ถึงเวลานัดประสมแต่งกายเสร็จแล้วเข้าไปในห้องนั่งเล่นของเจ้าคุณ พบท่านนั่งสบายอยู่คนเดียว

“พ่อประสมจะไปไหน ?” ท่านถาม

“คุณมยุรี บัญชาให้ผมเป็นผู้นำทางไปบ้านหลวงประเสริฐ” ประสมตอบอย่างนอบน้อมตามวิสัย

“เมื่อไรกัน ?”

“คุณมยุรีบอกว่า จะออกจากบ้านทุ่มสิบห้านาทีขอรับ”

“อ้าว! แล้วไม่กินข้าวเสียก่อนรึ ? เอ๊ะ นี่ยังไงกัน ? ไม่เห็นบอกเล่ากันเลย”

เสียงประตูเปิด มยุรีแต่งตัวสีน้ำเงินอ่อนจี๊ดทั้งตัวเดินเข้ามา ในมือถือผ้าห่มเสวตเตอร์อย่างบาง สีน้ำเงินเหมือนกัน

“ลูก จะไปรับประทานข้าวที่บ้านหลวงประเสริฐค่ะ” หล่อนรีบพูดมิทันให้บิดาถาม “ลูกว่าจะ เรียนคุณพ่อตั้งแต่เมื่อเย็น มัวยุ่งเรื่องอื่นเสียเลยลืม”

“เออ! เจ้ามันดีหนักเข้าทุกที” เจ้าคุณดุโดยไม่มีความโกรธในดวงหน้า “ถึงทีบอกพ่อละก็ลืม ถึงทีจะไปทำไมไม่ลืมล่ะ”

มยุรีเดินอ้อมมาข้างหลังท่าน ยกมือโอบคอ หล่อนพูดเสียงหวาน

“โถ! คุณพ่อต้องรับประทานข้าวคนเดียว ลูกจะไปดูหนังมาฝากนะคะ พรุ่งนี้ลูกจะเล่าให้ฟัง”

“เออ! ไปไหนก็รีบไปเถอะ เดี๋ยวเพื่อนเขาจะคอย”

มยุรีเอียงแก้มให้ท่านจุมพิตแล้ว หล่อนก็จูบท่านบ้าง เจ้าคุณลุกขึ้นเดินตามมาดูลูกสาวขึ้นรถ ประสมทำหน้าที่องครักษ์เปิดประตูรถส่งแม่เจ้าประคุณขึ้น แล้วก็จะไปนั่งกับคนขับ

“อ้าว! ทำไมไม่นั่งกับน้องข้างในล่ะ” เจ้าคุณตะโกนถาม “นั่นแน่น้องเขาเรียก”

ประสมจำไม่ได้ว่าได้ยินเสียงมยุรี แต่เมื่อเหลียวไปดูก็เห็นหล่อนขยับที่ให้ แล้วพูดครึ่งเสียง

“นั่งข้างในนี่ซิ นายประสม”

เขาทำตามสั่ง พอรถเคลื่อนที่ มยุรีส่งจูบให้บิดาด้วยกิริยาแช่มช้อย ทำให้ท่านยิ้มด้วยความเอ็นดู

บ้านหลวงประเสริฐ ฯ เป็นตึกย่อม ๆ ทรวดทรงโปร่ง ปลูกอย่างทันสมัยเจี๊ยบ รถแล่นเข้าไปถึงหน้าตึก พบเจ้าของบ้านยืนอยู่ทั้งคู่ พี่นุ่งผ้าม่วงสีเขียวแก่ และสวมเสื้อแพรสีนวล ๆ ประภาแต่งเขียวเหมือนกัน ผมทรงชิงเกิลหวีไว้เรียบร้อย ดวงหน้ายาวของหล่อนนวลละออน่าเอ็นดู ทั้งสองพี่น้องแสดงความยินดีและต้อนรับอย่างสนิทสนม

“ยินดีมากที่มา” ประเสริฐพูดกับมยุรี “หวังว่าเธอจะชอบบ้านของฉัน และกับข้าวก็คงจะถูกปากเธอทั้งสองคน วันนี้น้องประภาลงไปทำเองทีเดียว มยุรีมองดูประสมคล้ายจะบอกว่าเป็นหน้าที่ ของเขาจะกล่าวคำขอบใจ แต่ครั้นเขาคงนิ่งอยู่ หล่อนจึงว่า

“ขอบใจมากประภา อุตส่าห์ลำบากเพราะฉัน-หรือ ?”

“อ๋อ ก็แน่ละเธอ เรากินกันสี่คนเท่านั้น ไม่มีคนอื่น” ประภาตอบเรื่อย ๆ

“ถ้าจะพูดที่จริง เชิญคนมาสองคน แล้วตั้งใจทำให้สำหรับคนเดียว ดออกจะไม่ยุติธรรม จริงไหมน้อง ?” ประเสริฐค้านยิ้มมองดูหน้าเพื่อน “แต่ว่าเราไม่อยากจะขาแข็งละก็เชิญเข้าไปในห้องรับแขกเห็นจะดีกระมัง” พูดแล้วเขาก็เดินไปเปิดประตูห้องหนึ่ง ทำให้เห็นภายในนั้นมีแสงสว่างเป็นนวลสีน้ำเงินจาง ๆ ฝาทาสีน้ำเงินอ่อน ส่วนพื้นทำด้วยไม้สักขัดมันเป็นเงา เครื่องแต่งห้องมีโต๊ะเก้าอี้ทำด้วยไม้พยุง หลวงประเสริฐ ฯ พามยุรีไปนั่งเก้าอี้นวมยาวกลางห้อง ตัวเขานั่งลงข้าง ๆ ประภาเดินเคียงประสมดูรูปที่ติดตามฝา

“เธอคิดว่า เราควรจะดูหนังที่โรงไหนดี ?” หนุ่มเจ้าของบ้านถามหญิงสาว

มยุรีหัวเราะ “เห็นจะต้องปรึกษาประภา” หล่อนว่า “ดิฉันไม่ได้เอาใจใส่โปรแกรมภาพยนตร์มานานทีเดียว”

“นั่นเป็นนิสัยของผู้มีอิสระเต็มที่ เวลาเป็นของตนแต่ผู้เดียว ไม่ชอบใจที่นี่ย้ายไปที่โน่น คืนละห้าหกโรงก็ได้ใช่ไหมจ๊ะ ?” หลวงประเสริฐ ฯ ยิ้มถาม

มยุรีสะดุดใจ นึกจะหาคำตอบให้เหมาะก็พอ เขาหันหน้าไปทางประภา

“นั่นน้องจะไม่ให้ประสมนั่งหรือยังไงนะ มาทำความตกลงที จะไปดูหนังโรงไหนกันประสม นั่นแกดูอะไร อ้อ ! รูปประภานั่นเอง สวยไหม ? ถ่ายเมื่อปีกลาย กันใส่กรอบมาจากอังกฤษ”

“กันกำลังบอกคุณประภาว่าสวยเหมือนตัว แต่เธอค้านว่าเธอหาสวยเท่านั้นไม่”

“นั่นเป็นการถ่อมตัว” ประเสริฐว่า “หญิงสวยมักถ่อมตัวเก่ง และสิ่งนั้นทำให้หล่อนงามยิ่งขึ้น”

“คุณหลวงออกจะมีความรู้กว้างขวางในทางนิสัยของพวกเรา” มยุรีพูด

“ฉันหรือ ?” ประเสริฐถาม ทำเป็นไม่รู้เท่าว่าถูกเหน็บ “มิได้เลย ข้อเดียวที่ฉันรู้ก็ที่พูดไปแล้วเมื่อกี้ ใครเลยจะเรียนรู้ใจของสตรีได้ตลอด นักประพันธ์คนหนึ่งเคยเขียนว่า ‘สตรีคือตัวความลับ’ ว่ากันที่จริงเราผู้ชายมักโง่เขลา”

“เพราะเหตุนั้น เขาจึงเหมาว่าเราเป็นเจ้ามารยากระนั้นหรือคะ ?”

“เธอแปลความหมายของเขาดังนั้นหรือ แต่คนที่มีความลับไม่จำเป็นจะต้องเป็นเจ้ามารยาไปทั้งหมด”

“ฉันชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับน้ำใจและนิสัยของเพศเรา” ประภาพูด นั่งลงใกล้มยุรี “บางทีมันตรงกับใจเราอย่างน่าขัน ในการสนทนา ถ้ามีใครพูดถึงเรื่องนั้นฉันเป็นชอบฟัง ถ้าเขาพูดผิด....”

“ก็โห่ส่ง ยังงั้นซี! พี่เห็นจะต้องลาขี้เกียจจะถูกโห่ แน่ะประสม สุภาพสตรีทั้งสองนี้ชอบฟังพูดถึงเรื่องเพศหล่อนเอง แกเคยมีความรู้กว้างขวาง ขยายออกมาบ้างซี”

ประสมเดินมานั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งตรงหน้าสาวทั้งสอง ดวงตาดำวาวมองดูมยุรี แล้วเลยไปจับที่หน้าประภา เขาพูดเสียงเป็นกังวานประหลาด

“เราผู้ชายต้องเต็มใจที่จะปฏิบัติตามความประสงค์ของแม่เทพธิดาทุกเมื่อ แต่ในฐานะเช่นฉัน สตรีที่ได้พบก็สูงเกินตาเกินสมองไป เพราะฉะนั้นฉันจึงพูดอะไรไม่ได้เลย”

ความไหวของมยุรีบอกหล่อนว่าคำพูดนั้นหมายถึงใคร ดวงหน้าหล่อนแดงเรื่อขึ้น ขณะนั้น คนใช้นุ่งผ้าสีน้ำเงินสวมเสื้อชั้นนอกเข้ามาบอกว่าอาหารพร้อมแล้ว ประเสริฐลุกขึ้นเดินนำหน้าพาไปห้องรับประทาน เขานั่งใกล้กับมยุรี ประสมกับประภานั่งใกล้กันต่างคนคุยกันอย่างร่าเริง ประเสริฐเป็นคนคุยอย่างสนุก พูดเพราะ ฟังไม่ขัดหู ประภามักมองดูพี่ชายอย่างภูมิใจ ส่วนมยุรีวางท่าอย่างเหมาะตามเคย ดวงตาคมปลาบนั้นเหลือบไปมา บางคราวส่งแสงราวจะแย่งความสว่างของไฟ หล่อนพูดว่า

“นานแล้ว ไม่ได้รับประทานอาหารมากเท่าวันนี้” แล้วติดตลก “เสียดายท้องเล็กไปไม่พอกับปาก รู้ยังจะอดข้าวเสียแต่กลางวัน”

เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง การรับประทานจึงเสร็จลง พากันกลับมายังห้องรับแขก มยุรีถามหลวงประเสริฐ ฯ เมื่อแลเห็นปีอาโนอันใหญ่

“คุณหลวงเล่นปีอาโนได้หรือคะ ?”

“ตายละไม่ได้สักอย่างเดียว ขึ้นชื่อว่าดนตรี แต่แปลกไหมเธอฉันชอบเต้นรำ ประภาแน่ะเล่นได้ แล้วเธอเองล่ะ ?”

“ได้เหมือนกันค่ะ แต่ไม่ดี”

ประสมเดินไปที่ประภานั่งอยู่ มือถือบุหรี่ไขว้ไว้เบื้องหลังเขาน้อมศีรษะลงพูดอย่างอ่อนหวาน

“โปรดลองสักเพลงได้ไหม ?”

ประภาเอียงอาย หล่อนตอบ “ต๊าย ดิฉัน เล่นไม่เก่งหรอกค่ะ มยุรีแน่ะ....”

“อือ ได้หรือ เธอเป็นเจ้าของบ้าน” มยุรีค้าน

“ถูกของมยุรี” ประเสริฐเสริม “เอาหน่อยน่าน้อง อย่าอายเลยกันเองทั้งนั้น”

“โธ คุณพี่คะ ล้วนแต่น้ำเค็มกันทั้งนั้น จะ ให้น้องขยายเปิ่นเดี๋ยวหัวเราะเยาะกันตาย”

“เธอเล่นเพลงไทยได้ไหม” ประสมถาม

“ได้” ประเสริฐตอบแทน “ว่าง่ายหน่อยนะน้อง เดี๋ยวแขกของเราจะน้อยใจ”

“โปรดเล่นเพลงไทยให้ฉันฟังสักเพลงเถอะ” ประสมพูด เดินไปเปิดฝาปิอาโนขึ้น

ประภาต้องยอม หล่อนลุกขึ้นด้วยความไม่เต็มใจ นั่งลงที่ม้าเล็กแล้วลองเอานิ้วดีดปีอาโนดู ประสมเห็นหูหล่อนแดง เขายิ้มอย่างน่าเอ็นดู

“อายฉันรึ เสียใจจริง ไม่ควรอายเลย ประการที่ ๑ ฉันเล่นดนตรีไม่เป็น ๒ ฉันรักพี่ชายเธอมากย่อมจะไม่เยาะเย้ยน้องของเขา หรือแม้แต่นึกค่อนในใจ เชื่อฉันเถอะ”

ประภาหัวเราะคิก ๆ “ขอบใจค่ะ ดิฉันจะเล่นละ อย่าดูมือซีคะ”

“ตายจริง !” ประสมอุทานแกมหัวเราะ “ยังมีการห้ามดูกันอีก เล่นเถอะ ฉันจะไปนั่งทางโน้น”

ประภาเริ่มดีดเพลงลาวดำเนินทราย แรกลงมือหล่อนดีดพลาดผิดจังหวะมากกว่าหนึ่งหน แต่ครั้นเล่นไปความกระดากค่อยคลายลงความสนุกเกิดขึ้นแทนที่ เสียงดนตรีที่ดังขึ้นจึงเรื่อยเจื้อยและมีลูกขัดเก๋ ๆ ทำให้เนื้อเพลงคึกคักและร่าเริงขึ้น เพลงจบลงก็มีเสียงคนตบมือ แล้วประสมถามประเสริฐ เบา ๆ

“น้องแกเล่นเครื่องสายไทยได้บ้างไหม ?”

“ไม่ได้เลย สมัยใหม่เจี๊ยบ เล่นเป็นแต่เปียโน” เพื่อนของเขาตอบ

“ก็ยังดี หล่อนเล่นเป็นเพลงได้”

ประภาเดินมาใกล้มยุรี ผู้ถูกกล่าวนามข้างหลังพูด

“แม่เรือนดีแท้ พื้นกระดานห้องมันสะอาด”

“เต้นรำได้ไหม ?” ประภาถาม เอารองเท้าส้นสูงถูกระดานไปมา

“เออ! พูดถึงเต้นรำ” ประเสริฐพูดเสียงดังคล้ายตกใจ “นี่แน่ะน้อง ผู้ชำนาญเต้นรำแทงโกฝรั่งเศส - ประสม น้องกันใจตรงกับแกชอบแทงโกเหลือเกิน ได้เห็นคนฝรั่งเศสคนหนึ่งเต้นที่โฮเต็ลพญาไทชอบอกชอบใจใหญ่ น้องถ้าเห็นประสมเต้นจะลิงโลด

“เพ้อเจ้อละ” ประสมขัด “คุณประภาถ้าฟังพี่ชายเธอกล่าวขวัญถึงฉันละก็ อย่าลืมเอาห้าหารเสียก่อน”

ประภาหัวเราะ ประเสริฐขึ้นเสียง “อย่าเชื่อเขาน้อง มองสิเออร์ท่านถ่อมตัวของท่านนะ หนหนึ่งในอังกฤษ เราไปคลับด้วยกัน มองสิเออร์ได้เต้นรำแทงโกอย่างฝรั่งเศสกับหญิงสาวปารีสได้คู่กันเหมาะ เล่นเอาแม่พวกแซนด์วิช มองตาค้างตาม ๆ กัน เป็นความจริง ประสมเต้นรำได้งามมาก”

ประโยคสุดท้ายเขาพูดกับมยุรีเสียงหนักแน่น ดุจจะบังคับให้หล่อนเชื่อ

มยุรีลืมซ่อนความประหลาดใจ หล่อนเบิกตากว้าง ประสมน่ะรึเต้นรำงาม หล่อนนึกว่าเขาเป็นเหมือนไม้ซุงชนิดแข็งและหนัก แต่ว่ามีจิตใจและวิญญาณอยู่ภายใน จึงมีการเคลื่อนไหว หรือไม่ก็ฤาษีเค็ม ๆ อะไรตนหนึ่ง เข้มงวด กระด้าง หล่อนพิศดูเขาตั้งแต่รองเท้าดำขัดเป็นเงา จนถึงเส้นผมดำขลับหวีเลยขึ้นไป ประภาก็ตื่นไม่น้อยกว่าเพื่อนของหล่อนมากนัก

“เอ๊ะ ! สุภาพสตรี ฉันทำความประหลาดใจให้มากทีเดียวหรือ” ประเสริฐร้อง “อะไรท่านนึกว่าเพื่อนของฉันคนนี้เป็นตัวอะไร ? ประสมแกต้องเต้นกับน้องสาวกัน มิฉะนั้นสุภาพสตรีเหล่านี้จะหาว่ากันกุ ประภาหัดกับกันทุกวันเต้นเกือบได้ดีแล้ว เอาหน่อยน่ะ”

ประสมผุดลุกขึ้นยืน หน้าแดงด้วยความกระดาก เขายิ้มคล้าย ๆ เด็กขี้อาย เป็นอาการยิ้มที่มยุรีเคยเห็นเป็นครั้งแรก

“ผ่าซีประเสริฐ แกจะให้กันเป็นตัวตลกสำหรับหัวเราะกันเล่นหรือ ? กี่ปีแล้วรู้ไหม ? กันไม่เคยได้เต้นรำเลย”

“อ๋าย เป็นอะไรไปนะ แกเคยพูดว่าเพลงเต้นรำอะไรก็ดี ต่อให้ไม่เคยได้ยิน พอหูได้ฟังเข้า ใจเป็นลิงโลด พาเท้าไปตามจังหวะได้ทีเดียว เฉพาะเพลงแทงโก ก็เคยเป็นปราชญ์ จะลืมได้เทียวหรือ นี่แน่น้องถ้าจะเรียนอะไรให้ได้ดีต้องมีครูที่ดี ในเมืองไทย พี่คิดว่าไม่มีใครเต้นเก่งกว่าประสม นาน ๆ จึงจะมีโอกาสสักที ต้องเอาให้ได้” ประเสริฐพูดแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปที่หีบเสียงจัดแจงไขลานแล้วเลือกเพลงแผ่นที่มีเพลงแทงโกใส่ ขณะนั้นประสมหน้าแดงยิ่งขึ้น เขามองดูประภาเป็นเชิงปรึกษา หล่อนก็มองดูเขาเช่นเดียวกัน ในที่สุดเขาพูดขึ้น

“เธอจะ - เธอไม่ - ไม่รังเกียจหรือ ?” ประเสริฐยืนอยู่ข้างหลังประสม ทำอาการคำนับอย่างผู้หญิง พลางพยักเพยิดกับน้องสาว มยุรีหัวเราะในใจนึกอยากดูก็อยาก ไม่อยากให้เต้นก็ไม่อยาก ขณะนั้น ประภาทนการคะยั้นคะยอของพี่ชายไม่ได้ก็ขอให้ประสมเป็นคู่หัดให้หล่อน ชายหนุ่มคอตกเกือบจะถอนใจออกมาดัง ๆ แต่เขาก็ทำตาม แขนโอบรอบร่างประภา พาหล่อนก้าวเท้าไปตามจังหวะ สองสามนาทีผ่านไป ความทะยานใจก็เกิดขึ้น ประสมพาร่างอันแบบบางเลื่อนเลี้ยวไปช้า ๆ ด้วยท่าอันนุ่มนวล ร่างสูงไหล่กว้างที่ก้าวเนิบ เหมาะเจาะกันน่าดูยิ่งนัก ศีรษะของประสมก้มลงเล็กน้อย เขาพูดอะไรเบา ๆ ประภาเงยหน้าขึ้นดูเขา ทั้งสองมีดวงตาแจ่มใส เห็นชัดว่าการเต้นรำนั้น ทำให้ดวงจิตเบิกบานขึ้น ตามนิสัยของผู้ที่รักทางนี้ ประสมยังจำท่าแทงโกได้ทุกท่ามิได้ลืม มยุรีมองดูร่างทั้งสองไม่วางตา สีหน้าของหล่อนไม่บอกว่าในใจของหล่อนนึกยังไร

แฉก........แฉก ประเสริฐผุดลุกขึ้นมือเกาศีรษะ “แหม ! กำลังดีทีเดียว ! ฝรั่งเจ้ากรรมมันทำแผ่นเสียงเล็กเท่าฝ่ามือ” เขาร้อง “ประภาเต้นพอใช้แล้ว เอาอีกหน่อยนะอาจารย์ สอนให้น้องกันทำตัวอ่อนอีกสักหน่อยเถอะ” พูดแล้วเขาเริ่มไขลานและใส่แผ่นเสียงใหม่ การเต้นรำจึงดำเนินต่อไปอีก ประเสริฐถามมยุรี “บางทีเธอจะเต้นรำบ้างไหม ? ถ้าไม่รังเกียจฉัน....”

“ไม่รังเกียจดอกค่ะ แต่ว่าอยากดูมากกว่า ประภาเต้นนับว่าดีได้เทียวนะคะ”

“หัดมาเดือนเต็ม ๆ ถ้าไม่เป็นเสียบ้างก็จัดว่าโง่เต็มประดา”

“คุณหลวงเห็นจะเต้นเก่ง”

“พอเต้นได้จ้ะ แต่ไม่สวย รายนั้นซีเขาเรี่ยมนัก” แล้วเขาก็ชี้มือไปยังประสม

มยุรีมองตาม เห็นผู้ที่ถูกกล่าวนามกำลังพูดและยิ้มอย่างสดใส “เขากำลังมีความสุข” หล่อนรำพึง “ไม่เคยเห็นเขามีสีหน้าเช่นนี้เลย”

ต่อมาสักครู่ใหญ่ ๆ การเต้นรำก็ยุติลง ประสมส่งแขนให้คู่ของเขาเกาะ ทำท่าราวกับอยู่ในห้องเต้นรำที่ใหญ่โต แล้วพาหล่อนมาหาพี่ชาย

“แหม ! ร้อนจริงคุณพี่คะ ช่วยเปิดหน้าต่างทีเถอะ” ประภาพูดโบกผ้าเช็ดหน้าไปมา ประเสริฐลุกไปตามคำสั่ง เขาพูดเมื่อเปิดหน้าต่างแล้ว

“ มยุรี น่าเสียดายที่เป็นเวลากลางคืน เธอไม่ได้เห็นบริเวณบ้านเราทั่ว ว่าง ๆ เธอต้องมาเที่ยวอีก”

“เออ ไปดูห้องฉันไหมล่ะ” ประภาถามเพื่อนของหล่อน “สบายกว่าบ้านเก่ามาก ได้ลมดีด้วยกลางคืนนอนต้องปิดหน้าต่างมิฉะนั้นเป็นหวัด”

“ไปซี ฉันกำลังนึกอยู่ทีเดียว”

ประภาลุกขึ้นยืน พูดว่า “คุณพี่คะเราตกลงไปดูหนังที่โรงหนังบ้านหม้อนะคะ เราจะไปผัดหน้าผัดตาให้ดี พอกลับลงมาก็ไปกันทีเดียว”

“จ้ะ น้องสั่งให้เอารถออกด้วยนะ”

“คันเล็กหรือคันใหญ่คะ”

“คันเล็ก พี่จะไปกับมยุรี เธอคงไม่รังเกียจที่จะไปกับฉันสองคนไม่ใช่รึ ? ประภาไปกับประสม”

สตรีทั้งสองออกประตูไปทิ้งสหายหนุ่มอยู่ด้วยกัน ประสมพิงเก้าอี้เหยียดขาอย่างขี้เกียจ สหายของเขานั่งพิศดูหน้าอยู่ครู่หนึ่งจึงถามว่า

“แกกำลังนึกถึงอะไร ประสม ?”

“ก็แกล่ะ”

“กันกำลังนึกถึงแก”

“บอกให้รู้ได้บ้างไหม? นึกถึงว่ายังไง?”

“กันกำลังนึกว่า แกทำไมยังไม่มีเมีย แกเรียนเสร็จนานแล้ว”

“ก็แกทำไมถึงยังไม่มีล่ะ”

“กันอยู่แต่ในเมืองอังกฤษ แกคงไม่หมายจะให้แต่งงานกับผู้หญิงฝรั่งไม่ใช่รึ ?"

ประสมหัวเราะ “กันไม่เห็นแปลก อย่าไปงัดเอากระป๋องนมเน่ามาก็แล้วกัน”

“ ข้อนั้นเห็นจะหมดอันตราย เพราะเดี๋ยวนี้กันก็กลับมาอยู่บ้านแล้ว กระป๋องนมทั้งดีและเน่าก็ยังไม่มี แต่กันมีน้องสาวที่น่ารัก หล่อนคือหวานใจของกัน”

“น้องแกเป็นหญิงที่น่าเอ็นดู”

“ถูกละ เป็นคนตรงดูง่าย ไม่เหมือนกับนายสาวของแก”

ประสมหัวเราะอีก “แกไม่ชอบเธอนักกระมัง ?”

“ไม่เกลียด กันเห็นว่าหล่อนเป็นคนฉลาด คม หยิ่งนิดหน่อย แต่สวย ท่าทางดี เข้าไหนเข้าได้ จริงไหม ? และถ้ากันดูไม่ผิดกันคิดว่าแกไม่ค่อยถูกกับหล่อน”

“คนรักกันที่สุด อาจทำให้คนอื่นเห็นว่าเกลียดกันที่สุดก็ได้”

“จริง แต่กันยังเชื่ออยู่เสมอว่า แกกับหล่อนไม่ได้เป็นคู่รักกัน”

ประสมทำหน้านิ่ว “แน่ละ และกันมีคู่หมั้นแล้ว”

“โอ๋ จริงหรือ แล้วยังไงล่ะ ?”

“แต่หล่อนไม่รักกัน ไม่ยอมแต่งงานด้วย”

“เอ๊ะ เขาอ้างว่าแกเสียหายอย่างไร ?”

“ไม่อ้างว่าอะไรทั้งหมด ดู ๆ เหมือนเขารักคนอื่น”

“อ้อ! แล้วแกรักเขาซี”

“อือ”

“มิน่าล่ะ ดูหน้าตาแกไม่ค่อยมีความสุข”

“ดูกันเป็นทุกข์หรือ ?”

“ก็ไม่เชิง แต่แกแปลกไปกว่าเดิม เมื่อก่อนแกเป็นคนชื่นบานพาลจะกร้องแกร้ง กันยังจำได้ว่าในเวลาเผลอสติแกมักกริ่มคล้ายคนฝันดี บางคราวกันคิดว่าแกน่าจะเป็นคนเจ้าชู้”

“เอ้อ เข้าที ๆ แล้วยังไงอีกล่ะ ?”

“แล้วเดี๋ยวนี้ แกกลับกลายเป็นคนแข็งหน้าเข้มถมึงทึง ไอ้ตาลอยยิ้มเผล่น่ะหายไปหมดแล้ว บอกตามตรงแกเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ”

“การทำงานมากทำให้คนแก่เร็ว”

“ไม่ใช่เท่านั้น กันเห็นแกมีท่าตรึกตรองเสมอ ดูเหมือนจะพูดสักคำ จะขยับสักหน่อยจะต้องคิดตั้งห้านาที บางคราวกันว่าแกกำลังเล่นละคร”

“แกมีสายตาคมพอใช้ แล้วยังไรอีกล่ะ ?”

“หมดแล้ว เหลือแต่กันอยากรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นหรือทำให้แกเป็นเช่นนั้น”

“ไม่รู้แฮะ กันรู้แต่ว่ากันมีความทุกข์ บางคราวกันรู้สึกสนุก คล้ายกับกำลังเล่นละครอย่างที่แกว่านี่แหละ”

“เอ๊ะ แกพูดยังไง ก็เขาไม่รักแก แกรักเขาไม่ใช่หรือ ?”

“ถูกแล้ว กันรักเขามากมายเต็มที่ เพราะฉะนั้นกันถึงไม่ทุกข์ ยังไงเสียเขาก็ต้องเป็นเมียกัน อย่างช้าอีกเดือนเดียวแกจะต้องรู้เรื่องดี และแกจะ....”

เสียงฝีเท้าดังใกล้ประตู แล้วการสนทนาจึงชะงักลง สองสาวเข้ามาในห้อง มีหน้านวลพริ้ง ประภาถือผ้าห่มมาด้วย

“ไปหรือยังคะ?” หล่อนถาม

“ไปซี มยุรี ผ้าห่มของเธอไม่ได้เอามา ดอกหรือ ?”

“เอามาค่ะ อยู่ในรถ”

“อ้อ! ประสมแกเอาน้องกันไปรถแกด้วยนะ”

“รถของกันเองไม่มี” ประสมพูดเรียบๆ

ประเสริฐไม่รู้จะพูดอย่างไร มยุรีชำเลืองค้อน หล่อนว่า

“นายประสมไม่เคยนึกว่าอะไรในบ้านเปรียบเหมือนของเขาเลย แม้แต่หญ้าต้นเดียว”

“เพราะผมคิดว่า เป็นการปลอดภัยดีกว่าที่จะถือวิสาสะคิดเป็นของผมเสียหมด” ประสมตอบ ทันควัน

“เอ้า ! ตกลงว่ามยุรีให้ประภายืมรถนั่งไป และให้แกเป็นองครักษ์อีกต่อหนึ่ง” ประเสริฐพูดเมื่อเห็นหนุ่มสาวทั้งสองที่หน้าอริเข้าใส่กัน แล้วนำมยุรีมาขึ้นรถเฟียตตอนเดียวของเขา ประสมพาประภาไปขึ้นรถอีกคันหนึ่ง

โรงภาพยนตร์บ้านหม้อ ชื่อแสดงอยู่แล้วว่า ตั้งอยู่แห่งใด เป็นโรงมหรสพที่ได้ชื่อว่าดีเยี่ยมในกรุงสยาม คำว่า ‘ดี’ เป็นคำกล่าวติดปากกันทั่วไป แต่อาจมีความหมายเป็นคนละอย่าง บางคราวผู้พูดหมายว่า ตัวโรง และวิธีปลูกเหมาะเจาะเข้าที เล็กโตไม่กล่าวถึง บางคราวหมายว่าดีเหมาะไม่โปร่งอากาศเข้าได้มากไม่อึดอัดเป็นอยู่ในหีบ ดังเช่นโรงภาพยนตร์อื่น ๆ อนึ่ง ถนนหน้าโรงสะอาด ปราศจากกลิ่นเหม็น มีร้านขายของรับประทานและเครื่องดื่ม มีกระถางต้นไม้และเก้าอี้ตั้งให้สาธารณชนพัก เมื่อรถแล่นเข้าจอดใต้สะพานคอนกรีตแล้วจะได้เห็นบาร์ ส้วมสะอาดและตู้โทรศัพท์ตั้งอยู่ในระยะชิดกัน

ผู้ที่มาใหม่พากันขึ้นข้างบน นั่งที่ละสองบาท โรงภาพยนตร์นี้ไม่มีบ๊อกซ์ ประเสริฐทอดสายตาไปรอบ ๆ ที่ๆ เขาเคยเหยียบเข้ามาเป็นครั้งแรก สิ่งที่ถูกใจเขาที่สุดในเมื่อได้ชมทั่วแล้ว คือ เฉลียงคอนกรีตยาวเป็นสะพานเชื่อมตัวโรงภาพยนตร์กับห้องเครื่องดื่ม ประเสริฐยืนพิงลูกกรงสะพานมองดูภาพเบื้องล่างอยู่ครู่หนึ่ง จึงกลับเข้ามาข้างใน

“ข้างนอกสบายมาก” เขาบอกกับมยุรีเมื่อได้นั่งลงแล้ว

“คุณหลวงเพิ่งเคยมาหรือคะ ?”

“จ้ะ เป็นครั้งแรก เหมาะมาก ท่วงทีดีทีเดียว เอ๊ะ นี่กำลังฉายเรื่องอะไรจ๊ะ ?”

“ดิฉันก็ไม่ทราบ ประภานเรื่องอะไรรู้ไหม?”

มยุรีถามประภาผู้นั่งติดกับหล่อน

“ไม่รู้ แต่คิดว่าไม่ใช่ ‘วัยคะนอง’ ที่ฉันอยากดู”

ผู้ที่มาด้วยกันทั้ง ๔ คน น่าจะไม่มีใครทึ่งกับภาพที่กำลังฉายอยู่เท่าหลวงประเสริฐ ฯ เขาดูจริงดูจังไม่พูดจา นอกจากเวลาไฟเปิดจึงพูดกับมยุรีสักคำสองคำ ตรงกันข้ามกับประภาและประสม ทั้งสองพูดกันเรื่อย ศีรษะโอนเอนเข้าหากัน บางคราวมยุรีได้ยินประสมเลียนคำพูดที่คมคายในเรื่อง และทั้งสองก็หัวเราะกัน เมื่อไฟเปิดสว่าง ประภาจึงหันมาทางมยุรีเค้าหน้าอ่อนหวานยิ้มย่อง ประสมก็สดชื่น ความมั่นชาไม่มีอยู่ในวงหน้าอันงาม สรุปความว่ามาด้วยกันสี่คน สามคนได้รับความบันเทิงมากมาย ตรงกันข้ามกับมยุรี รู้สึกอึดอัดและคล้ายกับมีความโกรธแค้นอยู่ในใจ หล่อนเอียงหูฟังคำพูดของประภากับเลขานุการหนุ่มได้ยินบ้าง ไม่ได้ยินบ้าง เหตุนี้ทำให้ความรู้สึกประหลาดเกิดขึ้น มยุรีรู้สึกตัวว่าเปล่าเปลี่ยวตัวคนเดียว ไม่มีใครเอาใจใส่นึกถึง น้ำตาแล่นขึ้นมาถึงกระบอกตาพยายามกลืนดูเหมือนยิ่งยุ มองเห็นภาพในจอนั้นพราวพร่า มยุรีชอบมองดูความสนิทสนมระหว่างประภาและประสม แต่เหตุใดเล่าความวิสาสะระหว่างน้องสาวของประเสริฐกับเลขานุการของบิดาจึงขวางตาหล่อน เสียงที่หนุ่มสาวทั้งสองหัวเราะกันทีหนึ่ง ๆ ทำให้มยุรีรู้สึกแสบราวกับแผลสดถูกทิงเจอร์ราด เวลาล่วงไปเป็นลำดับ หล่อนก็คงมีความรู้สึกเช่นนั้น เป็นการเหลือทน หล่อนจึงลุกขึ้น

“เธอจะไปไหน ?” ประเสริฐถามพลางหลีกเก้าอี้ให้

“ไปธุระข้างนอก” มยุรีตอบพยายามสะกดมิให้เสียงสั่น

ราวห้านาทีผ่านไป มยุรีจึงกลับมานั่งที่ คราวนี้มีอาการคล้ายคนที่เพิ่งมีโอกาสยกของหนักขึ้นจากบ่า ดวงหน้าอันงามนั้นยังตึง ริมฝีปากแดงเรื่อนั้นเม้มแน่น ลักษณะเหล่านี้ประภาเห็น หล่อนจึงถามด้วยความเป็นห่วง

“เธอไม่ชอบเรื่องนี้รึ ดูเธอไม่ค่อยสนุก”

มยุรีหัวเราะแห้ง ๆ ตอบพอไม่ให้เสียกริยา “เรื่องดี”

ต่อจากนั้นมยุรี มีอาการเปลี่ยนไปใหม่ คือมีการเหลียวดูบันไดทุก ๆ ห้านาที จวบจนถึงเวลา ๒๓ น. เศษ ซึ่งเป็นเวลาที่ภาพยนตร์จวนเลิก มีชายหนุ่มรูปร่างสันทัดขึ้นบันไดมายืนมองดูรอบ ๆ คล้ายแสวงหาใครคนหนึ่ง พอดีไฟเปิดเขาเดินตรงไปที่หลวงประเสริฐกับแขกนั่งอยู่

“อ้อ! อยู่นี่เอง มองหาเสียแย่” ผู้ที่มาใหม่พูดพร้อมกับเอามือเท้าพนักเก้าอี้ชะโงกหน้ามาหามยุรี !

“มาแล้วหรือคะ” มยุรีพูดไม่ได้แสดงความดีใจ “คุณหลวงคะ ดิฉันลืมบอกไปว่า คุณละออเชิญดิฉันไปรับประทานของว่างเวลา ๕ ทุ่มครึ่ง ขอประทานโทษ เห็นจะต้องไปที”

สีหน้าหลวงประเสริฐ ฯ แสดงความประหลาดใจ ประภาเป็นผู้พูด

“เดี๋ยวนี้รึ ไม่รอให้หนังเลิกก่อนรึ ? อีกม้วนเดียวเท่านั้นนี่นา”

“อย่าเลยเธอ ขอบใจ สัญญาต้องเป็นสัญญา” มยุรีตอบ “ขอบพระคุณคุณหลวงมากที่ได้ เชิญตัวดิฉันมา เป็นคืนที่สนุก ดิฉันจะจำไว้เสมอ ลาทีนะคะ”

ผู้ชายลุกขึ้นยืน

“ผมขอโทษที่มาแย่งเอาแขกของคุณหลวงไป หวังว่าไม่ถือโทษไม่ใช่หรือครับ” ประโยคสุดท้ายละออพูดกับประภา พร้อมกับรับไหว้หล่อน แล้วก้มศีรษะลาหลวงประเสริฐ ฯ กับประสม ผู้มีนามข้างท้ายนี้ก้มศีรษะรับอย่างมึนชา

----------------------------

 

  1. ๑. แซนด์วิช หมายความถึงผู้หญิงอังกฤษผอมบาง โดยมากมักแห้ง

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ