากล่าว “ฉันคิดว่าเอาแกเข้าโรงเรียนประจำเสียจะดีกว่า เว้นเสียแต่ว่าเธอจะหาเมียเอาไว้เลี้ยงลูกอย่างจริงจัง คือทิ้งเมียกับลูกไว้ในกรุงเทพฯ แล้วเธอเองก็เที่ยวไปในป่าในดงตามใจของเธอ แต่ไอ้บทนี้ฉันก็เห็นว่ามันไม่เหมาะ ไม่ควรสำหรับอายุคนหนุ่มแค่เธอ”

“พูดถึงโรงเรียน ผมกลัวลูกแกจะทนระเบียบของโรงเรียนไม่ไหว—” เห็นจิตรามีสีหน้าแสดงความคิดในเชิงค้าน เขารีบพูดต่อไปโดยเร็ว “ผมรู้แล้วคุณกำลังจะค้านผมว่า ลูกคนอื่นเขาทำไมทนได้ ผมยอมรับว่าผมอ่อนแอเกินไป แต่ผมรู้สึกว่าลูกคนอื่นเขาเคยได้รับการฝึกหัดให้อยู่ในระเบียบตั้งแต่อ้อนแต่ออก เพราะยังงั้นเมื่อไปเข้าโรงเรียนประจำ ถึงระเบียบจะตึงไปสักนิดสักหน่อยเด็กก็ทนได้ แต่ลูกของผมเป็นเด็กที่ไม่เคยถูกหัดในทางใดเลย ถ้าไปโดนระเบียบจริงๆ จัง ๆ เข้าแล้ว ผมกลัวว่าจะเป็นการหักน้ำใจเด็กรุนแรงเกินไป”

หล่อนพ่ายแพ้แก่คำของเขา ถอนใจแล้วว่า “แหมตาย ฉันอยากเป็นคนตัวเปล่าเหมือนแต่ก่อนจริง ฉันจะเลี้ยงลูกให้เธอ บันลือ ฉันจะเลี้ยงให้จริง ๆ แล้วเลี้ยงให้ดีเหมือนใจเธอด้วย”

เขาเอื้อมมือไปจับมือหล่อนแล้วยกขึ้นจูบ “น่ารักจริงจริ๊ง จิตราของผม ถ้าคุณยังอยู่ตัวเปล่า ตายเสียจะไม่มีเมียเป็นครั้งที่สาม”

หล่อนรู้สึกหวั่นหวาด สะท้อนสะท้านในใจจึงพูดให้เป็นเชิงเล่น พร้อมกับทำหน้าเศร้าจนเกินความจริง

“พิโถ นึกว่าจะบอกว่าจะแต่งงานกับเรา กลับบอกว่าจะไม่แต่งงานเสียเลย ร้ายกาจจริง”

“พูดเป็นเล่น” บันลือตอบ สีหน้าค่อนข้างขรึม “ราวกับผมจะจำไม่ได้ คุณบอกผมเกือบจะว่าในวันแรกที่รู้จักกันว่า หัวเด็ดตีนขาดคุณจะไม่แต่งงานกับผู้ชายที่เด็กกว่าคุณ”

อารมณ์จิตรากลับเป็นปกติดังเดิม แล้วหล่อนพูดแกมหัวเราะ

“แล้วเผอิญฉันก็เคราะห์ดีมาได้พระเอกแก่กว่า ๕ ปี เป็นอันว่าสิ้นเรื่องไป ที่นี้ว่าแต่เธอเถอะอยากจะหาแม่ให้ลูก แต่ไม่อยากได้เมีย จะทำอย่างไรกัน เรื่องมันยุ่งนี่”

บันลือมีความฉลาดเกินที่จะแสดงแผนการที่มีอยู่ในใจเขาให้ปรากฏแก่หล่อนโดยแจ่มแจ้ง–แผนการที่มีอยู่ว่าหญิงที่จะมาเป็นภรรยาคนที่ ๓ ของเขานั้น จะต้องเป็นผู้ที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขา ไม่ว่าในทางกายทางใจหรือทางวัตถุ นอกจากเวลาที่เขาอนุญาตให้หล่อนเกี่ยว หล่อนจะต้องไม่เรียกร้องสิ่งใดจากเขานอกไปจากที่เขาจะได้ให้แก่หล่อนด้วยความสมัครใจของเขาเอง เขาฉลาดพอที่จะรอให้ความหวังอันดีอันแท้จริงของจิตรา นำความคิดของจิตราใกล้เข้ามาในแผนการของเขา แล้วเขาจึงจะวิงวอนด้วยโวหารและเหตุผลอันสมควรแก่กรณี ให้หล่อนผ่อนตามความต้องการของเขามากที่สุดเท่าที่จะมากได้

จิตราพูดสืบไปเมื่อเห็นบันลือนิ่งอยู่

“ฉันเห็นว่ามีอีกทางหนึ่ง หาคนที่เขามีนิสัยชอบเด็ก มีการศึกษาดี เลี้ยงเด็กเป็น แล้วเอาลูกไปฝากเขาเลี้ยง ให้ค่าป่วยการเขามาก ๆ”

“โอ อย่างนั้นไม่ได้เป็นอันขาด พี่น้องผมก็จะน้อยใจกันใหญ่ จะหาว่าผมไม่ไว้ใจเขา เห็นคนอื่นดีกว่าญาติของตัวเอง อีกอย่างหนึ่งเอาไปฝากเขาเลี้ยงผมก็ไม่ได้ช่วยเลี้ยงด้วยน่ะซี”

“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาคนที่เขาเคยเป็นครู หรือเป็นนางพยาบาล มีความรู้เรื่องเด็ก ให้เขามาอยู่ให้เงินเดือนเขามาก ๆ ให้พอแก่ใจเขาทีเดียว—”

“วิธีนี้ไม่เลว ผมเคยคิดแล้ว แต่มันรู้สึกขัด ๆ ยังไงพิกล คือว่าคน ๆ นั้นก็จะเป็นแต่เพียงลูกจ้างรับจ้างเลี้ยงเด็ก—” เขาหัวเราะ “อีกอย่างหนึ่งผู้หญิงชั้นที่ว่านั้นที่ไหนเขาจะยอม เพราะไอ้ลูกจ้างแบบนี้ ลงท้ายมันมักจะกลายเป็นอื่น—” เขาหัวเราะอีก “ถึงผมจะเป็นนายจ้างที่เก่งกว่านายจ้างอื่น ๆ ก็ไม่มีใครในโลกนี้เขาจะยอมเชื่อว่าผมเก่งจริง ทีนี้สมมติว่าลูกจ้างก็เก่ง นายจ้างก็เก่ง ตกลงก็เป็นแต่เพียงลูกจ้างรับจ้างเลี้ยงเด็ก ไม่ใช่แม่ของเด็กแท้ๆ”

“เออ ! ก็แม่ของเด็กแท้ ๆ น่ะ ถึงเธอจะแต่งงานใหม่ ผู้หญิงที่เป็นเมียเธอก็เป็นแต่เพียงแม่เลี้ยงของเด็กอยู่นั่นเอง”

“ก็ถูกละ แต่ว่าแม่เลี้ยงน่ะลาออกไม่ได้ง่าย ๆ ส่วนลูกจ้างน่ะเขานึกจะออกเสียเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ใช่รึ ผมบอกคุณแล้วว่าผมอยากให้ลูกของผมมีแม่ เพราะรู้สึกว่าเด็กที่เกิดมาไม่มีโอกาสรักใครเหมือนแม่ของตัวเสียเลยนะ เป็นเด็กที่น่าเวทนามาก คือแกขาดสิ่งสำคัญที่มนุษย์ทุกคนเขาเคยมีเคยได้ด้วยกันทุกคน”

ตลอดเวลาที่เขาพูดอยู่ จิตรานั่งฟังพร้อมกับมองดูเขาอย่างถึงที่สุด เมื่อเขาพูดจบแล้ว หล่อนเอ่ยขึ้นว่า

“ฉันไม่เคยนึกเลย ว่าเธอจะคิดถึงเรื่องลูกของเธอละเอียดลออถึงเท่านี้”

บันลือหัวเราะ “ผมก็เพิ่งจะเริ่มคิดเมื่อ ๒–๓ เดือนมานี่เอง” เขาตอบ

“อะไรเป็นต้นเหตุให้เธอคิด ?”

เขายกไหล่ และตอบว่า “คนเราอายุมากขึ้นความคิดก็มากขึ้นด้วยเป็นธรรมดา อีกอย่างหนึ่งบางทีจะเป็นเพราะผมไปอยู่หัวเมืองนาน ๆ ก็คิดถึงลูก ครั้นพอมาเห็นลูกก็รำคาญ” หัวเราะน้อย ๆ และพูดสืบไป “แต่ผมรู้แล้วคิดมากยุ่งมากสู้ไม่คิดเลยไม่ได้ ยิ่งคิดยิ่งหาทางออกไม่ถูกยิ่งบ้าหนัก”

ทั้งสองฝ่ายนิ่งไปด้วยกัน จิตราวิจารณ์คำพูดของบันลืออยู่ในใจ ส่วนบันลือก็คิดต่อไปในเรื่องที่เขาพูดแล้วนั้น ภายหลังเขาขยับตัว และเอื้อมมือไปยังหีบบุหรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะไม่ไกลจากเขานัก พร้อมกับพูดว่า “ขออนุญาตนะขอรับ ?”

“อ้าว ! ขอโทษ” จิตราร้อง “ฉันควรจะบอกเชิญเธอ เอ๊ะ แต่ฉันคิดว่าเธอเลิกสูบบุหรี่มาหลายปีแล้วไม่ใช่หรือ ? กลับตั้งต้นสูบใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ ?”

“อีหมู่ไปอยู่หัวเมืองนาน ๆ หมดท่า ไม่มีอะไรจะเป็นเพื่อน เลยหันเข้าหาบุหรี่อีก”

“พิโธ่ อยู่ ๆ ก็ทรมานตัว –!”

“ทรมานทางไหน ?” เขาถามโดยเร็ว

“ก็มีความจำเป็นอย่างไรที่จะต้องไปทนลำบากทนเหงาอยู่ในป่าดง”

“พิโธ่” เขาเลียน แล้วพูดต่อไปในเสียงหัวเราะ “ตามหลักของคนที่มีอุดมคติ เขาว่าต้องเสียสละความพอใจเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับความสำเร็จส่วนใหญ่ไม่ใช่หรือ ?”

หล่อนค้อนให้ แล้วว่า “ตามใจเธอเถอะ” แล้วถามสืบไป “แต่เมื่อคืนที่ฉันไปกินข้าวกับเธอ เธอไม่ได้สูบบุหรี่เลยใช่ไหม ? ถ้าไม่ยังงั้นฉันจะต้องรู้สึกสะดุดใจแล้วต้องถามเธอเป็นแน่”

“เห็นจะไม่ได้สูบเลย อธิบายได้ว่าผมมัวแต่ชื่นใจที่ได้พบคุณโดยไม่ได้คาดไว้ก่อน ตามปกติผมนึกถึงบุหรี่แต่เวลาที่ผมอึดอัดใจ แก้ปัญหาอะไรของผมไม่ตกเท่านั้น” พูดแล้วเขาจุดบุหรี่และพ่นควันออกมาเป็นทางยาว

“ฉันเกรงว่าคราวนี้เธอจะต้องสูบบุหรี่สิ้นหลายหมื่นตัวกว่าจะแก้ปัญหาตก” จิตรากล่าวแกมหัวเราะแล้วพูดสืบไปช้า ๆ อย่างตรึกตรอง “เมื่อแรกฉันคิดว่าจะยกเด็กของฉันให้เธอ เพราะเห็นว่าแกเป็นคนสวย คนดี น่ารัก ส่วนเธอก็—ตัวเปล่า ควรจะมีแม่บ้านแม่เรือน มีเพื่อนคู่คิด แต่ว่า—เอ–มันเป็นยังไงนะ ? ทำไมเธอถึงเกิดจะเกลียดการมีเมียขึ้นมาเสียมากมายจนถึงอย่างนี้ ?”

บันลือค้านขึ้นโดยเร็วและอย่างแข็งขัน “ไม่ถึงกับเกลียดนะขอรับ เป็นแต่เพียงไม่อยาก คือว่า คนอายุเท่าผมนี่ ถึงจะเป็นพ่อหม้ายก็จริงหรอก อายุมันยังไม่ยอมให้แก่ ถ้าผมจะแต่งงานอีก ผมก็จะต้องแต่งกับคนสาว ส่วนสาว ๆ สมัยนี้เจ้าหล่อนก็เคยกับผู้ชายแบบพระเอกสมัยใหม่ ต้องมีอาการเมารักจี๋ ๆ จนพูดไม่เป็นภาษาคน แล้วพอแต่งงานกันแล้วก็จะต้องเป็นผัวที่กกเมียแจ หรือไม่อย่างนั้นก็ปล่อยให้เมียกก ห่างกัน ๕ นาทีก็ใจขาด ไอ้สิ่งเหล่านี้ผมทำไม่ได้เพราะผมเคยมีเมียมาแล้วถึงสองคนจะ ให้ผมไปเที่ยวรักใครจนหัวหมุนเหมือนเมื่อผมอายุ ๒๑–๒๒ ได้ยังไง ขืนทำผมก็จะนึกว่าตัวผมเป็นบ้าไปแล้วเท่านั้นเอง”

“เท่านี้ละเรอะ เหตุขัดข้องที่ทำให้เธอไม่อยากได้เมีย ?” จิตราถาม น้ำเสียงแสดงความพิศวง ส่วนบันลือก็ย้อนถามหล่อนโดยเร็ว

“เอ๊ะ ก็เท่านี้ยังไม่พอขอรับ ?”

แล้วเขาพูดต่อด้วยเสียงอันหนักแน่น “เท่านี้น่ะใหญ่มากนะ คุณจิตรา ถ้าหากว่าเราทำให้ตรงกับความต้องการของเขาไม่ได้ละก็มันใหญ่มากทีเดียวคุณลองคิดดูให้ดีเถอะ”

“แต่แม่ภรของฉันไม่ใช่คนจี๊ดจ๊าดอย่างที่เธอพูดนี่หรอก”

“อ้าว ? อย่าไปนึกติว่าเขาผิดเสียสิคุณ ต้องนึกว่าถูกแล้วที่เขาเป็นอย่างนั้น เขามีสิทธิที่จะเรียกร้องให้ผู้ชายแสดงความรักมาก ๆ เพราะเขาเองเขารักผู้ชายมากและอยากจะทำต่อคนที่เขารักอย่างนั้นเหมือนกัน ผมไม่ติเขาเลย ผมกลัวแต่ว่าผมจะทำให้เหมือนใจเขาไม่ได้เท่านั้น”

“บ้า !” จิตรากล่าว “ใครจะว่ายังไงไม่รู้นะ ฉันเห็นว่าบ้า แต่แม่ภรของฉันไม่ใช่ผู้หญิงชนิดนั้น แกเป็นคนมีความรู้มีความคิดทุกข์สุขอย่างไรแกเคยรู้จักแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรแกก็พอสมควรกับอายุของแก เหตุผลต่าง ๆ แกก็รู้จักดี ไม่ใช่แม่พวกสมัยใหม่ มีแต่เรื่องเครื่องแต่งตัว เรื่องหนังอยู่ในหัว นอกจากนั้นไม่มีรู้อะไร”

“ในกรณีนี้ รู้อะไรไม่สำคัญเท่ารู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวได้รับ ถ้ารู้ตรงนี้แล้วก็—พอที่จะพูดกันได้ ผมไม่อยากแต่งงานอีกก็จริง แต่ถ้าผมแต่งเพราะเห็นแก่ลูกของผม ผมจะต้องทำหน้าที่ผัวที่ดีครบทุกอย่าง คนที่เป็นผัวเขาให้อะไรเมียเขายังไง เขายกย่องเมียเขาเท่าไรผมจะทำไม่ให้ขาด ส่วนที่ผมจะขอให้เขาทำให้ผมมีอยู่สองอย่างเท่านั้น หนึ่งช่วยรักลูกของผมให้เหมือนกับลูกของเขาเอง สองอย่าจุกจิกจู้จี้กับผมโดยไม่มีเหตุผล”

จิตรานิ่งคิด และยิ่งคิดก็ยิ่งมีความเห็นไปในทางยกประโยชน์ให้แก่ผู้พูดโดยสิ้นเชิง ถูกของเขาแล้ว หญิงที่มีนิสัยฉูดฉาดในทางความรักอาจเป็นผู้ที่กวนเส้นประสาทสามีอย่างรุนแรง ถ้าแม้ว่าฝ่ายเขาเป็นผู้มีนิสัยตรงกันข้าม ถูกของเขาอีก เมื่อบันลือเป็นผู้ที่ได้ผ่านการร่วมรักกับหญิงมาแล้วถึง ๒ ครั้ง จิตใจของเขาย่อมจะมีลักษณะค่อนไปข้างจืดจางในความรักระหว่างเพศ ความกังวลของเขาจึงเป็นข้อที่หล่อนและคนทั้งหลายควรยกให้ ว่าเป็นความกังวลที่สมเหตุสมผล และโดยนัยนี้ ก็เป็นการสมควรที่หล่อนเอง และคนอื่น ๆ ผู้หวังดีต่อเขาจะช่วยกันคิดตัดความกังวลให้เขาด้วย

หล่อนเอ่ยขึ้นเมื่อได้ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้ว “ฉันเชื่อเหลือเกินว่า ภรณีของฉันจะไม่เป็นผู้หญิงจี๊ดจ้าดอย่างที่เธอกลัว ฉันเชื่อว่าแกมีความคิดพอที่จะทำตัวของแกให้เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ได้ นิสัยของแกเป็นคน—ไม่รู้ละ แกคงไม่เป็นคนนิวแซนสำหรับเส้นประสาทของเธอก็แล้วกันเถอะ”

“เพราะเหตุใดคุณถึงต้องการให้ผมได้กับผู้หญิงคนนี้ ?” บันลือถาม

เจ้าหล่อนชะงัก เกิดความระแวงว่าเขากำลังจะเอาเปรียบหล่อนมิโดยทางใดก็ทางหนึ่ง แต่จับเหตุจับผลไม่ได้ถนัด ก็ตอบไปในทางที่ใกล้ความจริงใจมากที่สุด และเป็นทางที่หล่อนเชื่อว่า เขาไม่อาจฉวยโอกาสเอาเปรียบหล่อนได้

“เพราะฉันรักเธออย่างเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ ที่คุ้นเคยกันเป็นที่หนึ่งในบรรดาเพื่อนของฉัน แล้วก็รักภรณีเหมือนน้องของฉันแท้ ๆ ฉันอยากให้คนที่ฉันรักสองคนรวมกันเป็นคนเดียว พอหรือยัง เหตุผลเท่านี้ ?”

“พอ” เขาตอบสั้น ๆ แต่หนักแน่น ดวงตาเป็นประกายด้วยความพอใจ “ผมจะแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ถ้า—เขาจะแต่งงานกับผม”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ