พระราชวังพญาไท ในสมัยรัชกาลที่ ๗ ใคร ๆ ก็ทราบว่าเป็นสถานที่หรูที่สุดในกรุงเทพ ฯ พระนครในวันพุธและวันเสาร์ย่อมมีสุภาพบุรุษและสตรีทั้งชาวพระนครและชาวต่างประเทศไปชุมนุมหาความเบิกบานกันมากมาย ตัวตึกชั้นล่างเป็นเฉลียงยาวมีคนเดินกันขวักไขว่ มีโต๊ะตั้งอยู่เป็นหย่อม ๆ เสียงพูดทั้งภาษาฝรั่งและไทยดังแซ่ บ๋อยวิ่งยกเครื่องดื่ม หลีกคนที่เดินและนั่งด้วยความลำบาก ห้องเต้นรำที่ออกจะแคบก็ก้องไปด้วยเสียงดนตรีฝรั่งบรรเลงเพลงเต้นรำ ไทยจับคู่กับฝรั่ง ฝรั่งจับคู่กับไทย จีนกับไทย ไทยกับจีน ไทยต่อไทย ประคองกันก้าวเท้าเดินตามจังหวะดนตรี ไหล่ต่อไหล่สีกัน ทรวงต่อทรวงประสานกัน มือต่อมือสัมผัสกัน ยิ่งเวลา ๑๐ นาฬิกาล่วงแล้ว คนก็ยิ่งมากขึ้นเป็นลำดับ จนพัดลมหามีอำนาจปัดเป่าความร้อนได้ไม่ ฝ่ายชายเสื้อเชิ้ตชุ่มด้วยเหงื่อ ฝ่ายหญิงเสื้อแพรคอกว้างแขนไม่มีต่ำกว่าไหล หรือที่ถูกเสื้อไม่มีแขนเปิดให้ผิวหนังได้รับอากาศได้มากกว่า ถึงกระนั้นหล่อนก็ยังต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าแพร หรือลินินกว้างยาวไม่เกินหนึ่งคืบขึ้นซับเหงื่อที่หน้าผากบ่อย ๆ เหงื่อเจ้ากรรมมันทำให้หน้าหายนวล แก้มหายแดง และริมฝีปากเป็นสีม่วง กลิ่นน้ำหอมปนกับกลิ่นแอลกอฮอล์ปนกับกลิ่นบุหรี่แล่นเข้าฆานประสาท

ในจำนวนชายหญิงที่กล่าวมาแล้วน มีมยุรีรวมอยู่ด้วยหล่อนออกมาจากห้องเต้นรำ พร้อมด้วยคู่นายละออสวมเครื่องแต่งกายเวลาเย็นเยี่ยงชาวยุโรป ดวงหน้าอันเคยขาวกลายเป็นสีแดงจัดตลอดถึงหู ร่างสันทัดของเขาก็เหมาะกับเครื่องแต่งกายดีอยู่ มยุรีสวมเครื่องแต่งกายแดงแช้ดทั้งตัว รองเท้าแพรแดงนั้นส้นสูงปรี๊ด ทำให้ไหล่ของหล่อนได้ระดับกับไหล่ของนายละออ ดูเขาก็สมเป็นคู่กัน ฝ่ายสุภาพบุรุษยอมให้มยุรีเป็นคนสวย ฝ่ายสตรียกนายละออให้เป็นคนเก๋ นายละออมีหน้ายิ้มแย้มเสมอ กิริยากร้องแกร้ง แว่นตาโตทำให้เขาดูดีขึ้น เมื่อพูดกับมยุรีเขามักก้มหน้าเข้าไปจนชิดหล่อน เสียงที่พูดมีเสียงหัวเราะแกมเสมอ มยุรีมักมองดูเขาด้วยสายตาแสดงความพอใจ บางคราวหล่อนยิ้มอย่างล้อเลียน บางคราวก็มีแกมเยาะ สิ่งเหล่านี้ละออไม่เห็นประหลาด ธรรมดาผู้หญิงต้องดีดดิ้น ผู้หญิงซื่อ ๆ ดูไม่เพลินตา

“แหม ! เพลงเมื่อกี้เพราะจริง !” พยอมพูดเมื่อหนุ่มสาวทั้งสองเดินไปถึงที่หล่อนนั่งอยู่กับเพื่อนชายและหญิงอีกรวม ๕ คนด้วยกัน

“เพราะมาก” ละออรับ “ตั้งแต่เต้นรำมายังไม่เคยชื่นบานเท่าเมื่อกี้เลย”

“ด้วยคู่ที่งามเช่นนั้น ใครเล่าจะไม่ปลื้ม !” ชนชาติอเมริกันเข้าใจภาษาสยาม แต่พูดไม่ค่อยได้พูดเสริม

ละออก้มศีรษะให้มยุรีเป็นเชิงรับคำ ชายหนุ่มอีกสองคนร้องขึ้นพร้อมกันว่า

“พูดดีมาก!”

มยุรีก้มศีษะเอียงอายพอเป็นที คำชมเชยเพียงเท่านี้ ไม่พอที่จะทำให้หล่อนกระดากหรอก หล่อนเคยชินเสียมากกว่านี้หลายเท่า อย่างไรก็ดี หล่อนพูดเป็นภาษาอังกฤษว่า

“มิสเตอร์แอ็ดดิสัน ไม่ทราบเลยว่าท่านยอเก่งถึงเพียงนี้”

“โน ๆ ! มายชายยอ” นายฝรั่งค้านด้วยภาษาไทย “เพนความจริงเช่นน้าน”

“จะดื่มอะไรกันบ้าง” นายละออถาม

“โอ! เราดื่มกันพอแล้ว” ชายหนุ่มที่นั่งข้างพยอมบอก เขาคือหลวงดำริสุขการ ข้าราชการในกรมนคราทร อีกคนหนึ่งอ้วนกว่าเขา แต่หน้าอ่อนกว่า ชื่อนายยวง มยุรีได้พบกับเขาทั้งสองในวันนี้เอง ละออแนะนำให้รู้จัก แต่มันเป็นจรรยาของหญิงที่ได้รับการศึกษาชั้นสูงและทันสมัยเจี๊ยบ ที่จะต้องแสดงกิริยาสนิทสนมต่อผู้รู้จักทุกคน จะเป็นเพื่อแสดงความใจดีไม่เย่อหยิ่ง หรือความมีปากหวานอะไรก็ตามที และยิ่งในงานเช่นนี้ มีผู้รู้จักมากก็ยิ่งมีเกียรติยศมาก และความสนุกมาก มาพญาไทในวันที่มีเต้นรำแล้วไม่รู้จักกับใคร นั่งจ๋องอยู่จะได้ความเพลิดเพลินมาจากไหน ?

“คุณพี่เป็นคู่เต้นรำกับน้องหน่อยเถอะ !” พยอมพูดขณะที่ดนตรีเริ่มบรรเลงเพลงขึ้นอีก

“ได้ซี แต่ไม่ต้องถามพี่นะ ว่ารอบเมื่อกี้กับรอบที่จะเต้นนี้ พี่รู้สึกผิดกันอย่างไร” เขายิ้มมองดูมยุรีอย่างมีนัย

“มันไม่ใช่หน้าที่ที่น้องจะไปอิจฉาริษยานี่นะ” พยอมตอบทันใจ หล่อนเพิ่งออกมาจากโรงเรียนวังหลังกำลังจบออกมาใหม่เอี่ยมทีเดียว

ละออกล่าวคำขอโทษต่อผู้ที่นั่งอยู่แล้วส่งแขนให้น้องสาว มีชายมาขอให้เพื่อนของพยอมไปเต้นรำด้วย จึงตกลงเหลืออยู่แต่มยุรีกับชายอีกสามคน มยุรีจิบแชมเปญด้วยริมฝีปากบางของหล่อน แล้วเริ่มก่อการสนทนาตามวิสัยหญิงที่คุ้นกับการสมาคม หล่อนพูดเบา ๆ ใช้ภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกัน ยิ้มปรากฏอยู่ในดวงหน้าเสมอ การสนทนานั้นประกอบด้วยคำหวาน ถามโดยไม่ตั้งหน้าฟังคำตอบ ตาลอยไปในที่ต่าง ๆ จับอยู่ตามใบหน้าบุคคลที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ และที่เดินผ่านไป เมื่อผู้ตอบๆ หมดประโยคก็ตั้งต้นถามใหม่ ถึงคราวที่จะตอบก็เคลือบคำพูดด้วยน้ำตาล ผลัดกันถามผลัดกันตอบ ริมฝีปากที่เผยอยิ้มนั้นคล้ายกับเอาใจใส่ฟังเสียเป็นที่สุด แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน ให้ใครลองถามมยุรีดูว่าหล่อนคุยถึงเรื่องอะไรกับนายฝรั่งและเพื่อนหนุ่มทั้งสอง หล่อนจะเลิกคิ้วยักไหล่แล้วหัวเราะอย่างขบขันที่สุด หล่อนจำไม่ได้ว่าได้ฟังอะไรบ้าง และพูดอะไรบ้าง! คงจะมีอยู่สิ่งเดียวที่ไม่ลืม-เขาพากันชมว่าหล่อนงาม !

ขณะนั้นมีชาวต่างประเทศหญิงหนึ่งชายหนึ่งเดินผ่านมา แอ๊ดดิสันลุกขึ้นทักทายกันแนะนำให้รู้จักกับผู้ที่นั่งอยู่กับเขา แล้วเขาขอหญิงคนหนึ่งให้ไปเต้นรำด้วย ตกลงที่นี้เหลือแต่มยุรีกับนายอ้วนและนายผอมเท่านั้น

หล่อนเริ่มเบื่อการฟังและการพูด นายอ้วนพูดเร็วเป็นครอก ซักถามอะไรต่าง ๆ โดยไม่ระวังปากขาดจรรยาฝรั่ง นายผอมนักเรียนอังกฤษ สำนวนที่พูดแห้งแล้งไม่มีน้ำเชื่อมและหัวเราะน้อย มยุรีจึงเกิดความต้องการที่จะไปเดินเล่นที่สนามหลังตึกสักหน่อย เดือนหงาย! อากาศบริสุทธิ์ภายใต้แสงจันทร์ มีคูน้อยอยู่ตรงหน้า สาวสวยอยู่เคียงข้าง ! เพื่อนหนุ่มทั้งสองรีบรับคำ สามคนเดินเคียงกันไปช้า ๆ มยุรีเดินกลาง นายอ้วนกับนายผอมเดินสองข้าง จนรอบบริเวณอันตระการตานั้นแล้ว จึงกลับมานั่งเก้าอี้ที่ริมคูห่างกับตึกเพียงเล็กน้อย

“ดิฉันเห็นจะต้องกลับเข้าไปเสียที เดี๋ยวคุณละออจะเที่ยวหา คุณจะไปหรือยังหรือจะอยู่ชมจันทร์ก่อน ?”

“ผมจะไปส่งแล้วจะกลับมาอีก” นายยวงบอก

“ขอบใจค่ะ ไม่ต้องหรอก ดิฉันอยากเดินคนเดียว”

สองสหายมองตามหล่อน พอเห็นขึ้นบันไดจึงลุกขึ้นจากที่นั่งเดินช้า ๆ แล้วหยุดหันหลังให้ตึก นายอ้วนเป็นคนพูดขึ้น

“ถ้าเมียกันสวยเท่าครึ่งของหล่อนแล้วจะเปรียวมากกว่าอีกเท่าหนึ่งก็ยอม”

นายผอมว่า

“กันละไม่เอาเด็ด สวยกว่านี้ก็ไม่เอา เที่ยวกับผู้ชายดึก ๆ ทุกคืน เสร็จเข้าไปกี่มากน้อยแล้วก็ไม่รู้”

ทั้งสองสะดุ้งสุดตัว ใกล้กับที่เขายืนอยู่ มีเก้าอี้ยาวตั้งหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง มีชายคนหนึ่งกระแอมแล้วโผล่เข้ามา เขานั่งอยู่ที่นั่นอย่างสบายใจ แต่พนักเก้าอี้สูงจึงบังเขาเสียจากสายตาคนทั้งสอง

นายประสมเดินไปตรงหน้าผู้พูด กล่าวเรียบๆ ว่า

“ท่านสุภาพบุรุษ ถ้าท่านเป็นลูกผู้ชายจริง ลองกล่าวขวัญและเอ่ยนามของสุภาพสตรีนั้นอีกสักครั้งเถิด”

สองสหายพิศวงและตกใจระคนกัน

“อย่างไรเล่าครับ ท่านสุภาพบุรุษ” ประสมกล่าว

“ได้สิขอรับ ถ้าท่านอยากฟัง” คุณหลวงพูดเน้นคำ “ข้าพเจ้าว่าผู้หญิงอย่างนางสาวมยุรีนั้น ให้สวยกว่านี้อีกเท่าหนึ่งก็ไม่ต้องการ และข้าพเจ้าว่าไปเที่ยวกับผู้ชายทุกคืน เสร็จเข้าไปกี่มากน้อยแล้ว ก็ไม่รู้ ท่านจะ........”

ไม่ทันจบประโยค เสียงกร้วม! ตูม! ซ่า! ร่างของผู้พูดลงไปลอยอยู่ในคู นายอ้วนโกรธแค้นแทนเพื่อนโดดเข้าชกประสมเต็มแรง เขามิทันรู้ตัว จึงเซถอยหลังไปสองสามก้าว พอตั้งหลักได้ก็ปล่อยหมัดแข็งเกร็งเข้าให้ที่คางอันหนาด้วยเนื้อ นายยวงเซถอยหลัง ลงไปเป็นเพื่อนอาบน้ำกับหลวงดำริสุขการทันที

ประสมมองดูคนทั้งสองตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม เขาหัวเราะอย่างดูหมิ่น ล้วงมือลงในกระเป๋าหยิบธนบัตรออกโยนไว้ แล้วพูดว่า “นั่นน่ะค่าซ่อมแซมเครื่องราตรีสโมสรที่เปียกน้ำ”

“อะไรกัน นายประสม” เสียงมยุรีดังขึ้นข้างหลังเขา ประสมหันไปมองดูราวกับจะกินเนื้อ

“เรื่องส่วนตัว ไม่ใช่กิจของใคร” เขาสะบัดเสียงตอบ ปัดเสื้อและผ้านุ่งจนเรียบร้อยแล้ว ก็หันหลังให้ เดินลงสันไปข้างหลังตึก

มยุรีก้มลงหยิบธนบัตรขึ้นดูเห็นเป็นจำนวนห้าสิบบาท หล่อนตื่นเต้นไม่รู้จะทำประการใด ทั้งโกรธนายอ้วนกับนายผอมผู้ขึ้นมายืนอยู่ข้าง ๆ ทั้งอายที่ประสมได้ยินคำสบประมาท และได้ป้องกันเกียรติยศของหล่อน

เมื่อก้าวขึ้นบันไดไป หล่อนนึกถึงว่าได้วางผ้าเช็ดหน้าไว้ที่เก้าอี้ จึงย้อนกลับเพื่อจะไปเอาคืนมา ก็พอดีได้ยินคำสนทนาของบุรุษทั้งสาม ความคิดเรื่องผ้าเช็ดหน้าปลาสนาการไปจากสมองจนสิ้น หล่อนหันหน้าเดินขึ้นบันไดด้วยอาการเดือดแค้นพบนายละออก็ลากลับบ้าน โดยไม่อธิบายเหตุผลอย่างไรเลย

“อะไรกลับบ้านป่านนี้!” นายแพทย์หนุ่ม พูดพร้อมกับกางมือ “พยอมยังเต้นรำอยู่เลย”

“บอกหล่อนด้วยว่าดิฉันลา”

“ช้าก่อนมยุรีเธอจะกลับไปอย่างไรกับคนรถ หนทางเปลี่ยวนา ให้ฉันไปส่งเถอะ”

“อย่าเลยขอบใจ ดิฉันไม่อยากให้คุณละความสนุกเพราะดิฉัน”

“ถ้าเช่นนั้นเธออยู่ก่อน”

“ไม่ได้ อีกอึดใจเดียวก็ไม่ได้” มยุรีตอบ เสียงเกือบเป็นกระชาก คิ้วขมวดเข้าหากัน

ละออไม่กล้าคัดค้าน พาหล่อนเที่ยวเดินหารถของตน

มยุรีไม่ยอมไปกับเขา อ้างว่าอยากนั่งรถเล่นคนเดียว

เมื่อรถหล่อนเลี้ยวถนนวิทยุ มยุรีเห็นรถด๊อดจ์คันหนึ่งแล่นไปข้างหน้า แล้วหยุดตรงประตูใหญ่ “นายประสมนั่นเอง” หล่อนนึก ทำไมเขาถึงไปที่นั่นหนอ และเขาอยู่ที่ไหน จึงได้ยินเจ้าสองคนนั่นพูด สามนาทีภายหลัง รถหล่อนแล่นเข้าบ้าน หล่อนคาดว่าจะได้พบประสมและจะได้ขอบใจเขาแต่ไม่ทัน แสงไฟในห้องนอนของเลขานุการลอดออกมา แสดงว่าเจ้าของอยู่ในนั้นแล้ว

เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อมยุรีลงจากห้องนอนจะเข้าห้องอาหาร พอได้ยินเสียงประสมพูดกับเจ้าคุณบิดาอยู่ หล่อนใจหายวาบ หยุดฟังสักครู่รู้ว่าเรื่องไม่เกี่ยวกับหล่อน กว่าจะเข้าห้องได้มยุรีชะงักข่มสติเสียนาน หล่อนมีความกระดากที่จะเผชิญหน้ากับนายประสม ครั้นเปิดประตูและนำตัวเข้ามาในห้องแล้ว ก็เข้ามาจุมพิตบิดา

ประสมเงยหน้าขึ้นยิ้มกับหล่อนอย่างปกติ ถึงกระนั้นมยุรีก็ยังรู้สึกว่าเลือดขึ้นหน้า

เจ้าคุณไมตรีฯ กับเขาคงสนทนากันต่อไปถึงเรื่องร้อยแปด เจ้าคุณซักถามถึงความเป็นไปแห่งกิจการป่าไม้ที่สวรรคโลก มยุรีนั่งนิ่ง ตาลอยไปในที่ต่างๆ ทันใดนั้นคำพูดของเจ้าคุณทำให้หล่อนเอาใจใสขึ้นทันที ท่านถามเลขานุการของท่านว่า

“ลูกชายของถนอม ตั้งแต่กลับจากนอกแล้วยังไม่เคยเห็นหน้าสักที เป็นอย่างไรบ้างเดี๋ยวนี้ ต่างคนต่างอยู่ไกลกันเสียนานเลยเรื่อยเฉื่อยกันไป”

ประสมตอบว่า “เมื่อรุ่นอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็อย่างนั้น ใคร ๆ ว่าดำลงเพราะทำงานตากแดด”

“รูปร่างท่าทางเป็นยังไรบ้าง”

“คนธรรมดาเรานี่แหละครับ...........ว่าแต่นี่ แปดนาฬิกาแล้ว ถึงเวลาที่ผมจะต้องแต่งตัว” พูด แล้วลุกขึ้นทันทีโดยไม่รอฟังคำตอบ

ประสมมีอาการเช่นนั้น เกือบทุกคราวที่เจ้าคุณพูดถึงสวรรคโลกและบิดามารดาของเขา จะว่าเขาอายหรือมีอะไรปิดบังก็ใช่ที่ เขาไม่มีอาการเช่นนั้น เป็นแต่ไม่อยากพูดถึงเอาเฉย ๆ เจ้าคุณสงสัย แต่ไม่กล้าซักถามด้วยความเกรงใจ

นับแต่คืนที่เกิดเรื่องที่วังพญาไทแล้ว มยุรีรู้สึกว่ามีอาการแปลกขึ้นในตัวของหล่อน หล่อนไม่มี ความสุขเหมือนแต่ก่อน สมองอันโปร่งไม่มีอะไรข้องเดี๋ยวนี้ก็เกิดมีขึ้น เป็นอะไรแน่ มยุรีไม่กล้าถามตัวเอง แต่หล่อนรู้สึกว่ามันเป็นความกลัวชนิดหนึ่ง อะไรเล่าที่หล่อนกลัว มยุรีอายที่จะสารภาพ....หล่อนกลัวนายประสม ไม่ใช่กลัวดุ หรือกลัวเขานินทา หรือกลัวเขาจะข่มเหง หรือกลัวเขาโกรธไม่ใช่ทั้งนั้น มันเป็นความกลัวที่อธิบายยาก เป็นความหวั่น ความกลัวชนิดนี้ ถ้ามีขึ้นกับหญิงใดมักจะทำให้เส้นประสาทเสีย ใจเต้นแรงผิดปกติ และเหน็ดเหนื่อยโดยไม่มีเหตุผล ความกลัวตัวเองจะรักคนที่ไม่อยากรัก ประสมตามที่มยุรีเห็นในบางคราว มีท่วงทีเป็นเสน่ห์แก่ตาไม่น้อย พูดเสียงเป็นกังวานชัดถ้อยคำ คำพูดไม่เหลวใหล เวลาพูดออกท่าเล็กน้อยและมักเอียงศีรษะข้างขวา ในเมื่อเอาใจใส่ฟัง ถ้าประสมไม่มีหนวดจะยอมยกให้ว่าเป็นคนสวยเก๋กว่าใครที่ได้เห็นมา ความรู้เล่าบิดาของหล่อนเองก็เคยออกปากว่าเก่ง ทำการงานเด็ดขาดรวดเร็วและไม่พลั้งผิด ความประพฤติก็ดีไม่เที่ยวเตร่หรือกินเหล้า แต่กำเนิดของเขาเท่านั้นไม่มีใครทราบ นอกจากความคิดในเรื่องกลัว หมู่นี้มยุรียังนึกถึงประสงค์คู่หมั้นอีกด้วย ก่อน ๆ หล่อนไม่เคยรำพึงถึงเขาเลย พอรู้ว่าเป็นคู่หมั้นก็เลยเกลียดส่ง ตั้งใจอยู่อย่างเดียวว่าจะเลือกคู่เอาเอง โดยมิให้ใครบังคับ ตั้งแต่ได้ฟังเรื่องชายโดดน้ำตายแล้วหล่อนก็ชักอยากรู้ความเป็นไปของคู่หมั้นขึ้นมาบ้างทีเดียว จดหมายของเจ้าคุณบำรุงฯ นั้น มยุรีได้อ่าน หล่อนหัวเราะเยาะในเรื่องที่นายประสงค์รักหล่อน เคยเห็นกันแต่เล็กแล้วรักมาจนโต! เหลือเชื่อ! ตอนเช้าเมื่อเจ้าคุณถามประสมนั้น หล่อนตั้งใจฟังคำตอบเต็มที่ แต่ผิดหวังไม่ได้เรื่องอะไรเลย บัดนี้ หล่อนกลับน้อยใจคู่หมั้นที่เขาไม่แยแสในหล่อน ตั้งแต่หล่อนกลับจากอเมริกานับเวลาหกเดือนเต็ม เขาควรจะมาเยี่ยมบ้าง แต่เขาใจดำเป็นที่สุด ไม่เคยทำเช่นนั้น หรือแม้แต่เขียนจดหมายถึงก็ไม่มี มยุรีรู้สึกเสียใจที่ได้ปฏิเสธลงไปเด็ดขาด........ก็หล่อนไม่รู้ว่าจะมีนายประสมคนหนึ่งมาเป็นเลขานุการของคุณพ่อ ! หล่อนอยากพบประสงค์ เผื่อบางทีเขาจะเป็นที่พึ่งแก่หล่อนได้ ส่วนนายละออนั้นมยุรีทราบชัดว่า พึ่งไม่ได้เสียแล้ว กิริยากร้องแกร้งของเขามีอำนาจน้อยกว่าอาการมึนตึงอยู่ในดวงหน้าอันงาม ถ้าประสงค์มีกิริยาเหมือนประสม หล่อนแน่ใจว่า เขาจะมีอำนาจขับประสมออกจากสมองหล่อนได้ทันที

“ฝันถึงอะไรลูก” เป็นคำพูดของเจ้าคุณดังขึ้นข้างหลังหล่อน มยุรีสะดุ้ง “นั่งซิคะคุณพ่อ” หล่อนว่าเมื่อเจ้าคุณนั่งลงแล้วหล่อนเอนศีรษะลงซบกับบ่าท่านพลางถอนใจ

“เอ๊ะ! เป็นอะไรไปลูกมีเรื่องอะไรรึ?” เจ้าคุณถามพลางเชยคางบุตรี

“ลูกกำลังนึกถึงคุณ........คุณประสงค์” มยุรีตอบเสียงแผ่วเบา

“คิดถึงพ่อประสงค์ ! คู่หมั่นที่เจ้าปฏิเสธไม่ยอมแต่งงานด้วยเป็นเด็ดขาดน่ะรึ?”

“ค่ะ” มยุรีตอบเสียงเดิม

เจ้าคุณเกือบไม่เชื่อหูตัวเอง

“จริงค่ะ ลูกคิดถึง อยากทราบว่าเขาเป็นคนอย่างไร”

“ทำไมเจ้ากลับใจรึ ? เจ้าจะยอมแต่งงานกับเขารึ ?” เจ้าคุณถามเห็นชัดว่าดีใจ

“ก็ไม่เชิง เป็นอย่างไรไม่ทราบลูกบอกไม่ถูก”

“มันเป็นอย่างไร อธิบายให้แจ่มแจ้งสักหน่อยถี”

มยุรีเงยหน้าขึ้น ตาอันคมนั้นดูเศร้า

“ยังค่ะ ลูกยังอธิบายไม่ถูกไว้วันหลัง” หล่อนว่า ทันใดสายตาหล่อนเหลือบไปพบกุหลาบขาวที่กำลังออกดอกอยู่สะพรั่ง เปลี่ยนสีหน้าให้ชื่นขึ้น หล่อนลุกขึ้นยืนพูดว่า “แหม ดอกกุหลาบนั่นน่าเก็บจริง เดี๋ยวนะคะ ลูกจะเก็บไปปักแจกันสักหน่อย”

มยุรีตั้งพิธีตัดดอกกุหลาบอยู่นาน ในที่สุดก็รวมได้ช่อใหญ่ หล่อนเลือกเอาดอกกำลังแย้ม กลีบ ที่บานออกแล้วเป็นสีขาวข้างในเป็นสีชมพูอ่อน ค่อยบรรจงสอดลงตรงช่องลูกไม้ที่ติดเสื้อ หญิงโดยมากชอบดอกไม้แต่ความชอบของเจ้าหล่อนมีลักษณะต่างกัน บางคนเห็นเข้าอดเก็บไม่ได้ แต่พอเก็บได้สมใจก็ถือเล่น พอเบื่อแล้วก็ขว้างทิ้ง บางพวกเก็บได้แล้วก็ถนอมบำรุงมิให้ชอกช้ำ รักษาให้สดชื่นอยู่นานที่สุดที่จะนานได้ ในครู่ต่อมาเมื่อเดินถึงหน้าตึก มยุรีเห็นประสมกำลังนั่งสนทนาอยู่กับเจ้าคุณ พอหล่อนเข้าไปใกล้ เขามองดูหล่อนอย่างไม่แยแส เช่นเคย ปากคงพูดอยู่เรื่อย หล่อนจึงเลยไปห้องรับแขก บรรจงจัดราชินีแห่งดอกไม้ลงในแจกันเคลือบ ที่วางอยู่บนโต๊ะกลางห้อง พอเสร็จได้ยินฝีเท้าเบา ๆ ดังใกล้เข้ามา มยุรีใจเต้นหล่อนทราบว่าเป็นฝีเท้าใคร ฉวยหนังสือเล่มหนึ่งก้มลงจะอ่าน แล้วกลับนึกไม่อยากให้เขารู้ว่าหล่อนอยู่ในนี้ จึงเอาหนังสือติดมือไปยังเก้าอี้นวมตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ซึ่งตั้งหันหลังให้โต๊ะกลางห้องนั้น

ประสมเปิดประตูเบา ๆ แล้วนำตัวเข้ามา พอพบกุหลาบซึ่งชูดอกตั้งตรงเป็นเชิงหยิ่งในความงามของตนเอง เขาเดินเข้ามาใกล้ ก้มลงสูดกลิ่น ที่ข้างโต๊ะมีอีกดอกหนึ่งทิ้งอยู่บนพรม ประสมคงจำได้ว่ามันอยู่บนทรวงอกของมยุรีเมื่อสักครู่นี้ เขาก้มลงหยิบมันขึ้นเพ่งดู ดวงตาก็เกิดความอ่อนโยน ค่อย ๆ ยกขึ้นสูงเพียงจมูก แล้วบรรจงจุมพิตด้วยอาการดูดดื่มราวกับจูบของที่รักและบูชา....

มยุรีทิ้งหนังสือลงทันใด หล่อนเห็นการกระทำของเขาถี่ถ้วน หนังสือกระทบกับหนังปูเก้าอี้ทำให้เกิดเสียงดัง ประสมเงยหน้าขึ้น แววตายังหล่อด้วยแววประหลาด พอเห็นมยุรีเขาเบิกตากว้าง สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นถมึงทึง เขาจ้องดูหล่อน มือบีบกุหลาบดอกน้อยบี้แบน ครั้นแล้วรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ โดยมยุรียังไม่ทันรู้สึกตัว เขาก้าวขาเข้ามาใกล้ รวบร่างหล่อนไว้ในวงแขน รักแน่นแล้วก้มลงจูบเต็มแรง จูบไม่ว่าที่ใด หน้าผากตาแก้มปาก ในขณะแรกมยุรีตกใจจนลืมป้องกันตัว แต่พอได้สติหล่อนดิ้นสุดแรง ประสมยิ่งรัดแน่นเข้า เขาจูบ ๆ ๆ จนสะใจแล้วก็คลายแขนปล่อยร่างหล่อนออก

มยุรีทิ้งกายลงบนเก้าอี้ เส้นประสาทสะเทือนไปหมด อายตกใจประหลาดใจแค้นหยิ่งปนกัน อยู่ในความคิด หล่อนยกมือทั้งสองขึ้นลูบหน้าคล้ายกับว่าจะเช็ดรอยที่ถูกสัมผัสให้สิ้นไป

“เป็นบ้าหรือ” หล่อนพูดเสียงหอบสั่นด้วยความถือตัว “จองหองถือว่าคุณพ่อรัก นึกว่าวิเศษกว่าใครทั้งหมดรึ?”

ประสมหน้าซีดเขายืนนิ่งมองดูหล่อนดวงตาลุกวาว

“ฉันจะฟ้องคุณพ่อให้ท่านเลือกเอาระหว่างเลขานุการตัวดีของท่านหรือลูกของท่าน” มยุรีพูด เมื่อได้นิ่งกันอยู่ครู่หนึ่งแล้ว

“ไม่จำเป็นต้องลำบาก ผมจะรายงานตัวของผมเอง” ประสมพูดเสียงต่ำ หันหน้าจะออกประตู

“ไม่ต้อง กลับมานี่ก่อน” มยุรีกระชากเสียงเรียก “ฉันรู้ว่าคุณพ่อจะต้องเสียใจ คุกเข่าลง ขอโทษฉันเสีย แล้วเป็นอันว่าเลิกแล้วต่อกัน”

“โอ้โฮ !” ประสมร้อง “เพื่อทำโทษชายที่บังอาจจูบคุณโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น คุณให้เขาคุกเข่าลงขอโทษเท่านั้นแหละหรือ ? ผมจะคลานไปจากประตูนี้ แล้วคุกเข่าลงขอโทษคุณด้วยคำหวาน ขอแต่ให้ผม่ได้จูบคุณจนจุใจเถิด เออ ! คุณคนสวย สวยพอที่จะทำให้คู่หมั้นกระโดดน้ำตายได้” แล้วเขาก็หัวเราะจนตัวโคลงไปมา

“มนุษย์อุบาทว์ แกไม่ต้องถากถาง แกก็รู้แล้วฉันเป็นคู่หมั้นของคุณประสงค์ แกยังบังอาจทำได้ ชาติเนรคุณ เจ้าคุณบำรุงเลี้ยงแกมาตั้งแต่เล็ก แกยังจะแย่งคู่หมั้นของลูกชายท่านอีกหรือ”

“แย่ง-อื้ ! แย่งมาทำไม ? เอาชื่อคู่หมั้นมาข่มรึ ? คู่หมั้นที่คุณสลัดทิ้งเสียแล้วโดยไม่ใยดี เหตุใดไม่ออกชื่อนายละออของคุณเล่า จะขำกว่าเป็นกอง คุณประสงค์ ! จะทำอะไรกับคุณประสงค์ ? แล้วคุณประสงค์จะทำอะไร ? อีกสามเดือนคุณก็จะเป็นอิสระตามคำของคุณประสงค์ ที่ให้สัญญาไว้ เรื่องผู้ชายที่กระโดดน้ำตายดอกกระมัง ที่ทำให้คุณนึกถึงคู่หมั้น ไม่ต้องวิตกหรอก เขาคงไม่โง่บ้าพอที่จะกระโดดน้ำตาย คุณนั้นเหมือนดอกกุหลาบ งามพริ้งกลิ่นก็หอมฟุ้งซ่านใครผ่านก็เตะจมูก ชาวฝรั่งเศสคิดเห็นว่าดอกกุหลาบนั้นคือเครื่องหมายของความงามที่มีความลำพองชูหัวกลัวใครจะไม่เห็น ประสงค์เป็นคนหนึ่งที่เห็นจริงตามความคิดนั้น เขานิยมความงามอย่างดอกไวโอเล็ต ซุกซ่อนตัวอยู่ใต้ใบ ต้องคมจนชิดจึงจะได้กลิ่น และเมื่อเขาต้องการไวโอเล็ตดอกไหน เขาก็ย่อมจะเด็ดได้ทันที จะมาเสียดายอะไรกับดอกกุหลาบ เด็ดดีไม่ดีหนามตำมือเข้าจะเจ็บ”

พูดจบเขาก้มศีรษะอย่างเยาะเย้ย แล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้มยุรีนิ่งอั้นอยู่คนเดียว

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ