“ขอบใจอย่างไม่รู้จะพูดอะไรถูกที่เธอโทรศัพท์เรียกให้ฉันมารับคืนนี้ ฉันกำลังอยากสนทนากับเธอทีเดียว” นี่เป็นคำพูดของละออเมื่อเขาขับรถแล่นช้า ๆ มาทางหน้ากระทรวงกลาโหม มยุรีไม่ตอบว่ากระไร ดูเหมือนไม่ได้ยินคำพูดนั้น ชายหนุ่มพูดต่อไป “เมื่อเย็นนี้ฉันไปหาเจ้าคุณพูดทาบทามเรื่องเธอ ท่านบอกเธอหรือเปล่า ?”

“บอก” เป็นคำตอบห้วน ๆ

“เธอมีคู่หมั้นเสียแล้ว”

“มีมาแต่อายุ ๑๑ ปี”

“นั่นน่ะซี แล้วเราจะทำยังไงกัน” เขากล่าวคำ ‘เรา’ อย่างคล่องแคล่ว มยุรีรู้สึก แต่หล่อนไม่ว่ากระไร ทั้งคู่เงียบ ระหว่างนี้รถแล่นมาตามถนนราชดำเนินช้า ๆ

“ตามเสียงของเจ้าคุณ ดูเหมือนท่านจะไม่ยอมให้เธอแต่งงานกับใคร ก่อนได้รับอนุญาตจากคู่หมั้นของเธอเสียก่อน”

“เป็นเช่นนั้น”

“ร้ายจริง ! แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี ถ้าผู้ชายเขาแกล้งแล้วไม่อนุญาตละ เขารักหรือเปล่า ?”

“เขาว่าเขารัก”

“ถ้าเช่นนั้นเขาคงไม่ยอมถอนหมั้นเป็นแน่ เราจะทำยังไง ?” เป็นครั้งที่สาม มยุรีถามเสียงแสดงความไม่พอใจ

“ทำไมถึงชอบใช้คำว่า ‘เรา’”

“ก็สองคนเธอกับฉันยังไงล่ะจ๊ะ” แล้วเขาเอียงศีรษะเข้าหาหล่อน มยุรีกลั้นหายใจ หล่อนได้กลิ่นแอลกอฮอล์ ภาพรถเกยตอไม้ปรากฏขึ้นในสมอง หล่อนถาม

“คุณถูกเลี้ยงมาอีกกระมัง ?”

“จ้ะ” เขาตอบตามตรง “เธอก็รู้อยู่แล้วว่าฉันไม่ใช่คนติดเหล้า”

“แต่ถ้าดื่มเข้าไปก็เมา”

“เธอหมายความถึงเมื่อคืนวานนี้หรือ ฉันรู้ตัวว่าชั่วมาก จนไม่กล้าขอโทษเธอ พอรู้สึกตัวก็ตกใจแทบหมดสติ เป็นห่วงเหลือเกินรีบโทรศัพท์ไปที่บ้านเธอได้ทราบว่าเธอกลับไปนอนอุตุแล้วค่อยเบาใจ”

“คุณพ่อท่านทราบเรื่องด้วย” มยุรีพูดเรื่อย ๆ

“จริงรึ ? ตายจริง! แล้วท่านว่ายังไงบ้าง โธ่ เธอไม่ควรบอกท่านเลย”

“ดิฉันไม่ได้บอก” มยุรีค้านเสียงแข็ง

“เอ๊ะ ถ้ายังงั้นใครบอกเล่า........อ้อ ถ้าจะเป็นเจ้าประสมละ เขาไปพบเธอได้ยังไงนะ ? ผู้ที่รับโทรศัพท์บอกว่าเธอกลับบ้านกับเขา”

“ถูกแล้ว แต่เขาไม่ได้บอก”

“เธอรู้ได้อย่างไร ? ผู้ที่รู้เรื่องก็มีแต่เธอกับเขา ถ้าเธอไม่ได้บอกมันก็ต้องเป็นเขา”

“ไม่ใช่เขา ฉันถามแล้ว เขาปฏิเสธแข็งแรง”

“บา ! เขาโกหกให้น่ะซี เขารู้นี่นาว่าเธอกับฉันเป็นอะไรกัน เขากลัวเธอน่ะ”

“ไม่จริง เขาจะมากลัวทำไม ดิฉันมีอำนาจอะไรเหนือเขา”

“เธอย่อมมีอำนาจเหนือคนทุกคน ดูแต่ฉันซียังกลัวเธอ ต้องคอยพะเน้าพะนอ”

มยุรีหัวเราะอย่างขื่นขม ถ้าหากประสมกลัวและคอยพะเน้าพะนอหล่อน ๆ จะมานั่งในรถนี้ด้วยเหตุดังรือ “ใครบอกก็เท่ากัน” หล่อนว่า “แต่หวังว่าวันนี้รถจะไม่ไปจมกอไผ่อีก” หล่อนลืมถามว่าเขากลับถึงบ้านได้อย่างไร เท่ากับเขาลืมถามว่าประสมไปพบหล่อนได้อย่างไรเหมือนกัน

“รับประกันได้ คืนนี้ฉันไม่เมาเลยนะเธอ วางใจเถอะ” เงียบอีก ขณะนี้รถกำลังผ่านพระบรมรูป แล้วเลี้ยวทางขวามือ ละออเอ่ยขึ้น

“มยุรี ฉันรักเธอ”

“ดิฉันได้ยินมาหลายสิบครั้งแล้ว” มยุรีตอบอย่างไม่เอาใจใส่ คล้ายได้ยินคำเชิญให้รับประทานหมาก

“กระนั้นเธอก็ยังไม่เคยพูดให้ฉันชื่นใจสักครั้ง”

“ดิฉันคิดว่า คุณไม่ชอบฟังคำเท็จไม่ใช่รึ ?”

“เท็จหรือจริงถ้าหากไปทางดีแล้ว ฉันชอบฟังเสมอ ขอให้เธอพูดเถอะ”

“แต่ดิฉันจะหลอกคุณไม่ได้ ดิฉันไม่รักคุณ”

ละออสะดุ้งหน้าสลด แต่แล้วกลับหัวเราะ “เหตุไรเธอพูดเช่นนั้น การกระทำของเธอในคืนวันนี้มิได้แสดงความในใจของเธอออกมาดอกหรือ จะมาปิดบังอะไรกันเดี๋ยวนี้นี่ เธอคงไม่ถือการหมั้นและคำพูดของเจ้าคุณมาขัดขวางความรัก เธอรักฉัน เธอต้องเป็นของฉัน” พูดพลางเขาเหยียดแขนข้าง ซ้ายโอบรอบกายหล่อน มยุรีสะบัดแรง การที่ใช้คำพูดอย่างเชื่อตัวเองนั้นทำให้หล่อนโกรธ

“อย่านะ อย่าบังอาจเช่นนั้น” หล่อนพูดด้วยความฉุน “ฉันมีคู่หมั้นแล้ว และบอกอยู่หยก ๆ ว่าไม่รัก ก็ยังจะขืนว่ารัก ใครบอกฉันจะเป็นของคุณ โปรดพาดิฉันไปส่งบ้านทันที”

ละออปล่อยแขนตกลง ดวงหน้าแดงก่ำ แล้วกลับซีด คำพูดของมยุรีทำให้เขานึกว่าตัวตกจากที่สูงและศีรษะได้กระทบกระเทือนอย่างหนัก นับตั้งแต่แรกรู้จักกันหล่อนมิได้แสดงกิริยาอ่อนโยนและสนิทสนมกับเขาดอกหรือ? สิ่งเหล่านี้ก่อความรักให้เกิด เขากับหล่อนได้ไปเที่ยวด้วยกันเสมอ ทุกคราวที่เขากล่าวแทะโลม หล่อนมิได้แสดงกิริยาฉุนเฉียว กลับยิ้มอย่างแช่มชื่น นี่มิใช่การให้ท่าดอกหรือ ? ยิ่งสนิทชิดเชื้อกันมากเขาก็ยิ่งรักหล่อนมากขึ้นเป็นลำดับ เขาบูชาหล่อน พะเน้าพะนอด้วยคำหวานคอยเอาใจรับใช้ราวกับทาสในเรือนเบี้ย ไม่เคยเลยสักครั้งเดียวที่หล่อนจะสะบัดสะบิ้งในเมื่อเขาจับมือเรียวเล็กบีบแรงพลางปากก็พลอดถึงความรักในใจ แม้หล่อนไม่เคยกล่าวว่า ‘รัก’ หล่อนก็ไม่เคยกล่าว คำว่า ‘ไม่รัก’ เช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ความหวังของเขาจะไม่แล่นสุดขีดอย่างไร ครั้นมาบัดนี้ หล่อนใช้น้ำเสียงอันน่าเกลียดตัดรอนเขาดื้อ ๆ โดยไม่ให้คำอธิบาย หัวอกหนุ่มโลหิตกำลังแรงจะทนไหวไหม ? ถ้าเขาผู้นั้นลุโสดาบันบางที แต่นายละออยัง รสพระธรรมกับเขายังรู้จักกันน้อยนัก หน้ามืดด้วยความโกรธ ร้อนอกด้วยความรักที่ถูกล่อให้หลง ละออนิ่งเงียบไม่ปริปาก ชายที่โลเลที่สุด อ่อนแอที่สุด ในบางโอกาสกลับกลายเป็นจริงจังไปได้ แต่จะจริงด้วยโลกธรรมหรือไม่ นั่นต้องแล้วแต่มูลเหตุ หล่อนล่อลวงเขาด้วยนัยน์ตา ด้วยท่า ด้วยการกระทำที่ปั่นสมองเขาให้หมุนติ้วด้วยความรัก เชิดเล่นเหมือนหุ่น หล่อนเล่นกับความรักของเขาเหมือนเล่นกีฬาชนิดหนึ่ง พลันเกิดความคิดที่จะสนองแค้นทันที ละออพูดเสียงเป็นปกติ

“ขอโทษ มยุรี ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้เธอโกรธ เป็นความจริงฉันไม่เคยทำเช่นนั้นไม่ใช่รึ........”

ถึงตรงนี้ เสียงเขาส่อความคิดในใจเล็กน้อย แต่มยุรีไม่รู้สึก “เธอต้องยกโทษให้ฉัน”

ขณะนั้นแสงไฟฟ้าส่องหน้ามยุรีเต็มที่ ละออมองเห็นหล่อนยิ้มคล้ายเศรษฐียิ้มกับคนขอทาน ยังโทสจริตกับเขายิ่งขึ้น เขาดัดเสียงพูดต่อไป

“พยอมบ่นถึงเธอมานานแล้ว เธอจะไม่แวะบ้านฉันก่อนเพื่อเยี่ยมหล่อน และเพื่อ--เพื่อแสดงว่าเธอยกโทษในความบังอาจของฉันรึ”

“ไปก็ได้ แต่ป่านนี้พยอมมิหลับแล้วหรือคะ” มยุรีตอบโดยไม่ระแวงอย่างไรในความคิดอันมีเล่ห์เหลี่ยมที่บังเกิดขึ้นในสมองของละออ แต่ตัวเขาเองยังประหลาดใจที่มันเกิดขึ้นได้ ก็มยุรีหรือจะไหวถึง หล่อนคิดว่าเขาเป็นแมวเชื่องตัวหนึ่ง

“ฉันคิดว่ายังไม่หลับ เพราะยังไม่ดึกเท่าไร”

ด้วยประการฉะนี้สิบห้านาทีภายหลังรถไครซเลอร์ตอนเดียวที่นายละออเป็นผู้ขับจึงเลี้ยวเข้าประตูใหญ่ทาสีเทา แขกยามร่างสูงยกมือคำนับ เมื่อนายแพทย์หนุ่มสั่งให้เฝ้าประตูไว้อย่าเพิ่งปิดจนกว่าจะได้รับคำสั่ง แล้วนำรถของเขามาจอดไว้ที่เรือนหลังใหญ่ ซึ่งเป็นที่อยู่ของตนโดยเฉพาะ เขาเชิญหล่อนลงพาเดินผ่านเฉลียง เลี้ยวขวามือแล้วหยุดไขกุญแจห้อง ๆ หนึ่ง

“คุณแม่ไม่สบาย เราจะไปคุยกันที่ตึกเห็นจะไม่สะดวก ฉันจึงนำเธอมาที่นี่ เขาอธิบายแก่หล่อน เปิดไฟฟ้าขึ้นแล้ว

ห้องนั้นเป็นห้องสี่เหลี่ยม ท่วงทีเหมาะกับจะเป็นห้องรับแขก แต่หาเป็นไม่ มีตู้หนังสือสองตู้ตั้งตรงกัน เต็มด้วยตำราแพทย์ศาสตร์ ทั้งห้องมีเก้าอี้สองตัว ตัวหนึ่งตั้งอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ อีกตัวหนึ่งเป็นเก้าอี้ยาวบุด้วยหนังอย่างดี ตั้งติดกับหน้าต่างที่ปิดอยู่ ละออเชิญให้แขกของเขานั่งที่นั้น มยุรีมองดูรอบห้อง มือเท้าโต๊ะเล็กข้างเก้าอี้พูดว่า

“ดิฉันยังไม่เคยมาห้องนี้เลย”

“ถูกแล้ว ทุกทีเธอเคยพักที่ห้องรับแขก แต่ลูกกุญแจอยู่ที่คนใช้ เรือนมันอยู่ห่างจากที่นี่มากมากทีเดียว ฉันอยู่สันโดษ ห้องนี้ติดกับห้องยาของฉันไงล่ะ”

เขาเดินไปที่ประตู บรรจงปิดอย่างระมัดระวัง มยุรีไม่ได้มองดู จึงไม่เห็นว่าเขาใส่กุญแจ

“พยอมนอนที่ตึกไม่ใช่หรือคะ ?” มยุรีถาม

“จ้ะ ฉันจัดการแล้ว เดี๋ยวก็คงมาหาเธอ” ละออตอบเสียงมีกังวานประหลาด เขานั่งขัดสมาธิลงกับพื้นใกล้ตัวมยุรี ดวงตาหรี่ลงเอื้อมมือจับมือของหล่อนไว้

มยุรีขยับตัว พยายามจะดึงมือออกโดยละม่อมแล้วเสพูดว่า “ร้อนมาก หน้าต่างปิดอยู่ทุกบานหายใจแทบไม่ออก”

ละออหัวเราะอย่างเคร่งเครียด ดวงหน้าของเขาบัดนี้ซีดด้วยความโกรธ บังเกิดความปรารถนาแรงกล้า ดวงตาที่มองดูหญิงสาวนั้นวาวอยู่ภายใต้แว่นกระจก ขณะนั้นมยุรีกลับเอนกายพิงพนักเก้าอี้ ยกมือปิดปากหาว

“ดึกเสียแล้ว พยอมคงหลับ คุณให้ใครไปบอกหล่อนคะ ? ทำไมถึงจะถามเขาได้ว่า ถ้าหลับละก็อย่าปลุก ดิฉันอยากกลับบ้านเสียแล้ว วันหลังค่อยมาใหม่” พูดแล้วก็ลุกขึ้น

ละออดึงมือมยุรีเต็มแรง ทำให้หล่อนเซลงบนเก้าอี้ “เธอยังไปไม่ได้จนกว่าฉันจะอนุญาต” เขาพูดเสียงสั่น

“คุณไม่เมาไม่ใช่รึ ?” มยุรีพูดยิ้มอย่างดูหมิ่น สะกดโมโหและความตกใจไว้ภายใน

“เมา เมารัก” ละออตอบยิ้มแสยะแล้วพยายามจับมือหล่อนอีก

“ปล่อย ! บ้า ! ฉันบอกแล้วว่าฉันมีคู่หมั้น ฉันไม่รักคุณ ไม่รัก ไม่รัก ไม่รัก ได้ยินไหม ?”

ชายหนุ่มผุดลุกขึ้น หัวเราะดัง “ได้ยินแล้ว แม่คุณ หล่อนไม่รักฉัน ตลอดเวลา ๘-๙ เดือนที่แล้วมา หล่อนให้ท่าทำให้ฉันนึกว่าหล่อนรักฉัน แต่เดี๋ยวนี้หล่อนกลับใจแล้วไม่รักแล้วฉันไม่เข้าใจ”

มยุรีอึ้ง ประหลาดใจและโกรธปนกัน

“เมื่อก่อนนี้เคยไปเที่ยวด้วยกันเสมอทั้งกลางวัน กลางคืน จะกระทบกระทั่งเนื้อตัวหล่อนไม่เคยโกรธ หล่อนล่อฉันให้หลงรักแทบประดาตาย หล่อนเชิดฉันเล่นเหมือนหุ่นแล้วเดี๋ยวนี้ เพียงแต่คำ ‘รัก’ ออกจากปากฉันหล่อนก็ต้องว่า ‘บ้า’ หล่อนทนไม่ได้ อ้างว่ามีคู่หมั้นแล้ว เชอะ ! เด็กอมมือมันก็รู้เท่า หล่อนต้องมีคนที่ถูกตาถูกใจหล่อนใหม่มากกว่าฉัน ไม่ใช่เพราะคู่หมั้น !”

มยุรีหน้าแดงตลอดถึงหู ตาเป็นประกาย หล่อนยืดตัวตรง ทำน้ำเสียงให้เป็นสง่า เพื่อยังความเกรงกลัวให้เกิดแก่ชายหนุ่ม หล่อนว่า

“คุณต้องเป็นบ้าหรือเมาสักอย่างหนึ่ง แต่ฉันจะไม่ถือโทษ หากคุณจะอนุญาตให้ฉันลาไปบัดนี้”

หล่อนเดินไปที่ประตู เมื่อเปิดไม่ออกก็บังเกิดความกลัวขึ้น เป็นครั้งแรกที่มยุรีกลัวผู้ชาย กระนั้นยังฝืนพูดอย่างบังคับ

“เปิดประตู !”

“ไม่เปิด ! เปิดได้ก็เปิดเอาเองสิ ฉันจะช่วยบอกให้แต่เพียงว่า “มันใส่กุญแจ !”

มยุรีหมุนจี๋เข้าใส่

“บ้า ! นี่หมายความว่ากระไรกัน ?” หล่อนร้อง “เปิดประตูเดี๋ยวนี้ ฉันจะกลับบ้าน..”

ละออหัวเราะเยาะ

“เปิดประตูอ้ายงง ! ว่างั้นซิ ฉันเคยเป็นงั่งมาแล้ว จะไม่เป็นอีกต่อไป จะบอกให้หล่อนจะไปพ้นห้องนี้ได้ก็ต่อเมื่อ....” เขาไม่พูดให้จบ แต่จากสายตาแสดงความปรารถนาร้อนแรงนั้น มยุรีเดาความหมายได้ เขาเปิดประตูห้องอีกห้องหนึ่งเดินเข้าไปภายใน หายเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกลับออกมา ขณะที่มยุรีกำลังเดินวนเวียนหาทางออก ร่างกายตลอดถึงหัวใจของเขาสั่นระรัว อย่างที่มนุษย์ทุกคนย่อมสั่นในเมื่อจะทำกิจที่จะขัดกับมโนธรรม เขาเดินไปที่มยุรีจับตัวหล่อนหมุน โดยหล่อนไม่ทันป้องกัน พร้อมกันนั้นใช้ผ้าเช็ดหน้าขาวอบอยู่ด้วยกลิ่นโคลโรฟอร์มปะจมูกหล่อนเต็มที่ มยุรีดิ้นสุดแรงพยายามหลบกลิ่นยาสลบก็ไม่เป็นผล การออกแรงและสูดหายใจนั้นเอง ทำให้กลิ่นยาแล่นเข้าในร่างกายได้เต็มที่ เมื่อพยายามดิ้นรนอยู่สักครู่ก็สิ้นสติหมดกำลัง มยุรีรู้สึกตัวคล้ายผีอำแล้วก็มืดวูบไป

ละออคำรามแกมหัวเราะออกมาทีหนึ่ง แล้วอุ้มครึ่งลากเอาตัวหล่อนมาวางที่เก้าอี้ยาวเดินวนไปเวียนมาสองสามเที่ยว ก็คว้าเอาผ้าคาดพุงมาได้ จัดการมัดมือหญิงสาวเสียแน่น เท้าก็ทำเช่นกัน เสร็จแล้วเขาก็หัวเราะด้วยความยินดีอย่างร้ายกาจ อำนาจโคลโรฟอร์มสุดเข้าไปเพียงเล็กน้อย จะไม่ทำให้หล่อนสิ้นสติอยู่เกิน ๑๐ นาที และเมื่อหล่อนรู้สึกตัวขึ้น....

ละออหัวเราะสั่นๆ อีกครั้งหนึ่ง แล้วคุกเข่าลง ตามองดูหน้าหญิงสาว มโนธรรมสะกิดใจเขาใน ขณะนั้น แต่เป็นเหมือนดอกไม้ไฟที่โด่งขึ้นเพียงอึดใจเดียวก็ดับลง เขาก้มลงจุมพิตเจ้าหล่อนเต็มแรงมือรัดร่างหล่อนเข้าแนบกับตัว กอดแล้วจูบแล้วกอด........ จนเป็นที่พอใจชั่วคราวแล้วก็ลุกขึ้น ถอดเสื้อชั้นนอกออกแขวน ขณะที่กำลังถอดรองเท้าก็ได้ยินเสียงเคาะที่ประตู เป็นการเคาะอย่างเบาอย่างขลาด แต่กระนั้นยังสามารถทำให้ผู้ได้ยินสะดุ้งสุดตัว

“ใคร ?” ละออถามเกือบเป็นเสียงกระซิบ

ไม่ได้รับคำตอบ เขาเดินไปที่ประตู

“ใคร ?” เขาก้มลงถามตามช่องกุญแจ

“โพม คราบ !” เป็นเสียงตอบของแขกยาม

“ทำไม อ้ายบ้า !” เขาถามอย่างฉุนเฉียว

“ธุระ....ปราทูก็เผิด”

ละออไม่สามารถเข้าใจคำพูดได้ เขาควักกุญแจจากกระเป๋าเสื้อที่แขวนไว้ ไขและเปิดประตูโดยแรง ตั้งใจจะเค้นคอแขกนั้นให้แบนคามือที่มากวนในเวลาสำคัญ แต่เมื่อเปิดประตูออกแล้ว เจ้าแขกหาได้อยู่คนเดียวไม่ เบื้องหลังมีชายร่างสูงผู้หนึ่งยืนอยู่ด้วย ! ! !

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ