๒๙
ความโกรธเป็นดังสนิมศาสตราในโลก
ความโกรธครอบงำในขณะใด ความมืดตื้อย่อมมีในขณะนั้น
เสียงเครื่องยนต์แรงขึ้น ควันและฝุ้นฟุ้ง ผู้ที่กำลังจะจากไปโบกมือไว้อาลัยแก่ผู้ที่อยู่หลัง รถแล่นเร็วขึ้นเลี้ยวไปตามทางโค้งแล้วกลับจากสายตา
ไปแล้วเขาไปกันหมดแล้ว เพื่อนเขาเมียเขาไปก่อนได้สองวัน และบัดนี้พี่เขาน้องเขาหลานเขากำลังไป พรุ่งนี้เป็นวันของหล่อน พรุ่งนี้เวลาเดียวกันนี้ หล่อนจะเป็นผู้ไปบ้าง ภรณีรู้สึกว่าตัวสั่น เห็นจะเป็นที่อากาศเช้าวันนี้เย็นจัด เป็นธรรมดาที่ร่างกายของหล่อนถูกกระทบกระเทือน แต่ไม่กระเทือนถึงใจหล่อนดอก เพราะใจของหล่อนเย็นเหนือความเย็นของอากาศ ใจของหล่อนเย็นและแข็งเหมือนน้ำแข็งที่ไม่มีสิ่งใดทำให้แข็งขึ้นอีกได้ ทั้งไม่มีสิ่งใดทำความแข็งให้ละลาย ใจของหล่อนเป็นน้ำแข็งก้อนมหึมา ไม่มีสิ่งใดเจือปนนอกไปจากความแข็งและความเย็น มีจุดความคิดอันหนึ่งและอันเดียวอยู่ตรงกลาง ไป! ไปจากที่นี่ ไปให้พ้นจากชายคนนั้น และพ้นจากทุกๆ คนด้วย ถ้าจำเป็น
เป็นความคิดที่เกิดขึ้นหลายสิบชั่วโมงมาแล้ว เวลายิ่งล่วงไปมากขึ้นเท่าใด ความคิดยิ่งเด่นชัดมากขึ้นเท่านั้น ไป! เป็นความคิดข้อแรกและข้อสุดท้าย ไป! เป็นข้อตัดสินอันดีที่สุดง่ายที่สุดภรณีหลับตาเสียจากสิ่งที่เห็นอยู่ภายนอก หลับตาเสียจากสิ่งที่เห็นอยู่ภายใน ดับประสาทแห่งโสดเสียจากเสียงที่ได้ยินจากภายนอก ดับประสาทแห่งโสดเสียจากเสียงที่ได้ยินจากภายใน ความลำบากในภายหน้า ความมัวหมองแห่งชื่อเสียง ความยินดีของศัตรู อุดมคติ ความเดือดร้อนเศร้าโศกของบิดา ความเจริญของน้อง ทั้งหมดนี้ภรณีกดไว้ใต้ความคิดข้อเดียว คือไปให้พ้นจากมนุษย์ที่โลกช่วยกันสมยอมว่าเป็นสามีของหล่อน
หล่อนได้อดทนมาถึงสิบวัน ไม่ใช่ทนให้แก่เขาหรือทนให้กับตัวเอง หล่อนทนให้ แก่มุกดา แก่มรกต แก่ไพฑูรย์ แก่เจริญ แก่จิตรา เขาเหล่านี้เป็นคนอื่น เป็นคนกลาง เป็นผู้แสดงความเป็นมิตรต่อหล่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จิตราเป็นผู้ที่มีความปรารถนาดีต่อหล่อนยิ่งนัก มิควรที่เขาเหล่านี้จะต้องได้รับความตกอกตกใจ และตื่นเต้นไปในทางที่ตรงกันข้ามกับความชื่นชม
ในส่วนที่เกี่ยวแก่เขา ชายที่กระด้างต่อหล่อนดังก้อนหิน กระด้างต่อความสัมผัสแห่งมือที่ไปถูกต้อง ไม่มีความจำข้อใด หรือข้อระลึกอันใดที่จะยั้งความคิดของหล่อนอยู่ จริงสิ เขาเป็นสุภาพบุรุษดังที่จิตราว่า ความสุภาพของเขานั้นงดงามแนบเนียน กระทั่งสายตาของผู้หญิงเช่นจิตรา เช่นพี่ของเขา เช่นน้องของเขา ยังไม่สามารถมองทะลุเข้าเห็นความกระด้างของเขาได้ เขาเหล่านี้พากันว่าหล่อนว่า ‘ขี้อาย’ และขรึม กล่าวกิริยาของเขาว่าเต็มไปด้วยความพะวงถึงหล่อน เพราะเห็นว่าเขาพูดกับหล่อนเป็นความเฉพาะวันละสองหนสามหน เขาพูดกับหล่อนว่ากระไร ? ทุก ๆ ครั้งคำพูดของเขาเป็นคำถาม ของสิ่งนั้นมีหรือ ของสิ่งนี้ขาดไปหรือไม่ จะต้องการสิ่งนั้นอีกหรือ สิ่งนี้เป็นอย่างไร เขาพูดกับหล่อนแต่เรื่องที่พูดเป็นเรื่องของความห่วงพี่ ห่วงน้อง ห่วงเพื่อน ห่วงเมียของเขาต่างหาก เขาเหล่านี้กล่าวว่าสายตาของเขามีที่มองอยู่แห่งเดียวคือตัวภรณี ช่างน่าหัวเราะเสียนี่กระไร ในเวลาที่เขามองดูเมียของเขาจนถึงกับลืมตัวนั้นช่างไม่มีผู้ใดได้เห็นบ้างหรือหนอ ?
ไปตายเอาดาบหน้า เดรัจฉานยังไม่อดตาย หล่อนเป็นมนุษย์มีมือมีสมอง ไม่มีปัญญาหาใส่ปากใส่ท้อง จะมิเลวยิ่งกว่าเดรัจฉานหรือ ? นี่เป็นคติที่ภรณีกล่าวแก่ตัวเอง เพื่อทำความบึกบึนให้แก่ใจ
รู้สึกตัวเมื่อมายืนเคว้งคว้างอยู่กลางห้องนอน นี่หล่อนกำลังจะทำอะไร ? อ้อ กำลังจะจัดของลงกระเป๋าสำหรับการเดินทาง ทั้งการเงินและการบัญชีที่จะต้องส่งคืนให้เขาทั้งสิ่งของที่จะนำติดตัวไปและที่จะละไว้ อยู่ในความคิดของหล่อนครบถ้วนโดยเรียบร้อยทุกสิ่งหลายวันมาแล้ว—เตรียมจะหยิบกระเป๋าที่วางแอบอยู่ข้างหลังตู้ เห็นสภาพของห้อง ช่างรักจริง รกด้วยมุ้ง ด้วยที่นอน ด้วยผ้าห่ม และอื่น ๆ อีก ดูน่ารำคาญตา ใช่แต่ห้องนี้ห้องเดียวห้องอีกสี่ห้องก็รกด้วยเครื่องอุปโภคที่จัดให้แก่แขกที่มาพัก คิดขึ้นมาอีกทีหนึ่งหล่อนจะไปต่อยามรุ่งพรุ่งนี้ ยังมีเวลาอีกมากสำหรับจัดของ แม้จะจัดต่อกลางคืนก่อนเวลาที่จะเข้านอนก็ยังเหลือที่จะทัน วันนี้หล่อนยังอยู่ที่นี่ในบ้านนี้ ควรที่หล่อนจะทำหน้าที่เหมือนดังที่เคยทำให้เสร็จสิ้นก่อน ที่เรือนพักของนายนพและนายคิด ซึ่งเจ้าของบ้านจัดให้เป็นที่นอน สำหรับสหายและสำหรับตนเอง มีเตียงสนาม มุ้งหมอน ผ้าห่ม ที่ล้างหน้า ซึ่งจะต้องมีการซัก การตาก การเก็บ ภรณีจะต้องเป็นผู้สั่งผู้ดูแลให้คนใช้ทำ
คิดดังนี้แล้ว ภรณีก็ทำตามที่คิด ลงจากเรือนที่อยู่ไปยังเรือนที่พักสำหรับหัวหน้าคนงาน เรียกคนใช้ชายหญิงไปด้วย ที่นั่นเป็นที่ไกลตา ต้องจัดต้องทำให้เรียบร้อยก่อนที่อื่น ในระหว่างที่ทำงานด้วยมือบ้าง ด้วยตาบ้าง ด้วยปากบ้าง ความคิดคำนึงอันฟุ้งซ่านก็เกิด ๆ ดับ ๆ อยู่ในสมอง บางขณะเป็นความคิดรันทดดังหนึ่งชีวิตจะออกจากร่าง บางขณะเป็นความคิดอย่างแค้น บางขณะเป็นความคิดอย่างเกลียดชังถึงขีดเจตนาจะประหัตประหาร บางขณะเป็นความคิดเหมือนอย่างความฝัน เลื่อนลอย เหลวแหลก หาชิ้นหาอันมิได้ และเมื่อเลือนไปแล้ว ก็ทิ้งรอยช้ำไว้เป็นความรู้สึก
เมื่อหล่อนกลับมาถึงเรือนที่อยู่ ได้ยินเสียงเอะอะโครมครามดังมาจากห้องน้ำ เด็กชายก้องกับเด็กหญิงป่องตื่นนอนแล้ว กำลังจัดแจงอาบน้ำให้ตัวเอง นางพวงตั้งแต่ได้ถูกสั่งให้ไปนอนที่เรือนครัวชั่วคราว ก็ทำทีเหมือนจะลืมเวลาตื่นนอนของเด็กที่ตนเลี้ยงเสียทีเดียว ภรณีแวะเข้าในห้องน้ำเห็นเด็กทั้งสองกำลังเล่นกันอย่างขนานใหญ่ น้ำนองไปทั่วห้อง ขัน สบู่ ฝาโอ่ง ทิ้งเกะกะอยู่บนพื้น ผ้าเช็ดมือประจำห้องน้ำแช่อยู่ในโอ่ง มิทันที่หล่อนจะได้ออกปากว่า เด็กทั้งสองก็ฟ้องซึ่งกันและกันเสียงดังขรม
ให้เวลาแก่เด็กเสียสัก ๑๕ นาที เป็นเวลาที่ความคิดอย่างรันทด ปวดร้าว เด่นอยู่เหนือความคิดอย่างอื่นแล้วหล่อนบอกให้เด็กไปนั่งเล่น เดินเล่น จนกว่าจะถึงเวลารับประทานอาหาร
เวลา ๙.๓๐ นาฬิกำกับเศษเล็กน้อย เป็นเวลาที่ภรณีนั่งห้อยเท้าอยู่บนเตียง มองดูคนใช้ถูพื้นห้อง เสียงนาฬิกาตั้งที่บนโต๊ะเล็กเดินดังกิ๊ก ๆ หัวใจภรณีสั่นและเต้นแรงไปตามเสียงนาฬิกา ถูกแล้ว เขาจะกลับมาถึงภายใน ๑๕ นาทีเป็นอย่างช้า แต่การกลับของเขาเกี่ยวข้องอะไรกับหล่อน ? หล่อนมุ่งจะไปหาความเป็นไทให้แก่ตัว เขาไม่มีอำนาจอันใดที่จะยึดเหนี่ยวหล่อนไว้ พรุ่งนี้ตีห้าครึ่งหล่อนจะออกจากบ้านนี้ เขาจะยังอยู่ในที่นอนและจะรู้ว่าหล่อนไปแล้วก็ต่อเมื่อหล่อนพ้นเขาไปไกลหลายร้อยเส้น ถ้าเผอิญเขาตื่นขึ้นไต่ถาม ก็ไม่เห็นแปลกหล่อนจะบอกเขาคำเดียวว่าหล่อนจะไปกรุงเทพฯ ถ้าเขาขัดขวางไม่ยอมให้หล่อนใช้รถใช้คนของเขา เขาจะได้เห็นว่าหล่อนรู้จักใช้เท้าของหล่อนเมื่อถึงคราวจำเป็น
เพลินด้วยฟุ้งด้วย แค้นด้วย ยอกในอกด้วย เพราะความคิดเหล่านี้ ใจของหล่อนวาบขึ้นเมื่อได้ยินเสียงที่จับได้ว่าเป็นเสียงเครื่องยนต์ แข็งใจนั่งนิ่งอยู่กับที่ และบังคับใจจะให้นิ่ง นานจริงกว่ารถจะมาถึง ทั้งเมื่อมาแล้วก็แล้วเลยหน้าเรือนไปไกล แน่ละซี เขาเลยไปกับรถเพื่อจะดูงานของเขา ที่เรือนนี้ไม่มีเครื่องล่อสำหรับเขาเสียแล้ว เขาเป็นเช่นนี้มาแต่แรก เป็นธรรมดาที่เขาเป็นเช่นนี้ต่อไป มิใช่เรื่องที่หล่อนควรฉงนสนเท่ห์อย่างใดเลย
หล่อนสะดุ้งทั้งตัวเมื่อนายถีกระแอมพร้อมกับเยี่ยมหน้าเข้ามาในประตูห้อง เมื่อหล่อนมองไปดูเขาตรงหน้าแล้ว นายถีพูดว่า
“คุณให้มาเรียนคุณว่าคุณไปกรุงเทพฯ—”
“อะไรนะ ?”
“คุณครับ ให้มาเรียนคุณว่าท่านต้องไปกรุงเทพ ฯ มีธุระด่วน ท่านเขียนจดหมายมา คุณให้ผมมาเรียนคุณ”
“ดีมาก” ภรณีกล่าว หัวเราะน้ำเสียงมีกังวานประหลาดจนแปลกหูตัวเอง “ไปได้ นายถี ขอบใจ”
“ดีมาก” ภรณีกล่าวซ้ำในใจหลายครั้ง ดีมากเขาไปเสียได้เช่นนี้เป็นการดีนัก พรุ่งนี้หล่อนจะได้ขึ้นรถออกไปจากที่นี่อย่างสะดวกสบาย ข้อคิดในเรื่องที่อาจจะต้องเดินเท้า หรืออาศัยเกวียนชาวพื้นเมืองไปยังสถานีรถไฟเป็นอันว่าสิ้นไป ดีมาก ธุระด่วนเผอิญจำเพาะจะเกิดขึ้นวันนี้ วันที่เขาไปกรุงเทพ ฯ ไปโดยไม่ต้องเกรงใจพี่น้อง วันที่เขาไปได้ไม่ต้องเกรงว่าจะเสียความเป็นสุภาพบุรุษ เสียงเอ๋ยเสียงอย่ากระซิบเสียให้ยาก อย่าหน่วงเหนี่ยวเสียให้ยาก อย่าเตือนเสียให้ยาก ไม่มีประโยชน์อันใดดอก ไปจากนี้แล้วจะพบแต่ความลำบาก ? หล่อนรู้จักความลำบากเสียมากแล้ว ดีร้ายอย่างไรไปตายเอาดาบหน้า ความไม่รู้ทำให้เกิดการเดาซึ่งมักจะเอียงไปในทางอกุศล ? ถืออะไรกับการเดาของมนุษย์ เรื่องของหล่อนเป็นเรื่องที่จะไม่มีผู้ใดเข้าใจ เขาหรือใคร ๆ ก็ยกให้ว่าเป็นสุภาพบุรุษโดยแท้ หล่อนจะยกการกระทำข้อใดของเขาขึ้นตำหนิมิให้มีผู้เห็นพ้องกับหล่อนได้ การปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน ระหว่างผู้ที่มีสายสัมพันธ์ต่อกันโดยทางพฤตินัย หรือนิตินัย จะสางความยุ่งของโลกให้เรียบขึ้น ? เขากับหล่อนไม่มีความเข้าใจผิดในกันและกัน ตัวหล่อนไม่มีสิ่งที่เขาต้องเข้าใจ ตัวเขาไม่มีสิ่งที่หล่อนจะ เข้าใจได้มากกว่าที่เข้าใจแล้ว ชัยชนะของศัตรู ? ชีวิตคือการต่อสู้ ผู้แพ้ในวันนี้ไม่จำเป็นจะต้องแพ้อีกในวันหน้า อุดมคตินามสมบัติที่หล่อนรักนัก ? ความจำเป็นที่จะต้องหนีจากสิ่งอันเป็นพิษ สำคัญกว่าความยึดเหนี่ยวในอุดมคติ ความทุกข์ ความเศร้าโศก ความเดือดร้อนของบิดา อีกทั้งความเจริญของน้อง ? หล่อนต้องช่วยตัวของหล่อนก่อนสิ แล้วจึงจะมีเวลาคิดช่วยผู้อื่น
เด็กชายก้องกับเด็กหญิงป่องเข้ามาค้นอะไรกุกกักอยู่ในห้องข้าง ๆ แล้วก็มีเสียงพูดเสียงโต้เถียง “ค. คุณพ่อ อ. อาภร ป. ป้าจิตร” “อื้อ! ป. ป้ามุกด์ น. นมพวง” “จ้าง ! น. นพ” “ไม่เอา หนูเอา น. นมพวง” “ไม่เอา ฉันเอา น. นพ” “เฮ่อ น. นมพวง นี่ ค. คิด ถ. ถี ใช่ ไหมล่ะเฮ้อ” “ไม่ใช่ ค. ควาย ถ. ถุง เอาไหม ถามอาภร เฮ่อ ถามอาภรซี” เสียงตุบตับเสียงกระดาษฉีกดังแคว่กเสียงฝีเท้าวิ่งปัง ๆ ๆ เด็กหญิงป่องเข้ามาถึงตัวภรณีก่อนเด็กชายก้องตามเข้าติด ๆ กัน ๆ
ภรณีตัดสินชี้แจงที่ผิดที่ถูก เด็กทั้งสองกำลัง ‘เฟื่อง’ ตัวอักษรที่เขาได้ทำความรู้จักไว้แล้ว แต่ได้ละเลยเสียในหมู่ที่มีแขกมาพักอยู่ ก็นั่งลงแข่งกันออกเสียงท่องจำตัวอักษรเสียงลั่นไปทั้งห้อง เด็กชายก้องเบื่อก่อน ละหนังสือไว้ ออกไปทางหน้าเรือน เด็กหญิงป่องตามออกไปในไม่ช้า ภรณีเก็บหนังสือวางไว้ในที่ควร แล้วออกนอกห้องบ้างโดยไม่มีความมุ่งหมายอันใดเลย ได้ยินเสียงเด็กเล่นกันอยู่ทางบันไดโน้น เพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงเด็กหญิงร้องจ้าขึ้น พร้อมกับตะโกนเรียก “อาภร ! ตาก้องบ้า !”
เมื่อภรณีสาวเท้าไปถึง เห็นเด็กหญิงนั่งเหยียดเท้าดิ้นเร่า ๆ อยู่กับพื้นดิน ได้ความว่าเด็กชายก้องผลักน้องก้นกระแทก เพราะน้องพยายามจะแย่งกิ่งไม้ที่เขาหักมาเพื่อสมมุติเป็นธง ภรณีอุ้มเด็กหญิงขึ้น เช็ดน้ำตาให้ด้วยผ้าเช็ดหน้าของหล่อนเอง ปัดฝุ่นละอองที่ติดตามกางเกงและผิวหนัง แล้วจับมือเด็กชายมาให้ขอโทษน้อง หน้าเด็กชายก้องแดงก่ำ น้ำตาออกมาคลอตา การกล่าวคำขอโทษเป็นสิ่งที่เขาเกลียดยิ่งนัก ถ้าจะบอกให้เขาไหว้หรือทำสิ่งใดเพื่อล้างความผิดของเขา เขาเต็มใจที่จะทำมากกว่าที่จะให้คำว่าขอโทษออกจากปาก แต่ภรณีมีวิธีบังคับเด็กโดยละม่อมได้เสมอ ต่อมาไม่ถึงสามนาทีหล่อนนั่งบนบันได เด็กชายก้องคลอเคลียอยู่กับแขนกับบ่า เด็กหญิงป่องใช้กิ่งไม้เขียนแผ่นดินเป็นรูปรอยต่าง ๆ ทั้งที่ยังมีอาการสะอื้นหลงอยู่
บนบันไดห้องน้ำ ลูกแมว ๓ ตัวกำลังเล่นหางแม่เล่น ๆ แล้วก็หล่นตุ๊บทับกันลงไปบนแผ่นดิน ปีนบันไดกลับขึ้นมาได้ไล่คว้าหางแม่อีก นางแม่รำคาญ หรือเห็นว่าเล่นพอแล้ว มากนักจะเหนื่อยเกินกำลังก็ลุกขึ้นยืนเลียหลังลูกตัวนั้นบ้างตัวนี้บ้างโดยทั่วถึง มือของภรณีกำลังลูบคลำอยู่ตามเส้นผมอันละเอียดของเด็กชาย เด็กเอ๋ย ลูกแมวเป็นสัตว์ โตแล้วหากินเองได้ ยังมีแม่คอยประคบประหงม ตัวหนูนี้ ต้องจากความรักของแม่ ตั้งแต่ยังไม่รู้ความ—ความคิดอันหนึ่งเกิดขึ้นในปัจจุบันนั้น ภรณีตะลึงจนลืมหายใจ เจ้าประคุณคุณพระช่วย ! เด็กกำพร้าทั้งสองนี้อยู่ในความอารักขาของหล่อนแท้ ๆ เมื่อพ่อเขาไม่อยู่ หล่อนจะละทิ้งเด็กไปเสียได้อย่างไร
เวรกรรม ! หล่อนลืมความข้อนี้เสียสนิท และเมื่อนึกขึ้นได้แล้ว—ความร้อนความเย็นระเบิดซ้อนกันขึ้นในอก เมื่อหล่อนจะไป จะต้องไปโดยไม่ทิ้งความบกพร่องไว้เบื้องหลัง ถ้าหล่อนไปในระหว่างนี้ อันตรายอันใดเกิดขึ้นแก่เด็กเพราะขาดผู้ปกครอง—ภรณีรู้สึกเย็นไปทั้งตัว
เด็กชายลุกขึ้นไปจากหล่อน หายไปทางบนเรือน เด็กหญิงวิ่งหยอย ๆ ตามไป ทั้งสองลืมความโกรธเมื่อครู่ก่อนเสียสนิท เมื่อเขากลับมาใหม่ พี่ชายนำหน้า น้องสาวตามหลัง ทั้งคู่ถือช่อดอกรักอันติดอยู่กับกิ่งยาว ทำท่ารำเข้ากับจังหวะเพลงที่เขาร้อง
“รักเอ๋ยรักป่า เจ้าตามลมมาแต่แห่งหนไหน รักพี่หน่อยรา หาไม่พี่จะลาเจ้าไป รักเอ๋ยบรรเจิดบรรจง เจ้างามระหงทั้งช่อทั้งใบ รักพี่ด้วยสักคน หาไม่พี่จะทนไม่ไหว รักเอ๋ยรักคอย ได้แล้วพี่จะร้อยเป็นมาลัย รักเอ๋ยรักดอน รักอาภรณ์นี่เหลือใจ”
ฟังเขาร้องกลับไปกลับมาอยู่สองเที่ยว ทั้งสองเที่ยวเมื่อนึกถึงวรรคท้าย เด็กหญิงป่องก็หันมาเอียงคอกับผู้ฟัง ภรณีเริ่มคิดพิศวง ในที่สุดหล่อนจึงเรียก
“หนู หนูจ๋า ก้อง ป้อง ใครสอนให้หนูร้องเพลงนี้ ?”
“คุณพ่อ” เด็กชายตอบ แล้วทำท่าจะร้องรำต่อไป
“เดี๋ยวก่อน หนู พูดกับอาภรก่อน คุณพ่อสอนเมื่อไหร่ ?”
“เมื่อวันนั้น”
“วันนั้น วันไหน ?”
“วันนั้นน่ะค่ะ”
ภรณียิ้มอย่างระอา เรื่องวันกับเวลาเด็กสองคนนี้ไม่มีความเข้าใจเสียเลย “คุณพ่อสอนคนเดียว ?” หล่อนตั้งคำถามใหม่
“ตากุ่มสอนจ้ะ” คราวนี้เด็กหญิงป่องเป็นผู้ตอบ
“อ้าว ! ไหนก้องบอกว่าคุณพ่อสอน ?”
“คุณพ่อสอนย่ะ” เด็กชายเถียง
“คุณพ่อสอนบอกรักอาภร รักอาภร ฮื่อ ! ตาก้องพูดไม่รู้เรื่อง” ทันทีนั้นก็ตั้งท่ารำและร้อง “รักเอ๋ยรักดอน รักอาภรณ์เหลือใจ”
ภรณีเม้มริมฝีปาก นั่งนิ่ง มองตะลึงไปข้างหน้า
อีกสามวันต่อมา ภรณีได้รับจดหมายจากบันลือฉบับหนึ่ง ในที่ ๆ ควรเขียนตำบลที่อยู่ บันลือเขียนว่า “ในรถไฟ” ต่อจากนี้คือข้อความในจดหมาย
ภรที่รัก ขอโทษร้อยหนพ้นหนที่มาโดยไม่ได้บอกให้เธอรู้ล่วงหน้า จะเขียนจดหมายที่สถานีก็ไม่ทันเพราะมีธุระต้องสั่งเจ้านพหลายอย่าง ทางเสียมากมาถึงสถานีก่อนรถไฟถึงประเดี๋ยวเดียว มีเวลาพออ่านจดหมายคุณยายจบพูดกับเจ้านพ ๒–๓ คำ แล้วกระโดดขึ้นรถ เป็นห่วงกลัวเธอจะเหงา เคยมีคนคึ่กคั่กบทจะมาก็มากันเสียหมดไม่เหลือสักคน ฉันไม่ได้เอาไอ้ถีมาด้วยให้มันอยู่เป็นเพื่อนลูกเป็นเพื่อนเธอจูบลูกแทนที แล้วให้ลูกจูบเธอแทน ฉันไม่รู้ว่ากี่วันจึงจะได้กลับ ไม่รู้ตัวว่าจะต้อง มา ไม่ได้ร่ำลากันเลย เมื่อเธอรู้ว่าเป็นธุระของคุณยาย เชื่อว่าคงยกโทษ ในพวกหลาน ๆ คุณยายเคยใช้สอยอยู่แต่ฉันคนเดียว ยิ่งเป็นเรื่องถึงโรงถึงศาลท่านยิ่งจะไม่ไว้ใจคนอื่น ไอ้ใครคนหนึ่งมันรุกนาของท่าน ท่านกลัวจะต้องเป็นความ ฉันจึงต้องรีบมาให้ท่านใจชื้น เธอต้องการอะไรบ้างจากกรุงเทพ ฯ ขอให้มีจดหมายบอกมาทันที ขอโทษ ใช้โทรเลขดีกว่า ถ้าเผื่อฉันจะกลับบ้านได้เร็วจะได้ไม่ต้องรอจดหมายโทรเลขยาวเท่าไรก็ช่างมัน ขออย่าได้เสียดายค่าส่ง ความสมใจของเธอกับเงินมันไม่พอกัน คิดถึงจนพูดไม่ถูก นั่งรถไฟเขียนจดหมายยากจริง ผู้หญิงพูดมากเสียด้วยคุยไม่หยุดปาก พี่มุกดาชมเธอว่าถี่ถ้วนสมเป็นแม่บ้านนัก นี่ไม่ใช่ความรู้ใหม่สำหรับฉัน แต่ก็อดดีใจไม่ได้ ฉันเพิ่งรู้เมื่อสักครู่ว่าไพฑูรย์ปล้นเอาหีบเย็บของเธอมาใบหนึ่ง แปลกจริง ๆ เด็กคนนี้ตัวอยู่กรุงเทพฯ ซื้ออะไรก็ซื้อได้ อุตส่าห์ไปแย่งเอาของของคนที่อยู่หัวเมือง ฉันจะต้องกวนจิตราให้หาให้เธอใหม่ อย่าลืมโทรเลขบอกชื่อของที่เธอต้องการฉันคิดเองไม่ถูก เวลานี้คิดได้แต่หนังสือจะหาไปฝากที่เธออ่านได้เพลินทั้งนั้นทำไมถึงกล้าคุยดังนี้ ? เพราะฉันได้ยินเธอตัดสินหนังสือของ ป.ส. กับหนังสือของ ‘กรองทอง’ อย่างเฉียบแหลมมาก ฉันเคยอ่านหนังสือของ ‘กรองทอง’ เล่มเดียว แต่รู้จักเล่มอื่น ๆ ด้วย พอที่จะรู้ว่าคน ๆ นี้เขียนหนังสือดี แต่ดีไปในทางที่ต้องใช้ความฝันช่วยในเวลาที่อ่าน แกแต่งเรื่องของชีวิตอย่างที่แก อยากให้เป็นตรงกับที่เธอวิจารณ์ไม่มีผิด ส่วน ป.ส. เขาเขียนเรื่องชีวิตตามที่เป็นอยู่ทุกวัน นี่ก็ตรงกับที่เธอว่าอีกเหมือนกัน ฉันกะว่าเธอกับฉันพอจะอ่านหนังสือด้วยกันได้ ฉันควรจะซื้อวิทยุมาด้วยหรือไม่ ? ถ้าเห็นสมควรบอกมาในโทรเลข ถึงกรุงเทพฯ แล้ว จะส่งข่าวมาอีก เว้นเสียแต่จะรู้ว่าฉันจะถึงบ้านก่อนจดหมายไปถึง ก็จะเอาเวลาไว้ทำอื่น สำหรับให้ได้กลับบ้านเร็วเข้า คิดถึงภร ไม่รู้จะพูดอย่างไรให้เข้าใจ
ภรณีอ่านจดหมายหลายครั้งอ่านจบครั้งหนึ่งความคิดเปลี่ยนไปอย่างหนึ่ง เปลี่ยนจากดีเป็นร้าย เปลี่ยนจากร้ายเป็นดี สลับกันไปมา เมื่อหล่อนพับจดหมายกลับใส่ซอง หล่อนจำความในจดหมายได้เกือบทุกคำ แล้วก็นึกไปวิจารณ์ไปตลอดเวลาหลายชั่วโมง
ในที่สุดความคิดของหล่อนมายุติลงเป็นแน่ว่า จดหมายฉบับนี้ไม่ทำให้ความคิดที่จะไปจากบันลือเปลี่ยนเป็นอื่น เอานิยายอะไรกับข้อเขียนซึ่งออกมาจากคำสั่งของสมอง การกระทำซึ่งออกจากคำสั่งของใจต่างหากเป็นสิ่งที่ควรยึดถือ เขาเป็นสุภาพบุรุษ จดหมายที่เขียนมานเยนมานั้นเขียนตามมารยาทของสภาพบุรุษที่พึงมีต่อหญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของตนตามนิติธรรมและประเพณี ถูกแล้วหล่อนได้แต่งงานกับชายที่เป็นสุภาพบุรุษแท้ เพียบพร้อมด้วยจรรยาของสุภาพบุรุษทุกกระดิกตัว เมื่อ ๘–๙ ปีก่อนนี้ ด้วยความที่เป็นสุภาพบุรุษ เขาได้ยอมให้ภรรยาหย่าเขาเพราะเหตุที่หล่อนมีความเห็นว่าเขาเป็นผู้ที่ถือใจเป็นใหญ่ และเป็นผู้ที่หล่อนไม่ประสงค์จะอยู่ด้วย สาเหตุที่จะเกิดขัดใจกันขึ้นเช่นนี้มีอยู่ว่า เมื่อสองแต่งงานกับบันลือแล้ว หล่อนพิมพ์นามบัตรขึ้นจำนวนหนึ่ง ตัวอักษรมีชื่อตัวของหล่อน นามสกุลของสามี และนามสกุลเดิมของหล่อนเอง บันลือขอมิให้ภรรยาใช้นามบัตรเช่นนี้ เขามีความเห็นว่าจะทำให้คนทั้งหลายขอดข้อนภรรยาว่าเห่อเหิมอย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่งจะทำให้ญาติในสกุลของเขาถือว่าส่องสียกสกุลของหล่อนข่มสกุลของสามีด้วย ส่องสีไม่เห็นด้วยกับเขา และไม่ยอมปฏิบัติตามที่เขาขอร้อง ด้วยมูลเหตุเพียงที่กล่าวแล้วทั้งสองฝ่ายก็ขาดจากความเป็นสามีภรรยากัน สังเกตตามเสียงที่จิตราเล่าเรื่องนี้ประกอบกับเสียงที่พี่น้องของบันลือพูดถึงความหลัง บันลือรักส่องสีอย่างดูดดื่มยิ่ง แม้กระนั้นด้วยความที่เป็นสุภาพบุรุษ เขายังตัดใจยอมให้ส่องสีเป็นอิสระแก่ตัวในคราวแรกที่สุดที่หล่อนออกปากว่าไม่อยากอยู่กับเขา ในปัจจุบัน ส่องสีมาหาเขาอีก ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษอีกเขารับรองหล่อนดังหนึ่งหล่อนเป็นเทพธิดา เขาเป็นสุภาพบุรุษจริง ถูกแล้ว หล่อนสิเป็นสุภาพสตรีไม่พอกับเขา เขาดีเกินหล่อนไปมาก เพราะฉะนั้น แน่เสียยิ่งกว่าแน่ หล่อนกับเขาจะอยู่ร่วมกันต่อไปอีกไม่ได้