นิทานเวตาลเรื่องที่ ๑

ในกรุงพาราณสี มีพระราชาทรงศักดิ์ใหญ่ครองราชย์สมบัติทรงนาม พระประตาปมุกุฏ มีราชบุตร ทรงนามวัชรมุกุฏ มีเรื่องดังต่อไปนี้

เช้าวันหนึ่งพระวัชรมุกุฏกับสหายชื่อพุทธิศริระ พากันขี่ม้าออกเที่ยวล่าเนื้อในป่า พุทธิศริระเป็นบุตรของประธานคือหัวหน้าอำมาตย์ในพระนครนั้น ชายหนุ่มทั้งสองขี่ม้าไปในป่า พบสระใหญ่สระหนึ่งมีกำแพงล้อมรอบ ริมสระเป็นที่ร่มรื่นตระหลบด้วยกลิ่นดอกไม้ ฝูงนกคือหงส์และนกจากพรากเป็นต้น ลงลอยอยู่ในสระในหมู่ดอกบัวอันชูก้านขึ้นมาพ้นน้ำเป็นที่ชวนชม แมลงภู่ทั้งหลายพากันร่อนอยู่เหนือน้ำและกินรสดอกบัวในสระนั้น

พระราชบุตรและสหาย ม่เคยไปพบสระนั้นในป่าต่างก็พิศวง จึงลงจากหลังม้าผูกม้าไว้แทบใต้ต้นไม้ แล้วเดินเข้าไปริมสระชำระพักตร์แลหัตถ์ แล้วก็เข้าไปในศาลพระมหาเทพซึ่งอยู่ใกล้ฝั่งสระ ต่างคนกระทำการนอบน้อมแลสวดมนต์

สักครู่หนึ่งมีหญิงสาวเป็นอันมากห้อมล้อมด้วยทาสีพากันมาที่ริมสระทางโน้น ครั้นมาถึงก็ยืนสนทนาและสำรวลกันอยู่ริมสระ บางนางก็ลงอาบน้ำ แต่นางผู้เป็นหัวหน้าคือพระราชบุตรีนั้นมิได้ลงสระน้ำ เสด็จเดินเที่ยวเล่นใต้ร่มไม้กับนางอีกคนหนึ่งห่างฝูงนางออกไป

ฝ่ายพระราชบุตรปล่อยให้พุทธิศริระนั่งสวดมนต์อยู่ในศาลพระมหาเทพคนเดียว พระองค์เสด็จออกจากศาลเดินเที่ยวไปในหมู่ไม้ มิช้าพระราชบุตรแลพระราชธิดาก็สบพระเนตรกัน นางสะดุ้งเหมือนหนึ่งตกพระหฤทัย พระราชบุตรทรงใฝ่ฝันในทันทีที่ทอดพระเนตรเห็นนาง และตรัสออกมาว่า “กามเทพเอย เหตุไรท่านจึงมารบกวนเราเช่นนี้”

พระราชธิดาได้ยินก็ทรงยิ้ม หยุดยืนดูกิริยาพระราชบุตร เพราะเธอตกประหม่ามิรู้จะกล่าวและทำประการใดได้ นางนิ่งดูอยู่ครู่หนึ่งก็ทำอาการเหมือนพิโรธ ตรัสแก่หญิงสหายซึ่งแสร้งหันหลังเก็บดอกมะลิว่า เหตุไรจึ่งปล่อยให้ชายหนุ่มมายืนจ้องดูนางอยู่เช่นนี้ ฝ่ายหญิงสหายเมื่อได้ยินดังนั้นก็หันมากล่าวคำเกรี้ยวกราดขับไล่ให้พระราชบุตรไปเสียจากที่ และให้พาความละลาบละล้วงไปเสียด้วย มิฉะนั้นจะเรียกทหารมาจับตัวทิ้งลงในสระให้สมแก่โทษ ฝ่ายพระราชบุตรยืนตลึงดูนางมิได้ยินคำที่หญิงสหายกล่าวขู่ นางทั้งสองเห็นดังนั้นก็พากันเดินห่างออกไป ครั้นถึงขอบสระฟากข้างโน้น พระราชธิดาก็เหลียวมาดูว่า ชายหนุ่มผู้ตกประหม่ายังนิ่งอยู่กับที่หรือทำอย่างไรต่อไป ครั้นเห็นพระราชบุตรยังยืนจ้องดูอยู่ นางก็ทรงยิ้มแล้วเสด็จลงไปที่ขอบสระ เก็บดอกบัวดอกหนึ่งชูขึ้นไหว้ฟ้าแล้วเอาเสียบเกศา แล้วทัดที่กรรณ์ แล้วกัดด้วยทนต์ แล้วทิ้งลงเหยียบด้วยบาท แล้วกลับหยิบขึ้นปักที่อุระ ครั้นทำเช่นนี้แล้ว นางก็เสด็จไปขึ้นยานกลับคืนสู่นิเวศน์แห่งนาง

ฝ่ายพระราชบุตรครั้นนางไปแล้วก็เร่าร้อนในพระหฤทัย เสด็จกลับไปยังศาลพระมหาเทพ พบพุทธิศริระเดินออกมาจากศาล พระราชบุตร์ก็รับสั่งว่า “สหายเอย ข้าได้เห็นนางหนึ่งงามนัก จะเป็นนางดนตรีของพระอินทร์ในสวรรค์ หรือจะเป็นนางมาจากทะเล หรือธิดาแห่งนาคราช หรือบุตรีพระราชาในแผ่นดิน ก็หาทราบไม่”

พุทธิศริระผู้จะเป็นอำมาตย์มีปัญญาในภายหน้าทูลว่า “พระองค์จงกล่าวโฉมนางให้ข้าพเจ้าฟังเถิด”

พระราชบุตรตรัสว่า “พักตร์นางเหมือนพระจันทร์ยามเพ็ญ ผมเหมือนหมู่ผึ้งอันเกาะห้อยอยู่บนช่อดอกไม้ ปลายโขนงยาวจดถึงกรรณ์ โอษฐ์มีรสเหมือนจันทรามฤต เอวเหมือนเอวสิงห์ ทรงดำเนินเหมือนราชหงส์ กล่าวเทียบเครื่องแต่งกายนางคือสีขาว กล่าวเทียบฤดูนางคือวสันตฤดู กล่าวเทียบดอกไม้นางคือพุทชาต กล่าวสำเนียงนางคือนกกระเหว่า กล่าวความหอมนางคือชะมดเชียง กล่าวความงามนางคือพระศรี กล่าวความเป็น นางคือความรัก ถ้าข้ามิได้นางมา ข้าจะไม่ทรงชีวิตไปเป็นอันขาด ข้าได้ตกลงในใจเช่นนี้แล้ว”

พุทธิศริระได้ฟังพระราชบุตรตรัสดังนั้น ก็มิได้ร้อนใจ เกรงจะปลงพระชนม์ลงในกลางป่า เพราะเคยได้ยินพระราชบุตรตรัสอย่างเดียวกันทุกครั้งที่ได้เห็นนางงาม มิได้คิดว่าจะเป็นไปลึกซึ้งยิ่งกว่าคราวก่อนๆ พุทธิศริระจึ่งทูลว่าถ้าไม่ขึ้นม้าเดี๋ยวนั้นคงจะค่ำอยู่กลางป่าไม่กลับถึงนครได้ในเวลาอันควร พุทธิศริระกล่าวดังนั้นแล้ว เจ้าและข้าก็ชวนกันขึ้นม้าหันกลับเข้าเมือง ในเวลาที่เดินทางอยู่ประมาณ ๓ ชั่วโมงนั้น ชายหนุ่มทั้งสองเกือบจะมิได้สนทนากันเลย พระวัชรมุกุฏนิ่งนึกถึงนางมิได้รับสั่งประการใด เมื่อพุทธิศริระทูลอะไรก็ต้องทูลดังๆถึงสามครั้งสี่ครั้ง จึ่งจะตรัสตอบคำเดียวหรือสองคำเป็นอย่างมาก

ฝ่ายพุทธิศริระเมื่อเห็นพระราชบุตรนิ่งอยู่ดังนั้น ก็มิได้ทูลอันใดต่อไป คิดในใจว่าถ้าพระราชบุตรอยากได้ความเห็นและความแนะนำก็ให้หารือมาเถิด พุทธิศริระคิดดังนี้เพราะดำเนิรความคิดตามวิธีของบิดาผู้เป็นอำมาตย์มีปัญญาซึ่งมิได้ให้ปัญญาแก่ผู้ใดที่มิได้ขอนั้นเป็นอันขาด ถึงแม้ผู้ที่ขอปัญญาบางทีก็ได้สิ่งที่ตรงกันข้าม อันผู้ฉลาดไม่เรียกว่าปัญญาเป็นอันขาด ฝ่ายพุทธิศริระเมื่อขี่ม้านิ่งๆเวลานั้น ก็ตรึกตรองข้อความลึกลับอันหนึ่งซึ่งขึ้นต้นไว้แต่เวลาเช้า เพราะชายหนุ่มคนนี้มีวิธีฝึกฝนปัญญาให้คมกล้า คือเมื่อตื่นขึ้นเช้าก็คิดตั้งปัญหาถามตัวเองข้อหนึ่งซึ่งมีใจความลึกลับ แลตรึกตรองตอบปัญหานั้นทุกขณะที่มีเวลาว่าง ข้อความที่ลึกลับและละเอียด ถ้าเกี่ยวกับปัญหานั้น ก็นำเอามาตรึกตรองจนสิ้นเชิง แลเมื่อได้ทำเช่นนี้มาสองสามปีก็ควรเป็นที่เชื่อได้ว่าชายหนุ่มคนนี้มีปัญญารุ่งโรจน์มาก

ครั้นกลับถึงวังในตอนค่ำ พระราชบุตรก็บรรธมกระสับกระส่ายอยู่ตลอดคืน และเป็นเช่นนั้นอยู่ตลอดวันรุ่ง ครั้นวันที่สองถึงแก่ประชวรมีอาการเป็นไข้ การเขียนการอ่านการกินการนอนก็งดหมด ราชการซึ่งพระราชบิดามอบเฉพาะพระองค์ก็งด การอื่นๆก็งด เพราะรับสั่งว่าจะสิ้นพระชนม์อยู่แล้ว ครั้นพระชนม์ยังไม่สิ้นก็ทรงเขียนรูปนางงามผู้เก็บดอกบัวมาทำแปลกๆ จนฝังอยู่ในพระหฤทัย กล่าวกันว่าเขียนเหมือนอย่างที่สุด ครั้นเขียนแล้วก็บรรธมพิศดูรูปด้วยพระเนตรอันฉ่ำด้วยน้ำ อีกครู่หนึ่งลุกทลึ่งขึ้นฉีกรูปนั้นเสียแล้วชกพระเศียร ประหนึ่งว่าพระเศียรได้กระทำความผิดเป็นข้อใหญ่ แล้วก็เขียนรูปนางอีกรูปหนึ่งงามยิ่งกว่ารูปก่อน

อีกวันสองวันพระราชบุตรตรัสให้เรียกพุทธิศริระเข้าไปเฝ้า พุทธิศริระทราบอยู่หลายวันแล้วว่าคงจะเรียก ครั้นเข้าไปเฝ้าถึงที่บรรธมเห็นพระราชบุตรพระพักตร์เผือดแลทรงบ่นว่าปวดพระเศียร พุทธิศริระทราบอยู่แล้วว่าจะรับสั่งเรื่องอะไร แต่ยังไม่กล้ารับสั่ง เพราะพระราชบุตรและสหายคนนี้ได้สนทนาเรื่องผู้หญิงหลายครั้งแล้ว พระราชบุตรตรัสครั้งไรพุทธิศริระก็ยิ้มเย้ยและกล่าวลบหลู่หญิงอย่างเรี่ยวแรง และยังกล่าวติเตียนชายที่หลงรักหญิงเรี่ยวแรงยิ่งไปกว่าติเตียนหญิงเสียอีก เหตุดังนี้พระราชบุตรจึ่งอ้ำอึ้งยังไม่กล่าวเรื่องที่อยู่ในพระหฤทัย พุทธิศริระรู้ทีแลอยากให้ตรัสออกมาจึ่งทูลว่า “โรคชนิดนี้ต้องเสวยยาขมและอดของแสลงให้จริง มิฉะนั้นโรคไม่บันเทาได้”

พระราชบุตรได้ฟังพุทธิศริระสำแดงความร้อนใจดังนั้นก็สิ้นความอ้ำอึ้ง พระหัตถ์จับมือพุทธิศริระน้ำพระเนตรตกตรัสว่า “ชายใดเข้าเดินในทางแห่งความรัก ชายนั้นจะรอดชีวิตไปมิได้ หรือถ้ายังไม่สิ้นชีวิต ชีวิตก็มิใช่อื่น คือความทุกข์ที่ยืดยาวออกไปนั้นเอง”

พุทธิศริระทูลว่า “พระองค์รับสั่งถูกเป็นแน่แล้ว กวีโบราณย่อมกล่าวว่า วิถีแห่งความรักนั้นไม่มีต้นและไม่มีปลาย บุรุษพึงตรึกตรองให้ถ่องแท้แล้วจึ่งวางเท้าลงในวิถีนั้น ผู้มีปัญญารู้ว่าสิ่งทั้งสามคือความใคร่หญิงหนึ่ง กระดานสกาหนึ่ง การดื่มน้ำเมาหนึ่ง อาจให้ผลแก่คนในทางที่ไม่อาจทำนายได้ เหตุดังนั้นวิธีที่จะปฏิบัติการทั้งสามสิ่งนี้ดีที่สุด ก็คือไม่ปฏิบัติเสียเลย กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเว้นให้ขาด แต่วิธีของโลกนี้ ถ้าไม่มีงัวตัวเมียก็ต้องรีดนมงัวตัวผู้แทน”

คำสอนของผู้มีปัญญากล่าวเช่นนี้ จะแปลว่ากระไรก็ตาม พระราชบุตรย่อมจะทรงเห็นว่าเป็นคำสอนที่กล่าวช้าไปไม่ทันกาลเสียแล้ว เธอนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึ่งตรัสว่า “ข้าได้ย่างเท้าเดินทางนั้นเสียแล้ว ที่สุดแห่งทางจะเป็นความทุกข์หรือความสุขก็ตามบุญตามกรรม” ตรัสดังนั้นแล้วก็ทรงถอนใจใหญ่

ฝ่ายพุทธิศริระเห็นพระราชบุตรมีอาการดังนั้นก็ให้คิดสงสาร จึ่งทูลถามว่า “นางนั้นคือนางซึ่งพบที่สระในป่านั้นหรือ”

พระราชบุตรพยักพระพักตร์

พุทธิศริระทูลถามว่า “เมื่อนางจะไปนั้นนางได้กล่าวอะไรแก่พระองค์หรือเปล่า หรือพระองค์ได้กล่าวอะไรแก่นางบ้าง”

พระราชบุตรตรัสว่า “ไม่ได้กล่าวอะไรแก่กันเลย”

พุทธิศริระกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ยากที่สุดที่จะได้นางมา”

พระราชบุตรตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าก็ใกล้เวลาตาย และชีวิตเป็นความทุกข์ตั้งแต่บัดนี้ไปจวบเวลาขาดลมหายใจ”

พุทธิศริระคิดขัดใจที่พระราชบุตรพูดนอกเรื่อง เพราะการกล่าวถึงความตายไม่ใช่ทางที่จะได้นางมาเป็นอันขาด พุทธิศริระนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึ่งทูลถามว่า “นางไม่ได้ให้สัญญาอะไรบ้างหรือ พระองค์จงเล่าให้ข้าพเจ้าฟังให้ละเอียด คนไข้ที่บอกอาการโรคครึ่งๆกลางๆไม่มีประโยชน์เลย”

ครั้นพุทธิศริระทูลดังนั้น พระราชบุตรก็ตรัสเล่าตั้งแต่ต้นจนปลาย กล่าวโทษพระองค์เองที่ตกตะลึงและสะทกสะท้านมิได้กล่าวอันใดแก่นาง ในที่สุดเล่าถึงกิริยาที่นางเก็บดอกบัวมาทำต่างๆ

พุทธิศริระได้ยินดังนั้นก็นิ่งตรองอยู่สักครู่หนึ่ง แล้วทูลพระราชบุตรสำแดงคุณชั่วแห่งความสะทกสะเทิ้นในขณะที่อยู่ใกล้หญิง ถ้าพระราชบุตรจะเป็นผู้มีความสุขต้องสำแดงพระองค์เป็นคนกล้าในคราวหน้าที่พบนางจึ่งจะสำเร็จประสงค์ พระราชบุตรตรัสสัญญาว่าถ้าได้พบนางก็จะเป็นคนกล้าตามคำสอนนั้น แต่เมื่อไม่พบ จะกล้าอย่างไรได้

พุทธิศริระกล่าวว่า “พระองค์จงสงบทุกข์ลงบ้างเถิด ข้าพเจ้ารู้ชื่อนางแลที่อยู่ของนางแล้ว เมื่อนางเก็บดอกบัวขึ้นชูไหว้ไปในฟ้านั้น คือนางสำแดงความยินดีต่อเทวดาที่ได้อำนวยให้นางได้พบพักตร์อันประเสริฐของพระองค์”

พระราชบุตรได้ทรงฟังก็ยิ้มออกมาได้ และยิ้มครั้งแรกในเวลาหลายวัน

พุทธิศริระทูลต่อไปว่า “เมื่อนางยกดอกบัวขึ้นทัดหูนั้นเป็นที่หมายให้ทรงทราบว่านางเป็นชาวเมืองกรรณาฏกะ และเมื่อนางกัดดอกบัวด้วยทนต์นั้นนางทำสัญญาณให้ทรงทราบว่า นางเป็นราชธิดาท้าวทันตวัต พระองค์ย่อมทราบว่าท้าวทันตวัตนี้เป็นอริใหญ่ของพระราชบิดาแห่งพระองค์ ไม่มีท่าทางจะปรองดองกันได้เป็นอันขาด”

พระราชบุตรได้ยินดังนั้นก็ครางด้วยความเศร้าพระหฤทัย

พุทธิศริระกล่าวต่อไปว่า “เมื่อนางเหยียบดอกบัวนั้น นางให้เครื่องหมายว่านางชื่อ ปัทมาวดี แลเมื่อนางเอาดอกบัวปักที่อุระนั้นเป็นที่หมายว่าพระองค์สิงอยู่ในหฤทัยแห่งนาง”

พระวัชรมุกุฏผู้พระราชบุตรได้ทรงฟังดังนั้นก็ผุดลุกขึ้นด้วยความยินดี อาการไข้ก็เปลื้องปลดไปทันที ทรงกำลังกระปรี้กระเปร่าเหมือนแต่ก่อน ตรัสชมความรอบรู้ของพุทธิศริระ พลางรับสั่งอ้อนวอนให้ช่วยทูลขออนุญาตพระราชบิดาไปยังนครอันเป็นที่อยู่แห่งนางนั้น ฝ่ายพุทธิศริระโดยความภักดีต่อพระราชบุตร ก็เข้าไปทูลพระราชาธิบดีว่าพระราชบุตรไม่ใคร่สะบายควรเสด็จเที่ยวในประเทศต่างๆ เพราะพระกายต้องการเปลี่ยนน้ำ พระหฤทัยต้องการเปลี่ยนที่อยู่ ครั้นพระราชบิดาประทานอนุญาตแล้วพระวัชรมุกุฏกับพุทธิศริระก็แต่งตัวเป็นคนเดินทางขึ้นม้าไปหลายวัน ถึงนครกรรณาฏกะก็หยุดพักอยู่ริมทางแล้วพุทธิศริระก็นำพระราชบุตรออกเที่ยวถามหาหญิงผู้มีปัญญา โดยอธิบายว่าต้องการจะให้ดูเคราะห์ร้ายเคราะห์ดีในอนาคต และชี้แจงต่อพระราชบุตรอีกขั้นหนึ่งว่า หญิงซึ่งเอาใจใส่ต่อกิจการในอนาคตนั้น ย่อมจะเอื้อเฟื้อต่อกิจการปัจจุบันด้วย เหตุดังนั้นควรสืบหาหญิงหมอดูเป็นผู้ช่วยให้สำเร็จกิจอันประสงค์

พุทธิศริระเที่ยวถามอยู่ครู่หนึ่ง มีผู้ชี้หญิงแก่ผู้หนึ่งซึ่งนั่งปั่นฝ้ายอยู่หน้ากระท่อม พุทธิศริระจึ่งเข้าไปหาหญิงแก่นั้นกระทำการเคารพเป็นอันดีแล้วพูดว่า “ข้าพเจ้าเป็นพ่อค้ามาจากเมืองไกลสองคนด้วยกัน สินค้าของเราตามมาข้างหลัง เราล่วงหน้ามาก่อนเพื่อจะหาที่พัก ถ้ามารดายอมให้เราพักในเรือนนี้เราคงจะอยู่เป็นสุขและให้เงินแก่มารดาโดยอัตราอันสูง”

ฝ่ายหญิงแก่นั้นนอกจากเป็นหมอดูยังเป็นผู้รู้ลักษณะคนอีกด้วย ครั้นเห็นเค้าหน้าชายหนุ่มทั้งสองก็ชอบ เพราะคิ้วกว้างแลปากมีลักษณะว่าไม่ตระหนี่ จึ่งตอบพุทธิศริระว่า “กระท่อมนี้เหมือนหนึ่งเรือนของท่าน เชิญมาพักอยู่ให้สะบายเถิด” พูดเท่านั้นแล้วก็พาชายหนุ่มทั้งสองเข้าไปในเรือน กล่าวติเตียนความรุงรังของตนเอง แล้วเชิญให้ชายทั้งสองพักผ่อนกายอยู่ในเรือนนั้น

สักครู่หนึ่งหญิงแก่กลับมายังห้องซึ่งชายหนุ่มทั้งสองพัก พุทธิศริระจึงถามว่า “มารดาอยู่ที่นี้มีความสุขอยู่หรือ ญาติวงศ์สหายอยู่พร้อมกันหรืออย่างไร และมารดาหากินทางไหน”

หญิงแก่ตอบว่า “ลูกชายของข้าเป็นคนใช้สนิทของท้าวทันตวัตผู้เป็นพระราชาของเรา ข้าเป็นนางนมของนางปัทมาวดีพระราชธิดาองค์ใหญ่ ครั้นข้าแก่ชราก็มาอยู่ในเรือนนี้ไม่ต้องกังวลการหากิน เพราะพระราชาประทานทุกอย่าง ข้าไปในวังเฝ้าพระราชบุตรีวันละครั้ง นางเป็นหญิงงามอย่างประหลาด เป็นคนดีมีปัญญาหาเสมอมิได้”

พระวัชรมุกุฏพักอยู่ที่เรือนหญิงแก่อันเป็นนางนมของพระราชธิดาหลายวัน และกระทำให้นางนมเอื้อเฟื้อรักใคร่ด้วยความไม่ตระหนี่ด้วยวาจาอ่อนหวาน และด้วยรูปสมบัติของพระองค์ ครั้นคุ้นเคยและรู้ใจกันมากขึ้น พระวัชรมุกุฏก็ตรัสถึงพระราชธิดาและกล่าวแก่นางนมว่า เมื่อไปเฝ้านางปัทมาวดีคราวหน้าขอให้ช่วยถือหนังสือไปถวายฉะบับหนึ่งจะได้หรือไม่

นางนมมีความยินดี เพราะเป็นธุระของนางนมที่จะต้องยินดีตามแบบนิทานชะนิดนี้ จึ่งกล่าวแก่พระวัชรมุกุฏว่า “ลูกเอย ไม่จำเป็นจะต้องคอยถึงพรุ่งนี้ เจ้าจงเขียนหนังสือเถิด มารดาจะถือไปเดี๋ยวนี้”

พระวัชรมุกุฏพระองค์สั่นด้วยความยินดี รีบเสด็จไปหาพุทธิศริระซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่นอกเรือน แล้วรับสั่งบอกว่านางนมรับแล้วที่จะถือหนังสือไปถวายพระราชธิดา ปัญหายังมีแต่เพียงว่าจะเขียนหนังสืออย่างไรจึ่งจะดี จะผูกประโยคแลใช้ศัพท์ชั้นไหนจึ่งจะถูกพระหฤทัยนาง จะใช้ศัพท์เรียกนางว่า “แก้วตาแห่งตู” จะเบาไปและศัพท์ “โลหิตในตับแห่งข้า” จะหนักไปดอกกระมัง อนึ่งการแต่งหนังสือสำคัญเช่นนั้นจะทำให้แล้วเร็วทันในวันนั้นก็ยาก เป็นเรื่องที่หนักพระหฤทัยอยู่ ฝ่ายพุทธิศริระเมื่อได้ยินดังนั้นก็ทูลว่าอย่าให้ทรงเดือดร้อนเลย จะทำถวายให้เสร็จ แล้วพุทธิศริระก็ไปหยิบเครื่องเขียนมานั่งเขียนอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นสำเร็จแล้วก็พับหนังสือนั้นปิดผนึกเขียนรูปดอกบัวลงบนหลังผนึกดอกหนึ่ง แล้วส่งถวายพระราชบุตร พระราชบุตรก็นำหนังสือไปส่งให้หญิงแก่นางนมถือไปถวายพระราชธิดา นางนมได้รับหนังสือแล้วก็รีบเข้าวังไปที่ตำหนักพระราชบุตรีตามเคย

ฝ่ายนางปัทมาวดีครั้นเห็นนางนมเข้าไปเฝ้า ก็ตรัสเรียกให้นั่งและทรงสนทนาด้วย นางนมพูดถึงเรื่องอื่นๆ อยู่สักครู่จึงจึงทูลว่า “เมื่อนางยังอยู่ในความเป็นเด็กอ่อน ข้าได้เลี้ยงดูนางมาด้วยความภักดี บัดนี้พระภัควานให้รางวัลแก่ข้าด้วยประทานความงาม ความไม่มีโรค แลความดีแก่นางในเวลาที่ทรงจำเริญเพียงนี้ หัวใจของข้าจะใคร่เห็นความสุขของนางยิ่งๆขึ้นไปตราบชีวิตข้าหาไม่ นางจงทรงอ่านหนังสือนี้ซึ่งมาจากชายหนุ่มงามที่สุดและดีที่สุดซึ่งข้าได้เคยเห็นเปนขวัญตา”

พระราชธิดาทรงรับหนังสือไปทอดพระเนตรดอกบัวบนหลังผนึกแล้วทรงเปิดออกอ่านพบอินทรวิเชียรฉันท์ดังนี้

๑๑ ได้เห็นพระเพ็ญโฉม ดุจโสมสว่างหน
ราดเร้ากำเดาดล จิตเดือดบ่เหือดลง
๏ ศรทรงอนงค์แผลง พิษแสร้งจะเสียบองค์
ปักในหทัยตรง อุระแค้นเพราะแสนคม
๏ วันพบประสพพักตร์ ศุภลักษณ์มโนรมย์
อิ่มใจจะใคร่ชม บ่มิพริบกระหยิบตา
๏ เพ็ญโสมบ่เพ็ญศรี ดุจนี้ณะเวหา
แสงส่องบ่ผ่องปรา กฏอย่างพระนางนวล
๏ งอนงามอร่ามโรจน์ ฉวิโชติประชันชวน
แข่งขันพระจันทร์บวรณ์ ศศิแน่จะแพ้นาง
๏ ยามยลพิมลโฉม อุระโหมพระเพลิงพลาง
ร้อนรักตระหนักกลาง จิตข้าศิขาดูร
๏ นางกลับและลับเนตร ก็เทวศทวีคูณ
เร่าร้อนบ่ผ่อนภูล พิษรักประจักษ์แด
๏ คิดไปก็ใจหาย เพราะกระต่ายจะหมายแข
เวียนหวังระวังแล ศศิไซร้บ่ใยดี
๏ อ้านางสอางรัตน์ วรขัติยะนารี
โปรดด้วยอำนวยชี วะบ่ตัดสลัดตู ฯ

พระราชธิดาทรงอ่านหนังสือตลอดแล้วก็สำแดงอาการพิโรธ ตรัสแก่นางนมด้วยสำเนียงอันขุ่นแค้นว่า “นี่แกเป็นอะไรไปจึ่งบังอาจนำหนังสือนี้มาให้ คนโง่ที่เขียนหนังสือนี้แต่งฉันท์ไม่เป็นก็แค่นจะแต่งกับเขาด้วย คนแต่งฉันท์เลวๆ เช่นนี้ยังอาจมาแต่งถวายพระราชธิดา อยากรู้ว่าเรียนหนังสือมาแต่สำนักไหนจึ่งเลวถึงเท่านี้” นางตรัสพลางทรงฉีกหนังสือตอนที่ว่า “ศศิไซร้บ่ไยดี” ส่งให้นางนมแล้วตรัสว่า “แกจงนำเอาคำตอบนี้ไปให้ชายที่แต่งฉันท์ไม่เป็น และตัวแกเองจงอย่าทำเอื้อมอาจถือหนังสือเข้ามาเช่นนี้อีกเป็นอันขาด”

หญิงแก่นางนมได้ฟังพระราชธิดากริ้วถึงเพียงนั้นก็เสียใจรีบกลับไปบ้าน พบพระราชบุตรตามทางก็เล่าให้ฟังทุกประการ พระราชบุตรได้ทรงฟังและอ่านคำตอบแล้วก็เสียพระหฤทัยยิ่งนัก เมื่อทรงดำเนินกลับนั้นทรงคิดถึงวิธีทำลายชีวิตตนเองหลายอย่าง เช่นกระโดดน้ำผูกคอตนเองแขวน แทงอกตนเองเป็นต้น ยังไม่ทันตกลงว่าอย่างไหนจะดีก็พอถึงที่พัก พบพุทธิศริระนั่งอยู่หน้าเรือนก็ตรัสเล่าให้ฟังและทรงสำแดงความเสียใจยิ่งนัก

พุทธิศริระนิ่งฟังตลอดแล้วทูลว่า “พระองค์อย่าเพ่อตีตนเองก่อนไข้ จงทรงตรึกตรองใจความที่นางตรัสให้ถ่องแท้ก่อน ต่อไปข้างหน้าเมื่อพระองค์ได้สมาคมกับหญิงมากๆแล้ว จะทรงทราบว่าเมื่อหญิงกล่าวว่าไม่ใยดีนั้นแปลว่ายินดี เพราะฉะนั้นตามที่เราทำมาเพียงนี้นับว่าสำเร็จดังหมาย อนึ่งเมื่อนางทรงถามว่าพระองค์ทรงเรียนหนังสือจากสำนักไหนนั้น ถ้าจะแปลเป็นภาษาผู้ชายแปลว่า ท่านคือใคร”

พระวัชรมุกุฏได้ทรงฟังดังนั้นก็ยินดี ครั้นวันรุ่งขึ้นก็ทรงบอกนางนมว่าพระองค์เป็นยุพราชกรุงพาราณสี ให้นางนมเข้าไปทูลพระราชธิดาเถิด ฝ่ายนางนมได้ทราบดังนั้นก็ดีใจ แต่กล่าวว่าทราบมาแต่แรกแล้ว เช้าวันนั้นก็เข้าไปในวังเฝ้าพระราชธิดาทูลว่า “พระยุพราชซึ่งนางได้ทำให้มีใจใฝ่ฝันตั้งแต่วันที่ได้เห็นกันริมสระเมื่อวันขึ้น ๕ ค่ำเดือนก่อนนั้น เสด็จมาที่เรือนข้าพเจ้า และให้ข้าพเจ้ามาทูลว่าพระองค์เสด็จมาแล้ว นางทำกิริยาเป็นสัญญาที่ริมสระอย่างไร ก็จงทำตามสัญญานั้นเถิด พระราชบุตรองค์นี้ทรงศักดิ์สมควรแก่นางแท้ นางจงฟังคำข้าพเจ้าเถิด”

นางปัทมาวดีได้ทรงฟังดังนั้น ก็สำแดงความโกรธยิ่งกว่าครั้งก่อน นางเสด็จลุกไปเอากระแจะจันทน์ละเลงบนพระหัตถ์ทั้งสองพระหัตถ์แล้วตบเข้าที่แก้มนางนมทั้งสองแก้ม ตรัสว่า “แกจงรีบไปจากวังนี้โดยเร็ว มิฉะนั้นจะต้องรับโทษยิ่งกว่านี้ แกจำไม่ได้หรือว่าข้าห้ามไม่ให้เอาเรื่องนี้มาพูดต่อไปเป็นอันขาด” นางนมอกจากวังกลับไปทูลพระวัชรมุกุฏ ต่างคนเสียใจที่ไปหลงเชื่อพุทธิศริระ ครั้นเล่าความให้พุทธิศริระฟัง พุทธิศริระก็ทูลพระราชบุตรว่า “พระองค์อย่าทรงตกใจ การที่พระราชธิดาเอากระแจะจันทน์ทาแก้มนางนมด้วยนิ้ว ๑๐ นิ้วนั้น หมายความว่ากลางคืนยังมีแสงพระจันทร์อยู่อีก ๑๐ คืน เมื่อพ้น ๑๐ คืนไปแล้วนางจะออกมาพบพระองค์ในที่มืด พระองค์จงหักความกระวนกระวายในพระหฤทัยคอยไปอีก ๑๐ วันเถิด”

พุทธศริระทูลแปลกิริยาแห่งพระราชธิดาแล้ว ก็ทูลต่อไปว่านางองค์นี้เห็นจะฉลาดเกินที่จะเป็นความสุขแก่สามี เพราะฉะนั้นพระราชบุตรควรหยุดยั้งชั่งพระหฤทัยดูแต่ในขณะที่ยังมีเวลาจะถอนพระองค์ได้ คำตักเตือนอันนี้ พระวัชรมุกุฏไม่ทรงฟังเลย

ครั้นพ้นกำหนด ๑๐ วันไปแล้วชายหนุ่มทั้งสองก็ให้นางนมเข้าไปเฝ้าพระราชธิดา คราวนี้นางเอาหญ้าฝรั่นทานิ้วพระหัตถ์ ๓ นิ้วแล้วประไว้บนแก้มนางนม ครั้นนางนมกลับมาเล่า พุทธิศริระอธิบายว่านางขอผัดอีก ๓ วัน เพราะยังประชวรพระโรคลำดับเดือน วันที่สี่เป็นวันนัดให้เสด็จ ครั้นวันที่สี่นางนมเข้าไปเฝ้าอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้พระราชธิดากริ้วมากเสด็จทรงฉุดตัวนางนมไปที่ประตูด้านตะวันตก ทรงผลักให้ออกประตูนั้น แลตรัสว่าถ้ากลับเข้าไปอีกจะตีด้วยแซ่ ครั้นนางนมกลับไปเล่าให้พุทธิศริระฟัง พุทธิศริระอธิบายว่าพระราชธิดาเชิญพระราชบุตรให้เสด็จไปพรุ่งนี้เวลากลางคืน และให้เข้าทางประตูด้านตะวันตก

ครั้นเวลากลางคืนวันรุ่งขึ้นพุทธิศริระทูลเตือนพระวัชรมุกุฏให้เตรียมพระองค์ พระวัชรมุกุฏไม่ต้องให้มีใครเตือน กำลังแต่งพระองค์อยู่แล้ว แท้จริงแต่งพระองค์อยู่หลายชั่วโมงจึ่งเสร็จ ครั้นเสร็จก็เสด็จออกมาถามพุทธิศริระว่าใช้ได้หรือยัง พุทธิศริระทูลตอบว่างามมาก แล้วทูลตักเตือนในเรื่องผู้หญิงตามปัญญาของตน และทั้งทูลเตือนอีกครั้งหนึ่งว่าสังเกตเห็นนางฉลาดเกินไป ถ้าได้เป็นเมียเห็นจะไม่เป็นสุขอย่างเมียโง่ๆ

ครั้นเวลาเที่ยงคืน ชายหนุ่มทั้งสองก็พากันออกเดิรไปยังประตูด้านตะวันตกแห่งพระราชวัง ครั้นถึงประตูเห็นเปิดงับแงอยู่ พุทธิศริระก็ย่องเข้าไปดูเห็นนายประตูนั่งหลับอยู่ แลเห็นหญิงคนหนึ่งมีผ้าคลุมหัวยืนคอยอยู่ข้างใน พุทธิศริระก็ย่องกลับไปทูลพระราชบุตร พระราชบุตรก็เสด็จย่องเข้าประตูไป พุทธิศริระคอยอยู่สักครู่หนึ่งก็กลับไปที่พัก

ฝ่ายพระราชบุตรครั้นเข้าไปในประตูแล้วหญิงที่ยืนคอยอยู่ก็จับพระหัตถ์และทำสัญญาให้เดินเบาๆ แล้วนำไปตามทางที่มืด บางแห่งจุดไฟริบหรี่ สักครู่หนึ่งไปถึงบันไดศิลา ก็พากันขึ้นไปบนตำหนักพระราชธิดา

พระวัชรมุกุฏเสด็จออกจากที่มืดเข้าไปที่สว่างก็มัวพระเนตรอยู่ครู่หนึ่ง ประเดี๋ยวทอดพระเนตรดูรอบห้องเป็นที่งดงาม แต่งด้วยเครื่องบำรุงความสำราญต่างๆ กลิ่นควันเผาเครื่องหอม และกลิ่นดอกไม้หอม กระหลบไปทั้งห้อง ตะเกียงเงินซึ่งจุดด้วยน้ำมันหอมก็ส่งกลิ่นอันพึงสูดดม ข้างหนึ่งมีดอกไม้กองรอบเตียงลาดผ้าขาวปักด้วยเส้นทองโรยด้วยดอกพุทชาตซึ่งเก็บใหม่ๆ อีกข้างหนึ่งมีภาชนะรองหีบหมากและขวดน้ำไม้เทศ มีถาดรองเครื่องหอมต่างๆ และภาชนะรองเครื่องหวานหลายอย่าง มีนางกำนัลคอยรับใช้ประจำที่ บ้างก็มีหน้าที่อ่านกาพย์กลอน บ้างก็มีหน้าที่ฟ้อนรำและบรรเลงดนตรี รวมความว่าเครื่องสำราญตาสำราญใจมากอย่างมีอยู่ในห้องนั้น

สักครู่หนึ่งพระราชธิดาเสด็จเข้ามาเปลื้องผ้าคลุมพระพักตร์ออกสำแดงพระองค์ให้เห็น พระวัชรมุกุฏสดุ้งด้วยความยินดี นางเชิญพระราชกุมารให้นั่ง นางทรงชะโลมพระองค์พระราชกุมารด้วยกระแจะจันทน์และโปรยน้ำกุหลาบถวาย ทั้งนางทรงโบกด้วยพัดอันทำด้วยขนนกยูงมีด้ามทอง

พระวัชรมุกุฏตรัสแก่นางว่า “พระหัตถ์อันอ่อนของนางนี้ไม่สมควรจะโบกพัด นางจงหยุดเสียเถิด ข้าได้เห็นนางก็มีความเอิบอิ่มในใจ แม้ไม่ต้องพัดก็เย็นพออยู่แล้ว นางจงประทานพัดให้ข้าเถิด”

นางปัทมาวดียิ้มพลางทูลว่า “พระองค์ทรงอุสาหะเสด็จเข้ามาถึงที่นี้เป็นพระเดชพระคุณนักหนา สมควรข้าพเจ้าจะปฏิบัติพระองค์ด้วยความกตัญญู”

ขณะนั้นนางกำนัลคนโปรดเข้ามารับพัดไปถวายอยู่งาน ทูลว่า “หน้าที่ปฏิบัติของข้าพเจ้า สองพระองค์จงทรงสำราญเถิด”

เวตาลเล่ามาถึงเพียงนี้ก็หยุดพักครู่หนึ่งแล้วเล่าต่อไปว่า

“ครั้นเวลารุ่งเช้านางปัทมาวดีก็ซ่อนพระราชกุมารไว้ในที่ลับ ครั้นกลางคืนก็ทรงสำราญอย่างคืนก่อน พระราชกุมารมีความสุขจะหาเสมอมิได้ โลกใหญ่กว้างก็ทรงลืมหมด คงเหลืออยู่แต่โลกในตำหนักนางเท่านั้น ฝ่ายนางปัทมาวดีเป็นหญิงเฉลียวฉลาด เมื่อได้สามีที่ปัญญาอ่อนก็ยิ่งผูกรักแน่นขึ้น ดังคำโบราณกล่าวว่าคนตรงกันข้ามในเชิงปัญญาย่อมล่อใจกัน ในชั้นต้นนางตั้งแต่งให้พระสามีเป็นปราชญ์เปรื่อง โดยอธิบายว่าน้ำนิ่งไหลลึก เมื่อพระราชกุมารไม่ใคร่ตรัสก็นึกว่าคงจะมีความคิดรุ่งโรจน์นิ่งไว้ในพระหฤทัย คนมีคิ้วกว้างแลโค้งงามเช่นนี้จะไม่ฉลาดอย่างไรได้ คนมีหนวดน่าดูเช่นนั้นคงจะต้องเป็นผู้มีใจโอบเอื้ออยู่เอง คนมีตาเช่นพระราชกุมารจะไม่เป็นคนกล้านั้นไม่ได้ นางปัทมาวดีหลงคิดดังนี้ในชั้นต้น ครั้นต่อมาก็เห็นพระสามีฉลาดเฉลียวน้อยลง แต่ความเสนหาของนางมิได้ลดหย่อน กลับจะมากขึ้น เป็นต้นมาว่าเมื่อสอนให้ทรงท่องกาพย์กลอน เธอจำไม่ใคร่ได้นางก็ทรงพระสรวลเห็นน่าเอ็นดู เมื่อเธอพูดสํสกฤตผิดไวยากรณ์ก็เห็นน่ารัก เมื่อเธอสบถก็เห็นเพราะ

ต่อๆมานางก็สงสัยว่าจะมีใครอีกคนหนึ่งซึ่งร่วมรู้กับพระสามีในเรื่องลอบรักกับนางนี้ แต่นางก็มิได้ทูลถามตรงๆ เป็นแต่สังเกตวาจาที่ตรัสและทูลไล่เลียงอ้อมค้อมจนในที่สุดพระวัชรมุกุฏทรงเล่าให้นางฟังถึงพุทธิศริระผู้มีปัญญา เริ่มแต่ความเห็นทับถมหญิงทั้งหลายตลอดจนแปลกิริยาต่างๆที่นางทำเป็นเครื่องสัญญา ในที่สุดตรัสเล่าความเห็นของพุทธิศริระว่านางฉลาดเกินที่จะเป็นเมียที่เป็นความสุขแก่ผัว

นางปัทมาวดีทรงคิดในใจว่า “ถ้าเราไม่แก้แค้นชายคนนั้นได้ ขอให้เราเกิดเป็นฬาของคนทำสวนในชาติหน้าเถิด” ทรงคิดดังนี้แล้วนางก็ตรัสชมความฉลาดของพุทธิศริระยอขึ้นไปถึงฟ้า ตรัสว่าทรงรู้สึกบุญคุณของชายนั้นที่ได้ช่วยให้นางได้ถึงความสุขและสำแดงประสงค์จะไคร่พบพุทธิศริระสักครั้งหนึ่ง

ฝ่ายพระวัชรมุกุฏเสด็จซ่อนอยู่ในนิเวศน์นางประมาณเดือนหนึ่ง ก็รำลึกถึงโลกภายนอก เธอเสวยมากไป ผธมมากไป ไม่ได้ออกขี่ม้าล่าเนื้อบ่อยๆเหมือนแต่ก่อนก็เกิดไม่สบาย พระพักตร์และพระเนตร์เหลือง มีอาการหาวดังซึ่งคนตับพิการมักจะเป็น บางเวลาก็ปวดพระเศียรและเสวยอาหารไม่ได้ จะซ่อนอยู่ก็ไม่เป็นสุข วันหนึ่งอยู่พระองค์เดียวทรงนึกดังๆว่า “เราได้ทิ้งเมืองมาก็นานแล้ว และสหายซึ่งได้ช่วยให้เราได้รับความสุขเช่นนี้ก็ไม่ได้พบกันมาตั้งเดือน สหายของเราจะบ่นอย่างไรบ้างและจะอยู่เป็นสุขหรือไรเราก็ไม่ทราบได้เลย”

ขณะนั้นนางปัทมาวดีเข้าไปถึงได้ยินหางเสียงที่ตรัสก็เข้าใจตลอด นางเห็นเป็นช่องอันดีที่จะสำเร็จความคิด จึ่งตรัสหาความพระสามีว่าพระหฤทัยไม่ยั่งยืนอยากจะเปลี่ยนบ่อยๆ ครั้นพระสามีตรัสปฏิเสธ นางก็กล่าวซ้ำจนเธอจวนจะกริ้วอยู่แล้ว เธอจึงตรัสอ้างคัมภีร์โบราณว่าภริยาที่ไม่มีลูกสามีควรทิ้งไปหาใหม่ในปีที่แปด ภริยาที่มีลูกเกิดมาตายหมดในปีที่ ๑๐ ภริยาที่มีแต่ลูกหญิงในปีที่ ๑๑ และภริยาซึ่งกล่าวดุดันสามีนั้นควรทิ้งไปหาใหม่ทันที นางได้ยินพระสามีตรัสดังนั้นก็อธิบายว่าคำที่นางกล่าวนั้น มิใช่กล่าวถึงความรักระหว่างระหว่างสองพระองค์ นางกล่าวถึงข้อที่พระสามีลืมพุทธิศริระผู้สหายนั้นดอก นางตรัสว่า “พระองค์เสด็จอยู่ที่นี่ พระหฤทัยออกไปอยู่กับสหายเช่นนี้จะมีสุขอย่างไรได้ พระองค์ทรงซ่อนความในพระหฤทัยไว้ด้วยเหตุใด เกรงว่าถ้าข้าพเจ้าทราบข้าพเจ้าจะเดือดร้อนฉะนั้นหรือ พระองค์จงเชื่อชายาของพระองค์ว่าคงจะไม่มีประสงค์ให้พระองค์เริศร้างจากสหายซึ่งมีคุณแก่เราทั้งสองนั้นเป็นอันขาด”

นางปัทมาวดีทูลเช่นนั้นแล้วก็แนะนำให้เสด็จออกไปหาพุทธิศริระในคืนวันนั้น เพื่อจะได้สิ้นห่วงถึงสหาย อนึ่งนางจะฝากของออกไปแทนคุณพุทธิศริระบ้าง

พระวัชรมุกุฏทรงยินดีตรงเข้าส้วมกอดนาง กลับทำให้นางโกรธในใจ เพราะเห็นถนัดว่าทรงยินดีที่จะทิ้งนางไปหาสหาย นางเกรงจะซ่อนความโกรธไว้ไม่ได้ก็รีบหนีไปจัดของที่จะฝากไปประทานพุทธิศริระ สักครู่หนึ่งนางเสด็จกลับมาในห้อง ถือถุงบรรจุของกินมาส่งถวายทูลว่า ขอให้ประทานแก่พุทธิศริระว่าเป็นของซึ่งนางทำด้วยพระหัตถ์ ถึงแม้คนมีปัญญาก็คงจะชมรสซึ่งมีในขนมนั้น

พระยุพราชเมื่อได้ร่ำลานางส้วมองค์แล้วสอดกรเล่า คำลาคำท้ายกลับเป็นคำต้นหลายครั้งแล้วก็เสด็จเล็ดลอดออกจากวัง ครั้นผ่านพ้นประตูซึ่งนายประตูนั่งหลับตามเคย ถึงถนนใหญ่ก็รีบทรงดำเนินตรงไปบ้านหญิงนางนม เวลานั้นเป็นเวลาเที่ยงคืน แม้ฉะนั้นพุทธิศริระยังนั่งอยู่หน้าเรือน ครั้นพระยุพราชเสด็จไปถึงต่างก็แสดงความยินดี พระวัชรมุกุฏตรัสแสดงความร้อนพระหฤทัยที่เห็นพุทธิศริระมีอาการซูบซีด พุทธิศริระทูลว่าไม่ได้ยินข่าวเจ้าช้านานก็ร้อนใจกินไม่ได้นอนไม่หลับ จึ่งมีอาการเช่นนี้ พระวัชรมุกุฏได้ทรงฟังก็อธิบายถึงความสำราญในวัง ซึ่งทรงคิดว่าคงจะไม่ยิ่งหย่อนกว่าความสุขในสวรรค์ ทั้งยกนางปัทมาวดีเชิดชูขึ้นไปถึงฟ้า เทียบกับนางเทพธิดาซึ่งเป็นหมู่ชนที่ไม่เคยทรงพบเห็นก็จริงอยู่ แต่คงจะไม่เลิศล้ำนางปัทมาวดีไปได้ ทั้งในความงามและความเฉลียวฉลาดทุกประการ

พุทธิศริระได้ยินรับสั่งยอพระเกียรตินางยืดยาวเช่นนั้นก็โคลงศีร์ษะยิ้มมิได้กล่าวประการใด พระยุพราชทรงเห็นดังนั้นก็ตรัสว่า “อย่างเก่าอีกแล้ว ความสำราญของท่านอยู่ในความลบหลู่ปัญญาผู้อื่น ไม่เปลี่ยนแปลงบ้างเลย ท่านคงจะคิดอิจฉานางเสียแล้ว อิจฉาว่ามีปัญญาและอิจฉาว่านางรักข้า ท่านจงเชื่อข้าว่านางองค์นี้ดีหาที่เปรียบมิได้ ถึงแม้ท่านผู้เกลียดผู้หญิง เมื่อได้ทราบคำสรรเสริญที่นางกล่าวถึงท่าน ทราบคำสั่งที่นางสั่งมาถึง แลทราบรสของกินที่นางฝากมาประทาน ท่านก็เว้นที่จะชมนางไม่ได้เป็นแน่ นี่แนะ ท่านจงกินขนมนี้ซึ่งนางฝากมาให้ท่านโดยฉะเพาะ เป็นขนมซึ่งนางทำด้วยพระหัตถ์นางเอง”

พุทธิศริระทูลว่า “นางสั่งมาถึงข้าพเจ้าอย่างไรได้ อย่างไรนางจึ่งฝากของมาประทาน นางไม่ทรงทราบว่ามีข้าพเจ้าอยู่ในโลกนี้ พระองค์ไปรับสั่งถึงข้าพเจ้าขึ้นแล้วกระมัง”

พระวัชรมุกุฏตรัสตอบว่า “คืนหนึ่งข้านั่งอยู่คนเดียวกำลังคิดถึงท่านก็มีอาการซึมเซาไป นางเข้ามาพบก็ถามว่าเหตุไรจึ่งเป็นเช่นนั้น ข้าก็ตอบนางตามจริง และเล่าให้ฟังถึงท่านและความฉลาดของท่าน นางได้ทราบก็อนุญาตให้ข้าออกมาหาท่านและส่งขนมนี้มาให้ท่านกิน ท่านจงกินให้สมศรัทธานางผู้ทำและข้าผู้ถือมาเถิด”

พุทธิศริระทูลว่า “พระองค์จงประทานอภัยแก่ข้าพเจ้าและทรงฟังคำที่ข้าพเจ้าทูลนี้เถิด การที่รับสั่งบอกชื่อข้าพเจ้าแก่นางนั้นไม่ดีเลย ผู้ชายไม่ควรทำให้ผู้หญิงรู้ได้ว่าความลับซึ่งนางบอกแก่มือซ้ายแห่งชายนั้นทราบไปถึงมือขวา ถึงยิ่งทราบไปถึงคนอื่นด้วยยิ่งร้ายใหญ่ อีกอย่างหนึ่งการที่ทรงสำแดงให้นางทราบว่าทรงพระเม็ตตาข้าพเจ้านั้นก็ไม่เป็นทางดี เพราะ ผู้หญิงย่อมจะเกลียดเพื่อนของชายที่รัก”

พระยุพราชตรัสว่า “ข้าจะทำอย่างไรได้ เมื่อข้ารักนางข้าก็ไม่อยากปกปิดข้อความอะไร เมื่อนางถามก็บอกตรงๆ ทั้งนั้น”

พุทธิศริระทูลว่า “พระหฤทัยเช่นนี้เมื่อพระองค์จำเริญพระชนม์ยิ่งขึ้นก็คงจะเปลี่ยน เพราะจะทรงทราบได้ว่า ความรักระหว่างหญิงกับชายนั้น คือการเล่นซึ่งต้องใช้ปัญญาระหว่างคนสองคนที่มีเพศต่างกัน ฝ่ายหนึ่งเพียรจะเอาเปรียบมากที่สุด อีกฝ่ายหนึ่งเพียรจะเสียเปรียบน้อยที่สุดที่จะเป็นได้ คนทั้งสองที่ต่อสู้กันบนกระดานสะกาเช่นนี้ ฝ่ายที่ปัญญาแหลมกว่าแลชำนาญกว่าย่อมชะนะเสมอ ความไม่พูดนั้นเป็นสิ่งที่หัดทำได้ ถ้าพระองค์ทรงซ้อมอยู่สักปีหนึ่งจะทรงเห็นว่า การเปิดความลับนั้นยากกว่าปิดไปเสียอีก ถ้าจะกล่าวถึงขนมที่นางประทานมานี้ ข้าพเจ้ายอมเอาชีวิตข้าพเจ้าเป็นสินพะนันกับชีวิตหมาว่าขนมนี้ผสมด้วยยาพิษ”

พระวัชรมุกุฏตรัสว่า “เป็นไปไม่ได้เป็นอันขาด ไม่มีใครในโลกนี้จะทำอย่างที่ท่านว่า ถ้าคนไม่กลัวคนด้วยกันก็ต้องกลัวพระผู้เป็นเจ้าบ้าง”

พุทธิศริระกล่าวว่า “ ข้าพเจ้าเกิดมายังไม่เคยรู้เลยว่าผู้หญิงที่กำลังรักกลัวพระผู้เป็นเจ้าหรือกลัวอะไรบ้าง แต่ข้อที่ข้าพเจ้ากล่าวนั้นทดลองได้ง่ายๆ (พูดพลางเรียกหมาที่นอนอยู่ข้างนั้นแล้วโยนขนมให้หน่อยหนึ่งกล่าวว่า) “เอ้า. เองไปหาญาติสามหัวของเองซึ่งเป็นผู้รับใช้มัจจุราชนั้นเถิด” หมาได้ยินก็ลุกขึ้นกินขนมที่พุทธิศริระโยนให้ ประเดี๋ยวก็ล้มลงขาดใจตาย

พระยุพราชเห็นดังนั้นก็ทรงเสียใจเป็นกำลังตรัสว่า “นางช่างเป็นเช่นนี้ได้ ไม่คิดเลยว่าจะชั่วช้าถึงปานนี้ ข้าหลงรักนางนักหนา ไม่รู้เลยว่าใจคอหยาบคายมาก ข้าจะกล้าอยู่กับนางไปอย่างไรได้”

พุทธิศริระทูลว่า “สิ่งใดเกิดแล้วสิ่งนั้นย่อมเกิดแล้ว จะแก้ให้กลับไม่เกิดนั้นไม่ได้ ข้าพเจ้าคิดเกรงมาแต่แรกแล้วว่าพระราชกุมารีทรงปัญญาหลักแหลมนัก คงจะทำอะไรชะนิดนี้เป็นแน่ เพราะคนเราไม่มีใครจะทำอะไรผิด จะทำอะไรโง่ จะทำอะไรนอกคอกเหมือนหญิงสาวมีปัญญา แม้จะทำการมีโทษ ก็ทำให้สนิทสนมไม่ได้ ข้าพเจ้าขออยู่ห่างไกลปัญญาหญิง ขออยู่กับความโง่เขลาจึ่งจะเป็นสุข”

ในตอนนี้พระราชบุตรมิได้ทรงยกย่องความฉลาดเลย พุทธิศริระจึ่งทูลต่อไปว่า “ข้าพเจ้าก็ได้ทูลกำชับแล้วเพราะเกรงจะเป็นเช่นนี้ แต่บัดนี้เมื่อได้เห็นฤทธิ์นางแล้วก็เบาใจ นางคิดไม่สำเร็จครั้งนี้นับว่าสิ้นโอกาสที่จะทำการเช่นเดียวกันอีก หรือถ้าทำก็ไม่ใช่ทำในเร็ววันนี้ ข้าพเจ้าขอทูลถามปัญหาข้อหนึ่ง คือถ้าไม่ได้อยู่กับนางพระองค์จะมีความสุขได้หรือ”

พระยุพราชทรงถอนใจใหญ่ตรัสว่า “ไม่ได้เป็นแน่”

พุทธิศริระทูลว่า “ถ้าไม่ได้ก็ต้องใช้ปัญญาด้วยมีความรู้ว่าไม่ได้นั้นเป็นบรรทัด เราจะต้องประชันหน้ากับนางในสนามรบและเอาชัยในเชิงอาวุธที่นางใช้เอง อาวุธนั้นคือความหลอกล่อ ตามธรรมดาข้าพเจ้าไม่เต็มใจจะทำกลกับหญิง แต่นางองค์นี้เห็นจะเป็นชายาที่ดีต่อสามี แท้จริงการวางยาพิษนี้นางเพียรจะเอาชีวิตข้าพเจ้า มิใช่ชีวิตพระองค์ จะว่านางประทุษฐร้ายต่อพระองค์ไม่ได้ พระองค์เสด็จออกมาครั้งนี้นางกำหนดให้เสด็จกลับเมื่อไร”

พระยุพราชตรัสว่า “เมื่อข้าสิ้นห่วงท่านแล้วให้กลับเข้าไป”

พุทธิศริระกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นนางคอยท่าเสด็จกลับพรุ่งนี้กลางคืน เพราะจะเสด็จกลับเข้าวังก่อนนั้นไม่ได้ ข้าพเจ้าจะขอทูลลาไปเข้าที่นอน เพื่อจะได้ตรึกตรองหาทางที่จะทำการให้สำเร็จประสงค์” พุทธิศริระทูลดังนั้นแล้วพระราชบุตรก็เข้าที่บรรทม พุทธิศริระก็ไปนอน

กลางคืนวันรุ่งขึ้น ครั้นถึงเวลาเช้าพระวัชรมุกุฏก็เสด็จเข้าวัง พุทธิศริระไปส่งเสด็จตามทางทูลว่า “ความประสงค์ของเราคือจะพาตัวพระราชกุมารีไป พระองค์จงรับตรีศูล (คือ สามง่าม) นี้ซ่อนไปในพระองค์และเมื่อพบนางจงสำแดงเสนหาให้มาก อย่าตรัสเล่าถึงการที่เป็นไปเมื่อคืนนี้ นางคอยฟังไม่เห็นตรัสว่ากระไรก็คงจะถามถึงข้าพเจ้า พระองค์จงตรัสบอกนางว่าข้าพเจ้ากำลังไม่สบาย ยังไม่ได้กินขนมที่นางประทานออกมา ข้าพเจ้าเก็บขนมนั้นไว้ว่าจะกินคืนวันนี้ ในกลางคืนเมื่อนางบรรทมหลับพระองค์จงลอบถอดเครื่องเพ็ชร์พลอยที่ประดับองค์นาง แล้วเอาตรีศูลนี้แทงที่ชงฆ์ซ้ายแห่งนาง แล้วรีบเสด็จหนีออกมาหาข้าพเจ้า ถ้านางบรรทมยังไม่หลับจงประทานผงนี้ให้นางดม เมื่อดมผงนี้แล้วอย่าว่าแต่คน ถึงช้างก็จะหลับเหมือนตายไปจนรุ่งสว่าง แม้นแทงด้วยตรีศูลก็ไม่ตื่น ส่วนพระองค์เองนั้นอย่าลองดมยานี้เป็นอันขาด”

พระวัชรมุกุฏทรงรับยาจากพุทธิศริระแล้วก็ทรงเล็ดลอดเข้าไปในวังในเวลาซึ่งนายประตูนั่งหลับตามเคย ครั้นถึงตำหนักนางพบนางนั่งคอยท่าอยู่ สององค์ก็สำแดงยินดีต่อกันตามเยี่ยงอย่างหญิงชาย ฝ่ายนางปัทมาวดีแลดูพระเนตรแลสังเกตกิริยาพระสามีเห็นยิ้มแย้มแจ่มใสดี นางก็หลอกผู้ซึ่งหญิงฉลาดชอบหลอก (คือตัวเอง) ว่าอุบายที่คิดไปนั้นสำเร็จประสงค์ พระสามีไม่รู้กล และตั้งแต่บัดนี้นับว่าไม่มีใครอื่นซึ่งพระสามีจะห่วงถึงต่อไป นางทรงนึกรื่นรมย์ในหฤทัยเช่นนี้จนบรรทมหลับไป

ฝ่ายพระวัชรมุกุฏครั้นนางหลับแล้วเกรงจะหลับยังไม่สนิทก็เอายาให้ดม แล้วถอดเครื่องเพ็ชร์พลอยซึ่งประดับองค์นางจนหมด เอาตรีศูลแทงที่ชงฆ์ซ้ายแล้วรีบพาเครื่องประดับหนีออกจากวังไปหาพุทธิศริระ พุทธิศริระตรวจดูของเหล่านั้นแล้วก็ฉวยย่ามห้อยบ่า เชิญให้ราชบุตรทรงดำเนินตามไปจนถึงป่าช้าแห่งหนึ่ง พุทธิศริระกับพระราชบุตรก็เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย พุทุธิศริระเองแต่งเป็นโยคี พระราชบุตรแต่งเป็นศิษย์ แล้วซ่อนเสื้อผ้าซึ่งผลัดออกนั้นสำเร็จแล้ว พุทธิศริระผู้เป็นครูจึ่งกล่าวแก่พระราชกุมารผู้เป็นศิษย์ว่า “ท่านจงไปในตลาดแลเที่ยวบอกขายเครื่องเพ็ชร์พลอยเหล่านี้ สำแดงของให้คนเห็นมากๆด้วยกัน แลถ้าใครจับกุม ท่านจงพาตัวมาหาข้าพเจ้า”

ครั้นรุ่งเช้าพระวัชรมุกุฏก็พาเครื่องประดับอันมีราคาเป็นอันมากนั้นไปเที่ยวบอกขายในตลาด ครั้นไปถึงร้านช่างทองร้านหนึ่งยื่นของให้ดูแลบอกขายทั้งถามราคาแห่งของเหล่านั้นด้วย ช่างทองนั้นเป็นคนที่ค้าขายโดยสุจริตต่อเมื่อจำเป็นจะสุจริต ครั้นเห็นคนหนุ่มไม่รู้จักราคาของนำเอาของราคามากไปบอกขายเช่นนั้น ก็กล่าวว่าเป็นของเลวแลจะรับซื้อเป็นราคาเพียงหนึ่งในพันแห่งราคาจริง ราคาที่ช่างทองจะรับซื้อนี้พระวัชรมุกุฏไม่ยอมขาย เพราะต้องการจะเที่ยวอวดของเหล่านั้นต่อไปอีก ครั้นจะสด็จออกจากร้านช่างทองก็เข้ากั้นประตูไว้ แล้วกล่าวว่าถ้าไม่ยอมขายจะเรียกตำรวจมาจับ เพราะของเหล่านั้นช่างทองถูกขะโมยไปเมื่อ ๒ - ๓ วันนั่นเอง ฝ่ายพระราชกุมารเมื่อช่างทองกล่าวขู่ดังนั้นก็ไม่ทรงหวาดหวั่น กลับทรงพระสรวล ช่างทองลังเลในใจไม่กล้าเรียกตำรวจมาจริงๆ เพราะทราบว่าถ้าเรียกตำรวจมาสิ่งของเหล่านั้นจะเป็นลาภแก่ตำรวจยิ่งกว่าเป็นลาภแก่ช่างทองหลายร้อยเท่า ช่างทองกำลังตรึกตรองยังไม่แน่ใจว่าทำอย่างไรจะดี พอมีคนอีกคนหนึ่งเข้ามาในร้าน คนที่มาใหม่นั้นเป็นช่างทองหลวง ครั้นเห็นเครื่องประดับเข้าก็จำได้แลกล่าวว่า “เครื่องประดับเพ็ชร์พลอยเหล่านี้เป็นของพระราชธิดา ข้าพเจ้าจำได้ถนัดเพราะได้เป็นผู้ทำเมื่อ ๒ - ๓ เดือนนี้เอง (พูดเท่านั้นแล้วช่างทองหลวงหันไปถามพระราชกุมารว่า) “เจ้าจงบอกแต่ตามจริงว่าเจ้าได้ของเหล่านี้มาแต่ไหน”

ในเวลาที่ไต่ถามกันอยู่เช่นนี้มีคนมายืนมุงดูเป็นอันมาก จนข่าวทราบไปถึงผู้บังคับการตำรวจ ผู้บังคับการตำรวจจึ่งให้ตามตัวพระราชกุมารแลช่างทองทั้งสองคนไปไต่สวน ครั้นไปถึงพร้อมกันแลตรวจของกลางแล้ว ผู้บังคับการตำรวจก็ถามพระราชกุมารว่า “เจ้าได้ของเหล่านี้มาแต่ไหนจงให้การไปแต่ความจริง”

พระวัชรมุกุฏแสร้งทำเป็นกลัว ตรัสตอบว่า “ครูของข้าพเจ้ามอบของเหล่านี้ให้ข้าพเจ้าไปเที่ยวขาย ในเวลานี้ครูของข้าพเจ้ากระทำการบูชาอยู่ที่ป่าช้านอกเมือง จะได้ของเหล่านี้มาจากไหนข้าพเจ้าหาทราบไม่ ข้าพเจ้าเป็นผู้ไม่มีความผิดท่านจงปล่อยตัวข้าพเจ้าไปเถิด”

ผู้บังคับการตำรวจได้ยินดังนั้นก็ให้ไปตามพุทธิศริระมาจากป่าช้า แล้วพาคนทั้งสองแลของกลางเข้าไปเฝ้าท้าวทันตวัต ทูลความให้ทรงทราบทุกประการ

ท้าวทันตวัตทรงฟังเรื่องตลอดแล้วก็ตรัสถามพุทธิศริระว่า ได้ของเหล่านั้นมาแต่ไหน พุทธิศริระได้ยินรับสั่งถามก็คลี่หนังโครำออกปูเป็นอาสนะ แล้วนั่งลงชักประคำท่องมนต์อยู่เกือบชั่วโมงหนึ่งจึ่งทูลตอบว่า “ข้าพเจ้ากล่าวคำสัตย์ด้วยมีพระมหาเทพเป็นพะยานว่าของเหล่านี้เป็นสมบัติของข้าพเจ้า คือเมื่อวันแรมสิบสี่ค่ำกลางคืน ข้าพเจ้าไปที่ป่าช้าเผาศพเพื่อจะสวดมนต์เรียกแม่มด ข้าพเจ้าสวดเรียกอยู่ช้านานจึ่งเรียกมาได้ ครั้นแม่มดมาแล้วก็ทำกิริยากำเริบอุกอาจ ข้าพเจ้าจึ่งต้องลงโทษแทงด้วยตรีศูลอันนี้ถูกตรงขาซ้ายถึงกระนั้นแล้วยังดื้อดึงอยู่อีก ข้าพเจ้าจึ่งปลดเอาของเหล่านี้ออกไว้เสียแล้วไล่ให้ไปตามใจ แต่เช่นนั้นแล้วยังทำกิริยากำเริบอยู่อีกช้านาน ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นแม่มดที่ดื้อดึงเช่นนั้นเลย ของเหล่านี้ข้าพเจ้าได้มาจากแม่มดนั้นโดยประการที่ทูลมาเช่นนี้” ท้าวทันตวัตได้ทรงฟังดังนั้นก็ทรงเฉลียวใจขึ้นมา จึ่งตรัสให้โยคีคอยอยู่ที่ท้องพระโรง แล้วเสด็จขึ้นข้างในพบพระราชมารดาก็ทูลว่า “พระแม่จงเสด็จไปยังที่อยู่แห่งนางปัทมาวดี พระราชธิดาของข้าพเจ้า แลตรวจดูชงค์ซ้ายแห่งนางว่ามีรอยอันใดบ้าง แลเป็นรอยชะนิดไหน ข้าพเจ้าจะคอยฟังอยู่ที่นี่”

พระราชมารดาเสด็จไปสักครู่หนึ่งก็เสด็จกลับมาตรัสแก่ท้าวทันตวัตผู้พระราชบุตรว่า “แม่ได้ไปถึงห้องนางปัทมาวดีแล้ว นางนอนอยู่ในที่บรรทม มีแผลสามรอยอยู่ที่ชงฆ์ซ้าย มีอาการเหมือนหนึ่งเจ็บปวดมาก แม่ถามว่าได้แผลนั้นมาอย่างไร นางตอบว่าตะปูตำแต่แม่ไม่เคยเห็นตะปูสามแหลมเช่นนี้ นางคงจะได้ทุกข์มากเพราะแผลนั้น แม่จะรีบกลับไปดูแลรักษา มิฉะนั้นอาจเป็นเหตุให้เกิดความเศร้าโศกในวงศ์ญาติ” พระราชมารดาตรัสดังนั้นแล้วก็เสด็จกลับไปยังที่อยู่แห่งพระราชธิดา

ฝ่ายท้าวทันตวัตได้ทรงฟังดังนั้นก็อ้ำอึ้งในพระหฤทัย ทรงคิดว่า “การในเรือนหนึ่ง ความคิดในใจหนึ่ง ความเสียหายหนึ่ง ไม่ควรจะบอกให้ใครทราบ เมื่อนางปัทมาวดีเป็นแม่มดเช่นนี้นางก็มิใช่บุตรีของเรา จำเราจะไปหารือโยคีดู” ตรัสเท่านั้นแล้วก็เสด็จออกไปที่ท้องพระโรง ตรัสให้ศิษย์ของโยคีถอยห่างออกไปแล้วตรัสถามโยคีว่า “ท่านผู้ทรงความรู้จงบอกแก่ข้าว่าหญิงที่เป็นแม่มดนั้น ธรรมศาสตร์บัญญัติให้ลงโทษอย่างไร”

พุทธิศริระผู้เป็นโยคีทูลว่า “ข้าแต่พระมหาราชา ธรรมศาสตร์กล่าวว่า ถ้าพราหมณ์หรืองัวหรือหญิงหรือเด็ก หรือผู้ที่อยู่ในปกครองของเรากระทำความผิดอันนั้น ท่านให้ลงโทษไล่เสียจากบ้านเมือง ถึงแม้จะควรอย่างยิ่งที่จะลงโทษประหารชีวิต ก็ลงโทษถึงปานนั้นไม่ได้ เพราะพระลักษมีไม่โปรด”

พระราชาได้ทรงฟังดังนั้นก็ประทานรางวัลแก่โยคีเป็นอันมากแล้วเสด็จขึ้นจากท้องพระโรง ครั้นเวลาเที่ยงคืนก็ตรัสให้ราชบุรุษซึ่งเป็นที่ไว้พระหฤทัยจับนางปัทมาวดีคุมตัวออกไปนอกเมือง แลปล่อยทิ้งไว้กลางป่าซึ่งมากด้วยภูตผีปีศาจแลสิงห์เสือสัตว์ร้ายทั้งปวง

ฝ่ายพุทธิศริระกับพระราชกุมารออกจากที่เฝ้าก็รีบกลับไปป่าช้า ผลัดเครื่องแต่งกายตามเดิมแล้วก็กลับไปเรือนหญิงนางนมให้รางวัลแก่หญิงนั้นมากมายจนแกนั่งร้องไห้ด้วยความยินดี แล้วชายทั้งสองก็ขึ้นม้าออกตามพวกราชบุรุษที่พานางไปปล่อย ครั้นพบนางกลางป่าก็ชวนไปกรุงพาราณสี เราท่านไม่ต้องสงสัยว่าเมื่อการเป็นเช่นนั้นนางจะยอมเที่ยวเตร็ดเตร่อยู่องค์เดียวในป่า หรือจะยอมไปกับพระราชกุมาร

เวตาลเล่ามาถึงเพียงนี้ก็ทูลพระวิกรมาทิตย์ว่า “พระองค์ทรงนิ่งฟังมาช้านานยังมิได้ตรัสอะไรเลย ที่ทรงนิ่งฟังเช่นนี้ก็คงจะเป็นด้วยเพลินเรื่องที่ข้าพเจ้าเล่าแต่เมื่อข้าพเจ้าเล่ามาจบแล้วเช่นนี้ ถ้าพระองค์ไม่อธิบายปัญหาที่ข้าพเจ้าจะถามเดี๋ยวนี้ พระองค์คงจะตกนรกเป็นแน่ปัญหาของข้าพเจ้านั้นคือว่า ชายหนุ่มหนึ่ง สหายของชายหนุ่มหนึ่ง หญิงสาวหนึ่ง บิดาของหญิงสาวหนึ่ง ทั้งสี่นี้ควรจะติโทษใครมากที่สุด”

พระวิกรมาทิตย์ทรงนิ่งตรึกตรองยังมิได้ตรัสประการใด เวตาลทูลเตือนว่า “พระองค์จนปัญญาแล้วหรือ”

พระวิกรมาทิตย์ตรัสว่า “ท้าวทันตวัตเป็นผู้ที่ควรได้รับความติเตียนมากกว่าคนอื่น”

เวตาลทูลถามว่าเพราะเหตุไร

พระวิกรมาทิตย์ตรัสว่า “พระวัชรมุกุฏนั้นอยู่ในเวลาที่ลุ่มหลงหญิง เหตุฉะนั้นเสมอกับคนบ้าจะให้รับผิดชอบความประพฤติของตนเองนั้นไม่ได้ พุทธิศริระเป็นข้ารับใช้เจ้า เมื่อทำการให้สำเร็จประสงค์เจ้าแล้วก็นับว่ากระทำการดีโดยหน้าที่ ส่วนนางปัทมาวดีนั้นนางเป็นหญิงสาว เพราะฉะนั้นอาจฆ่าคนได้อยู่เสมอ ไม่นับว่าทำอะไรแปลกประหลาด แต่ท้าวทันตวัตนั้นเป็นเจ้าครองแผ่นดิน ชนมายุไม่น้อยควรจะรอบรู้การงานทั้งปวง ไม่ควรจะหลงเชื่ออุบายที่ตื้นๆ ยังมิทันได้ตรึกตรองให้ละเอียดก็ให้นำพระราชธิดาไปปล่อยกลางป่าเช่นนี้ ควรติเตียนเป็นอันมาก”

เวตาลได้ยินรับสั่งก็หัวเราะด้วยเสียงอันดัง กล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะกลับไปต้นอะโศกเดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าเกิดมายังไม่เคยได้ยินพระราชาติเตียนพระราชาง่ายดายถึงเพียงนี้” เวตาลพูดเท่านั้นแล้วก็ออกจากย่าม หัวเราะก้องฟ้าลอยกลับไปเกาะห้อยหัวอยู่ยังต้นอะโศกตามเดิม.

จบนิทานเวตาลเรื่องที่ ๑

----------------------------

  1. ๑. อนงค์ แปลว่าไม่มีตัว เป็นชื่อกามเทพ เมื่อหญิงกับชายรักกัน กล่าวว่าเพราะกามเทพแผลงศรถูกหัวใจ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ