นิทานเวตาลเรื่องที่ ๕

เวตาลเริ่มด้วยสำเนียงโอนอ่อนว่า ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ พระองค์ทรงปัญญายิ่งล้นหาผู้เสมอมิได้ในสามภพก็จริงอยู่ แต่หมาซึ่งเป็นสัตว์สี่เท้ายังรู้พลาดแลล้มในเวลาเหยียบที่ลื่น ฉันใดผู้เป็นปราชญ์แม้ปัญญาจะทึบเพียงไร.... .… .… .…

พระราชาทรงจับย่ามกระชาก เวตาลแกล้งร้องครวญครางเหมือนหนึ่งได้ความเจ็บปวด ครั้นหยุดร้องก็เล่าต่อไปด้วยสำเนียงแจ่มใสว่า

ในเมืองชื่อมาลยะตั้งอยู่แทบฝั่งเหนือแห่งภารตะวรรษ (คืออินเดีย) มีกรุงชื่อจันทร์อุทัย พระราชาทรงนามรันธีระ เป็นกษัตริย์คล้ายกับกษัตริย์อื่นอีกหลายองค์ซึ่งเป็นคนครึ่งเทวดา เมื่อยังหนุ่มพระองค์เป็นชายชะนิดที่เรียกสรรพรสิ เป็นผู้ยินดีในรสทั้งปวง โปรดเสวยของมีโอชะแปลกๆ ทั้งชะนิดที่ต้องเคี้ยวแลไม่ต้องเคี้ยว ทั้งที่เป็นอาหารแลที่ไม่เป็นอาหาร ทั้งที่มีเยื่อแลไม่มีเยื่อ ส่วนของเสวยประเภทที่ไม่ต้องเคี้ยวนั้น โปรดเสวยคราวหนึ่งมีปริมาณมากๆ แลซ้ำถี่ด้วย อนึ่งเธอโปรดฟังดนตรีแลทอดพระเนตรนางระบำทรงหมกไหม้ใฝ่ฝันในกามคุณยิ่งกว่าทรงแสวงความรู้หรือทำบุญต่อเทวดา หรือสนทนากับคนที่ฉลาด

ครั้นพระชนมายุพ้น ๓๐ ปีแล้วไป ก็กลับพระองค์เป็นคนละคน ทรงละเว้นการคนอง ยินดีในรูปรสกลิ่นเสียง ทรงประกอบราชกิจเป็นไปในทางที่ดี ไม่ช้านักก็ได้พระนามว่าเป็นพระราชาผู้เลิศ จะหาพระมหากษัตริย์ที่เสมอนั้นยาก การที่เป็นดังนี้ก็เป็นที่น่าสรรเสริญ เพราะพระราชาซึ่งเป็นผู้แทนพระพรหมอยู่ในโลกนี้ โดยมากมักจะทรงยินดีในการกินแลดื่ม ทั้งทรงรื่นเริงในการระบำบำเรอ บูชากามเทพตลอดชีวิต

ในหมู่ข้าราชการของพระรันธีระ มีบุรุษคนหนึ่งชื่อคุณศังกร รับราชการในตำแหน่งธรรมาธิการของพระนคร คุณศังกรนี้เป็นคนแปลกเหล่า เพราะเป็นคนฉลาดด้วย ซื่อแลมียุตติธรรมด้วย การตัดสินคดีย่อมทำโดยระมัดระวังในเวลาที่กินข้าวเย็นแล้วเสมอกับเมื่อยังไม่ได้กิน ถ้ามีผู้มาติดสินบล แม้สินบลนั้นจะทำให้ความเจริญเกิดในครอบครัวก็ยังไม่รับ ถ้าคนจนมาต้องคดีก็มักจะได้รับสิ่งซึ่งคนจนไม่ใคร่ได้รับคือความกรุณา ถ้าคนมั่งมีมาเป็นความ ก็ไม่จำเป็นจะถูกลงโทษ เพราะมั่งมี เพื่อให้ปรากฏว่าธรรมมาธิการีแลธรรมศาสตร์มิได้นับถือบุคคลผู้ใดเลย เมื่อนั่งบนบัลลังก์ว่าความก็มิได้ใช้วาจาทารุณดุด่าลูกความที่กล่าวตอบไม่ได้ แลไม่ถือว่าผู้ใดอุกอาจล่วงเกินในเวลาที่หามีผู้ใดทำเช่นนั้นไม่

ชนทั้งหลายในกรุงจันทร์อุทัยพากันรักแลนับถือธรรมาธิการีผู้นี้ แต่ความรักแลความนับถือนั้นจะได้เป็นเครื่องป้องกันมิให้โจรกรรมเกิดแทบทุกวันก็หามิได้ จนประชาชนในกรุงจันทร์อุทัยไม่รู้จะป้องกันรักษาทรัพย์ของตนอย่างไร ในที่สุดพวกพ่อค้าซึ่งถูกโจรภัยยิ่งกว่าคนพวกอื่นพากันไปร้องทุกข์ต่อคุณศังกรกล่าวว่า

“ข้าแต่ท่านผู้เป็นเสาแห่งกฎหมาย พวกเราถูกพวกโจรกระทำการข่มเหงจนสิ้นทรัพย์ไปเป็นอันมาก เราจะอยู่ในกรุงนี้ต่อไป ก็ไม่อาจอยู่ได้เสียแล้ว”

คุณศังกรตอบว่า “สิ่งใดเกิดแล้ว สิ่งนั้นย่อมเกิดแล้ว เราจะแก้สิ่งที่เกิดแล้วให้กลับไม่เกิดนั้นแก้ไม่ได้ แต่ในภายหน้าเราจะมิให้ท่านต้องรับความเดือดร้อนอันนี้ จะจัดการแก้ไขมิให้พวกโจรเป็นภัยแก่ท่านอีกได้”

เมื่อได้กล่าวเช่นนี้แล้ว คุณศังกรก็เรียกเจ้าหน้าที่ผู้อยู่ใต้บังคับมาสั่งให้เพิ่มจำนวนกันขึ้น แลให้ช่วยกันระวังรักษาการ ชี้แจงวิธีการให้แยกกันเฝ้ารักษายามกลางคืน ให้เปิดทะเบียนจดชื่อแลตำแหน่งที่พำนักของคนที่เข้าออกในกรุงนอกกรุง ให้จัดหาผู้ชำนาญการสกดรอยเท้าจัดเป็นหมู่เป็นกอง แม้โจรจะสวมเกือกโจร (ซึ่งมักจะทำด้วยด้วยท่อนผ้าแลเศษหนัง มีนิ้วอยู่ข้างซ่นหรือมีวิธีล่อลวงอย่างอื่น) ก็อาจสกดรอยตามไปจนจับตัวได้ อนึ่งคุณศังกรสั่งอนุญาตต่อกองตระเวนว่า ถ้าพบขะโมยกำลังกระทำโจรกรรม ก็ให้ประหารชีวิตได้ด้วยไม่ต้องตั้งปัญหาสักคำเดียว

ดังนี้คนเป็นอันมากก็ช่วยกันตระเวนรักษาถนนในพระนคร เพื่อป้องกันโจรผู้ร้ายมิให้กำเริบ แต่โจรกรรมก็มิได้สงบไปเลย ชาวกรุงจันทร์อุทัยยังเสียทรัพย์เพราะขะโมยอยู่เนืองๆ แทบไม่เว้นคืน อยู่มาไม่ช้าพวกพ่อค้าก็นัดกันไปประชุมฉะเพาะหน้าคุณศังกรแล้วกล่าวว่า

“ข้าแต่ท่านผู้เป็นอวตาลแห่งยุตติธรรม ท่านได้เปลี่ยนเจ้าพนักงานเป็นอันมากแล้ว ท่านได้จ้างคนยามเพิ่มขึ้นมากแล้ว แลท่านได้จัดการตระเวนมากขึ้นแล้ว แต่จำนวนโจรจะลดลงไปก็หามิได้ โจรกรรมยังเกิดอยู่อย่างเก่านั้นเอง”

คุณศังกรได้ฟังดังนั้นก็พาพวกพ่อค้าเข้าไปเฝ้าพระราชาในพระราชวัง แลบอกให้ถวายเรื่องราวบังคมทูลแทบฝ่าพระบาทพระมหากษัตริย์ ฝ่ายพระราชาเมื่อได้ทราบดังนั้น ก็ตรัสปลอบโยนพวกพ่อค้าเป็นอันดี แล้วรับสั่งว่า “พวกเจ้าจงวางใจเถิด คืนวันนี้เราจะจัดการอย่างใหม่ แลถ้าพระภัควานทรงกรุณาให้การเป็นไปดังหมาย พวกเจ้าก็คงจะสิ้นเดือดร้อนในครั้งนี้” ตรัสดังนั้นแล้วก็รับสั่งให้พ่อค้าทั้งหลายทูลลาจากที่เฝ้า

เวตาลกล่าวต่อไปแก่พระกรมาทิตย์ว่า พระองค์คงจะได้เคยฟังคำกวีโบราณกล่าวไว้ว่า

๏ ธรรมดาคนเขลาเบาจิตต์คิดมิชอบ ย่อมเกอดกอปรด้วยความมิรู้บงงคับยับย้งงใจ ออกแล่นไปต้งงแต่สุดทางข้างที่เป็นต้น วิ่งตะบนนไปจนสุดหนปลายข้างโน้น คร้นนถึงที่สุดแห่งปลายโพ้นแล้วไซร้ จะแล่นต่อไปก็มิรอด เพราะทางเป็นทางบอดอยู่เพียงน้นน ท้งงใจก็เต้นแลเส้นก็ส่นนเพราะเหน็ดเหนื่อย ปัญญาก็เฉื่อยเพราะล้าแลช้า เพราะแล่นน้นนเอง ปราชญ์ในเพรงท่านจึ่งไม่สรรเสริญ ผู้ที่แล่นเร็วเพลินต้งงแต่ต้นจนปลาย ปราศความหมายว่าจะทำฉันใด ในเมื่อสุดทางแล้ว ผิวยังคลาดแคล้วความประสงค์ม่งมาด จะเหาะเหอรเดอรอากาศก็เหาะไม่เป็น ดังฤๅจะมิยากล้ำลำเค็ญเข็ญขร ประหนึ่งว่าต้องพิษศรแหลมส้ยม ห้ยมทุกข์ที่อัดอ้นนตนนหฤทัย เยียใดจะเสร็จหวงงดงงปราถนา พ่อเอย ฯ

พระรันธีระเป็นพระราชาที่ประชาชนนับถือว่าเป็นพระมหากษัตริย์ที่ดำรงธรรมทุกประการแล้ว ยังไม่พอพระหฤทัย ยังอยากจะกระทำให้เลิศกว่านั้นไปอีก ถึงทอดพระองค์ลงประกอบกิจซึ่งไม่พึงทรงกระทำเองเลย

ในคืนวันนั้นพระราชาทรงปลอมพระองค์ด้วยวิธีผัดพระพักตร์ด้วยผงสีที่ทำให้พระฉวีผิดไป แลปั้นหนวดแห่งพระองค์ตั้งขึ้นไปเกือบถึงพระเนตร แลแสกหนวดที่คางเอาปลายปัดไปทางพระกรรณทั้งสองข้าง ทั้งเอาขนหางม้าผูกพระนาสิกรั้งไปข้างหลังให้แน่นจนเปลี่ยนรูปไปเหมือนจมูกคนอื่น เมื่อแต่งพระพักตร์ดังนี้แล้วก็คลุมพระองค์ด้วยเสื้อผ้าที่เนื้อหยาบ รัดสะเอวแลขัดกระบี่ พระกรสอดโล่ห์พร้อมแล้ว ก็เสด็จออกจากพระราชวังพระองค์เดียวมิได้ตรัสให้ใครทราบ ทรงดำเนินไปตามถนนในพระนคร

คืนวันนั้นมืดนัก พระรันธีระทรงดำเนินไปในพระนครที่เงียบจนเกือบชั่วโมงหนึ่งก็มิได้พบปะใคร ครั้นทรงเดิรเข้าไปในตรอกแห่งหนึ่งหลังหมู่บ้าน ซึ่งเป็นที่อยู่แห่งพ่อค้าได้ทอดพระเนตรเห็นสุนัขตัวหนึ่งซึ่งปรากฏเหมือนหนึ่งหมาไม่มีที่อาศัย หมานั้นนอนอยู่ข้างฝาเรือนแห่งหนึ่ง พระราชาทรงเดินเข้าไปดู พอใกล้เข้าไปก็มีชายคนหนึ่งลุกทลึ่งขึ้นจากที่มืดซึ่งได้นั่งเป็นที่กำบังอยู่ แล้วถามว่า “นั่นใคร”

พระรันธีระตรัสตอบว่า “ข้าเป็นขะโมยเจ้าเป็นอะไร”

ชายผู้นั้นตอบว่า “ข้าเป็นขะโมยเหมือนกัน มาเราจงไปด้วยกันเถิด แต่เจ้าเป็นอะไร เป็นขะโมยผู้ดีหรือขะโมยไพร่”

พระราชาตรัสตอบว่า “คนหากินอย่างเดียวกันต้องตั้งพิธีเอาใจกันสักหน่อยจึ่งจะต้องตำราโจร เวลานี้พระจันทร์ก็จะขึ้นอยู่แล้ว ถ้าระวังไม่ดีตระลาการได้ตัวเราไปชำระ เวลาถูกจับกับเวลาแขวนคอของเราจะไม่ห่างกันกี่มากน้อย”

โจรกล่าวว่า “เจ้าจงสงบลิ้นของเจ้าเสียบ้างเถิด เราจะได้ลงมือทำการด้วยกัน”

ดังนั้นพระราชาแลโจรก็พากันไปตามทางพบพวกโจรแอบสุ้มด้อมมองอยู่ตามถนนเป็นอันมาก แต่ด้วยเหตุที่กำบังดี ผู้ที่ไม่รู้ร่องรอยก็หาพบปะพวกเหล่านั้นไม่ โจรบางคนก็สุ้มเลี้ยงสุรากัน บางพวกก็ทำร้ายชีวิตเจ้าของทรัพย์ บางพวกก็ทาตัวถูด้วยน้ำมันแลทาขอบตาด้วยเขม่าไฟ แล้วท่องมนต์ที่จะทำให้ตาสว่างเห็นได้ไกลในเวลามืด บางพวกก็ฝึกซ้อมวิชาซึ่งได้เรียนรู้เนื่องมาจากเทวดาผู้ถือหอกทอง คือ พระกรรติเกยะ ผู้เป็นเจ้าแห่งโจรกรรม แลเป็นผู้ที่ได้แสดงตำราชื่อ เจาริยวิทยา แก่ชายผู้หนึ่งชื่อยุคาจารย์เป็นแบบฉะบับสำหรับสั่งสอนศิษย์สืบมา โจรบางพวกฝึกฝนวิชาซึ่งกล่าวในตำราทั้ง ๔ อย่างสำหรับการทำทางเข้าไปในเรือน คือ (๑) เจาะผนังเอาอิฐดินสุกออกทีละแผ่นๆ (๒) เจาะผนังตึกซึ่งก่อด้วยอิฐดินดิบ เมื่อกำแพงนั้นอ่อนด้วยความชื้น หรือแห้งเกราะด้วยแสงแดด หรือด้วยใช้น้ำเกลือ (๓) เทแลสาดน้ำราดผนังดิน (๔) เจาะฝาไม้ อนึ่งลูกแห่งพระสกันทะเหล่านั้นเจาะฝาเป็นรูปดอกบัว รูปพระอาทิตย์ รูปพระจันทร์ข้างขึ้น รูปทะเลสาป แลรูปหม้อน้ำ ตามวิธีที่บัญญัติไว้ในคัมภีร์ แลทาน้ำมันว่านยาเป็นเครื่องกำบังตัวมิให้ใครเห็น แลป้องกันอาวุธมิให้ถูกกาย

ครั้นพระราชาแลโจรผู้เป็นสหายกระทำโจรกรรมได้ทรัพย์ที่มีราคาจนเต็มย่ามแล้ว โจรจึงกล่าวแก่พระราชาว่า “นี่แน่ะ, สหาย, เราได้ทรัพย์มากแล้ว บัดนี้เราจะกลับไปที่ซ่อนของเรา อันเป็นที่ซึ่งพวกเราคอยการเลี้ยงเหล้าอยู่แล้ว”

พระราชาได้ทรงยินก็ยินดีในพระหฤทัย ทรงตั้งจำนงจะตามไปดูความลับของส้องโจรให้ได้ พระราชาแลโจรก็พากันไปตามทางที่จะกลับไปส้อง ได้พบรูหนูรูหนึ่งตามทาง พระราชาทรงแสดงความยินดีทั้งในวาจาอาการ (เพราะการพบรูหนูถือกันว่าเป็นเครื่องส่อโชคดี) โจรเห็นดังนั้นก็เป็นที่พอใจ และเชื่อว่าพระราชาเป็นโจรอีกคนหนึ่งจริง จึ่งสอนให้ผิวพระโอษฐ์แลกล่าวคำอาณัติสัญญาตามวิธีโจรในส้องของตน แลทั้งสัญญาว่าจะยอมให้รับส่วนแบ่งแห่งทรัพย์ที่หาได้ในคืนวันนั้นด้วย

ครั้นไปถึงประตูกรุงโจรก็เคาะติดๆกันสองหน มีผู้เปิดประตูให้ทันที โจรก็พาสหายใหม่เดินไปจนใกล้จะถึงเขาเตี้ยแห่งหนึ่ง ห่างกำแพงเมืองประมาณ ๒ โกรศ ครั้นไปถึงป่ามืดก่อนถึงเขา โจรก็ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอานิ้วใส่ปากผิวติดๆกันสองครั้ง ดังก้องไปในป่าที่เงียบ คอยอยู่ครู่หนึ่งได้ยินเสียงตอบสัญญาเหมือนนกเค้าแมวร้อง โจรก็ตอบสัญญาณอีกครั้งหนึ่งด้วยเสียงร้องเหมือนหมาใน ในทันใดนั้น คนถืออาวุธประมาณ ๖ คน ก็ทลึ่งขึ้นจากที่กำบังแลหญ้ารกเพื่อจะรับสัญญาอีกครั้งหนึ่ง โจรก็ให้สัญญาแลพระราชาก็ทำตามที่โจรสอนไว้ แล้วพากันผ่านเลยไป คนถืออาวุธซึ่งเป็นกองรักษาของโจรก็กลับหายไปในที่รกนั้นเอง ฝ่ายพระราชานั้นทรงสังเกตจำสัญญาเหล่านี้ไว้หมด แลทั้งทรงสังเกตทางเดินจำที่หมายไว้ทุกประการ แลเมื่อเข้าป่าแล้วยังได้ทรงถากต้นไม้ให้รู้ทางไว้อีกชั้นหนึ่ง

ครั้นเดินไปได้ครู่ใหญ่ๆ จึ่งถึงเชิงหน้าผา โจรเดินเข้าไปทำกิริยาเคารพต่อหน้าผานั้น แล้วเดินไปถึงที่ว่างแห่งหนึ่งในที่ใกล้ เลิกหญ้าขึ้นแห่งหนึ่งก็เห็นฝาปิดปากหลุม โจรแลพระราชาก็ช่วยกันเปิดฝานั้นขึ้นเห็นแสงสว่างข้างใน แลได้ยินเสียงคนเป็นอันมากพูดกันอยู่ข้างล่าง

โจรกล่าวแก่พระราชาให้ตามลงไปในหลุม แล้วก็ถือย่ามลงไปก่อนตามบันไดไม้ไผ่ พระราชาก็เสด็จตามลงไป ครั้นถึงพื้นล่างเห็นเป็นช่องใหญ่มีคบไฟจุดปักอยู่เป็นควันตระหลบไปทั้งนั้น เมื่อลงไปในที่สว่างใต้ดินเช่นนี้ ภายหลังที่เดินไปในป่ามืดก็ทำให้พระราชาทรงนึกถึงกรุงบาดาลซึ่งได้ทรงยินพระราชมารดากล่าวถึงแต่พระองค์ยังเยาว์พระชนม์ ส่วนบนพื้นถ้ำนั้นปูด้วยพรมตั้งแต่อย่างดีที่สุดจนอย่างเลวที่สุดปะปนกัน มีถุงย่ามอาวุธแลทรัพย์ที่กระทำโจรกรรมมาได้ แลเครื่องดื่มเครื่องกินต่างๆวางเรียงรายไป

โจรพาพระราชาเดินผ่านห้องนี้ไปเข้าห้องอีกห้องหนึ่ง พบโจรเป็นอันมากเตรียมตัวสำหรับความสำราญแลการเลี้ยงในเวลากลางคืน บางคนก็เปลี่ยนเสื้อซึ่งเปื้อนเปรอะเพราะเที่ยวซอกซอน บางคนก็ล้างเลือดจากมือแลเท้าของตน บางคนก็หวีผมซึ่งมากไปด้วยฝุ่น บางคนก็ทาตัวด้วยน้ำมันมะพร้าวที่อบแล้วให้หอม ล้วนเป็นคนจำพวกหยาบช้าทารุณแสนสาหัสทั้งนั้น บางคนชำนาญการแทงคนด้วยอาวุธแหลมซึ่งห้อยอยู่กับเอว บางคนเป็นผู้วางยาพิษฆ่าคนด้วยยาซึ่งใส่ถุงเล็กแขวนอยู่ที่แขนซ้าย บางคนก็ชำนาญการอย่างอื่นซึ่งมีที่หมายให้เห็นได้บ้างไม่มีบ้าง พระราชาเสด็จไปในที่ประชุมคนเหล่านี้ให้คิดยินดีที่ได้ปลอมพระองค์อย่างสนิทไม่มีใครในหมู่โจรที่จำพระองค์ได้ แม้ข้าราชการ แลพวกที่รับจ้างเป็นผู้ตรวจการรักษาพระนครซึ่งที่จริงเป็นโจรแลมาอยู่ในชุมชนโจรคืนวันนั้น ก็จำพระราชาไม่ได้ พระราชาได้ทอดพระเนตรเห็นข้าราชการที่เป็นกองตระเวนป้องกันโจร กลับเป็นโจรอยู่ในสำนักโจรดังนั้น ถ้าไม่ทรงสงสัยอยู่ก่อนก็ทรงทราบได้ในเวลานั้น ว่าเหตุใดโจรกรรมจึ่งไม่สงบไปเลยในพระนคร

ฝ่ายโจรซึ่งเป็นสหายพาพระราชาเข้าไปในส้องโจรคืนวันนั้น ปรากฏจากอาการที่หมู่โจรต้อนรับว่าเป็นนายส้อง นายโจรบอกให้คนทั้งหลายคำนับเพื่อนโจรที่พามาใหม่ แล้วไต่ถามและตอบกันถึงความสำเร็จหรือไม่สำเร็จของคนทั้งหลายซึ่งออกทำการในคืนวันนั้น ไม่ช้าก็พากันไปในห้องเลี้ยง ต่างคนนั่งลงตามที่ของตน กินอาหารแลดื่มสุราแลบริโภคสิ่งอื่น ๆ ตามสมัคแลสบาย

ครั้นเมื่อได้เลี้ยงแลรื่นเริงกันแล้วสองสามชั่วโมง คบไฟที่ตามอยู่นั้นก็หมดไป แลความง่วงก็เกิดแก่คนพวกนั้น จนถึงคนที่ง่วงยากที่สุดก็ง่วง ต่างคนก็ต่างเอนตัวลงนอนเกะกะกันไป บ้างก็ห่มผ้าแลเอาผ้าคลุมศีร์ษะหลับ บางคนนั่งพิงโงกหรือเอนไปข้างหนึ่ง มีอาการแน่นิ่งด้วยพิษฝิ่นแลกันชาเหมือนหนึ่งไม่รู้สึกอะไรเลย

อีกสักครู่หนึ่งมีหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง เป็นบ่าวรับใช้ของพวกโจรเหล่านั้น แลพระราชาหาได้ทอดพระเนตรเห็นหญิงนั้นก่อนเวลาที่กล่าวนั้นไม่ ครั้นเข้ามาเห็นพระราชา หญิงนั้นจำได้ก็กล่าว่า “นี่เหตุไรพระองค์จึ่งเสด็จเข้ามาอยู่ในหมู่คนทำบาปเช่นนี้ พระองค์จงรีบเสด็จหนีไปเสียโดยเร็ว ถ้าไม่เช่นนั้นคนเหล่านี้ตื่นขึ้น ก็คงจะประหารชีวิตพระองค์เสียเป็นแน่”

พระราชาตรัสตอบว่า “เราไม่รู้จักทางเจ้าจงนำเราไปเถิด”

หญิงนั้นก็ออกนำพระราชาให้เสด็จหนี พระองค์ทรงก้าวหลีกไปในเหล่าคนที่นอนกรนเกะกะกันไปรอบข้าง ทรงย่องด้วยพระบาทที่เบาเหมือนตีนเสือปลาจนถึงบันไดที่ทรงปีนขึ้นไปเปิดฝาหลุมด้วยกำลังทั้งหมดที่มีในพระองค์ แล้วเสด็จขึ้นจากปากหลุมแลกระทำที่สังเกตไว้ แล้วปิดฝาหลุมแลเอาแผ่นหญ้าคลุมเสียตามเดิม

ครั้นพระราชาเสด็จกลับมาถึงวัง พอเปลื้องเครื่องปลอมพระองค์ทรงเครื่องราชาภรณ์ตามเคยเสร็จยังมิทันไร พวกพ่อค้าในพระนครก็ประชุมกันเข้าเฝ้าอีกครั้งหนึ่ง พวกพ่อค้าเหล่านั้นกราบทูลว่า ในกลางคืนมีโจรกรรมใหญ่ๆ มากรายไปกว่าเคย แลเล่าเรื่องความเสียทรัพย์ถวาย แล้วทูลว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นมุกดาแห่งยุติธรรม เมื่อวานนี้เองพระองค์ทรงปลอบโยนพวกเราโดยสัญญาว่าจะทรงใช้วิธีใหม่ป้องกันเรือนแลที่เก็บสมบัติของเรามิให้โจรเข้ามารบกวนได้ แต่ที่จริงเมื่อคืนนี้เราเสียทรัพย์ไปเพราะโจรยิ่งกว่าที่ได้เคยเป็นมาแล้วในคืนใดๆเสียอีก”

พระราชารับสั่งว่า ให้พวกพ่อค้าออกจากที่เฝ้าไปเถิด ทรงสาบาลว่าครั้งนี้ถ้าทรงทำลายพวกโจรที่กระทำบาปหยาบช้าทารุณเหล่านั้นไม่ได้ ก็จะสละชีวิตพระองค์เอง

พระราชาตรัสสัญญาแก่พวกพ่อค้าดังนั้นแล้ว ก็ทรงกำหนดการในพระหฤทัยมิได้แพร่งพรายให้ใครรู้ แต่ตรัสสั่งทหารธนูพวกหนึ่งให้เตรียมตัวไว้สำหรับราชการลับ ครั้นข้าราชการที่ได้ทรงพบในส้องโจรเข้ามาเฝ้าหรือได้ทอดพระเนตรเห็นในที่ใด ก็ตรัสให้ลอบจับเอาตัวไปประหารชีวิตเสียในที่ลับ เพราะเหตุว่าคนที่ตายแล้วนั้นผิดกับเวตาลในข้อที่นำเอาอะไรไปเที่ยวเล่าไม่ได้ ครั้นเวลากลางคืนพระราชาทรงดำริห์ว่าถึงเวลาที่พวกโจรเที่ยวกระทำลักชิงปล้นสดมภ์เสร็จแล้ว คงจะคืนไปยังส้องของตนเพื่อการเลี้ยงแลการสำราญอย่างแต่ก่อนๆ จึ่งทรงถืออาวุธออกหน้านำพลออกจากพระนครไปยังหน้าผาซึ่งอยู่ในป่ารกที่เป็นทางเข้าไปสู่ส้องแห่งโจร

แต่พวกโจรนั้นเมื่อโจรคนใหม่หลบหนีไปแต่ตอนกลางคืน ก็เกิดความสงสัย จึงเที่ยวสืบรู้ตัวว่าอาจจะมีภัยมาในคืนนั้น ครั้นจะแยกกันรีบหนีไปในตอนกลางวันก็กลัวว่า ทหารของพระราชาจะเที่ยวตามพบเป็นหมู่เล็กหมู่น้อย จะรวบรวมกันต่อสู้ไม่ได้ ครั้นถึงกลางคืนจะแยกกันหนีก็ยังกลัว เพราะรู้ว่าครั้นเวลารุ่งเช้าคงจะถูกจับ ฝ่ายนายโจรเป็นผู้ที่มีความคิดในทางที่จะสู้ทางเดียว ครั้นภัยจะมาถึงดังนี้ ก็ชักชวนพวกพ้องให้ประชุมกันต่อสู้ แลสัญญาว่าถ้าพวกโจรทำตาม ก็คงจะสู้ทหารพระราชาได้ดังหวัง พวกโจรรู้ว่านายเป็นคนกล้าก็มีความนับถือ ครั้นกล่าวชักนำดังนั้นก็เชื่อแลสัญญาจะกระทำตามทุกประการ

ครั้นเวลาค่ำนายโจรก็ประชุมตรวจตราพลโจร ตรวจธนูแลศรแลอาวุธอื่นๆ แล้วพูดจาเอาใจแลนำออกเดิรไปจากถ้ำ จัดให้พลเข้าสุ้มอยู่ริมทาง ตนเองปีนขึ้นบนแผ่นผาที่สูง เพื่อจะได้เห็นศัตรูมาแต่ไกล คนอื่นๆก็ก้มหูลงฟังที่แผ่นดิน เพื่อจะได้รู้ตัวเมื่อมีอริเข้ามาใกล้

ครั้นพระจันทร์ขึ้น พวกโจรที่สุ้มคอยดูอยู่ ก็เห็นพระราชาทรงนำหน้าทหารรีบเดิรไปโดยมิได้ระมัดระวัง เพราะพระราชาทรงประมาทว่า พวกโจรกำลังหลับเพราะเลี้ยงดูกันตามเคย แลคงจะทรงจับโจรได้ในถ้ำใต้ดิน เพราะความประมาทของคนพาลพวกนั้นดังนี้ พระราชาเองกลับเป็นผู้ประมาทเสียทีแก่โจร เพราะเมื่อพระองค์นำพลไปถึงที่โจรสุ้ม นายโจรก็ปล่อยให้เดิรถลำเข้าไปจนพอดี จึงให้สัญญาให้พวกที่สุ้มอยู่ โจนขึ้นจากที่ซ่อนพร้อมกันตรงเข้าตีพลพระราชาโดยที่มิทันรู้ตัว ทหารหลวงก็พากันแตกตื่นกระจัดกระจายพากันหนีไม่เป็นกระบวน ฝ่ายพระราชาเมื่อเห็นเสียทีก็เสด็จหนีกับเขาด้วย แต่นายโจรวิ่งตามไปร้องว่า “โหเหา ท่านผู้มีชาติเป็นนักรบก็หนีการรบด้วยหรือ” พระราชาได้ทรงยินดังนั้น ก็เสด็จหยุดยืนประจันหน้านายโจร ทั้งสองก็ชักดาบออกต่อสู้กันเป็นสามารถ

พระราชาเป็นผู้ชำนาญเพลงดาบยิ่งนัก แต่นายโจรก็ชำนาญเสมอด้วยพระองค์ ต่างคนต่างเริ่มการต่อสู้ด้วยวิธีที่คนชำนาญเพลงดาบย่อมกระทำ คือก้มตัวลงจนเกือบจะเป็นก้อนกลมๆ โจนไปเป็นวงรอบๆ ต่างคนก็ต่างจ้องดูตากันคิ้วขมวด แลริมฝีปากทำอาการแสดงความดูหมิ่นปฏิปักษ์ และทั้งโจนไปโจนมาโดยระยะที่คำนวณว่าจะได้เปรียบข้าศึก กระโดดเข้าไปราวกับกบกระโดด กระโดดกลับออกมาราวกับลิง แลเคาะโล่ห์ด้วยดาบเป็นจังหวะเร็ว แลดังประหนึ่งเสียงกลอง

พระราชาเห็นได้ทีทรงโจนเข้าไปเอาดาบฟาดขานายโจร พร้อมกับที่ทรงตะหวาดด้วยเสียงอันดัง นายโจรโดดขึ้นสูงจากดินพระแสงดาบก็หวดไปใต้ขาโจรเปล่าๆ ไม่เป็นอันตรายแก่โจรเลย

ในทันใดนั้นนายโจรแกว่งดาบเหนือศีร์ษะสามรอบแล้วฟาดลงมา หมายเฉวียงบ่าพระราชารวดเร็วดังหนึ่งสายฟ้า พระราชาทรงรับด้วยโล่ห์ อาวุธโจรไม่ถูกต้องพระองค์ แต่ถึงกระนั้นก็ซวนเซไปด้วยกำลังโจร

พระราชาแลโจรต่อสู้ซึ่งกันแลกัน ต่างก็รุกแลรับ ต่างก็โจมฟันแลป้องปัดจนเหนื่อยอ่อนแลแขนชาไปทั้งสองฝ่าย ฝีมืออาวุธแลกำลังกายแลความกล้าก็เสมอกันไม่มีได้เปรียบเสียเปรียบกันอยู่ช้านาน จนนายโจรเหยียบหินซึ่งกลิ้งได้พลาดล้มลง พระราชาก็ทรงโจนเข้าจับนายโจรมัดมือไขว้หลังทรงผลักใสให้โจรเดินเข้าสู่พระนครโดยใช้ปลายพระแสงดาบเป็นเครื่องบังคับ ส่วนพวกพลโจรนั้น ครั้นนายล้มลงก็พากันวิ่งหนีไปสิ้น

ครั้นรุ่งขึ้นเช้าพระราชาเสด็จไปทอดพระเนตรนายโจรที่คุมขังไว้ รับสั่งให้คุมตัวออกมาอาบน้ำชำระกายหมดแล้ว ให้แต่งเสื้อผ้าอย่างดี แล้วให้ขึ้นนั่งบนหลังอูฐมีผู้จูงไปตระเวนรอบพระนคร มีผู้ป่าวร้องป่าวนำหน้าไปดังนี้

“ชนทั้งหลายจงฟังพระราชโองการซึ่งโปรดให้เรามาป่าวร้อง คนๆนี้คือโจรซึ่งลอบลักปล้นสดมภ์ชาวกรุงจันทร์อุทัย ให้ชนทั้งหลายชวนกันมาประชุมเย็นวันนี้ในที่ว่างหน้าประตูนครด้านทะเล เพื่อจะได้รู้โทษแห่งความประกอบกรรมเป็นบาป แลดูตัวอย่างซึ่งจะทำให้คนทั้งหลายระวังตัวกลัวผิด”

พระราชาได้ตรัสสั่งแล้วให้ประหารชีวิตโจรด้วยวิธีเอาตัวขึ้นตีตะปูมือแลเท้าให้กางอยู่ทั้งสี่ แลตัวตรง สิ่งใดโจรอยากกินให้ป้อนให้กิน เพื่อชีวิตจะได้ยาวแลทนทุกข์อยู่นาน เมื่อใกล้จะตายให้หลอมทองคำเทลงไปในคอจนกว่าทองคำจะล้นแลแตกออกมาตามลำคอแลภาคอื่นๆในตัวโจร

ครั้นเวลาเย็นผู้คุมก็พาตัวโจรไปประหารชีวิตโดยวิธีที่กล่าวนั้น เผอินกระบวนแห่นักโทษผ่านไปทางเรือนแห่งเศรษฐีผู้หนึ่งซึ่งมีทรัพย์มากล้นพ้นประมาณ เศรษฐีผู้นั้นมีลูกสาวเป็นที่รักชื่อนางโศภนี นางเป็นผู้อยู่ในวัยเยาว์คือดอกไม้ ประกอบด้วยความงามทุกประการ แลงามขึ้นทุกเวลาทุกขณะ นางนี้บิดาได้สงวนไว้มิให้ชายเห็น จะออกนอกกำแพงสวนก็มิได้ เพราะนางนมซึ่งเป็นผู้ที่ชาวบ้านใกล้เคียงพากันนับถือว่าเป็นผู้ฉลาดรู้การล่วงหน้านั้น ได้ทำนายไว้ในขณะที่นางนมจะตายว่า นางโศภนีนี้จะเป็นนางงามซึ่งคนจะชมทั่วพระนคร จะไม่ได้มีสามีโดยวิวาหะ แต่จะเป็นหม้ายสตี (คือแม่หม้ายซึ่งฆ่าตัวตายในกองเพลิงเผาศพผัว) ตั้งแต่นั้นมาเศรษฐีผู้บิดาก็ระวังรักษาบุตรีเหมือนหนึ่งเก็บมุกดาไว้ในหีบ แลกำหนดทางแห่งชีวิตของลูกสาวไว้โดยหวังว่าจะให้เป็นไปตลอดอายุ คือไม่ให้เกี่ยวข้องพัวพันกับชายเป็นอันขาด แต่การกำหนดทางแห่งชีวิตล่วงน่าช้านานเช่นนั้น ปราชญ์ผู้เป็นกวีโบราณกล่าวกลอนไว้เป็นเครื่องจูงปัญญาว่า

๏ อันวิถีชีวิตเดิรผิดง่าย

แม้นผิดหมายอาจถลำนำสู่เถิน

ใครกำหนดล่วงน่าช้าเหลือเกิน

ถึงคราวเดิรอาจผิดที่คิดไว้

ปัญญาเราแค่คืบสืบไม่ออก

เหลือจะบอกล่วงน่าช้าๆได้

อันวิถีชีวิตคิดอย่างไร

จักแจ้งใจข้างน่าอนาคต ฯ

คำกลอนที่มีเป็นคติเช่นนี้ เศรษฐีผู้เป็นบิดานางโศภนีคงจะไม่เคยรู้ มิฉะนั้นกวีผู้กล่าวกลอนนั้นกล่าวทีหลัง หรือกล่าวเพื่อประโยชน์แก่ตัวกวีเอง มิได้เกี่ยวแก่ผู้อื่นนอกจากผู้ที่ได้ฟังกลอนโดยเฉภาะก็เป็นได้ ความจริงจะอย่างไรก็ตาม แต่เศรษฐีบิดาได้กำหนดการไว้จะให้เป็นไปตลอดชีวิตลูกสาว แลตัวเศรษฐีเองก็กล่าวให้คนทั้งหลายทราบแน่นอนว่า ถ้าบุตรีสิ้นชีวิตบิดาจะมีอายุต่อไปไม่ได้เป็นอันขาด ความคิดอันนี้มั่นในใจเศรษฐีจนถึงได้กำหนดตำแหน่งแลวิธีฆ่าตัวตายไว้เสร็จ

แต่ศรคือผลแห่งกรรมปางก่อนอาจตามขึ้นไปถูกแร้งซึ่งร่อนอยู่เหนือเมฆ อาจตามลงไปถูกตัวหนอนซึ่งซ่อนอยู่ในดิน แลอาจแทรกน้ำลงไปถูกปลาในท้องมหาสมุท ฉันใดเล่ามนุษย์จะหนีพ้นได้ ในเย็นวันที่จะประหารชีวิตนักโทษนั้น เผอิญเกิดไฟใหม้ขึ้นในบ้านเศรษฐีภาคเป็นที่อยู่แห่งหญิง หญิงทั้งหลายรวมทั้งนางโศภนีก็ต้องหนีออกจากห้องที่อยู่ภาคในบ้านมาพักอยู่ห้องริมถนน แลในถนนนั้นมีคนแน่นไปทั้งนั้น เสียงคนแจจรรพูดกันไปตามทางในพระนคร มีคำกล่าวบอกกันว่า โน่นแน่โจรซึ่งได้ลอบลักปล้นสดมภ์คนทั้งหลายในพระนคร โจรจงสทกสท้านลาญใจเถิด พระราชามีรับสั่งให้ประหารชีวิตอยู่แล้ว

ในเชิงรูปงามก็ดี มีทรงโอ่อ่าก็ดี มีกำลังและความกล้าก็ดี จะหาใครในกรุงจันทร์อุทัยยิ่งนายโจรไปนั้นหาไม่ได้ เมื่อนายโจรได้แต่งกายด้วยเครื่องแต่งที่งดงามดังนั้น แม้ขบวนแห่จะเป็นเครื่องอุจาดก็จริง แต่นายโจรยังมีทรวดทรงอาการประหนึ่งพระราชบุตร ขี่อูฐไปด้วยท่าทางงดงาม ผิวหน้ามิได้เสีย แลด้วยความไว้ตัว จะได้ยินคำเยาะเย้ยของประชาราษฎร์ก็แทบไม่ได้ยิน แม้ชาวพระนครทั้งหมดจะพากันแตกตื่นกระสับกระส่ายแลคลั่งเพราะจับโจรได้ จะประหารชีวิตนายโจร ก็มีกิริยาเพิกเฉยมิได้พลอยกระสับกระส่ายไปด้วย แต่ครั้นเมื่อได้ยินคนกล่าวให้สทกสท้าน ริมฝีปากนายโจรก็ขยับ ตามีแสงเหมือนแสงไฟด้วยความโกรธ หว่างคิ้วก็มุ่น

ขณะนั้นนางโศภนีร้องกรีดขึ้นที่หน้าต่างที่แอบดูอยู่ นายโจรผ่านหน้าต่างไปหน้าเสมอกับหน้านาง แลอยู่ห่างกับแก้มที่ซีดไม่กี่คืบ นางได้เห็นลักษณะงามของนายโจร แลในขณะที่นายโจรแสดงเค้าหน้าโกรธนั้น นางรู้สึกสดุ้งเหมือนหนึ่งรู้สึกสายฟ้า ในทันใดนั้นนางโศภนีวิ่งไปหาบิดาบอกว่า “บิดาจงรีบไปโดยเร็ว แลขอโทษให้พระราชาปล่อยโจรนั้นเถิด”

เศรษฐีบิดาตกใจเพราะคำที่บุตรีกล่าวตอบว่า “โจรคนนั้นได้เป็นหัวหน้าทำการขะโมยทุกประเภททั่วพระนคร และบัดนี้ทหารศรของพระราชาชำนะจับตัวมาได้ ก็โปรดให้ลงอาญาตามควรแก่โทษ พ่อเป็นอะไรจะเข้าไปทูลขอให้ทรงปล่อยโจรนี้ได้”

นางโศภนีแสดงอาการทุกข์ซึ่งดูประหนึ่งจะทำให้คลั่งไคล้ ตอบบิดาว่า “ถ้าบิดาจะทูลขอโทษให้พระราชาปล่อยโจรนั้นได้ด้วยยอมถวายสมบัติทั้งหลายของเราบิดาจงสละทรัพย์ทั้งหมดถวายเสียเถิด ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้นายโจรนั้นมา ข้าพเจ้าจำต้องสละชีวิต”

นางกล่าวแก่บิดาฉะนี้แล้ว ก็ชักผ้าคลุมศีร์ษะร้องไห้สั่นไปทั้งตัว ราวกับหัวใจจะแตกลงไปกับที่ ฝ่ายเศรษฐีผู้บิดาเมื่อได้เห็นลูกสาวมีอาการดังนั้น และรู้ใจว่าถ้าไม่สมประสงค์ ธิดาจะสละชีวิตลงไปจริงดังกล่าว และทั้งทราบว่าตัวเศรษฐีเองเมื่อสิ้นบุตรีแล้วก็จะทนรักษาชีวิตต่อไปไม่ได้ เพราะเหตุความโศกเดือดร้อนด้วยประการฉนี้ เศรษฐีจึงรีบเข้าไปเฝ้าพระราชา ทูลด้วยสำเนียงที่สั่นเพราะเศร้าว่า

“ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าขอถวายทรัพย์เป็นเงินตราสี่แสน และขอประทานโทษนายโจรผู้นี้ให้หลุดพ้นพระราชอาชญาเสียเถิด”

พระราชาแปลกพระหฤทัย ทรงคิดว่าคนบ้าหลุดเข้าไปในพระราชวัง ทรงตริตรองว่า จะลงพระราชอาญานายประตูด้วยวิธีตัดศีร์ษะเสียบหรือผ่าอก หรือทำอย่างไหนจะดี ยังไม่ทันตกลงในพระราชหฤทัย แต่ครั้นทรงสังเกตกิริยาอาการต่อไป ก็ไม่ทรงเห็นได้แน่ว่าเศรษฐีเป็นบ้า ครั้นทูลวิงวอนอีกก็รับสั่งตอบว่า

“โจรคนนี้ได้ทำการปล้นสดมภ์ย่องเบาฉกชิงวิ่งราวทุกประเภทโจรกรรม แลได้ทำทั่วพระนคร ผู้มีทรัพย์ได้รับทุกข์เพราะโจรนี้ทั่วหน้า อนึ่งโจรนี้ได้ทำร้ายทหารของเราจนย่อยยับ การที่จะขอให้ปล่อยไปให้พ้นโทษนั้น ปล่อยมิได้เป็นอันขาด”

เศรษฐีได้ฟังรับสั่งดังนั้น ควรจะเห็นได้แล้วว่าจะทูลขอต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่ยังไม่หยุดรำพรรณวิงวอนทั้งน้ำตา ด้วยทรัพย์สินบล ด้วยเรื่องลูกสาวจะสละชีวิต แลด้วยข้อที่ตัวเองจะต้องตายไปตามกัน แต่ก็ไม่มีประโยชน์ทั้งนั้นครั้นเห็นได้แน่ว่าถึงจะอย่างไรๆ พระราชาก็ไม่โปรด เศรษฐีก็ออกจากที่เฝ้าร่ำไห้ไปสู่เรือนตน เล่าความให้บุตรีฟังว่า

“ลูกเอย พ่อได้พยายามทุกลู่ทุกทางแล้ว พระราชาก็ไม่โปรดตามที่เราประสงค์ มาเราจะไปตายไปด้วยกันเถิด”

ฝ่ายเจ้าพนักงานผู้คุม เมื่อได้พานายโจรตระเวนรอบกรุงแล้ว ก็พาไปนอกประตูพระนคร แล้วจัดการลงโทษตามพระราชกำหนด นายโจรทนเจ็บปวดด้วยความมั่นคงในใจปราศจากอาการแสดงทุกข์ แต่เมื่อมีผู้เล่าให้ฟังถึงนางโศภนี นายโจรอดใจไว้ไม่ได้ก็ร้องไห้ขึ้นด้วยเสียงอันดัง สำแดงความเศร้าสงสารประหนึ่งหัวใจจะแตกออกไป อีกครู่หนึ่งหยุดร้องไห้กลับหัวเราะด้วยสำเนียงอันดังประหนึ่งอยู่ในที่รื่นเริงด้วยการเลี้ยง คนทั้งหลายที่ประชุมดูการประหารชีวิตอยู่นั้น พากันแปลกใจที่นายโจรหัวเราะเหมือนหนึ่งเห็นอะไรสนุก แลเมื่อหัวเราะในเวลาที่เหล็กแหลมกำลังแทงเข้าไปในเนื้อ จนคนดูพากันเสียวไส้เช่นนั้น ใครเลยจะเห็นเหตุที่ควรรื่นรมย์ได้

ฝ่ายนางโศภนีผู้ได้มีคู่แล้วโดยใจนึก ครั้นนายโจรผู้สามีโดยวิวาหะอันมิได้กระทำนั้นสิ้นชีวิตไปแล้ว นางก็กล่าวแก่ตัวเองตามคติโบราณซึ่งกวีแต่งไว้ดังนี้

๏ ผมขนคนในกาย

มีประมาณหมายประมวลเป็น

สามสิบห้าล้านเส้น

อาจจะนับถ้วนจำนวนมี

๏ หญิงใดได้เผาตัว

เมื่อณะเผาผัวจะได้ดี

สามสิบห้าล้านปี

นับฉนำซึ่งจะสึงฟ้า

๏ ฉันใดคนคล้องงู

ดึงประจากรูก็ขึ้นมา

ฉันนั้นนางเหนี่ยวสา

มีมิให้ตกนรกแรง

๏ แม้นเขาเนาขุมทุกข์

เพลิงก็ร้อนรุกแลลุกแดง

ถูกมัดรัดรึงแทง

พิษจะเปรียบแหลนก็แสนอัน

๏ เดือดร้อนเหลือผ่อนพัก

โทษะหนักนักสำนักทัณฑ์

เหตุหยาบบาปในบรรพ์

ทุกขะเหลือร้อนก็อ่อนเพลีย

๏ ผัวเป็นเช่นนี้ไซร้

อาจจะคืนได้เพราะคุณเมีย

เผาตัวเพลิงผัวเลีย

ตายจะเป็นบุณยะจุนผัว

๏ หน้าที่แห่งหญิงหม้าย

กาละผัวตายก็เผาตัว

ในจิตต์ไป่คิดกลัว

ธรรมะจารีบ่มิเยง

๏ ตราบใดหญิงยังขลาด

ใจบ่องอาจคำนึงเกรง

กริ่งกลัวเผาตัวเอง

พร้อมกะศพผัวเพราะมัวมนท์

๏ ตราบนั้นแม้นเกิดใหม่

คงจะไม่ใช่มนุษย์ชน

จักมีสี่ตีนตน

ย่อมจะต่ำต้อยมิน้อยเลย ฯ

นางโศภนีกล่าวแก่ตัวเองดังนี้แล้ว ก็กำหนดใจจะเผาตนในกองเพลิงเผาศพสามีผู้มิใช่ผัว เพื่อจะให้นายโจรได้ความสุขในโลกหน้า นางกำหนดในใจดังนั้นแล้ว ก็แสดงความกล้าด้วยวิธีเผานิ้วด้วยคบเพลิง จนนิ้วนั้นไหม้เป็นถ่านไปกับที่ แล้วนางก็ลงล้างกายชำระมลทินในแม่น้ำ

การเตรียมทำพิธีเผาตัวนั้น นางจัดให้มีผู้ขุดหลุมหลุมหนึ่ง แล้วเอากิ่งไม้สดเรียงเป็นตาราง บนตารางวางฟืนแลเชื้อเพลิง คือ ปอ ชัน แลฆีเป็นต้น เมื่อจัดตารางเผาศพแล้ว ก็เอาศพนายโจรมาโชลมน้ำมันแล้วชำระให้สะอาด แต่งเครื่องเสื้อผ้าใหม่เอาวางบนกองเชื้อเพลิง นางโศภนีกล่าววิงวอนพระภัควานว่า ขอให้นางกับสามีได้อยู่เป็นสุขด้วยกันในสวรรค์ มีนางระบำเป็นผู้ปฏิบัติด้วยดี โดยจำนวนปีเท่ากับรัชชกาลแห่งพระอินทร์ ๑๔ องค์ หรือเท่ากับจำนวนผมในเศียรแห่งนาง ครั้นเสร็จวิงวอนแล้วนางก็ให้เครื่องประดับกายแลข้าวปลากระยาหารแจกจ่ายให้หมู่มิตร แล้วเอาด้ายพันข้อมือทั้งสองข้าง เอาหวีใหม่ปักในผม แลทาหน้าผากด้วยแป้งสี แล้วเอาข้าวสารแลเบี้ยผูกที่ปลายผ้าอันเป็นเครื่องปกคลุมกาย ครั้นเสร็จแล้วนางเดินประทักษิณศพเจ็ดรอบ และยื่นข้าวสารแลเบี้ยให้แก่ผู้ที่ยืนอยู่ในที่ใกล้ในเวลาประทักษิณนั้น ครั้นเสร็จประทักษิณแล้วนางขึ้นนั่งบนกองฟืนที่พร้อมด้วยเชื้อไฟ เอาศีศะแห่งนายโจรวางหนุนตักนางแล้วสั่งให้จุดไฟขึ้น คนที่อยู่ใกล้ๆก็ช่วยกันจุดไฟขึ้นหลายแห่ง แล้วก็ตีกลองแลเป่าสังข์เสียงสนั่นไป แล้วมีผู้เอาฟางโยนเติมเข้าไปในกองเพลิง ทั้งเทชันแลน้ำมันเนยลงไปในกองไฟอีกเป็นอันมาก แต่ความตายของนางโศภนีนั้นเป็นสหมรณะ ย่อมจะตายเป็นสุขเสมอ แลเมื่อได้จุดไฟขึ้นแล้วผู้ใดจะได้เห็นกายนางขเยื่อนก็ไม่มี แท้จริงดูเหมือนจะตายไปก่อนที่เปลวไฟถึงตัว

ฝ่ายเศรษฐีผู้เป็นบิดานั้น เมื่อบุตรีถึงแก่ความตายแล้ว ก็จัดให้ช่างเหล็กทำเหล็กคมขึ้นอันหนึ่งรูปเหมือนพระจันทร์ครึ่งซีก คมเหมือนมีดโกน แลพอดีกับคอของตน ปลายสองข้างมีโซ่ร้อยยาวพอเท้ายันได้ ตัวเศรษฐีนั่งลงหลับตาแล้ว ให้มีผู้เอาดินจากแม่น้ำไวตรณีมาถูตัวให้บริสุทธิ์ แลร่ายมนต์อันควรแก่พิธี แล้วก็เอาเท้ายันปลายโซ่หงายคอกระแทกไปด้วยกำลังแรง ศีศะก็ขาดตกกลิ้งอยู่กับพื้น

เวตาลเล่ามาจนเพียงนี้ก็อยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง มีอาการเหมือนดังตรึกตรองถึงความสุขซึ่งเศรษฐีย่อมจะได้รับเพราะการสละชีวิตตนโดยประการซึ่งเล่ามานี้

ตรงนี้พระธรรมธวัชพระราชบุตร ทูลถามพระราชาว่านายโจรหัวเราะด้วยเหตุใด

พระราชาไม่ทันคิด ทรงตอบพระราชบุตรว่า “หัวเราะเยาะหญิงสาวที่บ้าเหลือเกินนั่นแหละ”

เวตาลกล่าวว่า “ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงปล่อยข้าพเจ้าจากย่ามอันเป็นที่ไม่มีสุขนี้อีกครั้งหนึ่ง แต่ความเข้าใจของพระองค์ที่ว่านายโจรหัวเราะเยาะนางโศภนีนั้นผิดเสียอีกแล้ว ถ้าข้าพเจ้าไม่ทูลอธิบายเสียก่อนจึ่งกลับไปยังต้นอโศก พระราชบุตรก็จะทรงเข้าใจผิดว่าเหตุใดนายโจรผู้กล้าจึ่งร้องไห้ แลเหตุใดจึ่งหัวเราะในขณะที่บุคคลไม่พึงหัวเราะเลยเป็นอันขาด เพราะฉนั้นข้าพเจ้าจะทูลชี้แจงเสียก่อนจึ่งจะทูลลาไป

เหตุที่นายโจรร้องไห้นั้นเพราะไม่เห็นทางอันใดที่จะสนองคุณนาง ในข้อที่นางเต็มใจจะสละสิ่งซึ่งพึงสงวนทั้งหลายเพื่อจะช่วยชีวิตนายโจร แลการตันความคิดเช่นนี้เป็นเหตุให้เศร้าโศก

“แล้วนายโจรกลับคิดเห็นแปลกที่สุด ที่นางมาเริ่มรักในเวลาที่ชีวิตของนายโจรจวนจะสิ้นอยู่แล้ว อนึ่งเทพดาอำนวยการบางอย่างในการที่แปลกเหลือมนุษย์จะเข้าใจได้ เป็นต้นอำนวยทรัพย์มากมายแก่คนตระหนี่ซึ่งไม่รู้จักใช้ทรัพย์ให้เป็นประโยชน์ได้ หรืออำนวยปัญญาแก่คนมีสันดานชั่วซึ่งเมื่อมีปัญญาแล้วก็ใช้ในทางที่ผิด หรืออำนวยเมียงามให้แก่คนโง่ซึ่งไม่รู้จักปกปักรักษาได้ หรืออำนวยฝนในที่ซึ่งดาดด้วยหิน คือเขาเป็นต้น อันไม่เป็นทำเลซึ่งพืชพรรณจะงอกได้เลย นายโจรคิดถึงความแปลกๆเช่นนี้จึ่งหัวเราะในเวลาที่ไม่น่าจะหัวเราะ

“พระองค์ได้ทรงตอบปัญหาเนื่องในเรื่องที่ข้าพเจ้าเล่าถวายนี้แล้ว แม้ทรงตอบอย่างเขลาๆก็เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าจะได้กลับคืนไปยังต้นอโศกตามคำสัญญาที่มีไว้ต่อกัน แต่ก่อนที่ข้าพเจ้าไปนั้น ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า มนุษย์อาจหัวเราะแลร้องไห้ อาจร้องไห้แลหัวเราะได้ด้วยเหตุทุกอย่างในโลก ตั้งแต่ความตายแห่งเพื่อนบ้านซึ่งมักจะไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเลย จนถึงความตายของตนเองซึ่งเกี่ยวกับตัวเป็นอันมาก ส่วนข้าพเจ้านั้นมีธรรมดาเป็นผู้หัวเราะเห็นขันทุกอย่างทุกเวลา เพราการหัวเราะย่อมช่วยให้มันสมองมีอาการฉับไว ช่วยให้ปอดมีกำลังยิ่งขึ้น ช่วยให้เค้าหน้างดงามทวีขึ้น แล............ทูลลาที”

ครั้งนี้พระราชาทรงรู้แล้วว่าเวตาลจะหนี จึ่งทรงปลดย่ามจากพระอังสาเอาลงไว้ใต้พระกร ทรงหนีบไว้แน่น แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เวตาลหลุดจากย่ามได้โดยง่ายตามเคย แลลอยหัวเราะก้องฟ้ากลับไปต้นอโศกตามเดิม

จบนิทานเวตาลเรื่องที่ ๕

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ