พอพระยาบำรุงประชากิจ นอกราชการกระทรวงมหาดไทย อ่านจดหมายจบ ก็พอดีประตูหลังเปิดออกแต่เบา ๆ ชายหนุ่มร่างสูงโผล่เข้ามา

“อ้อ ประสงค์มาแล้ว! พอนึกจะเรียกก็โผล่ทีเดียว” เจ้าคุณว่าพลางจับแว่นตาให้เลื่อนมาอยู่ปลายจมูก

บุตรชายไม่ตอบว่ากระไร นั่งลงบนเก้าอี้ตรงหน้าบิดา ใช้ดวงตาดำใหญ่มองดูท่านเป็นทีถาม

“จดหมายของพ่อตาในอนาคตเจ้ายังไงล่ะ อ่านเอาเอง เอ้า”

ประสงค์รับจดหมายมาคลี่อ่าน มีใจความดังนี้

ถนนวิทยุ

วันที่

ญาติและเพื่อนที่รัก

จดหมายของเธอลงวันที่...........นั้น ได้รับแล้ว ขอบใจมาก เนื้อความที่เธอเขียนกล่าวถึงเจ้าหลานชายนั้น ทำให้ฉันละอายจนแทบจะเขียนจดหมายนี้ไม่ได้ เหตุว่านังลูกสาวหัวรั้นของฉัน มันไม่มีใจเหมือนกับพ่อประสงค์เสียเลย ดูเหมือนมันไม่เคยรู้เรื่องการหมั้น ซึ่งฉันเองก็จำไม่ได้ว่าเคยบอกกับมันหรือเปล่า ตั้งแต่มันรู้ความขึ้นนี้ พอฉันพูดขึ้นมันปั้นหน้ายักษ์ใส่ทันที หาว่าบังคับคลุมถุงชนอะไรต่ออะไรต่าง ๆ จะขู่ปลอบเท่าไรก็ไม่ฟัง บอกว่าถ้าขืนบังคับให้แต่งงานกับผู้ที่มันไม่รักมันเป็นยอมตาย ฉันก็จนปัญญา การที่จะกำหนดการแต่งงานดังที่เธอขอมานั้นยังเป็นไปไม่ได้ อีลูกคนนี้ยายมันเป็นอเมริกันแท้ ๆ ฉันก็ออกจะคร้ามโรคหัวดื้อของมัน ครั้นจะผัดผ่อนให้ยืดยาวต่อไป ก็ออกจะมิยุติธรรมกับหลานชายซึ่งมีอายุ ๒๘ ปีแล้ว เพราะฉะนั้น ฉันอนุญาตให้พ่อประสงค์เป็นอิสระ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป แต่สำหรับมยุรีนั้นแน่ละ มันต้องแต่งงานกับใครมิได้ นอกจากจะได้รับอนุญาตจากคู่หมั้น....

ประสงค์หยุดอ่าน ทอดสายตาคมฉาบมีความน้อยใจระคนด้วยความรักอย่างลึกซึ้งไปตรงหน้า พระยาบำรุงฯ มองดูหน้าบุตรชายนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้นไปยืนข้างหลังเขา ใช้มือตบบ่าเป็นเชิงเล้าโลม ท่านพูดว่า

“เห็นละว่า เจ้ามีความรักต่อเขาข้างเดียว แต่พ่อเห็นว่าการที่เจ้าจะทำใจให้เศร้าโศกเพราะเด็กแก่นคนนั้นน่ะไม่ควร มีรูปร่างตระกูลความประพฤติและสมบัติอย่างเจ้า อาทิตย์เดียวก็พอจะหาเมียสวย ๆ และดีเลิศได้ เขาไม่รักแล้วจะไปขัดใจทำไม ถอนหมั้นเสียพ่อจะหาให้เจ้าใหม่ ให้ดีกว่านางมยุรีตั้งร้อยส่วน”

ท่านหยุดคอยฟังคำตอบ เมื่อไม่มีจึงพูดต่อไป

“แต่พ่อของเขาเอง เขายังกล้าตีหน้ายักษ์ใส่ อย่างเราถ้าเมื่อได้แต่งงานกันแล้ว เขามิเหยียบคอหักรึ ? ลืมมันเสียเถอะความหลังน่ะ คนอย่างเจ้าไม่ดีพอที่จะคู่ควรกับเขา หา ! หา!”

เมื่อได้ฟังคำพูดของท่าน ใคร ๆ ก็อาจจะรู้ได้ทันทีว่าท่านแค้นที่ถูกเหยียด ปฏิเสธไม่ยอมแต่งงานกับคู่หมั้น ซึ่งเป็นลูกของผู้มียศและทรัพย์เป็นอเนกประการ คู่หมั้นที่มีรูปงามได้รับการศึกษาวิชาพาณิชยการจากประเทศฝรั่งเศส จบหลักสูตรบริบูรณ์ ! แน่ละท่านต้องฉุน มันเป็นการดูถูกกันโดยตรง ประสงค์ของท่านมิใช่ชายหนุ่มที่ดีทุกประการดอกหรือ เมื่อเขากลับจากนอก ชื่อเขามิได้เป็นชื่อที่ติดปากของสตรีเพศเป็นส่วนมากดอกหรือ ? ส่วนประสงค์ขณะนี้เขาเดาความคิดของบิดาไม่ถูกต้อง หันหน้ามาทางท่านด้วยอาการแช่มช้า เขาจับมือซึ่งแม้ยังมีกล้ามเนื้อแข็งเกร็งอยู่ แต่เนื้อย่นบ้างเล็กน้อยขึ้นบีบอย่างรักใคร่ พลางพูดว่า

“โปรดอย่าเพิ่งลงโทษหล่อนก่อน คุณพ่อครับ มยุรียังมิได้พบหรือรู้จักผมเลย นับแต่เจ้าหล่อน จากกับผมเป็นเวลาสิบปีมาแล้ว ความหลังคงจะเลือนจากสมองของหล่อนเสียสิ้น ผมเชื่อว่าหล่อนมิได้ตั้งใจจะดูหมิ่นผม นอกจากเป็นธรรมดาของผู้หญิง ที่ได้รับความอบรมอย่างสมัยใหม่เจี๊ยบในอเมริกา ย่อมถือความอิสระและใจตัวเองเป็นที่ตั้งดังนี้ การที่บิดาจู่ไปบอกว่าได้มัดหล่อนไว้ให้กับชายคนหนึ่ง โดยปราศจากความยินยอมของหล่อน จึงทำให้ความหยิ่งระเบิดขึ้น โปรดรอไปอีกสักหน่อย พอให้หล่อนเรียนรู้ความเป็นไปของเรา ได้พบกับผมเอง แล้วหล่อนคงจะยินยอมเป็นแน่.........”

“เออ! รอ! รอไปเถอะกว่าแม่เจ้าประคุณจะยินยอม ! ยอมกับคู่รักใหม่ของเขาน่ะรึ”

“คุณพ่อหมายความว่าอย่างไร ? ผมไม่เข้าใจ”

“จะหมายความว่ากระไร ก็หมายความว่าเวลานี้ เขาติดพันอยู่กับผู้ชายอีกคนหนึ่งน่ะซี!”

มือของประสงค์ที่จับมือเจ้าคุณอยู่ร่วงลงทันใด เขาหันมาจ้องท่านตาเขม็ง

“โปรดอธิบายให้ตลอดหน่อยครับ” เขาพูดเสียงต่ำ

“เรื่องมันเป็นยังงี้ พ่อได้บอกกับเทศาเขาเล่าว่า เมื่อขึ้นไปกรุงเทพ ฯ นั้นได้แวะไปเยี่ยมฉัตร ได้พบกับลูกสาว เทศาชมเชยว่าสวย แต่เสียดายที่ออกจะเปรี้ยวและดูเหมือนมีตัวอะไรมาตอมเสียแล้ว เพราะเห็นเขาขับรถออกจากบ้านด้วยกัน เทศาไม่รู้ว่ามยุรีเป็นคู่หมั้นของเจ้า ถ้ามิฉะนั้นคงไม่เอาเรื่องนี้มาพูด”

“แต่.......... ทำไมคุณพ่อถึงเพิ่งบอกกับผมล่ะครับ ?”

“เพราะพ่อมั่นใจว่า มันคงไม่ใช่คู่รัก พ่อคิดว่ามยุรีรู้ตัวว่ามีคู่หมั้นแล้ว ไหนเลยจะกล้าทำดังนั้น แต่ครั้นมาได้รับจดหมายนี้....”

ท่านหยุดมองดูบุตรชาย ประสงค์หันหน้ากลับหยิบจดหมายขึ้นอ่าน คล้ายกับเรื่องที่บิดาเล่านั้นไม่น่าเอาใจใส่ แต่มือทั้งสองสั่นจนเห็นได้ชัด เขาฝืนใจอ่านจดหมายฉบับนั้นจนจบ โดยเข้าใจเรื่องน้อยที่สุด แล้วพับใส่ซองเสียดังเดิม

เวลาที่กล่าวแล้วเป็นเวลา ๑ ล.ท. เศษสองพ่อลูกรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ขณะที่บุตรยังนั่งจมเก้าอี้ สูบบุหรี่ปล่อยควันโขมงขึ้นเพดาน ท่านบิดาได้เข้ามาในห้องเขียนหนังสือก็พบจดหมาย ซึ่ง บุรุษไปรษณีย์นำมาส่งไว้ตั้งแต่ ๑๑ ก.ท.

เวลาล่วงไปถึง ๒ นาฬิกาเศษ พระอาทิตย์คล้อยส่องแสงเหลืองจัด ลอดหน้าต่างซึ่งเปิดบานเกล็ดเข้ามาภายในห้อง เจ้าคุณผู้เฒ่าเดินกลับไปกลับมาอยู่ด้วยฝีเท้าเบา ๆ ประสงค์ลุกขึ้นพลางพูดว่า “ผมจะไปดูงานครับ เย็นวันนี้จะเรียนให้คุณพ่อทราบว่าตกลงใจอย่างไร”

งานที่ประสงค์จะไปดูนั้น ห่างจากบ้านที่อยู่ราว ๗๐ เส้นเศษ ประสงค์สวมกางเกงขี่ม้า ทอบบู๊ต และเสื้อเชิ้ต ม้าที่ขี่สีดำ เขาหย่อนบังเหียนปล่อยให้มันวิ่งเหยาะ ๆ ไปตามสบาย ความร้อนใจทำให้ลืมร้อนตัว นอกจากเงาดำของหมวกกะโล่ที่ปิดบังหน้าตลอดถึงคอแล้ว สรีรร่างของประสงค์ ดูสีเหลืองจัดเพราะแสงแดดจับอยู่ นายประสงค์ วิบูรย์ศักดิ์เป็นบุตรชายคนเดียวของมหาเสวกโทพระยาบำรุงประชากิจ เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ดวงหน้าเสี้ยมประกอบด้วยหน้าผากกว้างนั้นคมคาย และคล้ามเพราะถูกแดดเผา งานที่เขาทำอยู่ คือเป็นผู้จัดการป่าไม้ขอนสักของบิดา หรือของเขาเองก็ว่าได้

หลังจากที่ได้กลับจากประเทศฝรั่งเศส และได้มาฝึกหัดวิชาป่าไม้ในสยามอีกในเวลามินาน เขาก็มีความรู้ในการงานดีและเป็นหัวหน้า และผู้จัดการอันมีอำนาจสิทธิขาดแต่ผู้เดียว ผู้ถือหุ้นนับด้วยร้อยคนขึ้นไป ยอมมอบโชคชาตาของตนให้อยู่ในกำมือของผู้จัดการหนุ่มนี้ ด้วยเชื่อในเกียรติยศ และความสามารถของเขาเต็มตัว ประสงค์เป็นคนรักงาน เห็นการทำงานทั้งทางสมองและทางกำลัง เป็นกีฬาชนิดที่ประเสริฐสุด ชั่วเวลาสามปีที่ประสงค์เข้าดูแลงานของบริษัทนี้ทำให้งานเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว เหล่าคนที่อยู่ใต้บังคับนับครึ่งพัน ก็นิยมนับถือในความเที่ยงตรง ความอารีความเมตตาต่อสัตว์ผู้ยากของประสงค์อย่างสูง การทะเลาะวิวาทอิจฉากัน มิค่อยปรากฏระหว่างคนงาน ถ้าหากจะมีขึ้นประสงค์เป็นผู้ไกล่เกลี่ยและตัดสิน ทั้งผู้แพ้และชนะก็พอใจ ยอมเลิกแล้วต่อกันโดยดี ประสงค์ย่อมสุภาพและอ่อนโยนต่อผู้ที่ต่ำกว่าแลเสมอกัน แต่มักกระด้างและโหดเหี้ยมต่อผู้เกกมะเหรกวางตัว คนดีย่อมดีพร้อมมิได้ฉันใด ประสงค์ก็มีเสียฉันนั้น คือเขาซ่อนความมีใจร้อนผ่าว และหยิ่งต่อเกียรติยศของลูกผู้ชายไว้ภายใต้กิริยาอันเยือกเย็น การดูหมิ่นเหยียบจมูกกัน ประสงค์ทนไม่ได้เสียเลย เขาเป็นคนที่จริงคนหนึ่งจริงทุก ๆ สิ่ง รักจริง เกลียดจริง ทำจริง สิ่งเหล่านี้แม้บิดาของเขาเองก็เคยหวั่นใจว่า จะทำให้บุตรชายต้องได้รับความลำบากสักหนหนึ่ง ขณะนี้เขากำลังรำพึงถึงเรื่องที่ได้สนทนากับบิดามาเมื่อครู่ก่อน “มยุรีมีคู่รักใหม่ !” ข้อนี้จริงหรือ เลือดแห่งความริษยาแล่นขึ้นบนสมองจนหน้าร้อนฉี่ แต่ความรักในคู่หมั้นมิได้คลายลง เป็นความรักที่ระคนกับความแค้นและเจ็บใจ เขาจะทำอย่างไรดี ไปหาหล่อนแนะนำให้หล่อนรู้ว่าตัวเป็นคู่หมั้น และวิงวอนให้หล่อนแต่งงานด้วยหรือ ! ถ้าเผื่อหล่อนสะบัดหน้าและร้องว่า “ไม่เอา ฉันเกลียดแก ฉันเกลียดแก” ไม่ไหว ประสงค์เป็นคนหยิ่ง เขารู้ตัวว่า ถ้าได้ยินคำพูดเช่นนั้น ความน้อยใจจะทำให้คลั่ง ถ้าไม่มีชายอื่นมาเกี่ยวข้องอยู่ก็พอทำเนา แต่นี่มามีคนรักใหม่ เสียงหนึ่งบอกว่า “ก็หล่อนรักเขา เขารักหล่อน ควรจะถอนหมั้นเสียเถอะ” อีกเสียงหนึ่งเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งตอบว่า “ไม่มีวันเสียละ หล่อนเป็นของเรา เราหมั้นกันไว้แต่เด็ก สิ่งใดที่เป็นของเราจะต้องเป็นอยู่เสมอและเราจะเก็บรักษาไว้ด้วยดีมิให้บุบสลาย” ประสงค์กำมือแน่นด้วยลืมตัว บังเหียนอยู่ในมือกดกับเนื้อจนบู้ ทำให้รู้สึกเจ็บเป็นการเตือนสติ ดวงตาลุกวาว ทันใดนั้นภาพแห่งเหตุการณ์ที่ล่วงแล้วมาปรากฏขึ้นในสมอง........ ตึกใหญ่สูงตระหง่าน ตั้งอยู่ที่ถนนวิทยุ กำแพงล้อมบ้านทาสีน้ำเงินแก่ สนามกลม หญ้าเขียวชอุ่มอยู่ตรงหน้าตึก เมื่อภาพนี้เปิดฉากขึ้นนั้น คือเด็กรุ่นหนุ่มอายุ ๑๖ ปีสวมกางเกงขาสั้น เสื้อชั้นนอกขาว ลงจากรถยนต์ตรงหน้าตึก ทันใดนั้นก็มีเสียงแจ๋วร้องว่า “พี่ประสงค์มาแล้ว คุณลุงขา” เสียงฝีเท้าเสียงบังตาเปิด ร่างอันอวบอ้วนของเจ้าของเสียงกำลังฉุดมือชายอายุ ๔๕ ปีออกมา ร่างนั้นโถมเข้ามากอดเด็กชาย เขาอุ้มหล่อนขึ้นจุมพิตด้วยแสนรักแล้ววางลง เข้าไปกราบและกอดบิดา ภาพต่อมาก็คือ เขาอุ้มหล่อนเจ้าของร่างมีอายุ ๑๐ ปีลงมาที่สนามแล้ววิ่งไล่เล่นหยอกล้อกันไปมา....

ถึงตรงนี้ประสงค์ทอดถอนใจครั้งหนึ่ง ดวงตาดำนั้นมีแสงแห่งความรักดูอ่อนโยน และดวงหน้าก็แช่มชื่น เขาคิดต่อไป....ปีกว่าล่วงแล้ว ขณะที่เขาออกจากห้องเรียนแห่งมหาวิทยาลัยบางขวาง เขาได้รับจดหมายอักษรที่หน้าซองตัวโตมาก เขายกจดหมายนั้นขึ้นจูบ ลืมเวลาเล่นเสียสิ้น ค่อย ๆ ฉีกจดหมายออกอ่าน ตอนหนึ่งของจดหมายนั้นประสงค์ยังจำขึ้นใจได้ดี เพราะมันทำให้เขาตันใจอย่างยิ่ง มีเนื้อความว่า.... “คุณพ่อกลับมาถึงแล้ว คุณลุงว่าพ่ออ้วนขาวขึ้น พ่อจะอยู่กับคุณลุงเดือนหนึ่งแล้วจะกลับไป แต่พ่อว่าจะพามยุรีไปด้วย พ่อว่าเมืองนอกสนุก พ่อจะให้มยุรีเรียนหนังสือฝรั่ง มยุรีอยากไปเที่ยว แต่ว่าให้พ่อพาพี่ไปด้วย คุณลุงว่า พี่ไปไม่ได้เดี๋ยวนี้ พี่ยังต้องเรียนหนังสือ มยุรีว่าถ้างั้นมยุรีไม่ไป พ่อว่ามยุรีทำอย่างนั้นไม่รักพ่อ รักพี่ประสงค์คนเดียว มยุรีว่าไม่รู้ คุณลุงว่ามยุรีไปแล้วหกเดือนพี่จะตามไป มยุรีว่าไม่เอา พ่อปลอบมยุรีใหญ่ มยุรีร้องไห้ พ่อว่าจะซื้อตุ๊กตาสวย ๆ ให้ มยุรีบอกว่าจะไปด้วย แต่อยากว่ายน้ำเป็นเหมือนพี่ก่อน วันเสาร์พี่มาต้องหัดให้มยุรีนะจ๊ะ มยุรีมีกระป๋องแล้ว....” เป็นครั้งที่สองประสงค์ถอนใจ คราวนี้ดังคล้ายแกมสะอื้น อีกเดือนหนึ่งต่อมามยุรีจากเขาไปยังมุมหนึ่งของโลก ตั้งแต่นั้นทั้งสองมิได้ส่งข่าวถึงกันอีกเลย ประสงค์ยังจำวันที่เขาไปส่งพระยาไมตรีพิทักษ์ได้ดี เรือสินค้าใหญ่ชื่อ “สุพรรณ” จอดอยู่ที่หน้าโรงสีมีจีนเป็นเจ้าของ เมื่อเรือใหญ่เปิดหวูดจะเริ่มใช้จักร เขากราบลาเจ้าคุณไมตรีราชทูตผู้อาจะลงเรือเล็ก ดวงใจตื้นตันด้วยความอาลัยในน้องสาว มยุรีวิ่งมากอดคอแน่นร้องว่า “ไม่เอา หนูไม่ไปกับพ่อ หนูจะไปกับพี่” ประสงค์กอดน้องแน่น มานะลูกผู้ชายห้ามน้ำตาไว้ได้ เขาจูบหล่อนหลายครั้งติด ๆ กัน ใครจะดึงเท่าไรมยุรีก็ไม่ยอมปล่อย จากคอ จนใคร ๆ พากันใจเหี่ยวไปด้วย กัปตันเรือชาตินอร์วิเยี่ยน อายุเกือบหกสิบ ทำจมูกแดงดังฟิด ๆ เรือเปิดหวูดครั้งที่สอง ผู้ที่มาส่งทูตต่างลงเรือเล็ก ประสงค์เป็นคนสุดท้ายที่อยู่ในเรือใหญ่ เขายืดตัวตรงถอนใจฮืดค่อย ๆ แกะมือที่รอบคออยู่ ผมหยิกหยองสีน้ำตาลเข้มของมยุรีปิดบังดวงหน้าอันแดงก่ำของเขาจากผู้อื่น เขาปลอบหล่อนด้วยเสียงอ่อนหวานและฝืนให้ร่าเริง จุมพิตแก้มเป็นพวงทั้งสองข้าง แล้วหันหลังวิ่งลงกระไดไป

หวูด! ฉึ้ง! ฉั้ง! เรือสุพรรณเริ่มใช้จักรเคลื่อนออกจากที่ช้า ๆ ประสงค์ยืนกอดอกอยู่ที่หัวเรือยนต์ จ้องจับอยู่ที่ร่างของเด็กสวมกระโปรงขาวกำลังร้องดิ้นอยู่ไปมา ส่วนในเรือใหญ่กัปตันผู้เฒ่ายืนอยู่ข้างพระยาไมตรีพิทักษ์ พูดภาษาอังกฤษเสียงแปร่ง ๆ ว่า “เด็กชายคนนั้นโตขึ้นจะเป็นคนจริงคนหนึ่งจำไว้นะ ข้าพเจ้าดูคนไม่เคยผิด”

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ