สงครามในใจ ระหว่างมยุรีกับนายประสมได้เป็นไปอย่างรุนแรง ความดูถูกเหยียดด้วยกิริยาและวาจา ทิ่มแทงดวงจิตมยุรีอยู่ไม่รู้หาย หนุ่มสาวต่างขึ้งเคียดต่อกันจนออกหน้า ในใจมยุรีไม่มีอะไรนอกจากความแค้นและเกลียดชัง แต่เป็นความเกลียดที่ดูแปลก ไม่มีความมุ่งร้ายปนอยู่ และความที่อยากไล่เขาเสียจากบ้านก็ไม่มีเลย ตรงกันข้ามโดยไม่รู้ตัว มยุรีกลับเอาใจใส่ในความเป็นอยู่ของประสมยิ่งขึ้น บางคราวนึกถึงคำพูดของเขาหล่อนรู้สึกตัวว่าชั่วช้า หล่อนมิได้ใช้กิริยาแลเครื่องประดับส่งเสริมความงามเพื่อตีตามนุษย์ดอกหรือ เมื่อมีคนกล่าวคำชมเชยหล่อน ดวงจิตมิได้พองโตขึ้นด้วยความลำพองดอกหรือ ถึงกระนั้นประสมผู้มีฐานะเพียงลูกจ้าง มีสิทธิ์อะไรที่จะมาว่าหล่อน มีใครบ้างที่ไม่ชื่นชมและหยิ่งในเมื่อรู้ตัวว่ามีความงามพร้อมบริบูรณ์ น้อยนักน้อยหนา ในพันคนจะค้นพบเพียงคนหนึ่งเป็นอย่างมาก ท่านสุภาพสตรีที่เคารพ ในเมื่อท่านแต่งตัวเต็มที่แล้ว และมีผู้ชมว่าท่านงาม ท่านจะไม่รู้สึกตัวเบาขึ้น และท่านจะไม่พยายามวางหน้าวางท่าให้งาม งามขึ้นมากที่สุดที่จะงามได้ดอกหรือ มยุรีก็เป็นหญิงธรรมดาคนหนึ่ง จะให้หล่อนทำอย่างไร โบราณท่านว่า หญิงงามแต่ไม่มีคู่เปรียบเหมือนเพชรไม่มีเรือนแหวน มยุรีเป็นหญิงงาม เมื่อไม่มีใครเคียงคู่ก็ไม่งามพร้อมบริบูรณ์ ฉะนั้นหล่อนจึงต้องควงกับใครคนหนึ่ง ในงานสโมสรสันนิบาต ไปด้วยกันแต่ผู้หญิงล้วนจะหารสที่ไหนมา มีหญิงต้องมีชาย มีชายต้องมีหญิง มิฉะนั้นก็กร่อยจืดชืด ไม่มีรสชาติ ดอกกุหลาบที่งาม แต่ก้านตกอ่อนระทวย เมื่อปักแจกันแล้วก็จะดูน่าเกลียด ต่อดอกตั้งตรงหรือเอียงแต่เล็กน้อย ส่งกลิ่นจัด นั่นซี ใครผ่านก็ต้องแวะจับและดม เมื่อกระนี้แล้ว เหตุไรประสมจึงมานั่งค่อนว่ามยุรี ไม่ได้ หล่อนไม่ยอมแพ้ หล่อนจะไม่ยอมยกโทษให้เป็นอันขาด มยุรีมีความพยาบาทอย่างรุนแรงอยู่ในใจ แต่ประสมก็เป็นคนที่คม การที่จะปล่อยให้ใครต้มนั้นยาก ยิ่งนานวันเขายิ่งเป็นคนรักของเจ้าคุณ นอกจากการงานได้ดำเนินดีขึ้นเป็นลำดับ นับตั้งแต่เขาได้เข้ามาเป็นผู้ช่วย คนงานก็ดี คนใช้ในบ้านก็ดีย่อมนิยมในความปราศรัยของประสม แม้แต่เด็ก ๆ ในบ้านเจ้าคุณไมตรี ฯ ทุกคนก็เป็นเพื่อนกันกับเขา มีอยู่คนเดียวที่เป็นศัตรูต่อประสมแลที่ประสมเป็นศัตรูต่อคนนั้นคือนางสาวมยุรี

วันหนึ่งเป็นวันที่มยุรีใกล้จะมีอายุครบ ๒๒ ปี บริบูรณ์ หล่อนดำริจะเชิญเพื่อนทั้งหญิงชายมารับประทานน้ำชา กะจำนวนแขกทั้งหมดรวม ๒๒ คน อาทิตย์หนึ่งก่อนถึงวันงาน ประสมผู้ซึ่งนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ เห็นว่าเป็นหน้าที่จะต้องทำอะไรบ้างสักอย่าง จึงออกปากอาสา มยุรีปฏิเสธ แต่เจ้าคุณกลับตอบฐานผู้ใหญ่ที่ฉลาดว่า “ให้คำแนะนำกับมยุรี”

ประสมยิ้มเมื่อได้ฟังคำตอบนี้ เขาแน่ใจว่า ถ้าเขาบอกให้มยุรีทำอะไร ก็เท่ากับเขาห้ามหล่อนเท่านั้น แต่มยุรีมีความชำนาญในทางนี้เป็นอย่างดี หล่อนเข้าใจซื้อของและเข้าใจประดับโต๊ะให้งดงาม สองสามวันก่อนวันเกิดหล่อนไปโน่นมานี่ซื้อของที่จะต้องใช้ เช่นผ้าเช็ดมือซ้อนส้อมที่ขาดไป อยู่บ้านก็เขียนบัตรเชิญเพื่อนยุ่งอยู่คนเดียว สองหรือสามครั้งที่ประสมอาสาให้ความช่วยเหลือ ทุกครั้งหล่อนมองดูเขาอย่างเย็นชา แล้วตอบเสียงแข็งว่า “ไม่ต้อง ขอบใจ”

เช้าวันงานเป็นวันศุกร์ มยุรีตื่นแต่เช้าก็ลงมือทำงาน ออกคำสั่งให้กิจการทุกอย่างตั้งแต่รายชื่อของรับประทาน จานชามช้อนส้อม เป็นการเหนื่อยมิใช่น้อย ที่จะต้องดูแลทุกฝีก้าวด้วยตนเอง และบางคราวต้องลงมือเองอีกด้วย ๑๑ ก.ท. มยุรีเริ่มรู้สึกเสียใจที่ได้คิดการนี้ขึ้น มันทำให้เหนื่อยและยุ่งใจ แต่มันสายเสียแล้ว มีเวลาอีกเพียง ๕ ชั่วโมงครึ่ง ที่จริงการจัดโต๊ะน้ำชาไม่เป็นของยากสำหรับผู้ที่ได้พบเห็นชำนาญมาแล้ว แต่ว่าแม้คำสั่งที่ออกไปจะถูกต้องดีแต่ผู้ฟังหาทำให้ถูกต้องไม่ วันนั้นมยุรีไม่ได้รับประทานอาหารกลางวัน มัวเดินไปโน่นมานี่ ขึ้นตกลงสนาม ไปครัว วนเวียนอยู่อย่างนั้นจนบ่ายสามนาฬิกากึ่ง การก็เสร็จเรียบร้อย กลางสนามมีโต๊ะกลมตั้งอยู่สามโต๊ะ เก้าอี้หวายตั้งอยู่รอบโต๊ะประมาณโต๊ะละ ๙-๑๐ ตัว บนโต๊ะมีผ้าปูซึ่งเย็บและถักอย่างประณีต แจกันปักดอกกุหลาบวางอยู่ ส่วนทางมุมสนามมีโต๊ะยาวใหญ่ บนนั้นมีจานและช้อนส้อมพร้อม เพื่อไม่ต้องลำบากกับคนใช้ ที่จะต้องไปยกมาจากครัวในเมื่อถึงเวลารับประทาน ผ้าขาวสะอาดคลุมภาชนะเหล่านั้นพ้นจากฝุ่นละออง มยุรีเหงื่อตก พอเสร็จแล้วหล่อนหันมายิ้มและถอนใจกับบิดา ซึ่งเดินตามดูหล่อนจัดอะไรต่ออะไรเรื่อยไป และนาน ๆ ก็ออกความเห็นอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ซึ่งบุตรีได้ยินบ้าง ไม่ได้ยินบ้าง พอหล่อนลดตัวลงนั่งพักเหนื่อยก็พอเห็นประสมซึ่งกลับจากห้างเดินเข้าประตูใหญ่มา

“เออ ! พ่อประสมไม่ยักมากินข้าวบ้าน” เจ้าคุณทักพลางเคาะยาออกจากกล้อง ประสมถอดหมวกออกแล้วเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก

“ที่ห้างนารีอาภรณ์มารับผ้า และเฉ่งเงินครับ กว่าจะเสร็จเรื่องก็เลยเวลาอาหาร ผมเลยไถลไปรับประทานที่ราชวงศ์” พูดแล้วเขาทอดสายตาไปทางสนามหญ้า

“เรียบร้อยไหม ? ” เจ้าคุณถาม “ช่วยติบ้างสิ”

“เท่าที่ความรู้ของกระผมจะเรียนได้นั้น คือว่าคุณมยุรีเป็นหญิงที่สมควรกับตำแหน่งแม่บ้านเป็นอย่างยิ่ง สังเกตดูตามความชำนาญที่เธอได้จัดการนี้” ประสมพูดยิ้มละไม

มยุรี ทอดตาดูสนาม กิริยาคล้ายไม่ได้ยินคำเยินยอนั้น แต่ภายใต้ขนตางอนงามมีแสงแห่งความชื่นชมฉายอยู่

ของที่หายากย่อมราคาแพง !

“แต่ถ้าใต้เท้า และคุณมยุรีจะให้อภัยกับผม” ประสมพูดต่อไป “บางที........ผมคิดว่า........โต๊ะ........ วันนี้เป็นวันเกิดของคุณไม่ใช่รึ”

มยุรีเงยหน้าขึ้น หล่อนพูดเร็ว “จริงแหละ เห็นจะต้องมีโต๊ะยาวอีกตัวหนึ่ง เพื่อน ๆ เขาคงไม่มามือเปล่า แต่ถ้ามีโต๊ะวางอยู่เฉย ๆ ดูออกจะน่าเกลียด”

“ถูกแล้ว ถ้าหาโต๊ะใหญ่ได้ก็เอามาตั้งแทน โต๊ะถ้วยชาม แล้วใช้ได้ทั้งสองอย่าง คุณเห็นเป็นอย่างไร ?”

มยุรีเห็นด้วย ถึงกระนั้นก็ยังเสียใจที่ประสมเป็นผู้นึกถึงโต๊ะของขวัญก่อนหล่อน สิบนาทีต่อมา ก็มีโต๊ะยาวใหญ่มาตั้งแทนโต๊ะเดิม โต๊ะสั้นสองตัวต่อกันเข้าก็กลายเป็นโต๊ะยาว แต่ยังคงขาดผ้าปู ประสมชักนาฬิกาออกจากกระเป๋าเสื้อ “สามโมงครึ่ง ไวท์เอเวยังคงเปิดอยู่ ถ้าคุณไว้ใจ ?”

มยุรีไม่ตอบว่ากระไร หันไปสั่งคนใช้ให้บอกรถออก แล้วตัวหล่อนเองวิ่งขึ้นไปบนตึก อึดใจหนึ่งหล่อนกลับลงมา หน้านวลผมหวีเรียบร้อย ก็พอดีรถแล่นมาถึงหน้ามุข ประสมเดินเข้ามาใกล้หล่อน ยิ้มแล้วพูดว่า

“คุณไม่สบายเสียละกระมัง แขกเขาจะมาสี่โมงครึ่ง คุณจะเอาเวลาที่ไหนแต่งตัว”

มยุรีสะบัดหน้า แล้วใช้สายตาคล้ายจะถามว่า “ธุระอะไรของแก”

ประสมไม่พรั่นคงพูดต่อไป

“ทำไมถึงรังเกียจที่จะให้ผมช่วยนัก คุณไม่มีความยุติธรรมเสียเลย เจ้าคุณท่านสั่งให้ผมช่วยคุณทุกอย่าง แต่คุณกลับกันท่าผมเสีย นี่เป็นส่วนหนึ่งของการแก้แค้นรึ ?”

“ฉันไม่ต้องการให้ใครมาเกี่ยวข้องกับเรื่องของฉัน” มยุรีพูดเสียงแข็ง “งานนี้เป็นงานวันเกิด ไม่อยากให้ศัตรูมาเกี่ยว”

ประสมหัวเราะ “อย่าดังนัก คนรถยืนอยู่ที่นั่น เจ้าคุณก็กำลังเดินมา มาเถอะคนสวยของผม เวลาจะไม่มีอยู่แล้ว” พูดขาดคำเขายกร่างมยุรีขึ้นวางบนบันได ตัวเองขึ้นไปนั่งที่คนขับเปิดเครื่อง ก่อนรถจะออกเขาชะโงกหน้ามาหาหล่อน ส่งเสียงลอดเสียงเครื่องจักรมาว่า “ไปแต่งตัวเสียเถอะ น่ากลัวผมจะมาถึงทีหลังนายละออเสียด้วยซ้ำ”

คำทายของประสมนั้นผิด ๔ โมงสิบห้านาที เขากลับถึงบ้าน ยังไม่มีใครมา ส่วนมยุรีได้ความว่ากำลังแต่งตัว เพราะฉะนั้นประสมจึงรับหน้าที่จัดโต๊ะ เรียบร้อยแล้วก็ไปเรือนวัตถุ สิ่งหนึ่งที่ประสมพบ ในขณะแรกที่เขาเปิดประตูห้อง คือบัตรแผ่นเล็กตัวอักษรไม่ค่อยงามอยู่ใต้ชื่อและนามตระกูลมีความว่า

เชิญนายประสม....? รับประทานน้ำชา วันนี้ ๔ โมงครึ่ง”

ประสมหัวเราะอย่างเบิกบาน “จริงซิ หล่อนไม่รู้ว่าเรานามสกุลอะไร” เขานึก

แขกของมยุรีล้วนแต่หนุ่มสาว หญิงโสด ชายโสด บ้านของเจ้าคุณไมตรี ฯ ในตอนเย็นวันนี้ดูราวกับป๊าร์กน้อย ๆ ล้วนแล้วไปด้วยเทพบุตรเทพธิดา แต่ละองค์ทรงโฉมต่างกัน ฝ่ายหญิงอายุ ๒๔ ปีลงมา ฝ่ายชายไม่เกิน ๓๕ ขึ้นไป ทั้งหมดล้วนแล้วไปด้วยนักเรียนได้รับการศึกษาอย่างสมสมัย ครบบริบูรณ์ มยุรียืนอยู่ริมสนามคอยรับผู้ที่ถูกเชิญ เจ้าคุณนั่งอยู่ที่เก้าอี้ มีประสมเป็นองครักษ์ เมื่อเพื่อนของมยุรีเดินมาทำความเคารพกับท่าน ท่านก็ทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม และตามวิสัยผู้มีความคิดสูง ท่านยอมพูดพร้อมกับชี้ที่ประสมว่า

“นี่หลานชายและผู้ช่วยของฉัน” ด้วยประการฉะนี้ ประสมก็ถูกแนะนำให้รู้จักกับทุก ๆ คน ที่มา ท่วงทีที่ยืนอยู่ข้างหลังเจ้าคุณ อาการมองผู้ที่ถูกแนะนำให้รู้จักกับเขา มยุรีอดลอบสังเกตไม่ได้ เขามิได้ทำตัวเป็นหลานเจ้าคุณเต็มที่ คือมีการเดินก๋า หรือคุยหัวเราะตามสบาย แต่การแสดงตนเป็นลูกจ้างของเขา ก็มีไว้ตัวอยู่ในที ราวเกือบ ๕ ชั่วโมง โต๊ะใหญ่ยาวซึ่งตั้งอยู่มุมสนามก็มีของขวัญวันเกิดวางอยู่จนเกือบเต็ม มยุรีรับของขวัญจากมือเพื่อนด้วยท่วงทีที่เหมาะ กล่าวคือมีสีหน้าแสดงความขอบใจที่เพื่อนมีความอารี แต่ไม่มีความลิงโลดตื่นเต้นในของที่ได้จนเกินงาม เวลานี้ทุกคนต่างนั่งลงที่โต๊ะใกล้ผู้ที่ชอบพอกัน เจ้าคุณ ประสมและมยุรี นั่งกันคนละโต๊ะ และเป็นธรรมดาที่โต๊ะมยุรีจะต้องมีนายละออแลน้องสาวอยู่ด้วย

“ใครนะเธอที่เจ้าคุณบอกว่าเป็นหลานท่านน่ะ” เพื่อนหญิงคนหนึ่งของมยุรีเอ่ยถามหล่อนขึ้น

มยุรีมองดูประสมกำลังส่งจานขนมปังให้กับสตรีสาวที่นั่งใกล้เขา หล่อนตอบดังพอที่จะให้เขาได้ยินเพราะเขาอยู่ใกล้หล่อน แต่คนละโต๊ะ

“เลขานุการของห้าง คุณพ่อจ้างมาสำหรับงานของท่านโดยเฉพาะ แต่เขามักยื่นมือเข้าเกี่ยวในกิจการมากกว่าหน้าที่เสมอ”

ประสมวางจานขนมปังลง หันมาทางมยุรีพูดเบาแต่ชัดถ้อยคำ “เช่นเกี่ยวแก่ตัวคุณเป็นต้น” แล้วเขายิ้มจ้องดูหล่อน ซึ่งมองผาด ๆ คล้ายกับแสดงความสนิทสนมอย่างยิ่ง

มยุรีหน้าชา ที่ได้เห็นกิริยาเขาเป็นเช่นนั้น ความตั้งใจของหล่อนก็เพื่อจะเสียดสีเขาต่อหน้าธารกำนัล ความอายเป็นชนวนก่อให้เกิดโทสะลุกง่ายที่สุด เมื่อเหยื่อของหล่อนกลับแว้งเอาเช่นนั้น จึงทำให้เดือด เคราะห์ดีละออซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เป็นแต่ได้ยินคำพูดของประสมเอ่ยขึ้นว่า

“มีนายสาวอย่างเธอมยุรี ใคร ๆ ก็ต้องอยากเกี่ยว ถ้าเป็นฉันจะไม่รับเงินเดือนเลย”

ขณะนั้น มีรถบูอิคสีเขียวแล่นเข้ามาดวงตาทุกคู่หันไปมองดู มยุรีลุกขึ้นยืนร้องว่า “แหมประภา! นึกว่าจะไม่มาเสียแล้ว ล่ามากเทียวเธอ”

ผู้ที่มาใหม่เป็นหญิงหนึ่งชายหนึ่ง หญิงขำ หน้ายาว จมูกโด่ง ชายมีเค้าหน้าคล้ายกันเห็นได้ว่า เป็นพี่ “เสียใจที่มาช้าไป” ประภาพูด กวาดตาไปรอบบริเวณสนาม “คนขับรถเป็นไข้ จึงต้องเหนี่ยวเอาคุณพี่มา หวังว่าเธอคงไม่รังเกียจ”

“ตรงกันข้าม” มยุรีตอบ “กลับยินดีเสียอีก เชิญนั่งที่นี่ซีคะ”

“ขอบใจมาก” หลวงประเสริฐสัมพันธ์ตอบ “เอ๊ะ! ฮัลโหล ! ประสงค์ใช่ไหม ? เขาร้องขึ้นเมื่อเห็นประสม ผู้กำลังจัดเก้าอี้ให้น้องสาวของเขา

มยุรีสะดุ้งเมื่อได้ยินคำว่า ‘ประสงค์’ หล่อนมองหน้าเลขานุการด้วยความประหลาดใจแต่ประสมมีสีหน้าเป็นปกติ เขายิ้มยื่นมือออกส่งให้ผู้ที่ทักเขาแล้ว “ประสม ใช่ นี่แกกลับมาตั้งแต่เมื่อไรกัน ท่านเลขานุการสถานทูต”

“สิบห้าวันวันนี้เอง การงานป่าไม้เป็นยังไงบ้าง ผ่าซี ห้าปีแล้วตั้งแต่เราไปดูโอเปอราที่ลอนดอนด้วยกัน แต่แกไม่เปลี่ยนแปลงเลย”

“ส่วนแกสมบูรณ์ขึ้นมาก เป็นขุนนางชั้นไหนแล้วล่ะ”

“อำมาตย์ตรีหลวงประเสริฐสัมพันธ์ กันอยากฟังเรื่องของแกมากกว่าอยากเล่าเรื่องของกัน จริง ๆ นะ”

“รอก่อน คุณหลวงครับ เห็นไหมเราพูดจนเกือบไม่หายใจ ทำให้ทุกคนตะลึง”

หลวงประเสริฐ ฯ หัวเราะ หันไปทางมยุรี “ขอโทษนะจ๊ะ ความดีใจที่ได้พบเพื่อนเก่าทำให้เผลอตัว

“นายประสม” มยุรีเอ่ยด้วยเสียงชาเย็น “ช่วยพาประภากับคุณหลวงไปหาคุณพ่อที”

ประสมก้มศีรษะให้ประภา เจ้าหล่อนลุกขึ้นเดินออกหน้าประเสริฐเดินเคียงไปกับเพื่อนเจ้าคุณปราศรัยกับสองพี่น้องแล้วจึงพากลับมาหามยุรี

“ขอบใจ” หลวงประเสริฐฯ พูด เมื่อมยุรีเชิญให้นั่งเป็นครั้งที่สอง แล้วหันมาหาประสมอีก “นี่แกพักอยู่ที่ไหนนะ ?”

ประสมชี้มือไปทางเรือนของเขา แล้วหันไปทางมยุรี พูดอย่างนอบน้อม “โปรดกรุณาให้ผมสนทนากับเพื่อนสักประเดี๋ยวจะได้หรือไม่”

มยุรีพยักหน้านิดหนึ่ง ซึ่งทุก ๆ คนที่นั่งอยู่ไม่เห็นว่าแปลก แต่ประเสริฐตีหน้าสนเท่ห์เป็นอย่างยิ่งเมื่อห่างจากคนทั้งปวงประเสริฐเอาแขนสอดแขนประสมพูดว่า

“ผ่าซี แม่เจ้าของบ้านทำไมทำท่ากับแกยังงั้นละประสงค์ ?”

“ประสม! กันชื่อประสมไม่มีนามสกุล ถ้าแกขืนเรียกชื่อกันผิดอีก กันจะหักคอเสียด้วย”

“บา! หักได้ซี ชีวิตของกันมันเป็นของแกมานานแล้ว ถ้าแกไม่ดันผ่าไฟเข้าไปในโรงละคร กันก็คงเสร็จอยู่นั่นเอง”

“เรื่องมันแล้วก็ให้แล้วไปเถอะ แกอย่าไปงัดเอามันขึ้นมาพูดให้ใครฟังเป็นอันขาดเทียวนะ ถ้าแกเห็นว่ากันเป็นเพื่อน”

“เออน่า และถึงกันจะสงสัยว่าเหตุไรแกต้องปิดบัง แต่กันก็ยังสงสัยในเรื่องที่แกลงกับแม่คนนั้นนักมากกว่า”

“ไม่ลงได้รึ หล่อนเป็นนายกันนี่นา กันรับจ้างเป็นเสมียนของเจ้าคุณไมตรี เดี๋ยวนี้ได้เงินเดือนเจ็ดสิบห้าบาทนั่นแน่”

“บ้าใหญ่ ! ก็เจ้าคุณพ่อของแกเป็นยังไรไปล่ะ ?”

“อยู่ดีกินดี แต่นี่แน่กันไม่ใช่แขก เป็นคนใช้ในบ้าน ต้องทำหน้าที่มาก กลับไปหาหล่อนไป๊”

ประเสริฐมองดูหน้าเพื่อนด้วยความหลากใจ “แกมีเรื่องพูดให้กันฟังเท่านี้แหละหรือเพื่อนรัก กันรู้สึกยังไงพิกล”

“มีเท่านี้แหละ แกอย่าวิตกไปเลยกันไม่ได้เป็นอะไรหรอก จริง ๆ นะ ฤกษ์งามยามดีเสียก่อน กันจะสาธกให้ฟัง วันนี้ยังไม่มีเวลา........นั่นแน่นายของกันมองดูประเดี๋ยวจะตาเขียวเอากันเข้า”

ในจำนวนแขกทั้งหมดที่มาในวันนั้น ประเสริฐกับน้องเป็นผู้กลับทีหลังที่สุด รถออกจากบ้าน ได้สักครู่ ประเสริฐจึงถามน้องสาวถึงความเป็นอยู่ของประสม

“เจ้าคุณไมตรี ท่านต้องการผู้ที่รู้ภาษาฝรั่ง และรู้จักการค้าขาย เจ้าคุณบำรุงจึงส่งนายประสมคนนี้มาให้ และเขาก็อยู่ในบ้านนั้น มยุรีบอกน้องเท่านี้ แต่ทำไมคุณพี่ถึงสนิทสนมกับเขานักล่ะคะ”

ประโยคสุดท้าย ประภาทำเสียงอ่อยคล้ายไม่พอใจ

“นี่แน่ะน้อง” ประเสริฐพูดขึงขัง “ถ้าหากว่าคุณพ่อถึงแก่กรรม คงมีน้องเหลืออยู่กับคุณน้าคนเดียวโดยไม่มีพี่ น้องจะดีใจหรือเสียใจ ?”

“โถ! คุณพี่! ช่างถามได้” ประภาพูดเสียงหวาน “เมื่อสิ้นคุณแม่และคุณพ่อแล้วคุณพี่เป็นยอดรักของน้องคนเดียว ถ้าหากไม่มีคุณพี่ เมื่อคุณแม่เสียแล้วคุณพ่อคงไม่เป็นธุระกับน้องเลย คงจะพะนอแต่คุณน้าเท่านั้น”

“ถ้าเช่นนั้น ไม่ต้องขายหน้าที่พี่เป็นเพื่อนกับเสมียนของห้าง รู้ไว้ว่าเขาช่วยพี่จากถูกไฟครอก”

“อุ๊ย จริงหรือคะ โธ่ ! ก็น้องไม่ทราบนี่ ตั้งแต่เมื่อไรกัน ?”

“ห้าปีกว่ามาแล้ว เมื่อพี่ถูกส่งไปเป็นเลขานุการสถานทูตใหม่ ๆ ประสมยังเป็นนักเรียนอยู่ที่เมืองฝรั่งเศส เขาข้ามมาลอนดอนและได้พบกับพี่ เราเคยอยู่โรงเรียนบางขวางด้วยกัน พบกันเข้าก็ดีใจ ไปกินข้าวด้วยกันหลายหน วันหนึ่งไปดูละคร ไฟฟ้าลุกขึ้นไหม้ฉากเลยลามเอาตัวโรง เป็นเวลาหยุดพัก ประสมออกไปข้างนอก ที่อยู่บนที่นั่งชั้นสูงใกล้ทางออกด้วยซ้ำ แต่อารามตกใจ ลงบันไดเท้าพลาด แล้วถูกเบียดด้วย เลยขาดันเข้าไปขันลูกกรงออกไม่ได้ ข้างประสมยืนอยู่ข้างนอก ไม่เห็นพี่ออกไปก็นึกเอะใจว่าคงจะเป็นอะไรสักอย่าง คนที่นั่งไกลทางออกยังออกกันได้หมด เขาก็ดันผ่าไฟที่กำลังติดม่านกินไม้เข้าไป ดึงกันอยู่นานเขาถึงได้หลุดออกมาได้ แหมน้องเอ๋ย พอลอดช่องประตูออกมาได้ ลูกกรงไม้ก็พังโครมทีเดียว”

ประภาตัวสั่น ประเสริฐพูดต่อไป “นี่แหละน้อง การที่คบคนดีมันเห็นคุณ ประสมกล้าผ่าไฟเข้าไปช่วยพี่ เราทั้งสองก็รอดออกมาได้ เขาก็ได้พี่เป็นเพื่อน ถ้าโดนคนขลาดพี่ก็ตายเปล่าอยู่ที่นั่นเอง

ฝ่ายทางบ้านพระยาไมตรีพิทักษ์ การรับประทานอาหารค่ำเสร็จลงแล้ว มยุรีรู้สึกว่าร้อนให้อึดอัดใจจึงออกมานั่งที่หน้ามุข ทิ้งให้เจ้าคุณสนทนาอยู่กับเลขานุการสักครู่ใหญ่ ๆ เจ้าคุณขึ้นห้อง ประสมก็ออกมาข้างนอกบ้าง เขานั่งลงบนบันไดใกล้มยุรี ต่ำกว่าหล่อนขั้นหนึ่ง แล้วส่งห่อกระดาษสี่เหลี่ยมให้พลางพูดว่า “นี่ของขวัญสำหรับวันเกิด”

มยุรีพูดโดยไม่ดูของหรือดูหน้า ทอดสายตาจับอยู่ที่สนาม “ขอบใจ แต่ฉันไม่ต้องการ”

“ตามใจ แต่บางทีคุณยังไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในนี้”

มยุรีนิ่ง ประสมวางห่อนั้นไว้ข้างหลังแล้ว เอนกายพิงบันไดเหยียดเท้าไปตามขั้น

“ขออนุญาตสูบบุหรี่ได้ไหม ? - ขอบใจคุณ” เขาถือเอาการนิ่งเป็นคำตอบ หยิบบุหรี่ออกสูบ “คุณไม่พูด! เอ! ทำไมนะ ? นึกถึงอะไรเอ่ย-นึกถึงของขวัญชนิดไหนหนอ คุณวางท่ารับแขกดีมากเป็นเอก ถึงกระนั้นก็ยังงามสู้เวลาออกคำสั่งนายประสมไม่ได้ สังเกตดูนางสาวประภาออกจะไม่พอใจ ที่พี่ชายมารู้จักกับตัวอะไรตัวหนึ่ง น้องสาวเป็นเพื่อนรักของนายแต่พี่ชายกลับมาเป็นเพื่อนกับบ่าว” แล้วเขาหัวเราะเบาๆ

มยุรีเดาความหมายในคำพูดของเขาไม่ถูก แต่หล่อนเสียวใจพิกล การที่หล่อนใช้วาจาและกิริยากับเขาอย่างนั้น เป็นทางทำให้คนดูถูกเขาหรือ เขาน้อยใจในฐานะเขาเองหรืออย่างไร มีสิ่งหนึ่งคล้ายความสงสารเกิดขึ้นในใจ หล่อนจึงพูดว่า

“ทำไมถึงจะไม่พอใจ ในสมัยนี้ทุก ๆ คนต้องทำงาน ผู้ดีหรือไพร่ก็เหมือนกัน”

ขณะนี้ ถ้าความสว่างมีพอ มยุรีจะได้เห็นอะไรอย่างหนึ่งในดวงตาประสม

“หลวงประเสริฐเป็นนักเรียนอังกฤษแต่นายประสมเป็นนักเรียนฝรั่งเศส ทำไมจึงสนิทสนมกัน ราวกับได้อยู่ด้วยกันเป็นเวลานาน” หล่อนถามต่อไป

“ไม่มีอะไรมาก ผมเป็นนักเรียนไปเที่ยวลอนดอน ประเสริฐทำราชการได้เงินเดือนแล้ว ทั้งเจ้าคุณพ่อเขาก็มั่งมีมาก เขาเลี้ยงข้าวผมหลายอิ่ม ก็เลยชอบกัน”

มยุรีถอนใจ ประสมเงยหน้าขึ้นมองดูหล่อน นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง “หมู่นี้ดูคุณไม่สบายใจ อาทิตย์นี้ยังไม่เห็นไปเที่ยวกับนายละออสักครั้ง มีเรื่องอะไรหรือ หรือเกลียดเลขานุการมากนักเลยเป็นโรคกลุ้ม”

มยุรีไม่ตอบว่ากระไร หล่อนไม่มีอะไรจะตอบ หล่อนจะบอกเขาได้หรือว่าการที่หล่อนกลุ้มใจนั้น ไม่ใช่เพราะเกลียดเป็นเพราะกลัวต่างหาก กลัวว่าความรู้สึกที่มีอยู่เวลานี้จะกลายเป็นความรักขึ้น

“เดือนหงาย” ประสมพูดขึ้น “ถ้ามีคู่รักสักคนก็จะเช่ารถสักคัน พาเจ้าหล่อนไปชมเดือนเล่น เคยได้ยินเขาพูดกันว่าชมจันทร์กับสาวทำให้เบิกบานใจดีนัก-แต่เมื่อไม่มีคู่รัก-เพราะฉะนั้นลาที”

พอประสมคล้อยหลัง มยุรีก็ฉวยหอวัตถุวิ่งเข้าหาแสงไฟที่อยู่ใกล้ที่สุด รีบแก้ห่อออกดูด้วยความอยากรู้ มีผู้เคยกล่าวว่า “ความสอดรู้สอดเห็นกับสตรีเพศนั้นรวมเป็นอันเดียวกันได้” เพราะฉะนั้นเมื่อมยุรีเห็นประสมลุกขึ้นโดยไม่เหลียวมาดูของที่วางไว้ข้างหลัง ท่านคิดดูถีหล่อนจะทำอย่างไรดีกว่านั้น

ด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง มยุรีได้เห็นรูปถ่ายขนาด ๖ นิ้ว เห็นได้ชัดว่า ถ่ายนานแล้วด้วย น้ำยาออกจาง แม้กระนั้นก็ไม่ยับเยินยู่ยี่หรือปรุแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นรูปของเด็กสองคน เด็กหญิงแก้มเป็นพวง หน้าแป้น ตากลม จมูกรั้นเล็กน้อย สวมกระโปรงอย่างเด็กฝรั่ง นั่งห้อยเท้าบนโต๊ะกลม มือทั้งสองประสานกันบนตัก คอเอียงมาทางซ้ายเล็กน้อย พอดีจรดกับศีรษะของเด็กชายซึ่งยืนชิดกัน แขนขวาของเขาโอบรอบตัวแม่หนูน้อยและใช้ตักของหล่อนเป็นที่วางมือ ทั้งคู่ยิ้มอย่างน่าเอ็นดู แต่เด็กชายซึ่งน่าจะแก่กว่าเด็กหญิงสัก ๔-๕ ปีนั้น มีแววตาซึ่งแลดูเลื่อนลอยคล้ายยามฝัน มยุรีพิศดูด้วยความเอาใจใส่รูปนั้น โดยไม่รู้ว่าเป็นรูปใคร ก็ยังสะกิดใจหล่อนอย่างประหลาด หล่อนพิศแล้วพิศอีก พยายามเดาว่ามันแปลว่าอะไร เพราะเหตุใดประสมจึงเอามาให้หล่อน เอ๊ะ ! เด็กหญิงนั้นคือตัวหล่อนเองกระมัง ? มยุรีสังเกตเห็นเค้าหน้าว่าเหมือนรูปของหล่อนที่ถ่ายเมื่อแรกไปอยู่ที่สหปาลีรัฐอเมริกา ส่วนเด็กชาย ? ต้องเป็นประสงค์ แน่นอนไม่ผิด ห้อยคออักษรไขว้ที่คอเขาก็คืออันที่หล่อนมีอยู่นั่นเอง ที่จริงเมื่อก่อน ล่อนใช้แขวนคอเสมอ แต่นับตั้งแต่หล่อนทราบว่ามันเป็นของหมั้น หล่อนก็เลยรังเกียจและโยนมันเข้าตู้เสียโดยไม่ใยดี มยุรีนั่งลงบนเก้าอี้นวมตาจับจ้องดูรูป หัวคิดก็เริ่มทำการวิ่งไปวิ่งมา ประสงค์ ประสม ประสม ประสงค์ สองชื่อนี้ วนไปเวียนมานาน ๆ มีละออแทรก แต่ผู้คิดมักทำหน้าเบื่อหน่าย ชายคนนี้รู้จักกับหล่อนเป็นคราวแรกในเรือกลไฟที่นำหล่อนจากฮ่องกงมาสู่สยาม เขาเป็นผู้ศึกษาที่อเมริกา และมยุรีย่อมโอ๋ทุกคนที่เคยติดต่อกับชนชาวโลกใหม่ เหตุฉะนี้เขากับหล่อนรวมทั้งน้องสาวของเขาจึงสนิทสนมกันทั้งสองคนเคยไปเที่ยวเล่นด้วยกันเสมอ บางทีมีพยอมไปด้วย แต่บางทีก็สองต่อสอง ละออแสดงอย่างเปิดเผยว่าเขาบูชาแม่สาวน้อย แต่ส่วนหล่อนเล่า ใครเลยจะสามารถหยั่งน้ำใจผู้หญิงได้โดยที่ตัวหล่อนเองก็หยั่งใจตัวเองไม่ถูก บางคราวน้ำใสใจจริงของหล่อนรัก แต่มีอะไรอย่างหนึ่งในตัวหล่อน ไม่ยอมสารภาพ บางคราวใจไม่รักแต่กริยาอาการย่อมสุภาพอ่อนหวานทำให้ชายตายใจ เหตุฉะนั้นการที่จะบ่งลงไปให้เด็ดขาดว่ามยุรีรักนายละออหรือไม่ จึงเป็นของเป็นไปไม่ได้เอาทีเดียว

ตอนเช้าคำแรกที่เลขานุการพูดกับนายสาวก็คือ

“เมื่อคืนผมวางของทิ้งไว้ที่ตรงเรานั่งกันเช้านี้ถามใครก็ไม่มีใครเห็น ไม่ทราบว่าหายไปไหน ผม กลัวใครจะกวาดทิ้งใต้ถุนเสียก็ไม่รู้”

มยุรีหน้าแดง หล่อนตีหน้าขรึมอย่างเคย และพูด

“ฉันเห็นมันทิ้งอยู่ก็เลยเก็บขึ้นไปบนห้อง !”

“โอ ! ดีจริง ! ขอบคุณที่สุด ผมวิตกเสียแย่ทีเดียว ของรักอย่างกับดวงใจ”

“ยังไงหรือ ?” มยุรีถามเรื่อย ๆ “แล้ว....แล้ว ทำไมถึงมาบอกว่าจะให้ฉันล่ะ ?”

“ก็เพราะทราบว่าคุณจะไม่รับน่ะซี ว่าแต่ของนั้นอยู่เรียบร้อยดีหรือ ?”

ซ่อนความผิดหวังและน้อยใจไว้ภายใน มยุรียกศีรษะไว้ด้วยอาการไว้ยศ

“นายประสม คงไม่คิดว่าฉันจะฉีกมันเล่นไม่ใช่หรือ ?”

“ฉีก ! เหตุใดคุณจึงรู้ว่าการที่จะทำลายวัตถุนั้นจะต้องใช้กิริยาที่ตรงกับคำว่า ‘ฉีก’ คุณแก้มันออกดูกระมัง”

“ฉันบอกหรือ ?” มยุรีตวาดเสียงเขียว พร้อมกันนั้นเลือดขึ้นหน้าจนร้อนฉี่ “ฉันหมายความว่าฉีกกระดาษที่ห่อ”

“อ๋อ! กระนั้นดอกหรือ ?” ประสมยานคาง พูดพลางหัวเราะ “แต่ผมคิดว่าความสอดรู้นั้นเป็นคุณสมบัติพิเศษของสตรี”

อีกครั้งหนึ่งมยุรีสะบัดหน้า แล้วดูเหมือนสะบัดก้นด้วยเพื่อลุกขึ้นไปบนตึก

ครู่หนึ่งหล่อนกลับลงมาพร้อมกับเจ้าคุณ ในมือถือห่อกระดาษสี่เหลี่ยม หล่อนส่งให้เจ้าของโดยไม่ดูหน้า ส่วนเขายิ้มละไมในเมื่อรับของนั้นมาใส่กระเป๋าเสื้อ

เจ้าคุณพูด “พ่อประสม วันนี้ฉันไม่ไปทำงานละ นี่ลูกกุญแจลิ้นชัก เมื่อคืนนี้นอนไม่หลับเลย”

“ใต้เท้าปวดศีรษะหรือขอรับ ?”

“ฮึ่! แต่ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็หาย มยุรี เมื่อคืนลูกก็นอนไม่ค่อยหลับเหมือนกันกระมัง พ่อตื่นขึ้นทีไรเห็นไฟห้องเจ้าเปิดทุกที”

“ค่ะ ร้อนจัดเหลือเกินเมื่อคืนนี้” มยุรีรับ

“ที่ห้องกระผมสบายมาก ลมพัดเรื่อยตลอดเวลา ตอนดึกเกือบจะหนาวด้วยซ้ำ” ประสมพูด แล้วชำเลืองดูมยุรี หล่อนไม่ทันเห็นสายตาของเขา เพราะกำลังเดินไปที่โต๊ะอาหาร

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ