๑๐

เมื่อมยุรีกับแพทย์หนุ่มลงบันไดไปแล้ว ประเสริฐขยับเข้าไปใกล้น้องสาว แล้วชะโงกหน้าถามประสม “แกรู้ไหมเขานัดกันไว้แต่เมื่อไร”

ประสมขยับท่าคล้ายจะพูดคำแรง ๆ ออกมา แต่ชะงักไว้ได้ตอบเพียงว่า “ทีหลังแกเชิญ

ประสมเอนกายพิงเก้าอี้ ใคร่จะพูดอะไรอีก แต่หากตัวอักษรที่ปรากฏในจออาลูมิเนียม รั้งความคิดของเขาไปสู่อื่นหลังจากนั้นประมาณ ๒๐ นาทีคนทั้งสามก็ออกมายืนที่เฉลียงเพื่อรอฝูงชนที่เบียดเสียดกันแออัดไปเสียให้พ้นก่อน ประสมกับประภายืนอยู่เคียงกัน มองดูเขาเหล่านั้นกำลังเดินกันเป็นหาง เมื่อเห็นอะไรแปลกประสมก็ชี้ให้เพื่อนสาวดู แล้วหัวเราะกันอย่างร่าเริง ประเสริฐเดินเข้ามาใกล้ยกมือตบบ่าสหายถามว่า “ไปราชวงศ์กันก่อนไหม ?”

“ถึงหากจะกินข้าวจนเกือบต้องขยายเข็มขัดเมื่อค่ำนี้” ประสมตอบ “กันก็ยังไม่รังเกียจที่จะรับของเลี้ยงแกสักสองสามชาม”

ขณะที่นั่งรอหูฉลามอยู่ที่ราชวงศ์ หลวงประเสริฐสัมพันธ์กลับเอ่ยถึงมยุรีอีก

“กันคิดว่าเราไม่ได้ทำอะไรบกพร่องให้หล่อนนึกอย่างโน้นอย่างนี้ ?”

“นั่นแหละกันก็ไม่รับรอง” ประสมตอบ “ถึงหากกันอยู่ในบ้านของเธอก็ไม่ได้สนิทกับเธออย่างคุณประภา”

“ดิฉันเกรงว่าคงมีอะไรทำให้หล่อนไม่พอใจ” ประภาพูดช้า ๆ “ดูหล่อนอึดอัดและพิกล”

“จริงนะน้อง พี่นึกไม่ออกว่าเป็นเรื่องอะไรเกิดจากใคร แต่หล่อนมีเรื่องในใจน่ะแน่นอนละ ดูหน้าก็รู้ - เออน้อง เราลืมถามข่าวไปได้ คืนวันที่หมอละออเอารถไปชนอะไรน่ะ มยุรีไปด้วยนี่”

ประสมเบิกตากว้าง แสดงความประหลาดใจ มิทันจะเอ่ยปากถามก็พอประภาพูดขึ้น

“อ้อ ! จริงแหละ คืนที่เราบอกเชิญหล่อนนั่นเอง ถ้าเขาจะพาหล่อนไปส่งบ้านแล้วถึงได้เอารถไปชนดอกกระมัง นัยว่าบังโกลนแบนทีเดียว”

ประสมถาม “เธอทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร ? แกด้วย ประเสริฐ ! ใครเป็นผู้เล่าให้แกฟัง ?”

“อะไรเล่า ?” ประเสริฐย้อน “หนังสือพิมพ์นะซีเล่า แกไม่ได้เห็นรึ”

“เปล่า หนังสือพิมพ์ฉบับไหนนะ ลงว่ายังไงบ้าง ?” ประสมถามน้ำเสียงแสดงความร้อนใจ

“อย่าตกใจ ไม่มีชื่อนายของแกหรอก” ประเสริฐรีบอธิบาย “เนื้อความว่าพลตำรวจไปตรวจที่ถนนสนามม้าตามหน้าที่ ได้พบหมอนอนหลับอยู่ในรถ ปลุกเท่าไรก็ไม่ตื่น เขาก็เลยพาทั้งรถทั้งคนไปโรงพัก นายตำรวจรู้จักว่าพ่อหมอเป็นใคร เลยจัดการส่งบ้าน”

“เท่านั้นเองละหรือ ?” ประสมพูดอย่างโล่งใจ “มันเอะอะกันตรงที่ตำรวจไปพบนั่นเอง มิฉะนั้นคงมิถึงหนังสือพิมพ์ แต่เป็นเคราะห์ดีที่แกลืมเสียได้ มันสนุกอย่างไรที่จะฟังเรื่องความเหลวไหลของ...."

“จริงนะคะ” ประภาเห็นด้วย “มยุรีน่าจะอายแทน ที่คุณละออเมาจนเสียสติเช่นนั้น ถ้าหากหล่อนกับเขาสนิทสนมกันยิ่งกว่าเพื่อนธรรมดา”

ประสมกัดริมฝีปาก เคาะพริกไทยลงในชามหูฉลาม

“น้องคิดว่าเขาจะแต่งงานกันไหม ?” ประเสริฐถาม

“ไม่ทราบค่ะ แต่สังเกตดูเขาทั้งสองคน น้องคิดว่าเขาเป็นคู่รักกัน”

“คุณมยุรีจะไม่ได้แต่งงานกับนายละออ” ประสมขัดเสียงแข็งจนทำให้พี่น้องประหลาดใจ

“อะไรทำให้แกมั่นใจถึงเพียงนั้น ?” ประเสริฐถาม

ประสมหัวเราะเก้อ ๆ แล้วตอบว่า “ที่จริงกันมั่นใจน้อยกว่าที่จะพูดออกมามาก”

“เขาก็สมกันดีนะคะ”

“ถ้าหากหมอละออจะไม่เมาจนรถไปตำกอไผ่อีก” ประเสริฐขัด

น้องสาวของเขาหัวเราะ “จะเมามายก็ขอให้อยู่บ้านเถอะ ไอ้ไปเกะกะจนเรื่องกระฉ่อนอย่างนี้ น่าเกลียด”

“หวังว่าเธอจะไม่เผอิญไปพบกับชายขี้เมาเข้า” ประสมพูดยิ้มอย่างสัพยอก

“อ่อ แน่นอน ! แกไม่ต้องวิตก” ประเสริฐรับพลางหัวเราะ “มนุษย์คนที่ประภาเขียนจดหมายถึงทุกอาทิตย์ และที่เขียนจดหมายถึงประภาทุกอาทิตย์ ส่งข้ามสมุทรมานั้น เรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้”

“อือ ! นี่เป็นความรู้ใหม่” ประสมร้องยิ้มอย่างล้อเลียนกับน้องสาวของเพื่อน เจ้าหล่อนหน้าเป็นสีชมพูพึมพำว่า

“แหม คุณพี่ไม่อยากเชียว”

“โถ นิ่งเถอะ ๆ” ประเสริฐพูดตบหลังเป็นเชิงล้อแต่สายตาแสดงความรักและเอ็นดูเป็นอันมาก “เท่ากับพี่น้องกันเองไม่ใช่คนอื่นนี่นะ”

“เธอคงไม่รังเกียจที่จะให้ฉันรู้เรื่องนี้ ตลอดถึงฐานะของคู่...ของ...เขาไม่ใช่หรือ ?” ประสมกล่าว ประภาหน้าแดงยิ่งขึ้น

“ตาย!” หล่อนบ่น

“ฐานะของเขา ก็คือเนติบัณฑิตที่สอบไล่ได้แล้ว ก็ไปเรียนกฎหมายที่เมืองฝรั่งเศสอีกเท่านั้นแหละ แล้วแม่น้องสาวกันก็คอยมองดูบุรุษไปรษณีย์ทุก ๆ วันอาทิตย์ อาทิตย์ไหนไม่มีจดหมายมาจากต่างประเทศก็เป็นหวัดไปทั้งวัน”

“ตาย คุณพี่ ฝอยใหญ่ เดี๋ยวน้องหยิกเอานะ”

“เอ้! เอ้! อย่านะ” ประเสริฐร้องทำท่ากลัวจริงๆ “หยิกพี่ ตายแล้วชาติหน้าเกิดเป็นปู”

ต่างคนหัวเราะ

“ฉันหวังว่าเธอจะได้รับความสุขจากเขาผู้นั้น ขอให้เธออยู่ด้วยกันยืดยาวและรักกันมาก ๆ เถอะ” ประสมพูดเสียงเป็นกังวาน และเห็นชัดว่าออกจากใจจริง

การนั้นต้องใจสาวน้อย หล่อนหักความอายพูดว่า

“ขอบพระคุณคะ ขอให้สมพรปากแต่เราเป็นแต่เพียงหมั้นกันไว้เท่านั้น”

“ภายหลังก็คงแต่งงานกัน ฉันคิดว่าเขากับฉันจะชอบกันได้”

“กันเชื่อ” ประเสริฐรับรอง “เป็นเด็กดี ฉลาดเอาการ”

“นั่นจัดว่าเป็นเคราะห์ดีของคุณประภา”

“ทีนี้ประภายังมีเรื่องหนักใจ กลัวคู่หมั้นจะไว้หนวด เพราะว่าไปอยู่เมืองฝรั่งเศส”

“ถึงไว้ก็จับโกนเสียก็แล้วกัน”

“เวลานี้ยังไม่ได้ไว้ ถ่ายรูปส่งมาหน้าเลี่ยนเหมือนเมื่ออยู่บ้านนี่เอง ถึงยังงั้นก็ยังวิตก เคยกระซิบถามกันว่า ทำไมแกต้องไว้หนวด”

ประสมหัวเราะอย่างสนุก มือลูบหนวดที่ริมฝีปากแล้วว่า “ผู้ชายที่ไว้หนวดก็เหมือนผู้หญิงที่ตัดผมชิงเกิลนั่นแหละ เธอเกลียดมากหรือ?”

“ไม่ค่อยชอบคะ ดิฉันหนักแทน”

“ถ้าเธอลองเอาหนวดติดเข้าแล้ว จะรู้สึกว่าไม่หนักเลย....บางที....” เขาพูดต่อไปเชิงตรึกตรอง “บางทีราวเดือนหน้า เธออาจจะเห็นฉันไม่มีหนวดก็ได้”

พูดจบเขาชักนาฬิกาออกดู แล้วเหลียวหน้าไปรอบ ๆ “เอ๊ะ ! นี่รถยังไม่มาหรือยังไง สั่งแล้วให้ตามมาที่นี่”

ประเสริฐขยับตัวลุกขึ้นช่วยมอง “นั่นแน่” เขาร้องพลางชี้มือไปทางท้ายรถ “โน่นหน้าร้านข้าวต้มโน้นใช่ไหมล่ะ ?”

“ใช่” ประสมบอกเมื่อได้มองเห็นรถถนัดแล้ว “กันต้องไปที ขอบใจเพื่อนรักที่นึกถึง กันได้รับความสุขใจมาก ขอบใจเธอด้วย คุณประภาที่ได้เป็นคู่เต้นรำกับฉัน เมื่อคู่หมั้นของเธอกลับมาแล้ว เธอจะได้อาจารย์แทงโก้ดีกว่าฉันมาก” เขาจับมือกับประเสริฐไม่ใช่เพื่อโก้เป็นการบีบแรงแสดงความรักและสนิทสนมซึ่งกันและกัน ประภาพนมมือขึ้นกระทำความเคารพ ประสมรับแล้วก็เดินห่างไป

“ว่าง ๆ ต้องไปหากันอีกนะ แกละมันเลว” ประเสริฐตะโกนพูด ประสมหันมายิ้มพยักหน้า แล้วโบกมือเป็นการลาอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อขึ้นรถแล้ว ประสมสั่งให้ขับรถกลับบ้าน ครั้นถึงก่อนเข้าประตูเขาถามคนยามว่า มยุรีกลับแล้วหรือยัง เมื่อได้รับคำตอบว่ายัง ประสมอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วสั่งให้คนขับลง ตัวเองทำหน้าที่โชเฟอร์แล่นรถต่อไป เขาเลี้ยวลงตามถนนต่าง ๆ ดวงหน้าบึ้งเต็มไปด้วยความไตร่ตรอง ครั้นถึงสวนลุมพินีเขาชะลอรถแล่นช้า ๆ ภายหลังตัดสินใจเด็ดขาด ก็พายานขึ้นสะพานไปถนนสีลม ประตูใหญ่สีเกรเปิดกว้าง แขกยามยืนอยู่ ประสมหยุดรถพูดโต้ตอบกับแขกนั้นสองสามคำ แล้วก็นำตัวมาปรากฏอยู่ที่หน้าห้องพักของนายละออ.

ภายหลังที่เจ้าของห้องเห็น ว่าผู้มาเยือนเป็นใครแล้วเขาก็มีหน้าซีดด้วยความตกประหม่า ประสมก้าวเท้าเข้ามาข้างหน้า ดวงตาดำสนิทนั้นมีแววเยือกเย็น เขาพูดเสียงต่ำ

“ผมบอกกับแขกยามว่า มีธุระร้อนต้องพบกับคุณ เขาจึงนำผมมา ผมคิดว่าคุณมีแขก แต่เหตุไรประตูจึงใส่กุญแจ” ละออนิ่ง ตัวของเขาบังเงาอยู่ ประสมไม่อาจเห็นสีหน้าได้

“ขอบใจยาม แกไปได้ ฉันได้พบกับคุณนี่แล้ว” ประสมหันมาทางอาบัง

ชายชาวอินเดียเดินผ่านไปแล้ว เขาหันกลับมาทางนายละออพูดว่า

“ขอให้ผมเข้าไปข้างใน และโดยไม่รอฟังตอบ เขาก้าวเท้าไปกลางห้องในชั่วขณะแรก ประสม มิได้เห็นร่างของมยุรีที่อยู่บนเก้าอี้ยาว เขารู้สึกประหลาดใจมาก พอจะหันหลังกลับ ก็ได้ยินเสียงครางเบา ๆ ประสมหันหน้าไปทางนั้น ภาพของมยุรีนอนหงายเหยียดยาวอยู่ ทำให้เขาต้องหลับตาเสียทันใดคล้ายจะซ่อนความรู้สึกไว้ภายในใจจากสายตามนุษย์ สีหน้าในเวลานั้นคล้ายกับรูปปั้น อึดใจหนึ่งเขากลับลืมตาขึ้น ก้าวเท้าเข้าไปใกล้มองดูตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า พอเห็นผ้าที่มัดอยู่ดวงหน้าก็เปลี่ยนไปอีกอย่างหนึ่ง เขามิรอช้ารีบแก้ผ้าทั้งสองท่อนออกจากมือและเท้าของมยุรี ขณะนี้หล่อนนอนนิ่งทอดสายตาละห้อยดูผู้มาโปรด คล้ายจะขออะไรมากกว่าการแก้มัด ประสมมิสามารถเดาความคิดของหล่อนได้ เขาผละจากหล่อนเดินเข้าไปหาละออ ขณะนั้นกลิ่นชนิดหนึ่งกระทบฆานประสาท พร้อมกับสายตาเหลือบเห็นผ้าอบยาสลบทิ้งอยู่ที่พื้นห้อง เขาจึงเก็บขึ้นดมดู ก็เดาการได้ตลอด ดวงตาวาวเป็นประกาย กวาดดูหมอหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เมื่อเห็นละออสวมรองเท้าอยู่ข้างหนึ่งก็หัวเราะอย่างเหยียดเหยียด

“การกระทำของคุณใกล้เคียงกับเดียรัจฉาน” เขาพูดเรียบ ๆ “ถ้าผมถึงที่นี่ช้ากว่านี้สัก ๕ นาที ผมก็ต้องฆ่าคุณเป็นแน่”

ละออหัวเราะคล้ายคนวิกลจริต “เออจริงวะ มาถึงเร็วไปอึดใจเดียวเท่านั้น” เขาคำราม ประสมกลับไปหามยุรี มองดูหล่อนชั่วครู่หนึ่งแล้วพูดว่า

“คุณจะกลับบ้านหรือยัง ?”

มยุรีขยับตัวลุกขึ้น ศีรษะยังหนักอยู่ด้วยฤทธิ์ยา แต่มีสติแล้วอย่างดี ประสมเห็นหล่อนเซ เขาส่งแขนให้หล่อนเกาะเพื่อพยุงกาย แล้วก็ออกจากห้องโดยไม่ดูหน้าเจ้าของด้วยเกรงจะเลือดเดือด ประสมพามยุรีไปถึงรถแล้วพยุงหล่อนให้นั่งตอนใน แล้วตัวเขาเองเข้านั่งที่คนขับ เมื่อสต๊าร์ทเครื่อง ได้ยินมยุรีเรียกชื่อเขาเบา ๆ

“ฉันนั่งด้วยคนได้ไหม ? ให้ฉันนั่งข้างนอกด้วยเถอะ นั่งคนเดียวไม่ได้เสียแล้ว”

ประสมไม่ตอบว่ากระไร จัดแจงเปิดประตู แล้วพาหล่อนมานั่งคู่กับตนด้วยกิริยาอันละม่อม

รถแล่นไปชั่วครู่หนึ่ง ประสมก็ได้ยินเสียงสะอื้นฮัก ๆ เขาเหลียวดูผู้ที่นั่งเคียงข้าง ในดวงตามีแสงชนิดหนึ่ง ซึ่งถ้ามยุรีได้เห็นหล่อนอาจหยุดร้องไห้ทันที มือซ้ายของเขาปล่อยจากพวงมาลัย คล้ายจะสัมผัสร่างซึ่งกระเทือนขึ้นลงด้วยฤทธิ์สะอื้นเพื่อปลอบประโลม แต่ประสมมิใช่ชายที่ปล่อยให้ความรู้สึกมีอำนาจเหนือใจ เขากลับจับพวงมาลัยบีบแน่นยิ่งกว่าเดิม

“นายประสม” มยุรีพูดเสียงสั่น “พูดกับฉันสักคำ จะค่อนว่าด่าก็เอา ขอให้พูด - พูดว่าฉันเลวทรามเพียงไร”

ประสมอั้นใจ มือบีบพวงมาลัยรถเต็มแรง เขาพูดถอนเสียง

“ผมไม่ทราบจะพูดอย่างไร ไม่นึกจะติเตียนอะไรคุณได้ในเวลานี้ คุณเองนั่นแหละควรจะพูด ผมเป็นเพื่อนของคุณในปัจจุบัน ร้องไห้และพูดเสีย ปล่อยความในใจออกมาจะทำให้คุณสบายขึ้น”

“ฉันเป็นคนเลวเอง” มยุรีสะอื้น “ชั่วข้า เสียชื่อ เสียตัว โอ! ไปถึงเพียงไหนแล้ว”

“เปล่า ! ไม่ร้ายแรงถึงเพียงนั้น ผมไปถึงทันเวลาพอดี”

“โอ! ร้ายกาจ ความผิดของฉันเอง ความผิดของฉันเอง” หล่อนบ่นน้ำตาไม่ขาดสาย ความเจ็บความอาย ความแค้น ความน้อยใจประดังกันอยู่ “แต่ฉันไม่นึกเลยว่าจะเป็นไปได้ถึงเพียงนั้น ฉันเองเป็นคนทำ เขาเคยคิดว่าฉันรักเขา ครั้นฉันปฏิเสธเขาจึงกลายเป็นบ้า โอ! ร้ายกาจ แน่ใจหรือว่า........ ?”

“แน่เสียยิ่งกว่าแน่” ประสมรับเร็ว เสียงหนักแน่นเพื่อให้หล่อนเชื่อ “วางใจเถอะ คุณยัง....คุณยัง เป็นอยู่เช่นเดิม เขากำลังถอดรองเท้าเมื่อผมไปเคาะประตู ผมแน่ใจ คุณทราบไหม คุณไปถึงบ้านเขากี่ทุ่ม ?”

“ไม่ทราบ แต่เมื่อฉันบอกว่าจะกลับนั้น สองยาม ๔๕ นาที เวลานั้นแหละเขาเอายาสลบอุดจมูกฉัน”

“ถ้าเช่นนั้นก็ยิ่งแน่หนักขึ้น ผมไปถึงทีหลังนั่นสักอึดใจเดียว เขายัง........”

“น่ากลัวจริง” มยุรีพึมพำต่อไป ในใจนึกถึงภาพที่รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาขณะที่สลบอยู่หล่อนรู้สึกว่าได้กลิ่นแอลกอฮอล์ ลมหายใจร้อนผ่าว และวัตถุนุ่ม ๆ อบอุ่นถูกตัวหล่อน มยุรียกมือขึ้นปิดหน้าสะท้านด้วยความเกลียดกลัวสะอิดสะเอียน หล่อนคงสะอื้นอยู่นาน ในที่สุดจึงได้เงียบลง ยกมือออก เผยดวงหน้าแดงก่ำ ให้ปรากฏแก่ชายหนุ่มในยามรถผ่านเข้าระยะไฟ

ในที่สุดก็มาถึงที่หมาย เมื่อรถจอดที่หน้ามุข มยุรีพูดอะไรอู้อี้สองสามคำซึ่งประสมไม่เข้าใจ แต่เขาก็คงตอบไปอย่างเดา ๆ

“ไปนอนเถอะคุณ ขอให้นอนหลับสบาย จงลืมเรื่องนั้นเสียเถิด มันแล้วไปแล้วและคุณก็ไม่ได้รับอันตรายอย่างใด ควรทำท่าให้เหมือนเคย มิฉะนั้นเจ้าคุณท่านจะสงสัย”

พูดแล้วเขาเปิดประตูรถให้มยุรีแตะมือที่เขายื่นมาจับประตูอย่างขลาดแล้วว่า

“ขอบใจ ฉันไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่านี้อีก แต่....ฉันอยากรู้....ทำไมนายประสมจึงตามไปถูก ?”

ประสมอึกอักไม่น้อยไปกว่าผู้ถาม เขาอ้อมแอ้มตอบ

“วันหลังผมจะเล่าให้ฟัง เรามีเรื่องที่จะพูดกันมาก วันหลัง........ลาทีคุณ สำหรับคืนนี้”

มยุรีขึ้นบันไดไปชั้นบน ก่อนที่จะเลี้ยวหล่อนเหลียวมองดู เห็นประสมกำลังมองตามหล่อนอยู่ สาวน้อยถอนใจยาวด้วยความอัดอั้น แล้วเดินระทดระทวยเข้ายังห้องนอน

รุ่งขึ้นมยุรีตื่นแต่เช้าตรู่ ไม่ใช่ตื่นจากหลับ เพราะหล่อนไม่ได้หลับเลย ตลอดเวลา ๔ ชั่วโมงเต็ม ความคิดที่ร้อนแรงเผาผลาญดวงจิตอันเต็มไปด้วยความหยิ่ง ใจอ่อนเปลี้ยปานจะละลาย เพราะฉะนั้น ก่อนที่พระอาทิตย์จะได้เลื่อนลอยขึ้นยังขอบฟ้า เสียงนกและการ้องเซ็งแซ่ ประหนึ่งจะเตือนพวกให้ลุกขึ้นทำกิจประจำวัน มยุรีก็ได้อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย และนำตัวมายืนอยู่ตรงหน้าต่าง ถึงหากจะมีแสงอรุณแล้วแต่เพียงราง ๆ แต่ดวงดาวยังหาหลีกลับไปไม่ เสียงไก่ขันแจ้ววังเวง ลมเช้าพัดเฉื่อย ๆ มาต้องดวงหน้าอันร้อนผ่าวของหญิงสาว ที่เรือนไม้สักทาสีเขียวนั้น ในขณะนี้ต้องแสงสว่างหลัว ๆ ก็แลดูคล้ายสีโศกอ่อนเพียงจะขาว มยุรีถอนใจยาว เขาผู้อยู่ในนั้นคงนอนหลับอย่างสุขสบาย หล่อนหวลคิดถึงชายผู้นั้น กระด้างและหยิ่งต่อผู้ที่เป็นลูกของนาย แม้กระนั้นก็ยังเอาใจใส่ หรือโดยบังเอิญ ให้ความช่วยเหลือได้ทันท่วงทีเสมอ หนหนึ่งที่โฮเต็ลพญาไท หนที่สองที่ถนนสนามม้า การนั้นยังไม่เลือนจากสมอง ก็มาเกิดเรื่องสามขึ้น ทันใดบังเกิดความคิดไม่อยากเห็นหน้าเขาอีกต่อไป หล่อนอายเขา เขาจะนึกอย่างไร ? เขาคงนึกหัวเราะอย่างดูหมิ่น อา ? อาการมองอย่างเหยียด ที่เขาเคยมองดูหล่อน เขาเป็นผู้มีบุญคุณต่อหล่อน มีบุญคุณอย่างแท้จริงเสียด้วย หล่อนจะต้องอ่อนน้อมต่อเขา การณ์บังคับอยู่ มยุรีนึกแค้นนายละออยิ่งขึ้นแล้วแค้นตัวเอง แค้นนายประเสริฐกับน้องสาวและแค้นตลอดจนนายประสม ! กิริยาที่เขาแสดงต่อหญิงนั้น! การเต้นรำ!! การสนทนาอย่างรื่นเริง!!! ส่วนหล่อนต้องเป็นลูกหนี้บุญคุณเขา ! เออ ! หล่อนช่างตัวคนเดียวหาผู้ไว้ใจไม่ได้สักคน หล่อนจะปรึกษากับใครก็ไม่ได้ ความคิดลึกลับของหล่อนน่ะหรือ ? หล่อนจะยอมอกแตกเสียดีกว่าจะแถลงเล่ากับใคร ชั่วขณะนั้นมยุรีนึกปรารถนาได้เพื่อนเป็นที่สุด เพื่อนที่รักหล่อนจริง ที่หล่อนรักจริง หล่อนอยากได้ฟังคำหวานปลอบโยนเอาใจให้ละลืมความอับอาย อันจะตราอยู่ในดวงจิตมิรู้ลืม--อยู่ในห้องของชายผู้หนึ่ง สลบปราศจากการป้องกันตัว ช่างร้ายกาจเสียนี่กระไร! มยุรีเริ่มรู้ว่าคำพูดง่าย ๆ ของประสมนั้นทำให้หล่อนเบาใจได้มาก แต่ก็เขาผู้นั้นเป็นเพียงนายประสม หาใช่คนอื่นไม่ สาวน้อยหวนนึกถึงคำพูดของประสมเมื่อคืนนี้ “วันหลังผมจะเล่าให้ฟัง เรามีเรื่องที่จะพูดกันมาก” มยุรีนึกฉงนเป็นอย่างยิ่ง เรื่องอะไรหนอที่เขาจะพูด หล่อนอยากรู้เป็นที่สุด และได้ตั้งใจว่าจะซักเอาความให้จงได้ การที่ไม่อยากเห็นหน้าก็พ่ายแพ้แก่ความอยากรู้ทันที

ท้องฟ้าเริ่มเป็นสีเหลือง เสียงไก่ขันน้อยลงเป็นลำดับ มีเสียงนกกระจอกร้องจ๊อกแจ๊กดังขึ้นแทนที่ ตัวกลมเป็นหมู่จับอยู่ที่เสาและสายไฟฟ้า ปากอ้าเอียงศีรษะอันเล็กน่าเอ็นดูส่งเสียงหยอกล้อกันไปมา ตัวหนึ่งน่าจะเป็นตัวผู้ ขยับเข้าใกล้นางสาว ปากแหลมอ้าปากแล้วหุบ นางนกร้องตอบเสียงจู๋จิ๊กแล้วผละหนีห่างไป ล้อหลอกเจ้าหนุ่มติดตามฉอเลาะอยู่มิรู้หนื่อย “อา! อิตถีเพศ แม้สัตว์เดียรัจฉานยังรู้เล่นตัวเจ้าหนุ่มเจ้ารักจริงเจ้าก็พยายามซี เช่นนั้น นั่น บินขึ้นก็ขึ้นด้วยกัน เกาะก็เกาะด้วยกัน ทำจนได้ชัยชนะหล่อน แล้วภายหลังเจ้าจะเป็นนายหล่อนได้”

มยุรีเดินจากหน้าต่าง สวมรองเท้าและเสื้อญี่ปุ่นเพื่อกันความหนาวแห่งเดือนมกราคม แล้วก็ลงมาข้างล่าง สนามหน้าตึกมีสีเหลืองด้วยแสงอาทิตย์ต้องหญ้าหยาดน้ำค้างยังไม่ละลาย คงเป็นหยาดใสแจ๋วแหววอยู่บนหญ้าที่ตัดเกรียน มยุรีเดินตัดสนามนั้น เช้า ๆ ธรรมชาติอันสดชื่นนี้หาทำให้ใจหล่อนเบิกบานได้ไม่ หล่อนเดินกลับไปกลับมาจนรู้สึกเบื่อ ก็เปลี่ยนทาง ตั้งใจจะเดินไปรอบบริเวณบ้านของหล่อนนี้เอง หล่อนอ้อมถนน ผ่านสระแล้วผ่านหน้าต่างห้องนอนของประสมที่เปิดอยู่ ตั้งใจจะไม่เงยหน้าขึ้นดูก็อดหาได้ไม่ จึงได้เห็นเจ้าของห้องสวมเสื้อเสวตเตอร์อย่างบาง ข้อศอกเท้าขอบหน้าต่างอยู่ พอเห็นหล่อนเขาก้มศีรษะพูดเรื่อย ๆ ว่า

“จะไปไหนคุณ ?”

มยุรีหยุดเดินแล้วตอบ “ตั้งใจจะเดินเล่น....ให้ฉันขึ้นไปข้างบนได้ไหม ?”

“ผมจะลงไปหาคุณเอง”

“สนามและเก้าอี้เปียก นั่งไม่ได้”

“ถ้าเช่นนั้นเราก็ต้องยืน ผมจะให้คุณขึ้นมาไม่ได้หรอก”

มยุรีเวียนศีรษะด้วยการถือธรรมเนียมจัดเกือบจะบอกเขาไม่ให้ลงมาอยู่แล้ว ก็พอดีร่างเขาหายจากหน้าต่าง เสียงฝีเท้าลงบันไดอย่างรวดเร็ว อึดใจเดียวเขาก็มาอยู่ตรงหน้าหล่อน

“ผมจะทำอะไรให้คุณได้บ้าง ?” เขาถาม

มยุรีนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ทอดสายตาดูทุ่งนาภายนอกรั้วบ้านแล้วตอบเบา ๆ “ฉันอยากทราบเรื่องที่นายประสมบอกว่า มีเรื่องจะพูดกับฉันมาก”

“เท่านั้นเองดอกหรือ ? แต่ผมไม่คิดว่าคุณจะทนฟังได้เวลานี้ ทั้งผมก็มิได้กำหนดสัญญาที่จะบอกว่าเป็นวันนี้ด้วย”

“ก็ฉันอยากรู้ เป็นเรื่องสำคัญอย่างไรรึ ฉันถึงจะทนฟังไม่ได้”

“ตรงกันข้าม เรื่องเหลวแหลกที่สุดหาสาระบ่มิได้ บางทีคุณจะหัวเราะเยาะตัวเองเมื่อได้ฟังแล้ว”

“เอาเถอะ ฉันอยากหัวเราะ ใจของฉันเวลานี้เจ็บร้าว ฉันร้องไห้ตลอดคืนถ้าได้หัวเราะเสียบ้างจะสบายขึ้น

ประสมมองดูหล่อนอยู่อึดใจหนึ่ง

“คุณร้องไห้มากจนตาบวม ถ้าหากเจ้าคุณท่านถามจะว่ายังไง ?

“ช่างก่อนเถอะอ้ายนั่น ฉันอยากจะรู้เรื่องที่ฉันถาม”

ชายหนุ่มเอามือใส่กระเป๋าเสื้อ ยืดตัวตรง ดวงตาวาวเป็นประกาย น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นขัดกับท่าและสีหน้า

“ผมอยากจะถามว่าภายหลังที่ได้ผจญอะไรมามากแล้ว คุณจะดำริถึงการวิวาห์บ้างหรือยัง ?”

มยุรีสะดุ้ง รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เขาหมายความว่าอย่างไร ? เขาจะขอให้หล่อนเป็นเจ้าสาวของเขารึ ความรู้สึกคล้ายความชุ่มชื่นแล่นเข้าสู่กายหญิงสาว

“หมายความว่ากระไร ?” หล่อนถามเกือบเป็นเสียงกระซิบ

ประสมตอบเรียบ ๆ “คุณมีคู่หมั้นแล้ว”

มยุรีถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ความหวังทั้งมวลหายวูบไปทันที ความผิดหวังทำให้คั่งแค้น มยุรียกมือขึ้นปิดหน้าซ่อนน้ำตาที่กำลังไหลรินอยู่ ความเจ็บช้ำที่เคยมีในเมื่อคืนวานตอนหัวค่ำตลอดถึงเวลาเช้าตรู่เกิดประดังขึ้นพร้อมกัน

“ผมว่าแล้วคุณจะทนฟังไม่ได้” ประสมพูด ยิ้มอย่างถมึงทึง “คุณเห็นจะเกลียดคู่หมั้นคนนี้เต็มที บางทีจะมากกว่าที่ผมคาดไว้........เสียใจที่ทำให้คุณต้องเสียน้ำตาอีก”

“ฉันไม่ได้เกลียดเขา ! ฉันไม่ได้เกลียดเขา !” มยุรีร้อง “ฉันไม่ได้เกลียดใครหมดนอกจากตัวฉันเอง อนิจจา ฉันไม่มีเพื่อนสักคนในโลกนี้”

ประสมเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เข้าใจความคิดของหล่อน และได้เดาผิดไปทางหนึ่ง ดวงตาลุกวาว น้ำเสียงกระด้าง เขาว่า

“บางที จะเป็นเพราะคุณ ไม่อยากเป็นเพื่อนกับใคร”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นแววตาร้อนรนจับดูหน้าผู้พูด หล่อนจะบอกเขาได้หรือว่าผู้ที่หล่อนต้องการให้เป็นเพื่อนนั้นได้ปฏิเสธความปรารถนาของหล่อน หล่อนพูดด้วยความแค้น

“ใคร ๆ ก็ชอบพูดถึงคู่หมั้น เขามาใยดีอะไรกับฉัน ร้อยปีไม่มีส่งข่าวถึง ร้อยปีไม่มาเยี่ยมสักที เขาเป็นคู่หมั้นของฉันแต่เขาทิ้งฉันไว้มิได้แสดงน้ำใจให้เห็นเสียเลย ถูกแล้วฉันเกลียดเขา เกลียดทุก ๆ คนในโลก เกลียดโลกตลอดถึงตัวฉันเองด้วย”

ประสมตีหน้าตื่นยิ่งขึ้น เขาเกือบไม่รู้ว่าเรื่องอะไร มายังไงไปยังไง

“ผมไม่เข้าใจอะไรของคุณเลย” เขาว่า

“แน่ละ จะเข้าใจได้หรือ ?” มยุรีร้องแล้วสะอื้นต่อไป

“ให้ดิ้นตายซี ! โอ ขอโทษ ไม่ควรกล่าวคำเช่นนี้ต่อหน้าคุณ แต่ผมไม่สามารถเข้าใจความคิดของคุณได้ โปรดพูดให้ชัดเจนหน่อยได้ไหม คุณโกรธคู่หมั้นด้วยเรื่องอะไร ?

“ไม่พูด” มยุรีเอ็ด “ธุระอะไรจะพูดให้เสียปาก นายประสมเป็นผู้แทนของเขารึ ?”

“หามิได้ เป็นคน ๆ เดียวกันทีเดียว”

“ถ้าเช่นนั้น ขอให้รู้ ฉันเกลียดเขานัก และเกลียดผู้ที่ฉันนึกว่าเป็นผู้แทนของเขา ยิ่งกว่าตัวเขาเองร้อยเท่า เหตุใดจึงมาถามเรื่องแต่งงาน ฉันจะไม่แต่งงานในชาตินี้ ฉันเป็นคนที่ชั่วช้าเสียทุกอย่าง นายประสมก็รู้อยู่แล้ว” เสียงหล่อนอ่อนลง “บอกเขาเสียด้วย บอกเขาเสีย เขาจะได้ถอนหมั้น ฉันแต่งงานกับใครไม่ได้หรอก รังแต่เขาจะดูถูกได้ภายหลัง”

“นั่งก่อน คุณมยุรี มันไม่ใช่หน้าที่ของผมที่จะเอาเรื่องของคุณไปป่าวร้อง คู่หมั้นของคุณควรทราบเรื่องจากปากของคุณเองเขาจะเชื่อคุณ เหตุใดเล่าเขาจะถอนหมั้น ว่าแต่คุณจะอนุญาตให้ผมโทรเลขเรียกตัวเขามาไหมล่ะ ?”

“อย่า ๆ” มยุรีร้อง “ฉันกลัว ไม่ได้ ฉันเป็นคนบอกกับคุณพ่อเองว่า ฉันไม่ยอมแต่งงานกับเขา”

“เหตุใดคุณรังเกียจในตัวเขาเล่า” ประสมถาม

“อย่า-อย่าถามฉัน ฉันเล่าไม่ได้หรอกมันเป็นการขายหน้า อย่ายุ่งกับฉันเลย ปล่อยฉันตามลำพังเถอะ ฉันได้รับความเจ็บปวดจนทนเกือบไม่ไหวอยู่แล้ว

“ผมจะไม่ยุ่งอะไรอีก แต่ว่า-คุณจำได้ไหมเดือนนี้กลางเดือน คุณจะต้องให้คำขาดกับคู่หมั้น คุณจะตัดขาดทีเดียวหรือจะรอตรึกตรองดูก่อน บางที ผมคิดว่าคู่หมั้นของคุณนั่นแหละจะเป็นเพื่อนของคุณ จะเป็นผู้ป้องกันอันตรายมิให้มากล้ำกรายคุณได้”

คำพูดของประสม ประจวบกับความคิดของมยุรีโดยบังเอิญ หล่อนเองก็เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน น่าจะเป็นจริง ชายที่เคยหมั้นกับหล่อนมาแต่เล็ก อาจสามารถจะฆ่าความรู้สึกที่ไม่ควรมีในใจหล่อน (แต่ได้มีขึ้นแล้ว) ให้หายสูญไปได้ มยุรีนิ่งตรอง ทอดสายตาดูดวงหน้าของประสมแวบหนึ่งแล้วถอนใจ หล่อนพูดคล้ายคนกำลังจะสิ้นชีวิต

“บางทีจะจริง แต่ฉันยังไม่เคยรู้จักเขา ถ้าได้พบสักครั้ง....บางที....”

“คุณจะได้พบ” ประสมพูดหนักแน่น

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ