๑๑

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป เป็นสัปดาห์ที่ร้ายที่สุดในชีวิตของมยุรี หล่อนกำลังคอยอะไรอย่างหนึ่งอยู่ด้วยความร้อนใจและสงสัย มยุรีเคยถามตนเองว่านักโทษความผิดฐานฆาตกรรมที่รอฟังคำตัดสินกับหล่อนนั้น ใครจะมีความรุ่มร้อนมากกว่ากัน วันนี้หัวใจมยุรีเต้นแรงตลอดวัน เมื่อวานบิดาหล่อนได้รับโทรเลขจากเจ้าคุณบำรุงฯ แจ้งว่าจะมาถึงกรุงเทพ ฯ บ่ายวันนี้พร้อมกับบุตรชาย ท่านก็ได้มาถึงแล้ว แต่มยุรีก็ยังมิได้พบหน้าค่าตานายประสงค์คู่หมั้น ภายหลังที่ได้พบกับเจ้าคุณบำรุง ฯ ทักทายกันตามธรรมเนียมแล้ว เจ้าคุณบำรุง ฯ บอกกับเพื่อนของท่านว่าประสงค์จะมาถึงบ้านทีหลัง มยุรีปล่อยท่านผู้ใหญ่ไว้ด้วยกันตามลำพังที่ในห้องรับแขก ตัวหล่อนเองออกมาข้างนอก เป็นเวลาสายัณห์ พระอาทิตย์ในฤดูหนาวเลี่ยงจากโลกเร็วกว่าธรรมดา อากาศเย็นฉ่ำ แต่มยุรีกลับร้อนเหงื่อออกตามขุมขน หล่อนพาตัวไปนั่งอยู่ที่ขอบสระข้างตึก พลางอารมณ์ก็คำนึงถึงความเป็นไปของตัว นาน ๆ หล่อนระบายลมหายใจยาวด้วยความเหนื่อยอ่อน ประสมรักษาคำพูดของเขา หล่อนจะได้พบกับคู่หมั้นอย่างช้าค่ำวันนี้เป็นแน่นอน แล้วใจของหล่อนจะเป็นอย่างไรต่อไป

“มาเยอรี่ มา ฟิยองเซ !” (Marjorie ma Fiancee) อ่อนหวานเต็มไปด้วยความปรานีที่มยุรีรู้สึกจากน้ำเสียงนั้น หล่อนรู้สึกเย็นวาบแล้วกลับร้อน เขามาแล้วสิ ! คู่หมั้นตั้งแต่ยังมิรู้ความ ! ชีพจรเต้นถี่ยิ่งขึ้น หล่อนหันเข้ามาทางเสียงช้า ๆ ทอดตามองดูตั้งแต่ปลายเท้าของผู้ที่ยืนอยู่ แล้วเลื่อนสูงขึ้นเป็นลำดับจนถึง คอ คาง ริมฝีปาก อันปราศจากหนวดและศีรษะ

“นายประสม !” มยุรีอุทานเกือบจะเป็นเสียงตะโกน

“ถูกแล้ว! ประสมก็คือประสงค์คนเดียวกัน !”

มยุรียกมือขึ้นปิดหน้า ร้อนผ่าวไปทั้งตัวรู้สึกศีรษะหมุนติ้ว ๆ หัวใจเบ่งพองเต็มที่ เขานายประสมคือตัวคู่หมั้นของหล่อน ! คุณพระช่วย ตื่นเต้น ประหลาดใจ ดีใจปนกันยุ่ง มยุรีหลั่งน้ำตาออกมาอีก น้ำตาแห่งความปลื้ม ความปีติ ความโล่งใจ ความสุขที่ไม่ได้หวัง ถ้าฉะนั้นตลอดเวลาหกเดือนหล่อนก็ได้รักคนถูก จริง ! หล่อนรับได้แล้วว่าบัดนี้หล่อนรักเขา เขา-คู่หมั้นของหล่อนเอง !

ประสมนั่งลงข้างกายคู่หมั้น มองดูมือเรียวเล็กที่กำลังบังหน้าอยู่ แล้วพูดเสียงเดิม

“ร้องไห้อีกแล้ว คุณเสียใจหรือพอใจที่ประสงค์หรือประสมเป็นคนเดียวกัน ?”

เขาหยุด ค่อยดึงมือทั้งสองลงจากดวงหน้ามยุรี แล้วพูดต่อไป

“หรือการที่ประสมมากลายเป็นประสงค์ไปเช่นนี้ทำให้คุณรังเกียจยิ่งขึ้น แต่อย่างน้อยคุณก็เห็นละว่าผมมิได้ทอดทิ้งคุณดังที่คุณคิด”

มยุรีเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาแดงก่ำ กระนั้น หล่อนก็ยิ้ม คล้ายมาลีที่ถูกแดดในเวลาเที่ยงเผา แล้วและกลับสดชื่นขึ้นเมื่อมีผู้เอาน้ำเย็นมาประพรม หล่อนพูดเสียงแผ่วเบา

“คุณใจดำมาก เหตุไรไม่บอกเสีย เหตุไร ต้องปลอมชื่อและปลอมตัว ?”

“ก็เพราะผมได้ทราบว่าคุณรังเกียจ ไม่ยอมถือสัญญาที่ท่านผู้ใหญ่ได้ทำไว้ต่อกัน และการที่ผมบอกความจริงกับคุณนี้ หาใช่จะเคี่ยวเข็ญน้ำใจคุณไม่ นอกจากจะฟังคำตัดสินของคุณ และปฏิบัติตามสัญญาที่ผมได้ให้ไว้ บัดนี้โปรดบอกว่าคุณจะคิดอย่างไร ?

การเป็นอันกระจ่าง ประสงค์ก็รักหล่อนจริง เขาจึงอุตส่าห์ปลอมแปลงมาอยู่ด้วย มยุรียิ้มอย่างผาสุกหล่อนพูดว่า

“ข้อแรกที่ฉันจะระลึกก็คือ ขอให้นายประสมเลิกใช้คำว่า ‘ผม’ แต่บัดนี้ไป ส่วนข้อสองอยากจะทราบว่าเหตุใดจึงโกนหนวดดกดำของเขาเสีย ?”

“การที่จะให้ฉันตอบคำถามแทนประสมนั้นยาก เพราะฉันหาใช่ตัวเขาไม่ ฉันชื่อประสงค์ วิบูลย์ศักดิ์”

มยุรียิ้มละไม “ดูราวกับเรื่องหนังสืออ่านเล่น” หล่อนว่า “แต่เหตุไรจึงต้องมีเจ้าหนวดเข้าไว้ด้วย”

“เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าคุณจะจำไม่ได้ ถึงหากครั้งสุดท้ายที่ท่านได้เห็นฉันเป็นเวลาสิบปีล่วงแล้ว ฉันก็ยังไม่แน่ใจว่าท่านจะลืมเค้าหน้าได้สนิท ว่าแต่นี่แน่ะ เมื่อไรจะตอบคำถามของฉันสักที ?”

มยุรีนิ่งอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง แล้วจึงพูดเรียบ ๆ

“เรื่องนั้นตกเป็นหน้าที่ของคุณจะเลือกตามใจ คุณสมบัติของดิฉันต่ำกว่าคุณมากนัก ดิฉันเป็นคนเลวทราม สมกับจะถูกเหยียบเพียงไร คุณก็ทราบอยู่แล้ว คุณยังไม่เปลี่ยนความคิดหรือคะ ?”

“พูดอะไรเช่นนั้นมยุรี” ประสงค์ตอบอย่างนุ่มนวล “ขอให้ฉันพูดกับเธอดังที่ฉันเคยพูดเมื่อกาลก่อน ความรักของฉันแน่วแน่ไม่โอนเอียง เราเคยรักกันมาแต่เด็กรักกันมาปานจะกลืน เธอคงจะได้ลืมเสียแล้วแต่ฉันยังจำได้ทุกอย่างเธอเรียกฉันว่า ‘พี่’ ฉันเรียกชื่อเธอเฉย ๆ เราเคยเล่นด้วยกันกินด้วยกัน เวลานั้นเธอเปรียบเหมือนน้องร่วมท้องของฉัน ฉันเห็นเธอเป็นเด็กกว่าฉันมาก ทุก ๆ วันเสาร์ที่ฉันกลับจากโรงเรียนความสุขที่สุดก็คือได้พบหน้าเธอ เออ ! วันที่เราจะจากกันจากด้วยกายและด้วยใจ !” เสียงของเขาอ่อนลงเป็นลำดับและเป็นกังวานซึ่งแกมสลด “เธอลืมพี่ประสงค์เสียสนิท แต่ฉันหาได้ลืมมยุรีน้อยไม่ ความรักฝังอยู่ในดวงจิตเสมอ แม้เป็นความรักที่มีลักษณะต่างกันตามกาลและเวลา แต่ก็เป็นความรักที่ได้มีต่อเธอตลอดเวลาที่อยู่ในยุโรป ฉันทำงานด้วยความตั้งใจสามประการ เพื่อชาติหนึ่ง เพื่อตระกูลหนึ่ง และเพื่อผู้ที่จะเป็นภรรยาฉันหนึ่ง เวลาสิบปีเศษที่ฉันรู้สึกตัวเป็นคนมีเจ้าของ ฉันกลับมายังบ้านเกิดก็ได้กลั้นใจคอยฟังข่าวในเรื่องเธอ คุณพ่อของฉันเองก็หาทราบไม่ว่าฉันมีความรักอยู่ในใจ ดูเหมือนท่านลืมการหมั้นของเราเสีย เป็นธรรมดา ท่านมีงานทำมาก ทั้งนึกว่าฉันยังเป็นเด็กอยู่เสมอ จึงหานึกถึงการมีเหย้าเรือนของฉันไม่ จนเธอกลับมากรุงสยาม ฉันได้สะกิดท่านขึ้น ท่านจึงนึกได้ และได้เขียนจดหมายถึงเจ้าคุณตามที่เธอทราบแล้ว เมื่อวันได้รับจดหมายตอบ นอกจากนั้นยังได้ทราบข่าวอื่นที่ทำให้ฉันเกือบจะแน่ใจว่าเธอจะหลุดจากฉัน ฉันได้รับความเสียใจเป็นที่สุด จากนั้นเขาบรรยายด้วยเสียงกังวานอ่อนโยนแกมโศกถึงภาพที่เขาได้นึกขึ้นในวันนั้นจนตลอด มยุรีนิ่งฟังหายใจสะท้อน รู้สึกเศร้าราวกับอยู่ในวันที่จะลงเรือไปอเมริกาจริง ๆ ในตอนท้ายเขาเสริม “ในชีวิตของฉันมยุรี เคยมีทุกข์จริงสองครั้ง ครั้งหนึ่งเมื่อเธอจะจากไปอยู่ต่างประเทศ ครั้งที่สองได้ทราบข่าวเล่าลือว่าเธอมีคู่รักคนหนึ่ง”

มยุรีเงยหน้าขึ้นมีน้ำตาเต็มตา คำพูดของเขาทุกคำแทงใจหล่อน ทำให้เกิดความรักความสงสารและความเสียใจเป็นที่สุด หล่อนยื่นมือออก ซึ่งประสงค์จับบีบแน่น พลางมองดูหน้าอันงาม คล้ายกับจะนึกถึงพระราชนิพนธ์อิเหนาตอนที่ว่า :-

เห็นพระน้องทรงโศกกันแสงไห้

พระสวมสอดกอดไว้แล้วรับขวัญ

ดังตายแล้วเกิดใหม่ได้พบกัน

อย่าโศกศัลย์นักเลยกัลยา...”

“ดิฉันรักคุณ” มยุรีกระซิบ โลหิตแล่นขึ้นหน้าด้วยความอาย แต่หล่อนเห็นว่าควรกล่าวอะไรสักคำเพื่อให้เขาชื่นใจ

“ขอบใจยอดรัก” ประสงค์กล่าว “ในที่สุดฉันก็ได้เธอไว้อีก ตรงนี้กาลครั้งโน้นเราเคยนั่งเล่นกัน เธอไม่เสงี่ยมหงิมเหมือนดังเวลานี้ จำคราวที่ฉันหัดให้เธอว่ายน้ำได้ไหม เธอไม่ขี้ขลาดเลยมยุรี” เขาหยุดชั่วครู่หนึ่ง “เออ นี่แน่ะ ฉันอยากถามอะไรเธอสักหน่อย..คืนวันนั้น เหตุไรเธอจึงโทรศัพท์ไปเรียกหมอละออ ฉันตามเธอออกไปและได้เห็นเธอหายเข้าไปในตู้โทรศัพท์ อะไรทำให้เป็นเช่นนั้น”

หล่อนนิ่งอึ้งอึดอัดอยู่ครู่หนึ่ง “ดิฉันไม่ทราบ ... ดิฉันทนดูความสนิทสนมระหว่างนายประสมกับประภาไม่ได้”

“อ้อ – เพราะเหตุใด เธอ........เธอ อิจฉารึ ทำไมเธอเกลียดเลขานุการของคุณพ่อไม่ใช่รึ ?”

“ดิฉันคิดว่าเปล่า” มยุรีตอบอย่างไตร่ตรอง “เราจะเป็นคู่ร่วมสุขร่วมทุกข์กันต่อไป ทางดีที่สุดดิฉันต้องเปิดน้ำใสใจจริงของดิฉันให้คุณเห็นกระจ่าง ดิฉันคิดว่า....ง่า บางทีดิฉันเข้าใจว่ารักนายประสม”

“อะไร เป็นไปได้เทียวรึ” ประสงค์ร้อง “แต่ – อ้อ จริงละ บางทีฉันเคยสงสัยว่า เธอเอาใจใส่กับเลขานุการเหมือนกัน”

“ค่ะ หลายครั้งที่สุด ดิฉันต้องสอนตัวเองว่า ฐานะนายประสมกับดิฉันนั้นมันผิดกัน ยิ่งกว่านั้นเขาแสดงกิริยาเย่อหยิ่งต่อดิฉัน” หล่อนหัวเราะเบา ๆ จ้องดูหน้าคู่หมั้น “ดิฉันพยายามไม่นึกถึงเขาก็ไม่สำเร็จ เหตุนั้นดิฉันจึงหวนนึกถึงคู่หมั้นอยากพบ อยากรู้จัก และอยากรักเขาเพื่อให้ลืมนายประสมเสียได้”

“เออ ดูราวกับเรื่องนิยาย ลงท้ายที่สุดผู้ที่ฉันควรอิจฉาก็คือเจ้าประสมตัวดีน่ะเอง ผ่าซีหมอนี่ ขอให้ได้พบสักทีจะยิงเสียทีเดียว”

หนุ่มสาวหัวเราะอย่างเบิกบาน

“แหม ! คุณพ่อจะประหลาดใจและดีใจเพียงไร ท่านรักพ่อประสมของท่านมากจนบางคราวดิฉันนึกอิจฉา”

ประสงค์ยิ้ม “เคราะห์เขาดี นายประสมไม่เหมือนฉัน ช่างแสนจะอาภัพ”

มยุรีไม่นึกสนุกในคำพูดเล่นของเขา คงกล่าวต่อไปอย่างขรึม “ดิฉันเป็นลูกหนี้บุญคุณนายประสมอยู่มากถ้าไม่ได้เขา”

“อย่า ยอดรัก อย่าพูดถึงเรื่องนั้นอีก มันจะทำให้เธอไม่สบาย ฉันไม่อยากเห็นเธอร้องไห้”

ความมืดคลานเข้ามาเป็นลำดับ อากาศหนาวเย็นเข้าทุกที ทั่วบริเวณบ้านมีสีนวลแห่งแสงเดือนฉายให้ความสว่างแทนดวงอาทิตย์ วงแขนประสงค์โอบรอบตัวมยุรีอยู่กระชับชิด เขาทั้งสองต่างซบศีรษะเข้าหากันและริมฝีปากของประสงค์แนบสนิทอยู่กับริมฝีปากอันอ่อนละมุนของมยุรี.

----------------------------

 

  1. ๑. “คู่หมั้นของฉัน” ใช้คำฝรั่งเพื่อให้ขำขึ้น ออกจะโก้หร่านไปสักหน่อย ถ้าขัดหูโปรดให้อภัย

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ