ภัสดาเป็นสง่าของสตรี

ภรรยาเป็นสหายอย่างยิ่ง (ของบุรุษ)

 

จิตราลงจากรถอย่างเร่งรีบ เมื่อเห็นรถคันเล็กที่สามีของหล่อนใช้ในเวลาไปทำงานจอดอยู่ที่หน้าตึกแล้ว ซึ่งแสดงว่าเจริญกลับจากทำงานมาถึงบ้าน ในระหว่างที่หล่อนไม่อยู่ จิตราไม่ชอบให้เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ หล่อนถือว่าการที่ภรรยามิได้อยู่ต้อนรับสามีในเวลาที่เขากลับ จากการกระทำกิจในหน้าที่หัวหน้าครอบครัวของเขานั้น เป็นความบกพร่องส่วนหนึ่งในหน้าที่ภรรยา และด้วยเหตุที่จิตราถือว่าความเจริญแห่งครอบครัวหนึ่ง ๆ ขึ้นอยู่กับการที่บุคคลในครอบครัวนั้น ๆ ต่างปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยบริบูรณ์ จิตราจึงเป็นผู้ที่ระวังเป็นอย่างยิ่งในการที่จะมิให้ตนบกพร่องต่อหน้าที่โดยประการหนึ่งประการใด

ลงจากรถแล้วจิตรามองหาคนใช้ แต่มองไม่เห็นผู้ใด จึงตรงขึ้นบนตึกและตรงไปที่ห้องสามี

เขากำลังยืนเล่นอยู่กับลูกชายคนเล็ก โยนตัวเด็กขึ้นแล้วรับไว้ด้วยแขนทั้งสองของเขา จิตรานิ่วหน้าด้วยความเสียวไส้แต่ไม่ทักท้วง ถามออกไปว่า

“วันนี้ทำไมกลับได้เร็วล่ะเธอ ? ฉันไปหาภรแล้วเลยแวะซื้อของ เลยมาช้าไปหน่อย”

“ถ้าไม่มีประชุม ก็กลับได้เร็วเสมอแหละ” เจริญตอบ วางลูกชายให้ยืนบนพื้นห้อง แล้วถามต่อไปทันที “แม่ภรตอบว่ายังไง ?”

จิตราส่ายหน้า “ไม่ได้เรื่อง” หล่อนตอบ “เดี๋ยวก่อนฉันไปดูของกินให้เธอก่อน” ก้มลงจูบแก้มลูกครั้งหนึ่งพูดว่า “หนูแดงไปไหนนี่ มาหาพ่อแล้วหรือยัง ?” แล้วทำท่าจะออกไปจากห้อง

“เดี๋ยวน่า เล่าเรื่องยายภรให้ฟังก่อน เรื่องกินชั่งมันเถอะ”

จิตราหัวเราะ “ใจร้อนจริง” หล่อนว่า “ที่จริงของกินน่ะทำไว้แล้ว ยังอยู่แต่จะเอาออกจากตู้เย็นเท่านั้นเอง เชื้อไปบอกแม้นให้จัดของว่างของคุณมาที่ไป๊ เอาหนูไว้นี่แหละ—อื๊อ เอาไปเสียด้วยเถอะ ผู้ใหญ่เขาจะพูดธุระกัน แกมันยุ่งนัก” จูบลูกชายอีกครั้งหนึ่ง แล้วตีก้นอันมีเนื้อหนาของเด็กเบา ๆ

เมื่อพี่เลี้ยงพาเด็กไปพ้นแล้ว จิตราจึงเอ่ยขึ้นว่า

“ฉันเหลวเองเรื่องแม่ภร ไปถึงแล้วไม่รู้จะพูดกับแกว่าอย่างไร ท่าเธอจะต้องเป็นผู้จัดการแล้วละ ฉันไม่มีปัญญา”

หล่อนเดินไปนั่งที่บนเตียง เจริญมองดูหล่อนอย่างทึ่งแล้วว่า “ก็มันเป็นเรื่องของผู้หญิงทำไมจะให้ผู้ชายไปจัดการ สุ่มสี่สุ่มห้าไปหาลูกสาวเขา ยายแม่เลี้ยงแกจะได้เอาดุ้นแสมตีหัวเข้า”

“ยายบ้า ฉันเกลียดแกเหลือเกิน ทำสีหน้าฉันเป็นเจ้าของบ้าน ! ไอ้เราอุตส่าห์ไหว้ คิดว่าไหว้ให้กับยายภร รับไหว้แค่สะดือ ถามว่าภรอยู่ไหม ? เขาทำเสียงอะไรไม่รู้ เขาก็อยู่ห้องเขาน่ะซี”

เจริญหัวเราะ ยืนมือไขว้หลังมองดูภรรยาอย่างเพลิดเพลิน ตัวหล่อน กิริยาของหล่อน วาจาของหล่อน ความคิดของหล่อน การกระทำของหล่อน เป็นเครื่องชื่นชูอารมณ์แก่เขาทั้งสิ้น เมื่อหล่อนผิดโดยทางความคิดหรือทางพูด หรือทางการกระทำ เพราะความเขลาหรือพลั้งเผลอ เขาเห็นเป็นของขันและคิดเอ็นดูหล่อนยิ่งขึ้นในคราวที่หล่อนผิด เพราะนิสัยของความเป็นลูกผู้มีทรัพย์ได้รับความตามใจจนเคยตัว ชักจูงให้เป็นไป เขาก็อภัยให้แก่หล่อนก่อนที่จะนึกโกรธ บัดนี้เขากำลังคิดว่าหล่อนทำตัวเป็นผู้ไร้เหตุผล ซึ่งทำให้เขานึกสนุกจึงว่า

“ตกลงโดยที่ยายแม่เลี้ยงแกไม่ต้องลงทุนลงแรงเลย แกก็ตัดหนทางดีของลูกเลี้ยงเสียได้ เพราะเธอมัวไปเกลียดแกเสียเลยไม่พูดธุระกับแม่ภร ?”

“อุ๊ยไม่ใช่” จิตราค้าน “มันคนละตอน ตอนยายเยื้อนน่ะตอนหนึ่ง แม่ภรน่ะตอนหนึ่ง คือยังงี้ ฉันว่าเธอไปพูดเองดีกว่าฉันพูด”

“เอาอีกแล้ว ! ฉันจะเอาเวลาที่ไหนไปพบกับยายภร จะให้ฉันปีนเข้าไปหาแกในห้องนอนรึ–?”

“ไม่ช่าย—”

“ไม่ปีนเข้าไปหา ทำไมจะได้พบตามลำพังล่ะ จะไปบอกกับผู้ใหญ่เขาว่าขอพบแม่ภรณีสองต่อสอง—”

“ไม่ช่าย โธ่ ก็ไม่ฟังฉันก่อนนะ ฉันบอกให้เธอไปทาบทามกับหลวงจำนงฯ—”

“อ้าว เรื่องนั้นก็ตกลงกันแล้วนี่นาว่าเป็นหน้าที่ของฉัน แต่ทีนี้ไอ้ที่เกี่ยวกับตัวภรณีเอง—”

“เป็นหน้าที่ของฉัน ถูกแล้ว แต่ทีนี้เวลาฉันไปถึงแม่ภรเข้า ฉันไม่รู้ว่าจะพูดกับแกว่ายังไร”

เจริญถอยหลังไปนั่งลงบนโต๊ะเล็กตัวหนึ่ง

“แปลกแฮะ” เขาปรารภ “คนคุ้นเคยกันจนแค่นี้ยังไม่รู้จะพูดกันว่าอย่างไร”

“คืออย่างนี้จ้ะ” จิตราเอ่ยขึ้น พยายามรวบรวมความคิดและความรู้สึกของตนเพื่อจะกล่าวออกมาเป็นเนื้อความให้สามีเข้าใจแจ่มแจ้ง “ภรน่ะ แกไม่ใช่เด็กชนิดที่ว่าใครบอกให้ทำอะไรแกก็ทำตามเขาไป ยิ่งในเรื่องคู่เรื่องเคียงด้วยละก็ แกจะต้องยิ่งคิดมากเป็นพิเศษกว่าเรื่องอื่นไปอีก ที่ไหนแกจะเชื่อใครง่าย ๆ”

“ก็คู่ที่เราแนะให้แกนี่มันดีนักหนาแล้วนี่นา แกจะต้องคิดอะไรมากไปอีกล่ะ ?”

“ถ้าเราเห็นว่าดี แกก็ยังจะต้องคิดอีก และจะต้องคิดไปเรื่องความรักตามแบบของเด็กสาว ๆ เช่นว่าเขารักแกหรือ เขารักเพราะอะไร ทำไมถึงรัก คือว่าแกเป็นคนรู้คิดจริง แต่แกยังไม่รู้พอที่จะยอมเชื่อว่าคนเราไม่จำเป็นต้องแต่งงานเพราะความรักเสมอไป แต่งกันเพราะเหตุอย่างอื่นแล้วรักกันทีหลังก็ได้ ฉันกลัวแกจะมาถามฉันว่า ผู้ชายเขารักแกหรือ แล้วฉันก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปตอบกับแก”

“ก็เอาไอ้ที่เธอพูดอยู่กับฉันนี่แหละ ตอบแกไป—”

“แล้วมันก็จะไม่ถูกใจแก เพราะแกจะต้องให้เขารักเสียก่อน แล้วถึงจะมานึกอยากแต่งงานกับแก ยายภรน่ะหัวแกเป็น—เป็นคนสมัยใหม่เหลือเกิน ไอ้ความดีในตัวของแกมันก็ดีอย่างคนสมัยใหม่แท้ ๆ มีกฎมีเกณฑ์อย่างนั้นอย่างนี้ รู้ว่าตัวของตัวต้องการอะไร เพราะเหตุใด และถ้าไม่ได้อย่างที่ตัวต้องการก็สู้ไม่เอาเสียเลย”

“ถ้าอย่างนั้นละก็ ถึงฉันจะเป็นคนพูด หรือเธอเป็นคนพูด มันก็จะผิดอะไรกัน”

“ผิดซีจ๊ะ คืออย่างนี้ เธอไปพูดกับหลวงจำนงฯ บอกว่ามีคนเขาจะมาขอลูกสาวแก แล้วเธอก็บอกไปว่าผู้ชายฐานะเขาเป็นอย่างนั้น ๆ ลูกเขยอย่างบันลือใคร ๆ ก็ต้องอยากได้ แล้วพ่อเขาก็คงพูดกับลูกเขาเอง ภรแกเกรงใจพ่อแก แกคงไม่กล้าปฏิเสธพรวดพราดไปง่าย ๆ แล้วยิ่งรู้ว่าเธอเป็นคนไปทาบทาม แกก็ต้องนึกเชื่อว่าผู้ชายต้องเป็นคนดีแน่ๆ แล้วฉันถึงจะไปหนุนแกทีหลัง ว่าคน ๆ นี้เป็นเพื่อนของเธอ แกควรจะเชื่อว่าเธอ ไม่เอาความเดือดร้อนไปให้แก ถ้าฉันทำหน้าที่แต่เพียงลูกหนุน ไม่เป็นตัวตั้งตัวตี แกคงไม่กล้าซักใช้อะไรฉันมาก ถ้าเผื่อซักฉันก็จะปุโลปุเลตัดความเสียว่าฉันไม่รู้ละเอียด รู้แต่ว่าเป็นคนดี มั่งมีมาก แล้วไม่มีความประพฤติเสียหายอะไรเลย ในที่สุดแกก็คงตกลง”

เจริญเปลี่ยนอิริยาบถอีกครั้งหนึ่ง เขาไม่เข้าใจความคิด ความรู้สึกของภรรยาโดยถ่องแท้ แต่ก็บอกตัวเองว่าความคิดของผู้หญิงนั้นซับซ้อนเหลือสติปัญญาที่ตนจะเข้าใจได้ เมื่อลุกจากที่นั่งแล้ว เขาเดินไปหยิบซองบุหรี่จากกระเป๋าเสื้อชั้นนอก พร้อมกับพูดว่า

“เอายังไงก็เอา ให้ได้ตัวแกมาก็แล้วกัน เผื่อยังไงเจ้าบันลือจะได้หายบ้า”

สามีภรรยาออกจากห้องพร้อมกัน ลงบันไดไปด้วยกัน จิตรายังคงปรารภถึงจิตใจและนิสัยของภรณีต่อไปอีก เจริญฟังบ้างไม่ฟังบ้าง เขาไม่มีความพากเพียรพอที่จะเอาใจใส่ในเรื่องอันละเอียดลออ เช่นความรู้สึกนึกคิดของหญิงสาวอยู่ได้นานนัก

หลังจากที่รับประทานพลางและคุยกันพลางถึงเรื่องต่าง ๆ หลายเรื่องแล้ว เจริญจึงย้อนมาพูดถึงเรื่องการสู่ขอภรณีให้แก่บันลืออีก

“แล้วเจ้าตัวเขาน่ะจะกลับมากรุงเทพฯ เมื่อไหร่ ?” เขาถามภรรยา

“เขาว่าเขาจะกลับก่อนกลางเดือน” จิตราตอบ “เดือนหนึ่งเขาต้องมากรุงเทพฯ หนหนึ่งเสมอ เพราะเขาต้องมาแลดูทรัพย์สมบัติของเขาเอง”

“แล้วเราล่ะ ฉันน่ะ เธอจะให้ฉันไปหาหลวงจำนงฯ เมื่อไร ?”

“ก็แล้วแต่ใจเธอซี แต่ให้มันรู้เรื่องกันเสียก่อนที่พระเอกเขากลับมาละก็ดี”

“หลวงจำนงฯ จะเรียกสักเท่าไหร่ ?” เจริญปรารภหลังจากที่ได้นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง “ท่าจะโก่งเสียหูฉี่ก็ไม่รู้ แกยิ่งกำลังโทรมอยู่ด้วย”

“บันลือเขาว่า เขาสู้ไม่อั้นประตูนี่” จิตราบอก

“งั้นเอาสัก ๒ หมื่นเป็นยังไง ?”

“อุ๊ยตาย มันเกินเหตุไปละ ธรรมดาพ่อแม่ฝ่ายผู้หญิง ถ้าจะเรียกเอาจากผู้ชายเขามาก ๆ ตัวก็ต้องมีอะไรมากองกับเขาให้พอเหมือนกัน ไม่ยังงั้นไอ้ลูกของตัวก็จะกลายเป็นสินค้าไป เธอช่วยยั้ง ๆ ไว้หน่อยด้วยนะ อย่าให้โก่งราคามากนัก เล่นกับพ่อบันลือเดี๋ยวพ่อดูถูกตาย ที่จริงหลวงจำนงฯ เองน่ะแกคงไม่กระไรหรอก แต่ยายเมียเดี๋ยวพอเห็นทางที่จะได้แม่ก็จะโกยเสียใหญ่ อ้อ แล้วเธอต้องแบ่งส่วนให้ดีด้วยนะ ต้องให้ภรณีแกได้เป็นกรรมสิทธิ์ของแกตามสมควร ฉันกลัวยายแม่เลี้ยงจะฮุบเอาเสียหมด”

ทั้งสองฝ่ายปรึกษากันต่อไปอีกครู่หนึ่ง ช่วยกันคิดหว่านล้อมหาช่องทางให้ความยุติธรรมอยู่แก่ฝ่ายภรณีมากที่สุด เมื่อตกลงกันดีแล้ว เจริญก็ตัดสินว่า

“วันอาทิตย์นี่แหละ ไม่ต้องชักช้า ให้มันเสร็จไปเสียที” เขาหัวเราะ “บันลือนี่มันคนบ้า หรือคนเมา บทจะง่าย ผู้หญิงหน้าเป็นลิงหรือเป็นวัวยังไม่รู้เลย พอจะเอาก็เอาขึ้นมาดื้อ ๆ”

“ก็เพราะยังงั้น ฉันถึงพูดกับภรแกไม่ถูก แต่ว่าเราอยากไปก่อขึ้นเราก็ต้องสานให้ตลอด จริงนะ เอาจริงเอาจังเข้าฉันออกหวั่น ๆ ยังไงพิกล เวลาแต่งงานกันแล้ว พ่อบันลือจะทำยังไงกับแม่ภรของฉันมั่งก็ไม่รู้”

เจริญลุกจากที่โดยไม่ตอบว่ากระไร เขาถือว่า การคิดมากก่อนเวลาที่ควรคิด หรือคิดมากเมื่อสายเกินที่ควรคิดเสียแล้ว เป็นนิสัยอันหนึ่งของสตรี ซึ่งเขาไม่จำเป็นต้องถือเอาเป็นกังวลให้เป็นเครื่องรกสมอง

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ