หลังจากวันนั้นมา ความสัมพันธมิตรระหว่างหนุ่มสาวมิได้เจริญขึ้น คงขึ้งเคียดต่อกันเรื่อยไป มยุรีเที่ยว กินน้ำชา ดินเนอร์ ดูหนัง ดูละคร สัปเปอร์ และเกือบทุกคราว มีนายละออเป็นองครักษ์ เจ้าคุณไมตรี มีความรักลูกมาก แต่ถ้าจะพูดให้ถูกก็ต้องแถมว่าท่านรักอย่างคนรักไม่เป็น กล่าวคือให้ของที่ลูกต้องการทุกอย่าง ตามใจในความประพฤติทุกประการ ให้ความอิสระจนไม่มีขีด ดังนั้นมยุรีจึงกลายเป็นหญิงที่มีชื่อโด่งดังในทางเป็นสมัยใหม่ยิ่งใคร ๆ วันหนึ่งเจ้าคุณตักเตือนในเรื่องที่หล่อนกลับดึกเกินควร หล่อนหัวเราะ พลางกอดคอท่านแล้วพูดว่า “โธคุณพ่อก็กลัวไปได้ นี่คะ ลูกก็มีเพื่อนผู้ชายมาด้วยทุกที”

“นั่นน่ะซี” เจ้าคุณกล่าวอ่อย ๆ “มันน่าเกลียดไหมล่ะ ไปกันสองต่อสอง บางคราวพ่อเองยังเสียวไส้”

“คุณพ่อคะ” มยุรีขัดเสียงค่อนข้างแข็ง “คุณละออเป็นสุภาพบุรุษ แล้วลูกก็โตพอที่จะระวังตัวได้แล้ว คุณพ่อไม่ไว้ใจลูกหรือคะ”

“ไว้ใจซี ถ้าไม่ไว้ใจจะปล่อยหรือ แต่ใคร ๆ เขาจะนินทาได้ และถ้าคู่หมั้นของเจ้ารู้........”

โดยไม่ตั้งใจเจ้าคุณได้สะกิดที่สำคัญของบุตรสาว มยุรียกศีรษะทวนคำอย่างขมขื่น

“คู่หมั้นของลูก เขาว่ายังไรลูกไม่เห็นทุกข์นี่ ส่วนเขาสิมิใยดีต่อลูก ส่วนลูกจะคอยระวังตัวกลัว เขาตลอดเวลา สิบเดือนเต็มที่เรากลับมาอยู่กรุงเทพฯ เขามิได้เคยกรายมาเยี่ยม จดหมายเขาจะมีถึงลูกสักฉบับก็ไม่มี

“ขันจริง ๆ มยุรี พอประสงค์เป็นคนเรียบร้อยมาแต่ไร เขาจะกล้ามาทำกรุ้มกริ่มเป็นเจ้าชู้กับเจ้าได้หรือ ไม่ใช่พ่อพวกสมัยใหม่ล้นคร่อกจะได้เอาแต่ได้”

“ทำไมจะไม่ได้คะ เขาไม่ได้เป็นคู่หมั้นของลูกดอกหรือ”

“ถึงเป็นก็เถอะ พอพ่อพูดกับเจ้าเรื่องเขา เจ้าก็เริ่มตุปัดตุป่องเสียแล้ว ซ้ำตัดรอนอย่างเด็ดขาด ไม่ยอมถือสัญญาที่ผู้ใหญ่ให้กันไว้ พ่อของเขาถามมา เจ้าก็ยืนคำเต็มที่แล้ว พอประสงค์จะกล้ามาเกี่ยวข้องอย่างไร ? พ่อเขาก็บอกอยู่โต้ง ๆ ว่าผู้ชายน่ะมันรักเจ้า แต่ส่วนเจ้าซิไม่มีเยื่อใยถึงเขาเลย เดี๋ยวนี้แหละจะมาว่าเขาทอดทิ้ง ถ้าหากว่าประสงค์มาหาเจ้าเวลานี้เจ้าจะกลับใจไม่คืนหมั้นรึ ?”

“เดี๋ยวนี้สายเสียแล้วค่ะคุณพ่อ ลูกเห็นว่าหลานชายของคุณพ่อนั้น ไม่เป็นผู้ชายจริงหรือมิฉะนั้นก็ไม่รักลูกพอ ถ้าเขารักเขาต้องพยายาม ต้องมาหาลูก ทำตัวให้ถูกใจลูกแล้วก็คงจะเห็นใจเขาทีหลัง”

“เจ้าพูดเอาแต่ใจ มยุรี มีน้อยคนนักที่รู้ว่าเขาเกลียดยังด้านหน้ามาประจบ เป็นใจพ่อก็เหมือน กัน พอรู้ว่าเขาไม่ชอบแล้วละก็ต้องตัดใจได้ทันที พ่อเห็นว่าหายากนักที่จะทำอย่างเจ้าว่า”

“ไม่ยากค่ะ ลูกได้เคยพบ เคยได้ยินเขาพูด และเชื่อว่าเขาพูดจริง และย่อมจะทำจริง” มยุรีหน้าแดงเมื่อรู้สึกตัวว่า ผู้ที่หล่อนนึกอยู่นั้นคือประสมตัวศัตรู เขาเคยพูดว่า

“สิ่งใดเป็นของผม ผมต้องเก็บต้องรักษา ต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของผมตลอดกาล หญิงที่หมั้นกับ ผมแล้วย่อมเป็นกรรมสิทธิ์ของผม ถ้าใครบังอาจมาแย่งผมก็ยิงเสียเท่านั้น”

หล่อนพูดต่อไปและเน้นคำ “ลูกผู้ชายจริงต้องการอะไรต้องพยายาม ลูกจะแต่งงานกับคนทำอะไรทำจริง ไม่ใช่คนขลาต่อ่อนแอจับอะไรแล้วปล่อยเสียง่าย ๆ ลูกจะแต่งงานกับผู้ชายแท้ ๆ”

เจ้าคุณลุกขึ้นจากเก้าอี้ เห็นชัดว่าชักฉุน ท่านพูดหัวเราะ ๆ

“เป็นผู้ชายอย่างนายละออของเจ้างั้นซี เมาจนขับรถไปตำกอไผ่”

มยุรีผุดลุกขึ้นบ้าง

“อ้อ ลูกเข้าใจแล้วละค่ะ พ่อเลขานุการตัวโปรด ฮะ ๆ นิสัยของเขา ได้โอกาสทำความดีเข้าหนเดียว ต้องเป่าร้องทับถมคนอื่น”

เสียงประตูเปิด เจ้าคุณและมยุรีหันไปทางนั้น ก็เห็นร่างของประสมปรากฏอยู่ เขากลับจากทำงาน หน้ายังดำมันด้วยเหงื่อ

“นายละออมาขอรับ เขากำลังรอใต้เท้าอยู่ที่ห้องรับแขก”

เจ้าคุณมีสีหน้าแสดงความยุ่งใจ ท่านมองดูคล้ายจะถามว่า

“ได้ยินคำพูดของมยุรีหรือไม่”

ประสมมีกิริยาเป็นปกติ เขาเปิดประตูกว้างแล้วหลีกทางให้ท่านเดินออกไป พอเขาขยับจะเดินตามท่าน ก็พอดีมยุรีเรียก

“นายประสมเชิญมานี่ประเดี๋ยวเถอะ” เสียงของหล่อนกระด้าง แววตาขุ่น ประสมปิดประตูแล้วมายืนอยู่ตรงหน้าหล่อน

“ฉันยังไม่ได้ขอบใจเรื่องเมื่อคืนวานนี้ แต่นายประสมคงจะได้รับคำขอบใจในคำยกย่องจากคุณพ่อพอแล้ว” มยุรีเปิดฉาก

“เรื่องเมื่อคืนวานนี้” ประสมทวน “เรื่องอะไร ?”

“เรื่องที่เป็นเกียรติยศยิ่ง สำหรับนายประสม ในการที่มีใจอารีช่วยเข็นรถออกจากกอไผ่ และรับหญิงที่มีคู่รักเป็นคนเมามาส่งบ้าน ทิ้งชายผู้เมาให้นอนตากยุงอยู่น่ะซี”

“ผมไม่เห็นว่าเรื่องนั้นจะเกี่ยวกับเจ้าคุณอย่างไร”

“ย่ะ ไม่เกี่ยว แต่กระนั้นผมก็ยังอดเสนอไม่ได้!”

ประสมฉุนกึก “ใครเป็นคนบอกคุณว่าผมเสนอ ?” เขาถาม

“ พ่อฉันน่ะซียะ”

“เจ้าคุณ ท่านบอกว่าผมเล่าให้ฟังรึ ?”

“ท่านก็ไม่ได้บอกแต่ท่านรู้”

“อ้อ ! แล้วก็เหมาเอาว่าผมเป็นคนเสนอยังงั้นซี”

“ หรือจะปฏิเสธว่าไม่ได้เล่าล่ะ ?”

“แน่นอนทีเดียว ปฏิเสธ”

“โกหก!”

เงียบ ! ภายในห้องนั้นไม่มีใครปริปาก ประสมก้าวเท้าเดินไปมา ในที่สุดเขาหยุด ตาจับตามยุรีเขม็ง เขาพูดว่า

“คุณมยุรี ไม่ทราบว่าอะไรทำให้คุณเผลอสติถึงบังอาจกล่าวคำหมิ่นเกียรติยศคนเล่นเช่นนี้ เกิดจากนึกว่าเป็นนายรึ ? หรือเกิดจากขาดจรรยาไม่รู้จักว่าคำพรรณ์นั้น อาจทำให้เกิดต่อยปากกันได้ หรือเกิดจากอยากจะออกรับต่อสู้แทนชายผู้นั้น จนทำให้ลืมอะไรทุกอย่าง จำไว้ผมไม่ใช่ทาสที่จะเกรงกลัวคุณ ถ้าหากผมบอกเจ้าคุณ คุณจะมาทำอะไรผมได้ เพราะฉะนั้นถ้าผมบอกจริงเหตุใดจะต้องกล่าวคำเท็จ แม้ผมมีฐานะเลวทรามใจของผมไม่จำเป็นจะต้องเลวไปด้วย เกิดเป็นคนต้องมีสัจจะและผมเป็นคน ขออย่าลืม”

“ถ้านายประสมไม่ได้บอก” มยุรีพูดยิ้มเยาะ ก็ต้องเป็นพรายกระซิบ ๆ กับท่าน ฉันก็ไม่ค่อยเชื่อในทางนั้นนัก-แต่ครั้นไม่เชื่อหรือก็ไม่รู้จะเดาอย่างไร นับตั้งแต่วันนั้นมา ยังไม่มีใครมาหาคุณพ่อ คุณพ่อไม่ได้ไปไหน ในส่วนความเสียหายน้อยคนนักที่จะรับตัวผิด........”

“ผมจะไม่พยายามอธิบายหรือโต้เถียงกับคนที่เกือบวิกลจริตด้วยความเดือดแค้นแทนคู่รัก ชะรอยเจ้าคุณจะได้ติเตียนพ่อเจ้าประคุณกระมัง แต่ผมจะบอกให้รู้ว่า ถ้าคุณเป็นลูกชายแทนลูกสาวของเจ้าคุณแล้วคุณจะกินน้ำพริกไม่ได้ไปหลายวันทีเดียว”

ขาดคำพูดเขาผลุนผลันออกจากประตูไป

เหลืออยู่คนเดียว มยุรีทรุดตัวลงนั่งตรองถึงเรื่องที่ได้โต้เถียงกันต่อไป ที่จริงหล่อนก็เชื่อว่าประสมมิได้บอก ตั้งแต่เขาปฏิเสธแล้ว แต่หากไม่อยากยอมแพ้ กับอยากจะยั่วโมโหเขาเล่น จึงแกล้งว่าให้เจ็บใจ แต่หล่อนก็สงสัยเหมือนกันว่า ใครเป็นผู้บอก ในคืนวันนั้น เมื่อรถไปติดกอไผ่อยู่ที่ถนนสนามม้าก็ไม่มีใครรู้ มยุรีหวลนึกถึงคืนนั้นอีก

ตอนเย็นวานนี้ ละออมารับหล่อนไปดูหนังที่โรงพัฒนากร ในระหว่างดูภาพยนตร์ ได้อ้อนวอน ขอความรักกับหล่อน

“มยุรี เมื่อไรเธอจะตกลงรับรักของฉันเสียที” เขากระซิบข้างหูหล่อน

มยุรีมองดูภาพที่อยู่ในจอโดยไม่เห็นว่าตัวอะไร พ่อหมอหนุ่มพูดต่อไป

“หลายครั้งแล้วที่เธอผัดเพี้ยนฉันอยู่เรื่อย ๆ โธ่ เธอไม่เห็นใจฉันบ้างเลย ทุกวันทุกเวลาฉันเฝ้า นึกถึงแต่เธอ เมื่อไรเธอจะยอมมอบตัวให้เป็นของฉัน ส่วนฉันได้มอบชีวิตให้แก่เธอ นับแต่เราได้พบกันในคราวแรกแล้ว เธอไม่สงสารฉันบ้างหรือจ๊ะ”

มยุรีขยับตัวด้วยความอึดอัดใจ หล่อนไม่รู้จะตอบเขาว่าอย่างไร รักเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้ หลายครั้งที่หล่อนถามตัวเองก็ไม่ได้รับคำตอบที่แน่นอน หล่อนเป็นเหมือนหญิงหลายใจ ที่ควรรักก็ไม่รัก ไพล่ไปนึกถึงคนที่ควรเกลียด ในที่สุดหล่อนพูดเพื่อตัดคำเพ้อเจ้อของละออ

“นี่คุณ ชวนดิฉันมาดูหนังหรือชวนมาเกี้ยวคะ ?”

ละออถอนใจยาว อาการนั้นทำให้มยุรีใจอ่อน แต่หล่อนคงนั่งนิ่ง ทอดสายตาดูภาพยนตร์ ขณะนั้น หล่อนรู้สึกว่ามือของหล่อนอยู่ในอุ้งมือของชายหนุ่ม เขาเคยเป็นเพื่อนที่ดีของหล่อนเสมอ ถ้าหากมิมีเงาอะไรอย่างหนึ่งอยู่ในใจ หล่อนก็คงมอบตัวให้เป็นสิทธิ์แก่เขาเสียแล้ว

“สังเกตดูเธอก็มิใช่ว่าเกลียดฉัน” ละออพูด เสียงสั่นเล็กน้อย “บางคราวนึกว่า รักฉันด้วยซ้ำ........เธอมีที่รักเสียแล้วกระมัง”

“การนึกเอาเองจะนึกว่าอย่างไรก็ได้” มยุรีพูดเสียงแสดงความไม่พอใจ

“คำตอบของเธอไม่ทำให้ฉันรู้สึกสว่างขึ้นเลย เธอเกลียดฉันรึ อนิจจา.......!”

“เปล่าไม่เกลียด” มยุรีรีบค้าน เสียงเศร้าของชายหนุ่มทำให้หล่อนกลุ้มใจ

“จะให้ฉันทำอย่างไรเธอถึงจะยอมรับรักของฉัน เธอไม่พอใจในตัวฉันเรื่องอะไร ? โธ่ ฉันรักเธอจริง ๆ ถ้าเธอแต่งงานกับฉันแล้วฉันจะมีภรรยาแต่เธอคนเดียว จะรักแต่เธอคนเดียว จะไม่กินเหล้า จะไม่เที่ยว ทรัพย์สมบัติของฉันจะให้แก่เธอคนเดียวทั้งหมด ยังไงล่ะจ๊ะ ?”

มยุรีถอนใจ รู้สึกใจอ่อนมากเข้าทุกที หล่อนบีบมือเขาเป็นเชิงปลอบครู่หนึ่งแล้วหดกลับมาเสีย

“เรากลับกันเสียทีจะดีกระมัง” หล่อนว่า

“โธ่ เธอไม่ตอบฉันจริง ๆ แหละ ยังหัวค่ำอยู่เลย จะรีบไปไหน ห้าทุ่มเท่านั้น”

“ดิฉันอยากกลับเสียแล้วค่ะ นั่งอยู่ก็ไม่มีประโยชน์ ดูไม่รู้เรื่อง”

“อีกประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น โธ่ แม่คุณเถอะ บอกฉันหน่อยซิจะให้ทำอย่างไร”

“คุณลองไปพูดกับคุณพ่อดู ท่านตกลงยังไรดิฉันจะตกลงดังนั้น” มยุรีพูดแล้วลุกขึ้นยืน

“ขอบใจเธอมาก พรุ่งนี้ฉันจะไปหาเจ้าคุณ อกฉันจะแตกอยู่แล้วด้วยพิษรัก” ละออพูดด้วยความลิงโลดแล้วลุกขึ้นบ้าง

ขณะที่ออกจากบ็อกซ์ มยุรีเห็นชายคนหนึ่งนั่งที่ละสองบาท แถวที่สองถัดจากบ๊อกซ์ชะโงกตัว ดูหล่อน แต่หล่อนไม่ทันเห็นหน้าชัดว่าเป็นใคร

เมื่อออกจากโรงหนังแล้ว ละออชวนให้ไปราชวงศ์ มยุรีพยักหน้าไปแกน ๆ จิตใจไม่อยู่กับตัวเสียแล้ว รู้สึกหวาดกลัวและหนักอกพิกล ส่วนเพื่อนร่วมทางของหล่อนนั้นตรงกันข้ามเขาเบิกบานใจเป็นที่สุด การที่มยุรีให้คำพูดว่า บิดาตกลงอย่างไรหล่อนจะตกลงอย่างนั้น ละออรู้สึกคล้ายได้เป็นเจ้าของมยุรีแต่บัดนี้ไป เขาพูดเรื่อยเจื้อย พรรณนาความรักความยินดีที่มีอยู่ในใจ เคราะห์ดีทางจากพัฒนากรมาราชวงศ์นั้นกินเวลาไม่เกินห้านาที มิฉะนั้นมยุรีน่าจะสะอีกเพราะคำพูดอย่างน้ำท่วมทุ่งของเขา นายละออนำรถไปจอดหลังรถคันหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าร้านแป๊ะม้อ ตัวเขาโดดลงแล้ว ถามมยุรีว่าจะรับประทานอะไร หล่อนสั่นศีรษะ เขาก็กล่าวคำขอโทษแล้วเดินเข้าไปในร้านไอสกรีม ขณะเดียวกันนั้นมีชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่หนึ่งเดินสวนออกมา มยุรีจำได้คือประภากับพี่ชายของหล่อน สามคนหยุดพูดกันแล้วละออชี้มาทางที่หล่อนนั่งอยู่ หนุ่มสาวทั้งคู่ก็เดินเข้ามาหา

“แหมไม่นึกเลยว่าจะพบกับเธอที่นี่” ประภาพูดกับมยุรี

“จริงนะ เผอิญแท้ ๆ ฉันกลับจากดูหนังก็เลยมา ขึ้นมานั่งบนนี้ก่อนซี แต่คุณหลวงเห็นจะต้องยืนอยู่อย่างนั้น” พูดแล้วมยุรีหลีกที่ให้เพื่อนของหล่อน

“เธอจะรับประทานอะไรไหมจ๊ะ ?” หลวงประเสริฐ ฯ ถาม

“ไม่รับประทานค่ะ ขอบพระคุณ นี่ไปไหนกันมาคะ ถึงเลยมานี่”

“มาจากบ้านจ้ะ มันร้อนนักก็เลยชวนน้องมาเที่ยวเสีย”

“นั่นคุณละออคงไปติดคุยเสียแน่ เพื่อน ๆ อยู่ในนั้นกันหลายคน” ประภาบอก

“ใครมั่งนะ ?” มยุรีถาม “แล้วทำไมคุณหลวงจึงออกมาเสียล่ะคะ ?”

“ไม่คุ้นเคยกันนี่จ๊ะ ฉันเพิ่งรู้จักกับเขาเหล่านั้นใหม่ ๆ ประภาเป็นผู้แนะนำ”

“คุณพี่ชอบคนยากเหลือเกิน” ประภาพูดเป็นเชิงตัดพ้อ “พูดถึงใคร ๆ ก็คอยทำหน้าเบ้”

“หาความ” ประเสริฐว่า “น้องจะเกณฑ์ให้พี่เป็นคนหยิ่ง ยกตัวเหนือคนอื่นหมดเสียแล้ว....เธอต้องให้อภัยกับฉันในข้อที่ฉันเป็นหัวโบราณ มยุรี แต่เพื่อนของประภาทั้งหญิงชายออกจะถือความอิสระมากไปสักหน่อย บางคราวทำให้เวียนศีรษะ”

“ดีมาก” มยุรีหัวเราะเฝือน ๆ “โชคบันดาลให้ฉันเบื่อหนัง จึงได้มาฟังความเห็นของคุณพี่เธอ ประภา นาน ๆ จะได้ฟังสักที”

“ขอโทษ มยุรี ฉันไม่ได้ตั้งใจจะรวมเธออยู่ในจำนวนนั้นด้วย และเป็นความจริงเธอยังไม่เคยทำให้ฉันเวียนศีรษะเลย”

“ไม่ต้องแก้ตัวหรอกค่ะ” มยุรีว่า “ถึงจะรวมดิฉันอยู่ด้วยก็ไม่ประหลาดอะไร ทุกคนย่อมมีความเห็นต่าง ๆ กัน”

“แต่เธอคงเห็นว่าฉันเป็นคนมีกิริยาไม่ดีอย่างเอก” คุณหลวงหนุ่มพึมพำ

“เปล่าเลยค่ะ” มยุรีค้าน “ดิฉันชอบคนพูดตรง จริง ๆ นะคะ แล้วดิฉันมิได้นึกฉุนหรือติเตียนคุณหลวงแม้แต่น้อย

“ขอบใจมาก ใจเธอไม่น้อยเหมือนน้องสาวฉัน แต่เพื่อพิสูจน์คำพูดของเธอ ๆ ต้องไปรับประทานอาหารที่บ้านฉัน เสร็จแล้วเราไปดูหนังด้วยกัน” เขาพูดอย่างตั้งใจจริง

มยุรีหัวเราะอย่างสดชื่น เมื่อรู้สึกตัวว่ามีชายหนุ่มเอาใจใส่ เกรงกลัวความโกรธของหล่อน เปรียบเหมือนยาทิพย์มาหล่อใจให้บานขึ้น หล่อนว่า

“โธ คุณหลวงไม่เชื่อหรือคะ เอาเถอะดิฉันรับเชิญ จะให้ไปถึงบ้านก็ทุ่มล่ะ”

“เจ็ดนาฬิกากึ่ง เราจะรับประทานข้าวกัน เธอยังไม่เคยเห็นบ้านใหม่ของฉันไม่ใช่หรือ ?”

“จริงแหละ” ประภารับ “บ้านใหม่ของเราอยู่ที่ศาลาแดง”

“เธอไม่ได้อยู่กับคุณน้าแล้วรึ ?”

“ไม่ได้อยู่แล้ว ฉันพบเธอจะเล่าให้ฟังถึงเรื่องบ้านนี้ก็ลืมไป เป็นบ้านของคุณพี่คุณพ่อให้ เมื่อก่อนฝรั่งเช่าอยู่”

“เห็นจะสวยนะ แหม อยากเห็นจัง หลังไหนน่ะ”

“เธอจะได้เห็น........เมื่อไรนะ........แปลกจริง เราเชิญกันโดยบอกเวลา แต่ไม่บอกวัน มะรืนนี้ เป็นอย่างไร ?” แล้วคุณหลวงหนุ่มหัวเราะ

“ค่ะ ตกลง แต่ดิฉันไม่รู้จักบ้านคุณหลวง”

“ฉันกำลังจะพูดถึงเรื่องผู้นำ เธอช่วยบอกเขาด้วยว่าฉันเชิญเขาเหมือนกัน เลวเต็มที่เจ้าคนนั้น สัญญาไว้จะไปกินข้าวด้วยกันทุกอาทิตย์ ไปสักหนหรือสองหนเลยเงียบหาย”

มยุรีมองดูประภาเป็นเชิงถาม

“พูดถึงคุณประสม” ประภาตอบสายตานั้น “สติลอยใหญ่คุณพี่วันนี้”

“ดูเอาเถอะ เลอะเทอะพิลึก เป็นเหตุเพราะมัววิตกว่ามยุรียังไม่หายโกรธ” หลวงประเสริฐ ฯ ว่า

“คุณหลวง” เสียงนายละออพูดขึ้นข้าง ๆ ทั้งสามคนหันไปมอง “หนีมาแล้วยังไม่ยักกลับเข้าไป เขาบ่นถึงกันทั้งนั้น” พูดแล้วเอาแขนเท้าประตูรถ ทำให้มยุรีได้กลิ่นแอลกอฮอล์ฉิว ๆ

“ถึงไม่มีผม วิศกี้ก็ไม่มีรสน้อยลงไม่ใช่รึ ?” ประเสริฐย้อนและยิ้มอย่างที่มยุรีเห็นว่าตรงกันข้ามกับนับถือ “นี่คุณจะกลับรึ ?”

“นั่นต้องแล้วแต่แม่เจ้าประคุณ” ละออตอบเสียงไม่ปกติ มยุรีชำเลืองดูเห็นหน้าของเขาแดงกว่าเคย เขาดื่มกับเพื่อน ก็ไม่แปลกอะไร ผู้ที่เข้าสมาคมก็ต้องดื่มบ้างเป็นธรรมดา หล่อนหันหน้าไปพูดกับประภา

“เห็นจะต้องกลับเสียที ดีใจที่ได้พบเธอวันนี้ ฉันคิดถึงเธอเสมอที่จริง”

“ฉันก็เหมือนกัน ประภาพูดเสียงอ่อนหวาน “ลาทีนะ มะรืนนี้พบกันใหม่”

“อย่าลืมนะจ๊ะ ฉันจะคอยนับชั่วโมงด้วยความเอาใจใส่ยิ่ง” หลวงประเสริฐ ฯ พูดขณะที่เปิดประตูรถให้น้อง

“เป็นพระคุณค่ะ” มยุรีว่าแล้วพนมมือไหว้

ตอนขากลับนี้ มยุรีรู้สึกว่ารถแล่นไม่ค่อยตรงทาง หากแต่เปิดเครื่องมิค่อยแรงนักจึงมิได้ประสบอันตราย ละออขับอ้อมทางไปตามถนนต่าง ๆ เขาบอกแก่มยุรีว่าอยากจะตากลม ซึ่งหล่อนก็ตกลงยอม พอถึงถนนสนามม้า เขาเปิดเครื่องเต็มที่ ปากก็พูดพร่ำถึงเรื่องอะไรร้อยแปด จนมยุรีจับได้ว่าเขาเมาจนลิ้นไก่สั้น หล่อนนึกตะขิดตะขวงในใจ อะไรเวลาเพียงสิบห้านาที เขาช่างดื่มเสียจนมีอาการเป็นเช่นนี้ หล่อนเตือนเขาในข้อที่รถวกไปเวียนมา และอาสาจะขับรถเอง เขาปฏิเสธอ้อแอ้ ผลักมือที่หล่อนเอื้อมมาพลางมืออีกข้างหนึ่งหักพวงมาลัยโดยแรง รถเลี้ยวอ้อมชนกอไผ่เข้าโครมใหญ่ แล้วผู้ขับก็หมดสติคอพับอยู่กับที่ เป็นคราวเคราะห์ดีของมยุรีอย่างยิ่งที่ไหวทันเอาเท้ากันไว้ได้เต็มแรงศีรษะจึงกระทบกรอบกระจกแต่เบา ๆ ไม่ถึงโน หล่อนพยายามปลุกนายละออ ไม่มีประโยชน์ เขาเมาจนหมดสติ จึงรับหน้าที่เปิดเครื่องถอยหลังเองก็หาออกได้ไม่ บังโคลนเข้าไปขัดกับกอไม้อันเบ้อเร่อ ขณะนี้มยุรีรู้สึกเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ความเงียบบวกกับความมืดของถนนยังให้เกิดความวังเวงใจและหวาดกลัว นอกจากแสงไฟฉายของรถที่ต้องกับกอไผ่แล้วกระท้อนกลับมาส่งในรถแล้ว ในบริเวณนั้นมืดตื้อ ดวงจันทร์ที่ให้แสงสว่างก็มีเมฆก้อนใหญ่มาบังเสีย ทันใดนั้นมยุรีได้ยินเสียงแตรรถยนต์ ไฟฉายใกล้เข้ามา หล่อนยิ่งใจหาย ผู้ที่อยู่ในรถนั้นจะเป็นคนชนิดใด แต่จะนั่งนิ่งอยู่ก็ไม่ได้ ตัดสินใจโดยรวดเร็ว หล่อนโดดจากรถไปยืนอยู่กลางถนน พาหนะที่มาใหม่หยุดห่างจากหล่อนสักสิบหลา ชายคนหนึ่งโดดลงเดินกระฉับกระเฉงเข้ามา เปิดหมวกถามอย่างสภาพ

“หล่อนต้องการความช่วยเหลือหรือจ๊ะ”

แสงสว่างไม่พอที่จะให้โอกาสจำชายผู้นั้นได้ แต่พอเขาพูดขึ้นและเปิดหมวก มยุรีหัวใจพองโตด้วยความโล่งอก

“นายประสม !” หล่อนอุทาน มือทั้งสองยื่นออกหาโดยไม่ได้ตั้งใจ

ชางหนุ่มมิได้แสดงกิริยาประหลาดใจ เข้ามองไปทางที่รถจอดถามว่า

“มีเรื่องรึ ?”

ด้วยถ้อยคำอันวกไปเวียนมา มยุรีรีบอธิบายว่ารถไปขัดอยู่ได้อย่างไร ประสมไม่ชักช้าเรียกคนขับรถเช่าที่เขาใช้เป็นยานมาปล้ำกันอึกอักสักครึ่งชั่วโมงรถก็หลุดออกได้ ละออยังคงหลับสบาย ถึงรถจะเขย่าสักเพียงไรก็ไม่ทำให้เขาตื่นขึ้น

“เชิญขึ้นรถผม” ประสมบอกกับมยุรีพร้อมกับใช้ผ้าเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก

“ก็........ก็........จะทิ้งเขาไว้อย่างนี้รึ” มยุรีถาม ตาไม่กล้าต่อตาประสม

“ไม่ช้าเขาคงตื่นขึ้น หรือคุณจะอยู่กับเขาก่อน หรือจะขับรถไปส่งเขาที่บ้าน ทางดีที่สุดควรขึ้นรถผม นี่สองยามกว่า อีกประเดี๋ยวจะมีตำรวจมาเดินตรวจตามเคย เพื่อนของคุณจะไม่ได้รับอันตรายอย่างใด

มยุรียอมตามคำเขา ระหว่างเดินทางกลับบ้าน ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันสักคำ ประสมนั่งคู่กับคนขับ ปล่อยที่ข้างในไว้กับลูกของนายคนเดียว พอลงถนนวิทยุมองเห็นตึกใหญ่รถก็หยุด ประสมให้เงินคนขับแล้วเดินมาเปิดประตูให้มยุรี

“เราจะต้องออกกำลังเล็กน้อย ผมไม่อยากจะให้เจ้าคนขับรถรู้ว่าคุณเป็นใคร” เขาพูดกับหล่อนเบา ๆ

ภาพเหล่านี้กลับปรากฏขึ้นในดวงจิตของมยุรี หล่อนนั่งนิ่ง คิด-คิด-คิด จนไม่รู้ว่าเวลาล่วงไปเท่าใด จนกระทั่งประตูเปิดออก เจ้าคุณไมตรี ฯ เดินเข้ามา สีหน้าของท่านเต็มไปด้วยความไตร่ตรอง

“มยุรี” ท่านเรียกและนั่งลงที่เก้าอี้ตรงหน้า “ละออเขามาขอเจ้ากับพ่อ”

มยุรีมองดูท่านอย่างใจลอย

“เขาบอกว่าเขาได้บอกกับตัวเจ้าแล้วและเจ้าให้เขาพูดกับพ่อ”

“ค่ะ”

“แล้วเจ้าจะว่ายังไร ?”

“ลูกบอกกับเขาแล้ว คุณพ่อตกลงยังไรลูกก็ตกลงยังนั้น”

“อยู่ดี ๆ ก็โยนกลองมาให้พ่อ ก็เรื่องคู่หมั้นของเจ้าล่ะ ?”

“คุณพ่อตอบคุณละออว่ายังไรคะ ?” มยุรีถามตีกิน ไม่ตอบคำถามของท่าน

“พ่อจะว่ายังไง ก็บอกเขาว่ามีคู่หมั้นแล้ว และเล่าเรื่องให้เขาฟัง กับบอกว่าพ่อยังตกลงยังไม่ได้ จนกว่าจะครบกำหนดหกเดือนตามที่ฝ่ายชายเขาสัญญา”

“ก็ดีแล้วนี่คะ”

เจ้าคุณมองดูหล่อนด้วยความประหลาดใจ เป็นความจริงท่านยังไม่รู้จักบุตรสาวของท่านเองเลยทีเดียว ใจของหล่อนเป็นยังไรก็ไม่รู้ ความในใจของมยุรีไม่เคยขยายให้ท่านทราบแม้แต่น้อย และตามธรรมดาบิดาแม้จะรักบุตรสักปานใด ก็หามีความเอาใจใส่ ค้นความคิดและนิสัยของบุตรเท่ากับมารดามักค้นไม่ หญิงโดยมากช่างคิด ช่างตรอง ช่างแคะช่างไค้ ช่างปะติดปะต่อ ความสามารถในทางสังเกตความคิดมนุษย์จึงมีภาษีกว่าชาย

“เจ้ารักนายละออไหมล่ะ ?” เจ้าคุณถามบุตรี

“ลูกไม่รักใครทั้งนั้นแหละค่ะ นอกจากคุณพ่อ พูดแล้วมยุรีลุกขึ้นจากเก้าอี้มาคุกเข่าที่ข้างบิดา เอาศีรษะซบกับเข่าของท่านนิ่งไปครู่หนึ่ง มีความรู้สึกประหลาดเกิดขึ้นน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว หล่อนยกมือขึ้นปิดหน้า พยายามกลั้นก็ไม่อยู่ เลยปล่อยสะอื้นออกมาดัง ๆ เจ้าคุณไมตรี ฯ ทั้งตกใจและประหลาดใจ ค่อย ๆ พยายามเล้าโลมปลอบถามเหตุผลก็ไม่ได้รับคำอธิบาย มยุรียังคงสะอื้นถี่อยู่เช่นนั้นจนธรรมชาติของร่างกายเบื่อแล้วก็นิ่งไปเอง

นิสัยผู้หญิง แม่เขานั่นแหละ โกรธก็ร้องไห้ ดีใจก็ร้องไห้ เสียใจก็ร้องไห้ น้ำตาเป็นสรณะ เจ้าคุณรำพึงด้วยความเบื่อหน่าย แล้วนั่งนิ่งอยู่ มยุรีลุกขึ้นยืนหล่อนยิ้มทั้งน้ำตายังไม่แห้ง

“อย่าตกใจเลยค่ะ ลูกไม่เป็นอะไรเลย นึกอะไรบ้า ๆ ขึ้นมาเลยน้ำตาออก เดี๋ยวนี้หายสบายใจ แล้ว ไปอาบน้ำเสียที”

เจ้าคุณยังไม่ทันตอบว่ากระไร หล่อนก็หายตัวออกประตูไป

สิ่งแรกที่มยุรีทำเมื่อขึ้นไปถึงห้องก็คือเขียนข้อความดังต่อไปนี้......

นายประสม

หลวงประเสริฐชวนไปรับประทานอาหารที่บ้านวันนี้พร้อมกับฉัน ฉันไม่รู้จักบ้าน ขอให้นายประสมเป็นผู้นำออกจากบ้าน ๗.๓๔ ล.ท.

มยุรี วิบูลย์ศักดิ์

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ