เดือนหนึ่งล่วงแล้ว นับตั้งแต่นายประสมได้ใช้หลังคาบ้านแห่งบิดาของมยุรีเป็นที่กำบังแดดและฝน เดือนหนึ่งนับตั้งแต่เขาได้ไปเยี่ยมโรงทอผ้าของพระยาไมตรีพิทักษ์ วันนี้ วันที่ ๒ ของเดือนสิงหาคมประสมได้รับเงินเดือนเป็นค่าแรง และค่ามันสมองที่ได้เปลืองไปในการบัญชีและจดหมายโต้ตอบ เมื่อเช้าวันนี้เจ้าคุณไมตรี ๆ ขณะที่ส่งเงิน ๖๐ บาทให้กับเขา ได้กล่าวด้วยดวงหน้ายิ้มแย้มว่า “นี่พ่อประสมเงินเดือน ๆ แรกของแก ฉันดีใจที่ได้แกไว้ใช้ ขออย่าให้มีอะไรมาทำให้แกไปจากฉันเสียเลย” ประสมยิ้มน้อย ๆ เมื่อหวนนึกถึงคำพูดประโยคนี้ เขาก็เข้าใจว่าหมายความถึงอะไร ตั้งแต่ประสมได้พบกับลูกสาวของเจ้าของบ้าน ยังไม่เคยพูดกันฉันมิตรเลย ถ้าไม่จำเป็น หนุ่มสาวทั้งสองไม่พูดกัน แม้แต่ตาก็สบกันน้อยที่สุด เวลารับประทานอาหารทั้งเจ้าคุณ มยุรี และตัวเขารับประทานร่วมกัน นอกจากเวลากลางวันประสมรับประทานที่ ๆ ทำงาน แต่ตลอดเวลารับประทาน มยุรีกับประสมจะสนทนากันบ้างก็หาไม่ หล่อนไม่ยกโทษให้ที่เขาไม่เคารพหล่อนในวันแรก ส่วนเขาก็มีความคิดที่ได้ตกลงไว้เด็ดขาดว่าจะไม่ง้อ จนกว่าจะถึงเวลาที่เห็นควร ส่วนความในใจของทั้งสองจะเป็นอย่างไรไม่มีใครทราบ เท่าที่มองด้วยตาใคร ๆ รวมทั้งเจ้าคุณก็เห็นว่าทั้งสองไม่เป็นมิตรต่อกัน ดวงหน้าของประสมขณะที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง คล้ายกับจะชมยวดยานที่ผ่านไปมานั้น เต็มไปด้วยความไตร่ตรอง ริมฝีปากเม้มแน่น คิ้วขมวดเข้าหากัน ครู่หนึ่งเขาผละจากหน้าต่าง สวมรองเท้าแตะแล้วลงจากเรือนมาที่สนาม มยุรีแต่งตัวอย่างเก๋นั่งเพลินอยู่คนเดียว ประสมเดินทอดน่องมาเรื่อย ๆ พอใกล้หล่อนเขาเงยหน้าขึ้น ชะงักและทำท่าคล้ายจะหันหลังกลับ แต่ด้วยความประหลาดใจจริง เขาได้ยินมยุรีเรียกชื่อเขาขึ้น

“นายประสม !” และมีท่าทางกระดากนิดหน่อย แต่ยังงั้นก็ยังไว้สง่า

ประสมหยุดมองดูหน้าหล่อนเฉยอยู่

“จะวางท่ากับฉันให้เหมือนกับเราชอบกันสักหน่อยได้ไหม ?” หล่อนถาม

“วางท่า ! อ้อได้ แต่เพื่อประโยชน์อะไร เราไม่ได้ชอบกันไม่ใช่รึ ?”

“นายประสมเกลียดฉันเพราะเหตุไร ?”

ฝ่ายชายเลิกคิ้วเป็นทีถาม

“จำไม่ได้ว่าได้เคยบอก”

“ไม่จำเป็นต้องบอกด้วยคำพูด ฉันสังเกตดูท่าก็พอจะรู้”

“ยินดีที่บุตรีของนายมีความฉลาดถึงเพียงนั้น มีเสียแรงที่ได้เคยศึกษาวิชาที่ประเทศอเมริกา”

“ไม่ต้องเล่นสำนวนประชด” มยุรีกล่าวพลางสะบัดหน้า “เชิญนั่งซีท่านเลขานุการ”

“ขอบคุณ นั่งที่นั่นยืนสบายกว่า” เขาชี้ที่ข้างตัวหล่อน

มยุรีรู้สึกหน้าร้อนฉี่ ประสมสังเกตเห็นแก้มเป็นพวงของหล่อนแดงเรื่อขึ้น

“ถูกแล้ว เราไม่ชอบกัน” หล่อนพูดเสียงสั่นเต็มไปด้วยความโกรธและถือตัว “ฉันเกลียดนายประสม บอกจริง ๆ ที่พูดเมื่อตะก็อย่านึกว่าง้อ ไม่มีวันเสียละในชาตินี้ แต่หากเป็นเพราะคุณพ่อ....”

“เจ้าคุณ อ้อ พอเข้าใจ โปรดต่อไปอีกสักหน่อยจะเป็นบุญคุณยิ่ง”

“แน่นอน ฉันจะต่อ จะเป็นบุญคุณหรือ๕๕ ไม่ก็ช่าง คุณพ่อท่านต้องพึ่งนายประสม” เสียงของหล่อนเห็นชัดว่าประชด หล่อนใส่น้ำหนักตรงคำว่า พึ่ง “ท่านว่าท่านต้องพึ่งและท่านว่าฉันทำท่าปึ่ง....”

“ซึ่งเป็นการไม่จริง ?” ประสมขัด ยิ้มจนเห็นไรฟัน ซึ่งมยุรีนึกว่าไม่เคยเห็นใครยิ้มน่าเกลียดเท่า

“ธุระอะไรฉันจะว่าไม่จริง ฉันจะปึ่งกับใครก็ได้ ฉันเกลียดฉันก็ปึ่งใครจะทำไม”

“ถูกแล้ว โปรดต่อไปเถอะ”

ถ้าสายตาสามารถยิงมนุษย์ได้ ประสมก็คงจะหยุดหายใจเสียในที่นั้นแล้ว มยุรีพูดต่อไป

“ท่านสังเกตเห็นว่า ฉันไม่ชอบนายประสม เกรงว่า....”

“พอแล้ว ขอบคุณมาก” ประสมขัดพลางยกมือห้าม “เข้าใจความคิดของเจ้าคุณได้โปรดเรียน ท่านเถิดว่า ผมมิยอมให้คนอย่าง-โอ ! หมายความว่า มิเคยมีหญิงใดจะมาขัดขวางความเป็นอยู่ของ ผม ได้” เขากล่าวคำ ผม ไม่ค่อยสนิท พอพูดจบเขาก้มศีรษะให้หล่อนนิดหนึ่งแล้วหันหลังกลับ เดินจากไป

มยุรีเดือดจนหัวหมุน หล่อนนั่งอยู่ที่เดิม ครุ่นคิดแต่คำสนทนาที่แล้วไปเมื่อครู่ ลมพัดมาเอื่อย ๆ ต้องกิ่งไม้โอนเอนไปมามยุรียังคงนั่งอยู่เช่นนั้นจนค่ำ

คืนนั้น เมื่อเจ้าคุณนั่งลงตรงหัวโต๊ะอาหาร ประสมขณะที่เลื่อนเก้าอี้ให้มยุรี พูดกับหล่อนว่า

“คิดว่าคุณจะไปเที่ยวอีกเย็นนี้ เพราะแต่งตัว”

มยุรีประหลาดใจจนหาคำโต้ตอบมิได้ เจ้าคุณจึงตอบแทน

“แต่งตัวเก้อน่ะซี นัดกับแม่พยอมว่าจะไปกินกาแฟนรสิงห์ไม่ใช่หรือ ?”

“ค่ะ แล้วคุณละออมีธุระเสียเลยไปไม่ได้ จนย่ำค่ำจึงโทรศัพท์มาบอก”

“ก็ทำไมไม่เอารถของเราไปรับเขาล่ะ ?”

“ลูกก็ออกขี้เกียจด้วยกันแหละค่ะ เพราะมันค่ำแล้ว”

“บิดาแม่พยอมเป็นเชื้อจีนไม่ใช่หรือครับ ?” ประสมถามเรื่อย ๆ มือทำหน้าที่ตักข้าว ถึงกระนั้น เขาก็ยังเห็นว่ามยุรีเงยหน้าขึ้นมองดูเขา

“ฮึ่ ! เป็นครึ่งจีน แต่เขาทำตัวเป็นไทย บุตรชายกับบุตรสาวก็เลยเป็นไทยแท้ ๆ ละออเป็นเด็กน่าคบ”

ต่างคนต่างเงียบกันไป ได้ยินแต่เสียงช้อนส้อมกระทบกับจาน ประสมเป็นคนพูดก่อน

“ผมอ่านหนังสือข่าววันนี้ ได้พบข่าวน่าสลดใจเหลือเกิน ชายคนหนึ่งหมั้นกับญาติของตัวแต่เล็ก ๆ ด้วยกัน เขารักคู่หมั้นซึ่งบิดามารดาเต็มใจให้ได้กันด้วยความรักอันลึกซึ้ง หญิงนั้นไม่รักตอบ เขาหนีตามผู้ชายคนหนึ่งไป คุณทายถีชายคู่หมั้นจะทำอย่างไร” ประโยคสุดท้ายเขาพูดกับมยุรี หล่อนสั่นศีรษะ เขาจึงพูดต่อไป สีหน้าและสายตาเปลี่ยนเป็นขึงขัง และยิ้มเป็นดูหมิ่น

“เจ้าสัตว์ขลาดบ้า มันกระโดดน้ำตาย”

คำพูดธรรมดาเหล่านี้หลุดจากปากประสม แต่มีอำนาจดุจสายอสุนี เจ้าคุณและบุตรสาวนั่งเงียบ....ทั้งสองกำลังนึกถึงอะไร ?

ประสมรวบช้อนส้อมชำเลืองดูผู้ฟังทั้งสอง สังเกตดูกิริยาจนเป็นที่พอใจแล้ว จึงกล่าวด้วยสำเนียงชนิดที่ผู้ฟังอธิบายไม่ได้

“ผมเสียใจแทนบิดามารดาของชายนั้น เออ ! ป่านนี้จะเศร้าโศกสักเพียงใด ส่วนพ่อแม่ของผู้หญิงเขาทั้งสองไม่ได้มีส่วนรับบาปด้วยดอกหรือ ? มโนธรรมน่าจะสะกิดใจเขาที่ได้ตกลงยอมรับหมั้นแทนบุตรีแล้วและไม่อบรมหล่อนให้อยู่ในโอวาท ส่วนแม่หญิงคนนั้น....คุณคิดว่าจะรู้สึกอย่างไร ?” เขาพูดกับมยุรี

“ไม่ทราบเลย เดาไม่ถูก แต่โอ ! ร้ายกาจ น่าเวทนา” มยุรีพึมพำ

“เวทนาชายคนนั้นหรือคุณ ผิดกับผม สำหรับผมเห็นว่าสมน้ำหน้า ฆ่าตัวตายเพราะผู้หญิง เหตุใดไม่พยายามให้ได้หล่อนเป็นกรรมสิทธิ์เสียแต่ต้นมือ และถ้าพยายามแล้วไม่ได้ เหตุใดไม่รักษาชีวิตของตัวไว้เพื่อ....แหม ! ถ้าเป็นผม”

เจ้าคุณและบุตรีอิ่มข้าว และซ้ำกลืนของหวานก็ไม่ลง บิดาหยิบบุหรี่ออกจุดสูบแล้วตั้งใจฟังต่อไป มยุรีจ้องดูผู้พูดไม่วางตา

“ถ้าเป็นผม ฮึ่ม !”

“จะทำอย่างไร ?” หล่อนถามเสียงคล้ายหอบ

“ผมรึ ? สิ่งใดที่เป็นของผม ผมต้องเก็บต้องรักษา ต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของผมตลอดกาล หญิงที่หมั้นกับผมแล้วต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของผม ถ้าใครบังอาจมาแย่งผมก็ยิงเสียทั้งคู่เท่านั้น”

“พ่อประสม !” เจ้าคุณร้อง ส่วนมยุรีสะดุ้ง

“ทำไมครับ ? สามีเห็นภรรยาของตนมีชู้ จับได้กับตา เขาจะทำอย่างไร ถ้าเป็นผมฟันให้ขาดสองท่อน”

“นั่นมันมีชู้ ก็คู่หมั้นมันคนละอย่างนี่”

“สำหรับผมเห็นคล้ายกันมาก”

“สำหรับนายประสม แน่ละ แต่สำหรับกฎหมาย เขาจะได้ตัดสินประหารชีวิตเสียปะไรล่ะ”

“จะประหลาดอะไร เมื่อเราได้เห็นคนที่ทำให้เราเจ็บใจ ตายไปเพราะมือเราสมประสงค์แล้ว”

“เอาหนัก ๆ” เจ้าคุณบ่น ท่านไม่เคยเห็นประสมมีกิริยาเช่นนี้มาก่อน

ท่านลุกจากโต๊ะ ขณะที่มยุรีพูดว่า “เป็นความเห็นส่วนตัวของนายประสม ไม่มีใครจะโต้แย้งได้ แต่ข้อที่หญิงมีคู่หมั้นแล้วไปได้กับชายอื่น ต้องหาว่ามีโทษเท่ากับมีชู้นั้น ฉันยังไม่เห็นด้วย”

“แล้วแต่จะโปรด ทุกคนย่อมมีความเห็นส่วนตัว”

คืนนั้นมยุรีนอนหลับน้อยที่สุด จิตใจฟุ้งซ่าน นอนๆ พอจะหลับก็เห็นภาพชายที่กระโดดน้ำตายมายืนอยู่ใกล้ กางมือออกเป็นเชิงวิงวอน หล่อนรู้สึกว่าเขาเป็นคนร่างสูง ดวงหน้าแสดงความเศร้าโศกอย่างลึกซึ้ง แต่หล่อนเห็นเขามีหนวดดำที่ริมฝีปากด้วย หล่อนพยายามจะลืมเรื่องเสีย ข่มใจให้หลับก็ไม่สำเร็จ หลับก็ผันตื่นก็เห็นไปเอง มันทรมานอยู่เช่นนั้นตลอดคืน เช้าวันรุ่งขึ้นเพียงเจ็ดนาฬิกากว่าๆ เท่านั้น ประสมซึ่งยืนอยู่ที่เฉลียงเรือน จึงได้เห็นหล่อนเดินมาที่สระใกล้ ๆ เรือนเขาด้วย อาการแช่มช้า หล่อนมิได้เหลียวมาทางที่เขายืนอยู่ เป็นแต่เดินไปยืนอยู่ที่สระครู่หนึ่ง แล้วนั่งลงบนขอบสระที่ก่อด้วยคอนกรีต ประสมยืนนิ่งมองดูหล่อนอย่างเพลิดเพลิน ครั้นแล้วไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นในสมองเขากระวีกระวาดลงจากเรือนแล้วค่อย ๆ นำตัวไปประดิษฐานอยู่ข้างหลังมยุรี โดยเจ้าหล่อนมิรู้สึกตัว เช้านี้เจ้าหล่อนสวมซิ่นสีน้ำเงินแก่ แลเสื้อผ้าขาวตัดเรียบ ผมซึ่งเกือบดำเมื่อต้องแสงแดดอ่อนก็มองดูสีเหลือบเป็นเงางาม หล่อนนั่งเท้าแขนขาพับอยู่ข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งห้อยเหยียดอยู่บนถนน

“คุณกำลังนึกถึงเรื่องที่ได้ฟังเมื่อคืนนี้หรือ?”

มยุรีสะดุ้งเยือกทั้งตัว หล่อนประหลาดใจและออกฉุน ที่เขามาทายความคิดถูก หันขวับมาดู ประสมจึงเห็นว่าตาหล่อนลอยและหน้าเซียว

“นอนดึกมากกระมัง สังเกตดูคุณไม่ค่อยสบาย” ประสมพูดด้วยน้ำเสียงที่มยุรีไม่เคยได้ยินมาแต่ก่อน

“ฉันนอนไม่ใคร่หลับ” หล่อนบอกตรงๆ เกือบจะเล่าว่านึกเห็นแต่ร่างคนที่โดดน้ำตายแต่ได้สติจึงยั้งไว้

“เสียใจที่ผมเป็นคนก่อเรื่องให้กวนใจ แต่ไม่ได้นึกว่าคุณจะเก็บเอาไปข้องถึงกับทำให้หน้าซีดไปเพียงนั้น ผมนอนหลับเหมือนตุ๊กตา”

มยุรีถอนใจอย่างกระสับกระส่าย เหตุใดชายนี้จึงเดาความคิดของหล่อนถูก รู้สึกเพลียทั้งกายและใจ ไม่มีแรงที่จะแสดงอาการไว้ตัวอย่างเคย ประสมพูดต่อไป

“ป่านนี้ หญิงคู่หมั้นของเขาคงคลอเคลียกับสามีได้สบายใจ เมื่อหล่อนพบข่าวตายของเขา หล่อนคงสะดุ้ง ครั้นสามีหล่อนถาม หล่อนคงชี้หนังสือพิมพ์ให้เขาดู พลางถอนใจนิด ๆ แต่พองาม แล้วยิ้มอย่างเศร้าเป็นเชิงสงสาร แต่ในสายตาของหล่อนที่มองดูสามีนั้นคล้ายจะบอกว่า ‘แกควรจะต้องบูชาฉัน ดูถี ฉันเป็นคนมีราคาแพงเพียงใดฉันทำให้คนตายเพราะฉันยังได้’....”

“หยุด! นายประสมพอที ! อวดดียังไง” มยุรีร้องผลุดลุกขึ้นยืน ประสมถอยหลังแสดงอาการตกใจเป็นล้นพ้น มยุรีไม่สามารถเห็นได้ว่า ภายใต้สีหน้าแสดงความพิศวงนั้น เขาซ่อนความยินดีไว้

“รับประทานโทษ เหตุไรคุณจึงมีอาการเช่นนั้น” เขาพูดอย่างไม่เดียงสา “เป็นความผิดที่รู้แล้วว่าคุณไม่สบายใจ กลับเอาเรื่องที่ไม่ชอบมาพูดให้ฟัง เสียใจมาก โปรดยกโทษให้ด้วย”

มยุรีกลับนั่งลงดังเดิม “ก็หล่อนไม่รักเขานี่นา เหตุไรเขาจึงรักเล่า” หล่อนพูดคล้ายกับพูดกับตัวเอง ดวงตาจ้องจับอยู่กับเงาในน้ำ หล่อนเห็นเงาของประสมซึ่งยืนอยู่ข้างหล่อน เยื้องไปทางหลังเล็กน้อย ทันใดดูเหมือนเงานั้นแสดงอาการกางมือกางเท้า แล้วทะลึ่งสุดตัว มยุรีหลับตาแน่นหันหน้ามาก็พบประสมยืนอยู่เป็นปกติ เขาก้มมองดูหล่อนแล้วพูดว่า

“วันนี้ที่พญาไทมีเต้นรำไม่ใช่หรือ”

“จ้ะ ฉันจะไปเหมือนกัน นัดพบกับพยอมและคุณละออที่นั่น”

ประสมกัดริมฝีปาก “คุณจะไปคนเดียวรึ ?”

“แน่ละ ฉันจะไปกะใครละ ฉันไม่มีพี่น้องสักคนเดียว”

“ก็เจ้าคุณ”

“โอ๊ คุณพ่อ เมื่อท่านกลับมาใหม่ ๆ ยังพาฉันไปเที่ยวดินเนอร์บ้างเต้นรำบ้าง บางทีชวนเพื่อน มาดินเนอร์ที่บ้าน ตั้งแต่ออกจากราชการแล้ว ไม่ไปไหนเอาเลยทีเดียว”

“คุณก็เลยไปคนเดียว”

“ก็ยังงั้นซี วันนี้นายประสมไปกับฉันไหมล่ะ?”

“ผมน่ะ นั่งรถไปกับคุณหรือ ตายละผมยังหนุ่มอยู่แท้ ๆ นั่งรถไปกับหญิงอย่างคุณ ผมจะได้ถูกนินทาตาย”

“ทำไมล่ะ ฉันไม่เห็นประหลาดอะไรเลย เมื่อฉันอยู่ในอเมริกา ก็ไปเที่ยวกับเลขานุการสถานทูตเสมอ ไม่เห็นเป็นอะไร”

“นั่นหรือความเห็นของคุณ ที่นี่ไม่ใช่อเมริกาและผมต้องรักษาความบริสุทธิ์แลชื่อของผม”

มยุรีนิ่งอึ้ง มีความรู้สึกอย่างที่บอกไม่ถูก โกรธจัดแกมสงสัย หล่อนไม่รู้จะพูดอะไร จึงสะบัดหน้าลุกขึ้นเดินจากเขาไป ประสมมองตามจนสุดสายตา แล้วหัวเราะเบา ๆ

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ