นิทานเวตาลเรื่องที่ ๗
เวตาลกล่าวว่า ยังมีเมืองชื่อกุสมาวดีพระราชาคือท้าวสุพิจาร มีพระราชธิดาทรงนามนางจันทร์ประภา เป็นนางงามยิ่งหญิงทั้งหลาย แลทรงชนมายุควรแก่การวิวาหะ วันหนึ่งในวสันตฤดู พระราชธิดาแวดล้อมด้วยบริวารเสด็จเที่ยวชมพระราชอุทยาน ฤดูนั้นเป็นฤดูไม้เปลี่ยนใบแลผลิดอกงามไปทั้งสวน พระราชธิดาทรงเพลิดเพลินชมพรรณไม้ แลสนุกในการเย้าหยอกในหมู่นางที่ตามเสด็จ บ้างก็เก็บดอกไม้ไล่ซัดกันเป็นพวกๆ บ้างก็วิ่งแข่งกันตามทางอันราบรื่น บ้างก็ปีนต้นไม้เก็บดอกแลผล บางพวกก็เพียรจับเพื่อนกันผลักลงสระ เป็นเวลาที่รื่นรมย์ทั้งพวก ส่วนพระราชธิดานั้นทรงสนุกในการเล่นของนางทั้งหลาย และเข้าทรงช่วยเก็บดอกไม้ซัดแลผลักคนลงสระมากกว่าคนอื่นกล้าทำ เพราะนางเป็นราชกุมารีไม่มีใครซัดดอกไม้ตอบหรือผลักลงสระได้
ในวันก่อนเจ้าหน้าที่เที่ยวไล่คนให้ออกไปพ้นราชอุทยานเพราะข้างในจะเสด็จออกนั้น เพอิญมีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อมนัสวีเป็นบุตรพราหมณ์ แลเป็นผู้มีรูปร่างงดงามนัก เที่ยวเล่นในสวนแลมานอนหลับอยู่ในที่กำบังใต้ร่มไม้ เจ้าหน้าที่ไม่ทันเห็นจึ่งมิได้ปลุกให้ตื่นแลไล่ไปให้พ้นก่อนที่พระราชธิดาเสด็จออกชมราชอุทยาน แม้ในเวลาที่นางจันทร์ประภาแลบริวารมาเล่นอยู่แล้วนั้น มนัสวีพราหมณ์หนุ่มก็ยังหลับเป็นสุขอยู่
ฝ่ายนางจันทร์ประภาพระราชธิดาทรงวิ่งแลขว้างดอกไม้จนเหนื่อยแล้วก็หยุดเล่น เสด็จทรงดำเนินไปองค์เดียวห่างนางตามเสด็จทั้งหลาย โดยหวังจะเสด็จไปพักที่ตำหนักในสวน ขณะนั้นมนัสวีนอนอยู่ใกล้ทางดำเนิรแลได้นอนหลับมานานจนใกล้จะตื่นอยู่แล้ว ครั้นได้ยินเสียงนางทรงดำเนินร้องเพลงผ่านไปใกล้ๆ มนัสวีก็ตื่นแลลุกขึ้นนั่ง ตาสบพระเนตรพระราชธิดาต่างก็เกิดเสนหาขึ้นในทันใด
พระวิกรมาทิตย์ตรัสแก่เวตาลว่า “ไม่จริง หญิงกับชายจะรักกันในนาฑีแรกที่สบตากันนั้นไม่มีในโลก ข้าไม่เชื่อเลยว่าพระกามเทพจะทรงทำอย่างที่เองว่า”
พระราชาตรัสเช่นนี้เพราะข้อที่ไม่ทรงเชื่อนั้นได้เกิดแก่พระองค์เองหลายครั้งแล้ว แลไม่เป็นผลที่ดีเลยจนครั้งเดียว
เวตาลตอบว่า “เสนหาที่เกิดในทันทีที่หญิงกับชายได้เห็นกันเป็นครั้งแรกนั้น เป็นของที่มีแน่นอน จะปฏิเสธเสียอย่างไรได้”
พระวิกรมาทิตย์ตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้นเองจะอ้างหลักฐานได้ดอกกระมัง”
เวตาลตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องอ้างหลักฐาน เพราะมนุษย์ชายหญิงย่อมเป็นอย่างนั้นอยู่มากด้วยกันแล้ว ความโง่ของมนุษย์ทั้งหลายรวมทั้งพระราชา.…………...”
พระวิกรมาทิตย์ตรัสว่า “เองจะเล่านิทานก็เล่าไป หรือไม่เล่าก็นิ่งเสีย”
เวตาลเล่าต่อไปว่า
เมื่อพระราชธิดาแลมนัสวีพราหมณ์หนุ่มได้พบตากันเป็นครั้งแรกดังนั้นก็มีผลที่แปลกที่สุด คือ มนัสวีทนความรักรุมรึงในใจที่เกิดในทันทีไม่ได้ก็ล้มลงสลบไปกับที่ ฝ่ายพระราชธิดาทรงเห็นดังนั้น พระชงฆ์ก็อ่อนแลพระกายก็สั่น ทรงล้มสลบไปเหมือนกัน มิช้าพวกสาวใช้ตามไปพบพระราชบุตรีเป็นดังนั้น ก็ตกใจช่วยกันเชิญพระองค์ไปทรงวอกลับคืนเข้าพระราชวัง
ฝ่ายมนัสวีสลบแน่นิ่งไม่รู้สึกตัวอยู่ช้านาน จนมีพราหมณ์ผู้มีวิชา ๒ คน ชื่อศศีคนหนึ่ง มูลเทวะคนหนึ่ง เดินเข้าไปในสวนหลวงพบพราหมณ์หนุ่มนอนสลบอยู่ พราหมณ์มูลเทวะจึ่งกล่าวแก่เพื่อนว่า “ชายหนุ่มมานอนสลบอยู่กับพื้นดินเช่นนี้เพราะเหตุใด”
พราหมณ์ศศีกล่าวว่า “คงจะเป็นด้วยมีนางงามยิงศรคือตาจากธนูคือคิ้ว ถูกชายหนุ่มคนนี้ล้มลงสลบไป”
พราหมณ์มูลเทวะกล่าวว่า “เราควรจะแก้ให้ฟื้นขึ้น”
พราหมณ์ศศีถามว่า “ประโยชน์อะไร”
พราหมณ์มูลเทวะไม่ฟังเพื่อนทัดทาน วิ่งไปที่สระน้ำเอาปลายผ้าชุบน้ำมาบีบรดพราหมณ์หนุ่มแลเช็ดหน้าให้ แล้วพยุงตัวให้นั่งขึ้นสักครู่หนึ่งพราหมณ์หนุ่มได้สติคืนมา พราหมณ์ทั้ง ๒ สังเกตเห็นได้ว่าเป็นโรคใจยิ่งกว่าโรคกาย จึ่งถามว่าเหตุใดจึ่งมานอนสลบอยู่ในราชอุทยาน
มนัสวีกล่าวว่า “บุรุษพึงเล่าความทุกข์ให้ฟังแต่เฉภาะผู้ที่จะช่วยทุกข์ได้ การกล่าวทุกข์ให้ผู้ซึ่งเมื่อได้ฟังแล้วช่วยระงับทุกข์ไม่ได้นั้นหาประโยชน์มิได้ ผู้มีทุกข์ไม่ได้ดีอะไรจากคำกล่าวว่าสงสารหรือวาจาเช่นกัน”
พราหมณ์ทั้งสองได้ฟังมนัสวีกล่าวดังนั้น ก็พูดจาประเล้าประโลมเอาใจจนเห็นว่ากรุณาจริง มนัสวีจึ่งเล่าว่า “พระราชธิดาเสด็จมาในสวนนี้เมื่อตอนบ่ายวันนี้ ข้าพเจ้าได้เห็นนางก็เกิดความรักรุมรึงขึ้นในใจทันทีมิอาจทรงกายอยู่ได้ ก็ล้มสลบลงอยู่อย่างที่ท่านมาพบนั้น ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้นางผู้เป็นพระราชธิดา ข้าพเจ้าก็คงตาย ถ้าได้จึ่งจะคงชีวิตต่อไปได้”
พราหมณ์มูลเทวะกล่าวว่า “เจ้าจงมากับเราเถิด ข้าจะพยายามด้วยอุบายที่ข้าสามารถจะทำได้ทุกประการให้เจ้าได้นางดังประสงค์ แลถ้าข้าทำไม่สำเร็จ ข้าสัญญาจะให้เจ้าเป็นผู้มีทรัพย์มากมายไม่ต้องพึ่งใครในโลกนี้ต่อไป”
มนัสวีกล่าวว่า “พระภัควานได้ทรงสร้างมณีขึ้นในโลกนี้เป็นอันมาก โดยพระประสงค์จะให้ทรงอุปการะเหล่าชน แต่มุกดาคือสัตรีนั้นเลิศยิ่งมณีทั้งหลาย บุรุษมีความใคร่ทรัพย์ก็เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่สัตรี แลชายที่สละภริยาเสียแล้ว แม้จะมีสมบัติก็ใช้อะไรไม่ได้ ชายที่ไม่มีเมียสวยนั้นดีกว่าติรัจฉานที่ตรงไหน จะต่ำช้าไปกว่าสัตว์เลวซามเสียอีก ทรัพย์นั้นเป็นผลของความอยู่ในธรรม ความสุขเป็นผลของความมีทรัพย์ แลภริยาเป็นผลแห่งความมีสุข ชายไม่มีเมียจะมีความสุขอย่างไรได้”
มนัสวีพูดเพ้อพล่ำไปในทำนองนี้ช้านาน เพราะความหลงรัก เราท่านฟังดูก็น่าจะเห็นแปลก แต่อาจเป็นอาการธรรมดาของโรครักก็เป็นได้
พราหมณ์มูลเทวะกล่าวว่า “สิ่งใดซึ่งเจ้าประสงค์ สิ่งนั้นข้าจะทำให้สำเร็จได้ด้วยความกรุณาของพระภัควาน”
มนัสวีกล่าวว่า “ข้าแต่ท่านผู้เป็นบัณฑิตขอท่านจงโปรดให้ข้าพเจ้าได้นางสมประสงค์เถิด”
พราหมณ์มูลเทวะรับสัญญาจะจัดการให้สมหมาย แล้วพามนัสวีกลับไปบ้านของมูลเทวะ เมื่อไปถึงบ้านแล้วก็รับรองเป็นอันดี เชิญให้นั่งในที่อันควรแล้วมูลเทวะก็ไปหยิบลูกอมมาสองลูก แล้วอธิบายใช้ที่แห่งลูกอมนั้นให้มนัสวีฟังว่า
“ในเรือนของเรานี้มีวิชาลับซึ่งได้ส่งต่อเป็นมรดกกันมาหลายชั่วคน แลข้าใช้วิชานี้กระทำประโยชน์ให้เกิดแก่มนุษย์ แต่การใช้ความรู้ของข้านี้จะสำเร็จประโยชน์ได้ก็ต่อเมื่อผู้ซึ่งมาขอให้ช่วยนั้นมีใจบริสุทธิ์แลตั้งใจจริงที่จะรับประโยชน์ ลูกอมลูกนี้ถ้าเจ้าอมเข้าในปาก เจ้าจะกลายเป็นหญิงอายุ ๑๒ ปี ถ้าเอาออกจากปากจึ่งจะคืนรูปเดิม ถ้าข้าให้ลูกอมนี้แก่เจ้า เจ้าต้องตั้งใจแน่นอนว่า จะเอาไปใช้แต่ในทางที่ดี มิฉนั้นจะเกิดเหตุ เป็นทุกข์แก่เจ้าอย่างใหญ่ เหตุฉนั้นเจ้าจงตรึกตรองในใจให้ดีเสียก่อนจึ่งรับลูกอมนี้ไปใช้ ถ้าไม่แน่ใจก็อย่ารับไปเลย”
เวตาลเล่าต่อไปว่า เมื่อพราหมณ์มูลเทวะกล่าวเช่นนี้ ชายหนุ่มซึ่งกำลังรักหญิงอย่างรุนแรงย่อมจะนึกแน่ในใจแลกล่าวรับรองทันทีว่าตนเป็นผู้ที่ใจบริสุทธิ์แลตั้งใจจริงที่สุดในโลก แลมนัสวีก็ได้กล่าวยืนยันเช่นนั้นในทันที มูลเทวะจึ่งส่งลูกอมให้ลูกหนึ่ง ให้มนัสวีอมไว้ในปาก แต่กำชับให้ระวังมิให้กลืนล่วงลำคอเข้าไปเป็นอันขาด ส่วนลูกอมอีกลูกหนึ่งนั้นมูลเทวะอมเอง คนทั้งสองก็มีรูปเปลี่ยนไป มนัสวีเป็นหญิงสาวสวย มูลเทวะเป็นพราหมณ์แก่อายุไม่ต่ำกว่า ๘๐ ปี เมื่อแปลงตัวดังนี้แล้ว คนทั้งสองก็เดินไปสู่พระราชวัง เข้าเฝ้าท้าวสุพิจารพระราชา ตรงเข้าไปยังที่เสด็จออกโดยที่มิต้องมีผู้ทูลเบิก เพราะพราหมณ์ผู้ใหญ่มีเกียรติจะทำเช่นนั้นได้ ฝ่ายพระราชาเมื่อทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์ผู้มีอายุมากเข้าไปในท้องพระโรง ก็เสด็จลุกขึ้นต้อนรับเป็นอันดี เชื้อเชิญให้พราหมณ์แลนางซึ่งปรากฏเหมือนหนึ่งลูกสาวนั่งในที่อันควร พราหมณ์มูลเทวะก็ท่องมนต์แลถวายพระพรพระราชาว่า
“พระผู้เป็นเจ้าองค์ใดเมื่อทรงรูปเป็นคนค่อม ได้ล่อลวงท้าวพลีผู้เป็นราชาทรงศักดิใหญ่ เมื่อเป็นนักรบผู้แกล้วกล้าได้นำทัพลิงจองถนนข้ามสมุท เมื่อเป็นโคบาลได้ยกเขาโควรรธน์ชูไว้ในฝ่าพระหัตถ์เป็นเครื่องป้องกันคนเลี้ยงโคทั้งชายแลหญิงให้พ้นภัย คือสายฟ้าอันมาแต่สวรรค์ ขอพระผู้เป็นเจ้าองค์นั้นจงคุ้มครองพระองค์ผู้เป็นพระราชา ให้ทรงสวัสดิ์มีสุขทุกทิวาราตรี”
ท้าวสุพิจารทรงฟังเพลินจนพราหมณ์หยุดพูดแล้วจึ่งรับสั่งถามว่า “ท่านผู้เป็นอาจารย์มาจากสำนักใด”
มูลเทวะทูลว่า “เมืองของข้าพเจ้าอยู่ฟากเหนือแห่งแม่น้ำพระคงคา ข้าพเจ้าได้เที่ยวไปจากบ้านถึงประเทศที่ไกล แลได้พบนางคนนี้สมควรเป็นภริยาแห่งบุตรข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึ่งพานางกลับบ้าน แต่ในเวลาที่ข้าพเจ้าไม่อยู่นั้นข้าวปลาอาหารไม่พอคนกิน คนในละแวกบ้านของข้าพเจ้าอดอาหาร จะอยู่ไปในที่นั้นไม่ได้ ภริยาแลบุตรของข้าพเจ้าก็อพยพไปอยู่ที่อื่น ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าที่ไหน แต่ข้าพเจ้ามีนางรุ่นสาวคนนี้เป็นเครื่องห่วงอยู่ จะออกเที่ยวตามบุตรแลภริยาก็ไม่ได้ แต่ข้าพเจ้าได้ยินชนเลื่องลือเกียรติพระองค์ผู้ทรงธรรม มีพระหฤทัยประกอบด้วยกรุณา ข้าพเจ้าจึ่งกล่าวแก่ตัวเองว่าจะพานางมาถวายฝากไว้ เพื่อได้ทรงดูแลมิให้ภัยต่างๆ มีมาถึงนางจนกว่าข้าพเจ้าจะกลับ ขอพระองค์จงโปรดรับนางไว้ตามปรารถนาของข้าพเจ้าเถิด”
ท้าวสุพิจารได้ทรงฟังดังนั้นก็ทรงนั่งนิ่งตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง เพราะคำที่พราหมณ์กล่าวนั้นแม้เป็นการยกยอถูกต้องตามพระราชหฤทัยก็จริง แต่ทรงเห็นภัยมีอยู่ทั้งสองทาง ทางหนึ่งถ้าทรงรับตามปรารถนาแห่งพราหมณ์ ก็คือรับฝากนางสาวซึ่งรูปแลเค้าหน้างดงาม พูดจาสำเนียงไพเราะ แลทั้งมีตากระเดียดจะเป็นนักเลงอยู่ด้วย การรับฝากนางชะนิดนี้ไว้ในเรือนนั้นเป็นภัยอยู่ในตัวไม่ต้องอธิบาย แต่ถ้าไม่รับฝากก็มีภัยอีกทางหนึ่ง คือจะถูกพราหมณ์สาปให้พระองค์แลบ้านเมืองย่อยยับไปด้วยอำนาจความโกรธของพราหมณ์ พระราชาทรงเทียบภัยทั้ง ๒ ข้าง เห็นว่าภัยข้างถูกสาปนั้นหนักกว่า จึ่งรับสั่งแก่พราหมณ์ว่า “ข้าแต่ท่านผู้เกิดจากเศียรแห่งพระพรหม ข้าพเจ้าจะรับฝากนางรุ่นสาวนี้ไว้ตามปรารถนาของท่าน”
พราหมณ์มูลเทวะได้ฟังดังนั้นก็ถวายพระพรพระราชาด้วยถ้อยคำอันดีแล้วรับพระราชทานพลูแลออกจากที่เฝ้าไป๑
ครั้นพราหมณ์แก่ออกจากที่เฝ้าไปแล้ว พระราชารับสั่งเรียกนางจันทร์ประภาพระราชบุตรีเข้ามาเฝ้า ตรัสว่า “นางนี้เป็นคู่มั่นกับพราหมณ์หนุ่มคนหนึ่งแลพราหมณ์แก่ผู้เป็นพ่อผัวพามาฝากให้บิดาคุ้มครองรักษาไว้จนถึงเวลาที่พราหมณ์จะกลับมารับ เจ้าจงพานางเข้าไปข้างในให้อยู่ด้วยกันกับเจ้า เจ้าจงเอาใจใส่ดูแลด้วยดี ไม่ให้ไปพ้นจากตัวเจ้าทั้งกลางวันแลกลางคืน ทั้งเวลาหลับ เวลาตื่นแลเวลากิน ทั้งเมื่ออยู่ในแลไปนอกพระราชวัง”
นางจันทร์ประภาพระราชธิดาได้ฟังรับสั่งดังนั้น ก็พานางผู้เป็นสะใภ้พราหมณ์ไปยังตำหนักแห่งนาง ตำหนักนั้นเดิมเป็นที่สำราญแลที่สนุก แต่บัดนี้เป็นที่ซึ่งมีอาการเหี่ยวแห้งทำให้เกิดหงอยเหงาในใจ หน้าต่างก็ชักม่านให้มืด แลสาวใช้ที่เดินไปมาก็ระวังฝีเท้ามิให้ดัง ประหนึ่งว่าความเดินดังจะทำให้เกิดความปวดศีศะแก่ใครผู้อยู่ในตำหนักนั้น
ฝ่ายพระราชธิดาเมื่อพาสะใภ้พราหมณ์ไปถึงตำหนักแล้ว ก็ทรงเอาใจใส่เป็นอันดี แลตรัสกับนางมากกว่าที่เคยตรัสเป็นปกติในหมู่นั้น จะเป็นด้วยนางสะใภ้พราหมณ์เป็นคนมีตาเป็นนักเลง หรือจะเป็นด้วยพระราชธิดาทรงรู้สึกด้วยไม่มีเหตุอะไรที่จะทราบได้ว่าการจะเป็นไปดังซึ่งจะเป็นไปก็ตาม พระองค์ (พระวิกรมาทิตย์) ย่อมจะทรงทราบว่าอาจเป็นได้ด้วยเหตุทั้ง ๒ อย่าง แต่ข้อที่จะเป็นด้วยเหตุใดนั้นไม่สู้สำคัญนัก เพราะนางสะใภ้พราหมณ์สังเกตเห็นได้ว่าพระราชธิดามีความเศร้าหฤทัยปรากฏอยู่ที่พระลลาฏ ครั้นเมื่อเข้าที่บรรธมด้วยกันแล้ว นางผู้สะใภ้พราหมณ์จึ่งทูลถามว่า เพราะเหตุใดพระราชธิดาจึ่งมีทุกข์
นางจันทร์ประภาจึ่งตรัสเล่าเรื่องน่าสงสารให้นางสะใภ้พราหมณ์ฟังว่า
“วันหนึ่งในฤดูวสันต์ ข้ากับบริวารพากันไปเดินเล่นในอุทยาน ข้าได้พบพราหมณ์หนุ่มคนหนึ่งรูปร่างงดงามยิ่งนัก ครั้นตาเราทั้งสองสบกันเขาก็ล้มลงสลบไป แลข้าก็ล้มแน่นิ่งไปเหมือนกัน ฝ่ายนางทั้งหลายซึ่งเป็นบริวารของข้า เมื่อเห็นข้าเป็นดังนั้นก็พาข้าคืนเข้าพระราชวัง ทั้งที่ข้ายังไม่รู้สึกตัวเหตุดังนั้นข้าไม่รู้ว่าพราหมณ์หนุ่มนั้นชื่อไรบ้านอยู่ที่ไหน แต่ความงามของเขาพิมพ์ไว้ในความทรงจำของข้า แลข้าไม่มีปรารถนาจะดื่มแลกินเลย เหตุฉะนี้ผิวพรรณ์แห่งข้าจึ่งเผือดซีดแลกายซูบผอมไป”
พระราชธิดาตรัสดังนี้แล้วก็ทรงถอนใจใหญ่ มีสำเนียงซึ่งมนัสวีผู้แปลงเป็นสะใภ้พราหมณ์ได้ยินไพเราะที่สุด แลพระราชธิดาทรงพยากรณ์ตามซึ่งหญิงผู้อยู่ในความอั้นปัญญาในเรื่องรักมักจะพยากรณ์ว่าคงจะสิ้นพระชนม์ด้วยอาการฉับพลันในตอนต้นเดือนน่านั้นเอง
นางสะใภ้พราหมณ์ได้ฟังดังนั้นก็แสร้งก้มหน้าทูลถามด้วยกิริยาเอียงอายว่า “ถ้าข้าพเจ้าทำให้พราหมณ์หนุ่มผู้เป็นที่รักของนางเข้ามาเฝ้าได้ในบัดนี้ นางจะประทานอะไรแก่ข้าพเจ้าเป็นรางวัล”
พระราชธิดาตรัสตอบว่า “ข้าจะยอมเป็นทาสของนางรับใช้การอย่างต่ำที่สุด แลจะยืนพนมมือคอยปฏิบัตินางผู้มีคุณ”
นางสะใภ้พราหมณ์ได้ยินรับสั่งดังนั้น ก็คายลูกอมออกจากปากกลายเป็นมนัสวีพราหมณ์หนุ่มเข้าโลมพระราชธิดา นางจันทร์ประภาก็ทรงลอายหฤทัยยิ่งนัก ข้าพเจ้าจะเล่าถวายพิสดารว่า…….……..
พระวิกรมาทิตย์ตรัสตอบเวตาลว่า “เองไม่ต้องเล่าเรื่องตรงนั้นพิสดาร ข้าไม่อยากฟังของเอง”
เวตาลเล่าต่อไปว่า ฝ่ายมนัสวีพราหมณ์หนุ่มเมื่อได้เข้าถึงพระองค์พระราชธิดาสมปรารถนาดังนั้น ก็คำนึงถึงลักษณะแห่งวิวาหะทั้งแปดอย่าง คือ (๑) วิวาหะลักษณะพราหมณ์ คือ ยกลูกสาวให้แก่พราหมณ์ผู้รู้เวทโดยมิได้เรียกทรัพย์เป็นค่าตัวนาง (๒) วิวาหะโดยลักษณะเทวดา คือยกลูกสาวให้แก่พราหมณ์ผู้กระทำพิธีบูชายัญเป็นค่าจ้างในการกระทำพิธีนั้น (๓) วิวาหะโดยลักษณะฤษี คือยกลูกสาวให้แก่ชายซึ่งให้โคกระบือแก่บิดาหญิงคู่หนึ่งหรือสองคู่ (๔) วิวาหะโดยลักษณะประชาบดี คือเมื่อบิดาแห่งหญิงยกบุตรีให้แก่ชายแลกล่าวแก่คนทั้งสองว่า “เจ้าจงร่วมกันประพฤติธรรม” (๕) วิวาหะโดยลักษณะอสูร คือเมื่อชายได้ให้ทรัพย์แก่ญาติแห่งหญิงจนเต็มที่ซึ่งจะให้ได้แล้ว บิดาหญิงยกบุตรีให้เป็นภริยา (๖) วิวาหะโดยลักษณะรากษส คือชายแย่งหญิงได้ในการรบสู้กับผู้ปกครองของหญิง (๗) วิวาหะโดยลักษณะคนธรรพ์ คือเมื่อหญิงกับชายได้กันเองด้วยความเต็มใจทั้งสองฝ่าย (๘) วิวาหะโดยลักษณะปิศาจ คือชายลอบรักหญิงเมื่อเวลาหลับหรือเมาหรือสลบไม่มีสติ (มนูธรรมศาสตร์ ๓.๒๐ แลต่อไป)
มนัสวีคำนึงถึงลักษณะวิวาหะทั้งแปดนี้เห็นว่าลักษณะคนธรรพ์เป็นลักษณะที่เหมาะกว่าอย่างอื่น เพราะพระราชธิดาเป็นนางสูงศักดิ์มีพระชนมายุสมควรแก่การวิวาหะแล้ว แลมีอำนาจโดยธรรมเนียมที่จะร้องขอให้พระราชบิดาอำนวยการสยุมพร เมื่อพระราชธิดาได้เลือกพระสามีตามแบบอย่างซึ่งพระราม พระอรชุน พระนลเป็นต้น ได้พระราชธิดาแห่งกษัตริย์ทรงนามเลื่องลือมาเป็นชายา การที่มนัสวีพราหมณ์หนุ่มนึกเอาพระนามกษัตริย์ทรงมีเกียรติในโบราณกาลมาเข้าแถวกับตนเองเช่นนี้ ก็แสดงความกำเริบในใจมิใช่น้อย แต่ความฮึกเหิมเช่นนั้นเป็นอาการของผู้ที่กำลังจะได้ลูกสาวพระราชาเป็นภริยา
เมื่อมนัสวีได้พระราชธิดาสมประสงค์แล้วก็อยู่ภายในพระราชวังประมาณห้าเดือนเศษ เปลี่ยนแปลงกายเป็นชายแลหญิงทุกวันแลคืนจนทราบได้ว่าไม่ช้าก็จะได้เป็นพ่อ
เวตาลกล่าวต่อไปว่า ข้าพเจ้าก็รู้นิสสัยคนมากอยู่ แต่นิสสัยของมนัสวีนั้นแปลกกับนิสสัยคนอื่นในความรู้ของข้าพเจ้า คนอื่นๆเมื่อได้เปลี่ยนจากเพศชายเป็นเพศหญิง แลเปลี่ยนจากเพศหญิงเป็นเพศชายทุก ๒๔ ชั่วโมงแล้ว ก็คงจะเป็นความเปลี่ยนที่มากพอในวันหนึ่งๆ แต่มนัสวียังต้องการเปลี่ยนอิริยาให้ยิ่งกว่านั้นอีก ไม่พอใจในการที่ต้องแอบซ่อนอยู่ในตำหนักทุกวันแลคืน ต้องการจะเที่ยวเปลี่ยนที่ไปบ้าง จนถึงแก่กล่าวโทษพระราชธิดาว่าไม่พาออกเที่ยวเปลี่ยนอากาศ ส่วนพระราชธิดานั้นเราท่านน่าจะคิดเห็นว่า เมื่อได้ล้มสลบอยู่กับที่เพราะความเสนหาซึ่งเกิดในนาฑีแรกที่ได้พบชาย แลเมื่อฟื้นจากสลบแล้วยังได้บำเพ็ญพระองค์จะไปสู่ยมโลก เพราะรักยังไม่สำเร็จดังได้กล่าวมาแล้วเช่นนี้ ครั้นเมื่อได้ชายที่รักมาสมหมายก็น่าจะยังไม่เบื่อ ไม่นั่งหาว แลไม่แสดงพิโรธเล็กๆ น้อยๆ ก่อนปีหนึ่งจากวันที่ได้ชายนั้นมาเป็นสามี แต่การหาเป็นเช่นนั้นไม่ นางจันทร์ประภาพระราชธิดาทรงเบื่อมนัสวี แลเบื่อความไม่เห็นคนอื่นนอกจากมนัสวี เสมอกับมนัสวีเบื่อพระราชธิดาแลความไม่เห็นคนอื่นนอกจากพระราชธิดา จนนางใกล้จะชวนสามีออกเที่ยวอยู่แล้วหลายครั้ง แต่ครั้นเมื่อสามีกล่าวชวนนางไปเที่ยวให้พ้นความอยู่ด้วยกันโดยจำเพาะไปบ้าง นางก็กลับทรงคิดขุ่นเคืองว่ามนัสวีเบื่อความอยู่ด้วยกันสองต่อสอง จึ่งตรัสประชดว่าคนที่มีคู่แล้ว ถ้าแม้นหมักหมมคลุกคลีกันอยู่สองต่อสอง แลทะเลาะกันวันยังค่ำๆก็เป็นคู่ที่โง่ที่สุด มนัสวีแก้ว่าเขาไม่ได้คิดเบื่อนาง เขาไม่ต้องการอะไรยิ่งไปกว่าที่จะพานางออกแสดงให้รู้กันทั่วโลกว่าเป็นภริยาของเขา แต่นางก็ยังไม่เป็นที่พอหฤทัย ต้องกล่าวโต้ตอบกันอยู่อีกช้านาน ในที่สุดเป็นอันตกลงว่าจะเลิกขังตัวเองและออกเที่ยวในที่ต่างๆ นางจึ่งไปเฝ้าทูลท้าวสุพิจารพระราชบิดาว่านางแลหญิงสะใภ้พราหมณ์ต้องการออกเที่ยวกินลม แลไปในที่สำราญต่างๆ เพื่อผาสุก ท้าวสุพิจารทรงยินดีที่ได้เห็นพระราชธิดามีอาการน้ำนวลขึ้น จึ่งตรัสอำนวยว่าจะเสด็จเที่ยวเตร่ไปในที่ใดที่สมควรแก่เกียรติยศก็แล้วแต่นางจะประสงค์ ดังนี้พระราชธิดาแลมนัสวีผู้สามี (ในรูปหญิงสะใภ้พราหมณ์) ก็ออกเที่ยวในที่ต่างๆ ตามสำราญ
วันหนึ่งท้าวสุพิจารเสด็จไปเป็นเกียรติแก่การแต่งงานที่บ้านมหาอำมาตย์ผู้อยู่ในตำแหน่งโกษาธิบดี พระราชธิดาแลหญิงสะใภ้พราหมณ์ก็ตามเสด็จด้วย ฝ่ายชายหนุ่มผู้เป็นบุตรโกษาธิบดี เมื่อได้เห็นหญิงสะใภ้พราหมณ์มีรูปร่างแลหน้าตางดงามก็หลงรักในทันใด เป็นครั้งที่สองในเรื่องนี้ที่ชายรักหญิงในนาฑีแรกที่เห็นหน้า ชายหนุ่มจึ่งกล่าวแก่เพื่อนสนิทของตนตามเคยว่า “ถ้าข้าได้นางนั้นข้าจะมีสำราญในโลก ถ้าไม่ได้ข้าจะต้องสละชีวิตเสีย”
ฝ่ายพระราชานั้นเมื่อได้ทรงสำราญในการเลี้ยงแล้ว ก็เสด็จคืนเข้าพระราชวังพร้อมด้วยพระราชธิดาแลผู้อื่นๆ ซึ่งตามเสด็จ ส่วนบุตรโกษาธิบดีนั้น ครั้นนางสะใภ้พราหมณ์ตามเสด็จกลับเข้าพระราชวังแล้ว ก็เดือดร้อนกระวนกระวายเป็นกำลัง ตั้งแต่นั้นมาก็มีอาการซูบซีดเพราะทิ้งข้าวทิ้งน้ำแลหลับนอนไม่เป็นปกติ เพื่อนสนิทรู้ความในใจเป็นการลับไม่บอกให้ใครทราบ แต่ไม่นิ่งอยู่ได้นาน เพราะอดไม่ได้นั้นอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งอธิบายว่าบุตรโกษาธิบดีป่วยอาการหนัก ถ้าขืนนิ่งเสียก็คงจะถึงชีวิต ดังนี้ความลับนั้นก็ทราบถึงโกษาธิบดีในสองสามวันนั้นเอง โกษาธิบดีนึกหนักใจในการที่บุตรชายป่วยนั้นอยู่แล้ว ครั้นได้ทราบสมุฏฐานแห่งโรคก็รีบเข้าเฝ้าพระราชาทูลว่า “ข้าแต่พระมหาราชา บุตรชายของข้าพเจ้ารักหญิงสะใภ้พราหมณ์ คลั่งไคล้มีอาการป่วยปางตาย ไม่กินไม่นอน เฝ้าแต่พร่ำเพ้อละเมอฝัน ขอพระองค์จงโปรดกรุณาประทานนางแก่บุตรข้าพเจ้าเพื่อให้คงชีวิตไปเถิด”
ท้าวสุพิจารได้ทรงฟังดังนั้นก็ทรงแสดงกิริยาพิโรธตรัสว่า “เจ้าเป็นบ้าไปเสียแล้วหรือจึ่งมากล่าวเช่นนี้ ข้าเป็นพระราชาจะกระทำอยุตติธรรมเช่นนั้นด้วยประการใด เจ้าเป็นผู้ใหญ่ย่อมจะทราบว่า เมื่อมีผู้พาผู้อยู่ในความปกครองมาฝากให้อยู่ในอารักขาแห่งผู้อาจให้อารักขาได้ ผู้รับฝากจะยกผู้อยู่ในความฝากนั้นไปให้ผู้อื่นไม่ได้เป็นอันขาด เจ้าก็เป็นอำมาตย์ผู้ใหญ่มีสติปัญญา เหตุไฉนจึ่งมาขอเช่นนี้”
โกษาธิบดีทราบแจ้งอยู่ในใจว่าพระราชาทรงปกครองบ้านเมืองได้ด้วยเขาเป็นผู้อุดหนุน ถ้าเขาไม่ได้อยู่รับราชการเมื่อใด การบ้านเมืองก็จะซุดโทรมไป แลพระราชาก็จะต้องทรงรับความเดือดร้อน อนึ่งโกษาธิบดีรู้จักพระหฤทัยพระราชาอยู่ว่ามักจะโอนเอนไปได้เพื่อความสดวกอันควรแก่รูปการ จึ่งนึกในใจว่า “พระหฤทัยดังนี้อีกหน่อยก็คงเปลี่ยน” แต่ก็มิได้กล่าวอะไร นั่งก้มหน้านิ่งแสดงกิริยาเหมือนผู้ที่สิ้นหวัง ฝ่ายท้าวสุพิจารนั้นประเดี๋ยวก็ตรัสกริ้ว ประเดี๋ยวก็ตรัสปลอบ ติโทษบ้างยกยอบ้าง เพื่อจะให้โกษาธิบดีเปิดปากทูลข้อความอันใดที่จะทำให้ทรงเห็นความเป็นไปในใจของเขาได้ แต่เขาก็นิ่งอึ้งไม่พูดจาอะไรเลย จนในที่สุดกราบถวายบังคมลาออกจากที่เฝ้า เดินน้ำตาคลอออกไปจนถึงประตูวัง จึ่งกล่าวแก่ตนเองแต่มีผู้อื่นได้ยินว่า “ตัวกูนี้อดข้าวเสียสัก ๑๐ วัน ก็คงจะได้ไปโลกน่าสมหวัง”
ครั้นเมื่อโกษาธิบดีกลับไปถึงบ้านแล้วก็เรียกบ่าวไพร่มาพร้อมกัน เข้าไปเยี่ยมลูกชายในห้อง พบลูกชายนอนอยู่บนเสื่อหน้าตาซูบซีดเพราะอดอาหาร บิดาจึ่งจับมือบุตรไว้แล้วกระซิบดังพอให้ได้ยินทั่วกันว่า “ลูกเอ๋ย พ่อจะแก้ไขอะไรก็ไม่ได้แล้ว จำเป็นจะต้องตายไปตามกัน”
ฝ่ายพวกบ่าวไพร่เมื่อได้ยินนายพูดดังนั้น ต่างคนก็หลีกออกไปจากห้องแล้วเล่าสู่เพื่อนกันฟัง แลเพื่อนก็เล่าต่อๆ กันไปว่า โกษาธิบดีมีจำนงจะสละชีวิตเสียแล้ว แลต่างคนต่างก็เข้าไปด้อมมองคอยดูว่านายจะทำจริงตามพูดหรือไม่ แลถ้ายอมตายจะตายอย่างไร ตายที่ไหน แลตายเมื่อไร การที่บ่าวได้ทราบความตั้งใจแห่งนายเช่นนี้ ถ้าจะกล่าวว่าพากันเศร้าโศกเสียใจก็ไม่เชิง จะว่าไม่รักนายก็ว่าไม่ได้ เพราะนายเป็นผู้ใจดีมีกรุณาต่อบ่าว แต่ถึงกระนั้นบ่าวก็ใคร่รู้ใคร่เห็น ลังเลครึ่งๆ กลางๆ ในใจไม่แน่ว่าอยากให้เหตุเกิดหรือไม่ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความตื่นเต้นในใจตามธรรมดามนุษย์ซึ่งหาความยั่งยืนมิได้
ตรงนี้พระวิกรมาทิตย์ทรงแค้นเคืองในพระหฤทัย เพราะเหตุเวตาลกล่าวติเตียนธรรมดาแห่งมนุษย์ ทรงแสดงพิโรธให้เวตาลรู้สึก แต่มันก็ทำเป็นไม่รู้สึก เล่าต่อไปว่า
เมื่อโกษาธิบดีได้อดข้าวอดน้ำอยู่แล้วถึงสามวัน อำมาตย์ผู้ใหญ่ก็ประชุมกันปฤกษากันว่า ถ้าพระราชาไม่ยินยอมตามคำร้องขอ ก็จะพากันถวายบังคมออกจากราชการไปบวชเป็นโยคี หรือไปทำอะไรที่แปลกๆ ต่างๆ การที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะโกษาธิบดีเป็นหัวน่าจูงราชการให้ดำเนินไปนั้นข้อหนึ่ง อีกข้อหนึ่งอำมาตย์เหล่านั้นเห็นว่า ก็เมื่อผู้ใหญ่อยู่ในตำแหน่งสูงถึงโกษาธิบดีแล้วทูลขอเท่านี้ยังไม่ได้ ต่อไปข้างหน้าใครจะทูลขออะไรได้เล่า เมื่อเป็นเช่นนี้จะทำราชการไปทำไม
เช้าวันรุ่งขึ้นข้าราชการทั้งหลายก็พร้อมกันเข้าไปเฝ้าท้าวสุพิจาร ทูลว่าบุตรของโกษาธิบดีนั้นใกล้จะถึงตายอยู่แล้ว เพราะเหตุหัวใจเต็มแลท้องว่าง ถ้าบุตรตายบิดาซึ่งไม่ได้กินแลดื่มมาถึงสามวันแล้วก็จะพลอยตายด้วย ถ้าโกษาธิบดีตายราชการบ้านเมืองก็จะเกิดยุ่งเหยิง เพราะเขาเป็นนายคลังใหญ่รู้บาญชีทั้งปวง แลมีคำกล่าวว่าในเวลานี้บาญชีของบ้านเมืองนั้นปลวกกินเสียครึ่งหนึ่งแล้ว ที่ยังเหลืออีกครึ่งหนึ่งก็ไม่เป็นประโยชน์ เพราะกรดในหมึกกัดกระดาษขาดไปมาก บาญชีหาติดต่อกันได้ความประการใดไม่ เหตุดังนั้นข้าราชการทั้งหลายจึ่งประชุมพร้อมกันทูลขอให้พระราชาประทานนางสะใภ้พราหมณ์แก่บุตรโกษาธิบดีดังประสงค์
ความตั้งมั่นในพระหฤทัยของพระราชานั้นทนข่าวปลวกแลกรดหมึกไม่ได้ จึ่งทรงคิดโอนเอนไปข้างจะยอม แต่ยังมีพระประสงค์จะแสดงความมั่นคงในพระหฤทัยให้คนทั้งหลายเห็น จึ่งตรัสว่าโกษาธิบดีแลบุตรชายเป็นคนมีคุณดีเป็นประโยชน์แก่ราชการเพียงไรก็ทรงทราบอยู่แล้ว แลมีพระราชประสงค์จะช่วยบิดาแลบุตรนั้นทุกทางที่จะทรงช่วยได้ปราศจากอสัตย์ แต่ในเรื่องนี้ได้ทรงรับสัญญาเสียแล้ว ว่าจะคุ้มครองนางที่พราหมณ์เถ้านำมาฝากไว้ พระองค์จะยอมสวรรคตเสียสิบสองครั้ง ยิ่งกว่าที่จะกระทำการเป็นที่เสียสัญญาหรือปฏิบัติหน้าที่ปราศจากความสัตย์ ทั้งทรงแสดงธรรมะต่างๆ ซึ่งไม่สู้จะเกี่ยวแก่การขอแลการให้หญิงสะใภ้พราหมณ์อันเป็นปัญหาอยู่ในเวลานั้น แต่ข้าราชการที่เฝ้าอยู่ก็พากันตั้งใจฟังคำตรัส เพราะไม่มีใครรู้พระหฤทัยพระราชาเท่าที่โกษาธิบดีรู้ จึ่งพากันเห็นจริงแลชมธรรมะที่ทรงแสดงให้ฟัง แลต่างคนก็นั่งนิ่งอยู่
ฝ่ายพระราชาทรงคอยอยู่ครู่หนึ่ง ให้ธรรมะซึมซาบเข้าไปในใจผู้ฟังแล้ว ก็ตรัสแก้เสียใหม่ให้ผลแห่งคำสอนที่มีในใจข้าราชการเหล่านั้นค่อยเบาบางลงไป โดยที่ตรัสว่าธรรมะซึ่งทรงแสดงนั้น ได้ทรงรับเป็นคำสั่งสอนของพระราชบิดาแลพระราชมารดาซึ่งทรงธรรมอย่างสูงทั้งสองพระองค์ แลเป็นธรรมะซึ่งบุรุษพึงประพฤติแลเคารพโดยปกติ แต่ถ้าเกิดปัญหาแปลกธรรมดาแลผิดปกติ การดำเนิรทางธรรมจะแผกเพี้ยนไปจากรอยเดิมบ้าง ถ้ายังเป็นธรรมอยู่ก็อาจแผกเพี้ยนไปได้ เพราะการดำเนินตามรอยแคบนั้นย่อมแสดงน้ำใจแคบ พระองค์มีพระราชประสงค์ให้ชนทั้งหลายเห็นว่าพระองค์มิใช่พระราชาที่มีพระหฤทัยแคบ จึ่งพระราชทานอนุญาตให้ข้าราชการทั้งหลายกล่าวชี้แจงให้ทรงเห็นชอบ ว่าในการเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของพระองค์ที่จะต้องเสียสัญญาที่ประทานไว้แก่พราหมณ์เถ้า แลเป็นหน้าที่ของพระองค์ที่จะต้องประทานเมียของคนอื่นให้แก่บุตรชายโกษาธิบดี
ฝ่ายเหล่าอำมาตย์ที่เฝ้าอยู่นั้น เมื่อได้ยินพระราชารับสั่งข้างท้ายนี้ก็ได้ใจ จึ่งช่วยกันทูลชี้แจงด้วยถ้อยคำต่างๆ กัน ซึ่งรวมอยู่ในชื่อว่าน้ำท่วมทุ่ง รวมความว่าพราหมณ์เฒ่านั้นก็ศูนย์หายไปช้านาน บัดนี้คงจะตายแลมีผู้เผาเสียแล้ว อนึ่งหญิงสะใภ้แห่งพราหมณ์นั้นก็เป็นแต่ได้หมั้นคู่กันไว้กับบุตรพราหมณ์ หาได้มีวิวาหะไม่ เขาทั้งหลายจึ่งเห็นสมควรที่จะประทานนางซึ่งผู้นำมาฝากคงจะตายแล้วแก่บุตรโกษาธิบดี เพื่อให้ราชการบ้านเมืองยืนยงต่อไป ส่วนพราหมณ์เฒ่านั้นหากยังไม่ตายจะกลับมา ก็ควรประทานทรัพย์ให้มากมายจนเป็นที่พอใจ หรือถ้ายังไม่พอใจ ก็ประทานนางอื่นซึ่งงามกว่านี้ให้พราหมณ์เฒ่าพาไปเป็นภริยาบุตร กล่าวการสละ คนควรสละบุคคลเพื่อประโยชน์แก่ครอบครัว สละครอบครัวเพื่อประโยชน์แก่กรุง สละกรุงเพื่อประโยชน์แก่ประเทศ สละประเทศเพื่อประโยชน์แก่พระราชา
ท้าวสุพิจารเมื่อได้ทรงฟังอำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลดังนั้นก็ตรัสว่า ปัญหานี้มีข้อที่ควรคำนึงทั้งสองฝ่าย จะทรงตรึกตรองดูให้รอบคอบในคืนนั้น รุ่งขึ้นจึ่งจะตรัสให้อำมาตย์ทั้งปวงทราบกระแสพระราชดำริ ตรัสดังนี้แล้วก็รับสั่งให้อำมาตย์ทั้งปวงออกจากที่เฝ้า ฝ่ายพวกอำมาตย์นั้นเมื่อได้ยินรับสั่งดังนั้น ก็นึกแน่ในใจว่าพระราชาคงจะเสด็จเข้าไปปรึกษาพระมเหษีแลนางข้างใน เขาทั้งหลายก็มีความยินดี เพราะหวังได้ว่านางทั้งปวงคงจะต้องการให้มีวิวาหะเป็นการใหญ่ แลส่วนนางสาวผู้เป็นสะใภ้พราหมณ์นั้นเมื่อจะได้แต่งงานดีเช่นนี้ ก็คงไม่ทิ้งโอกาสปัจจุบันคอยหาโอกาสอนาคต
อำมาตย์ทั้งปวงออกจากเฝ้าแล้วก็รีบไปเล่าความให้โกษาธิบดีทราบ แลโกษาธิบดีกับบุตรก็กินข้าวด้วยกันในคืนวันนั้นเป็นครั้งแรกในเวลาหลายวัน
ฝ่ายท้าวสุพิจารเมื่อเสด็จคืนเข้าข้างในแล้ว ก็เสด็จตรงไปยังตำหนักพระราชธิดา ตรัสแก่หญิงสะใภ้พราหมณ์ว่า “เจ้าจงไปอยู่กับบุตรชายของโกษาธิบดี”
เวตาลกล่าวต่อไปว่า นางจันทร์ประภากับมนัสวีในเวลากลางคืนทะเลาะกันแทบไม่เว้นคืน เพราะฉะนั้นในเวลากลางวันนางจันทร์ประภาแลนางสะใภ้พราหมณ์เกือบจะไม่พูดกันซึ่งๆ หน้า ครั้นเมื่อคนทั้งสองได้ยินพระราชารับสั่งให้พรากกันดังนั้นต่างคนก็----
พระธรรมธวัชพระราชบุตรทรงฟังเวตาลเพลิน ครั้นได้ยินเวตาลพูดมาถึงเพียงนี้ยังไม่ทันขาดคำก็ทรงสอดถามขึ้นว่า “ดีใจใช่หรือไม่”
เวตาลตอบว่า “หามิได้ ไม่ใช่ดีใจเสียใจมาก พระราชบุตรยังอ่อนปัญญานัก”
พระวิกรมาทิตย์ตรัสกริ้วพระราชบุตร แลห้ามไม่ให้ตรัสถึงเรื่องที่ไม่รู้ แล้วเวตาลก็เล่าต่อไปว่า
นางจันทร์ประภาแลหญิงสะใภ้พราหมณ์เมื่อได้ฟังท้าวสุพิจารตรัสดังนั้นก็หน้าซีดแลกรรแสงวิงวอนพระราชาด้วยถ้อยคำต่างๆ ให้ทรงถอนคำสั่ง แต่พระราชาหายอมตามไม่
นางสะใภ้พราหมณ์กล่าวว่า “ความทรงธรรมอันงามของหญิงย่อมจะสลายไปด้วยมีรูปงามเหลือเกินนัก พราหมณ์รับใช้พระราชาย่อมทำความเสื่อมให้แก่ศาสนาของตน นางโคถ้าไปกินหญ้าไกลถิ่นนักก็เกิดความเสื่อมเสีย ทรัพย์ย่อมจะศูนย์เพราะเจ้าของไม่ประพฤติธรรม แลความจำเริญย่อมจะสิ้นไปในเรือนซึ่งเจ้าของไม่ทำตามคำมั่นสัญญา”
นางสะใภ้พราหมณ์กล่าวเช่นนี้ ท้าวสุพิจารก็ทรงเห็นชอบทุกประการ มิได้ตรัสคัดค้านข้อความที่กล่าวนั้นประการใด แต่ก็ยังทรงยืนคำที่จะให้หญิงสะใภ้พราหมณ์ไปเป็นภริยาแห่งบุตรโกษาธิบดีจงได้
นางจันทร์ประภากล่าวว่า พระราชบิดาเป็นพระราชาซึ่งทรงประพฤติเที่ยงธรรมอยู่เป็นปกติ มาบัดนี้มีพระประสงค์แผกเพี้ยนไปจากคลองธรรม คงจะเป็นด้วยหวังประโยชน์แก่พระองค์เองอย่างเดียว แลเมื่อใดความเห็นแก่ประโยชน์ตนเข้าครอบงำตน เมื่อนั้นขวาก็กลับเป็นซ้าย ๆ ก็กลายเป็นขวา เหมือนเงาในกระจกคันฉ่อง
ท้าวสุพิจารตรัสว่าความเปรียบของนางนั้นถูกต้องหาตำหนิมิได้ แต่ก็ยังมีพระประสงค์จะให้หญิงสะใภ้พราหมณ์ไปเป็นภริยาแห่งบุตรโกษาธิบดีอยู่นั่นเอง
ฝ่ายนางสะใภ้พราหมณ์ เมื่อเห็นพระราชามิได้ลดหย่อนพระราชประสงค์เช่นนั้น ก็เพียรจะชักเวลาให้เยิ่นออกไป จึ่งทูลว่า “ข้าแต่พระมหาราชา ถ้าพระองค์ทรงกำหนดในพระหฤทัยแน่นอนแล้ว ว่าจะให้ข้าพเจ้าไปเป็นภริยาแห่งบุตรโกษาธิบดี พระองค์จงโปรดให้ชายหนุ่มนั้นสัญญาว่าจะทำการสิ่งหนึ่งตามความประสงค์ของข้าพเจ้า ถ้าเขาไม่ยอมทำข้าพเจ้าก็ไม่ยอมไปอยู่กับเขาเป็นอันขาด”
พระราชาตรัสว่า “เจ้าจะให้เขาทำอะไรก็จงว่าไปเถิด”
นางทูลว่า “ข้าพเจ้าอยู่ในตระกูลพราหมณ์ เขาอยู่ในตระกูลนักรบ ธรรมศาสตร์บัญญัติว่าเราทั้งสองจะวิวาหะกันไม่ได้ เว้นแต่เขาจะได้เที่ยวยาตราแล้วตามบุณยสถานทุกตำบล”
พระราชาตรัสว่า “เจ้าพูดถูกต้องเป็นความจริงดังหนึ่งพระเวท” แลทรงคิดยินดีที่มีช่องทางจะยืดเวลาออกไปอีก แลในระหว่างเวลาที่ยืดออกไปนั้น พระองค์ยังจะสำแดงความมั่นคงในสัญญาให้ยาวออกไปได้อีกหน่อยหนึ่ง
คืนวันนั้นนางจันทร์ประภาแลมนัสวีระงับการทะเลาะประจำคืน ต่างคนแสดงความยินดีต่อกันที่ได้ทำอุบายให้ภัยห่างออกไปได้โดยความนึก แต่มิได้ห่างออกไปโดยความจริงเลย รุ่งขึ้นเช้าท้าวสุพิจารเสด็จออก รับสั่งให้หาอำมาตย์ทั้งปวงเข้าไปในที่เฝ้า รวมทั้งโกษาธิบดีแลบุตรชายด้วย แล้วรับสั่งบอกว่าหญิงสะใภ้พราหมณ์ได้กล่าวถูกต้องเป็นการสมควรยิ่งนัก แต่บุตรโกษาธิบดีทูลขอว่า ระหว่างที่ตัวเขาไปเที่ยวยาตราอยู่นั้น ให้นางไปอยู่คอยท่าณะเรือนแห่งบิดาของเขาจนกว่าเขาจะกลับมา
คำที่ทูลขอนี้พระราชาไม่สู้จะโปรด เพราะไม่พอพระหฤทัยที่จะพรากหญิงสะใภ้พราหมณ์ไปจากพระราชธิดา แต่โกษาธิบดีแลบุตรชายทำทีเหมือนจะกลับอดข้าวอดน้ำใหม่ พระราชาจึ่งจำเป็นจำต้องตรัสอำนวยตามประสงค์ หญิงสะใภ้พราหมณ์ก็ถูกฉุดคร่าพาไปยังบ้านโกษาธิบดี โกษาธิบดีพานางไปมอบไว้กับภริยาของตนคนที่สาวแลสวยที่สุด แลกำชับว่าให้อยู่ด้วยกันจงดี ต่างคนต่างเอาใจกัน อย่าให้เกิดขุ่นข้องหมองใจขึ้นได้ ฝ่ายบุตรชายโกษาธิบดีนั้นก็ออกเที่ยวไปตามบุณยสถานต่างๆ ตามกำหนด
ฝ่ายหญิงสะใภ้พราหมณ์ได้อยู่ร่วมห้องกับภริยาสาวของโกษาธิบดี ทนเป็นหญิงอยู่ไม่ได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ก็กลายเป็นมนัสวีในกลางคืน แต่ก็ไม่ทำดังนั้นไปได้นาน เพราะบาปกรรมมาตามทันดังคำซึ่งพราหมณ์มูลเทวะกล่าวไว้ คืนหนึ่งเมื่อได้เป็นมนัสวีพราหมณ์หนุ่มอยู่ตลอดคืนแล้ว จะแปลงตัวเป็นหญิงสะใภ้พราหมณ์ เอาลูกอมใส่ปากโดยความเลินเล่อ ลูกอมเลื่อนเลยเข้าคอไป มนัสวีจะแปลงตัวเป็นหญิงก็แปลงไม่ได้ จึ่งต้องรีบหนีโจนจากหน้าต่างห้องภริยาสาวของโกษาธิบดีในเวลาที่ยังไม่ทันสว่าง และด้วยเหตุความมืด มนัสวีโจนพลาดขาแพลงล้มอยู่กับที่ ลุกไปไม่ได้
ฝ่ายพราหมณ์มูลเทวะนั้น เมื่อได้แปลงเป็นพราหมณ์เฒ่าพามนัสวีซึ่งปลอมเป็นหญิงสะใภ้ไปฝากพระราชาไว้แล้ว ออกจากที่เฝ้าก็คืนรูปเป็นพราหมณ์มูลเทวะกลับไปหาพราหมณ์ศศี เล่าความให้ฟังทุกประการ พราหมณ์ศศีได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าขุ่นใช้คำแข็ง กล่าวแก่พราหมณ์มูลเทวะว่า ความมีใจดีแลใจอ่อนพาให้มูลเทวะประกอบการเป็นบาปอย่างยิ่ง มูลเทวะเถียงว่า “ข้าได้กำชับชายหนุ่มนั้นแล้วว่าจะทำการเป็นที่เรียบร้อยไปได้ก็ด้วยความบริสุทธ์ เพราะฉะนั้นอันตรายอะไรจะมีเล่า”
พราหมณ์ศศีกล่าวว่า “ท่านได้ให้อาวุธอันคมไปแก่คนโง่ มันคงจะไปทำอะไรให้เกิดเหตุขึ้นจงได้ แลข้าพเจ้าจะขอพนันกับท่านว่าภายในหกเดือนนี้ ถ้าชายหนุ่มนั้นไม่ไปทำเลอะเทอะให้เกิดเหตุขึ้นแล้ว ข้าพเจ้าจะยอมยกคัมภีร์ทั้งหลายของข้าพเจ้าให้เป็นทรัพย์ของท่าน แต่ถ้าชายหนุ่มนั้นไปทำให้เกิดความเป็นเหตุเสื่อมเสีย ท่านต้องใช้วิชาของท่านให้ข้าพเจ้าได้พระราชธิดาของท้าวสุพิจารมาเป็นภริยา”
พราหมณ์ทั้งสองพนันสัญญากันมั่นคงแล้ว ต่างคนก็กล่าวตกลงแก่กันว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ไปอีกจนใกล้กำหนดหกเดือน ครั้นใกล้กำหนดพราหมณ์ทั้งสองก็เที่ยวสืบข่าวในที่ใกล้พระราชวัง แลสืบต่อไปจนถึงบ้านโกษาธิบดี ได้ทราบว่ามนัสวีคือหญิงสะใภ้พราหมณ์เฒ่าหายไปจากบ้านโกษาธิบดีในเวลากลางคืน ไม่มีใครทราบร่องรอยว่าไปทางไหน พราหมณ์มูลเทวะสืบข่าวได้ความต่อออกไปอีกบ้าง ตรึกตรองเห็นแน่ชัดว่าแพ้พนันเสียแล้ว จึ่งจัดการใช้หนี้ให้แก่พราหมณ์ศศีผู้เป็นเพื่อน คือส่งลูกอมอีกลูกหนึ่งให้พราหมณ์ศศีอม เขาก็กลายเป็นพราหมณ์หนุ่มอ้วน รูปร่างสะสวย พราหมณ์มูลเทวะก็อมลูกอมอีกลูกหนึ่ง กลายเป็นพราหมณ์เฒ่าถือไม้เท้าพาพราหมณ์หนุ่มเข้าเฝ้าพระราชา
ฝ่ายท้าวสุพิจารเสด็จออกอยู่ในท้องพระโรง ทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์เฒ่าเข้าไปก็จำได้ ให้เกิดกระวนกระวายในพระหฤทัย แต่ก็ทรงนบนอบรับสั่งเชิญให้พราหมณ์นั่งเป็นอันดี แลเมื่อได้ทรงรับพราหมณ์แล้วก็รับสั่งถามทุกข์สุขตามธรรมเนียม ในที่สุดเมื่อได้รับสั่งวกเวียนอยู่ครู่ใหญ่แล้ว จึ่งตรัสถามพราหมณ์ว่าไปไหนมาจึ่งหายไปช้านาน
พราหมณ์เฒ่าทูลว่า “ข้าพเจ้าเที่ยวไปหลายแห่งเพื่อจะตามให้พบบุตร ครั้นเมื่อพบแล้วก็พากลับมาเฝ้าในบัดนี้ ขอพระองค์จงโปรดประทานภริยาของเขาแก่เขา แลข้าพเจ้าจะทูลลาพาบุตรแลสะใภ้คืนไปสำนักของข้าพเจ้าตามเดิม”
ท้าวสุพิจารรับสั่งอ้อมแอ้มอยู่ช้านาน แต่จะปกปิดไว้ก็ไม่ได้ จึ่งรับสั่งเล่าเรื่องให้พราหมณ์เฒ่าทราบทุกประการ
พราหมณ์เฒ่าแสดงอาการโกรธกล่าวว่า “พระองค์ทำอะไรอย่างนี้ พระองค์ไม่อยู่ในคำสัตย์สัญญาเอาภริยาแห่งบุตรของข้าพเจ้าไปยกให้วิวาหะกับชายอื่น พระองค์กระทำแล้วตามพระหฤทัยประสงค์ และบัดนี้จงฟังคำสาปของข้าพเจ้าเถิด”
ท้าวสุพิจารทรงตกประหม่าเดือดร้อนเกรงคำสาปเป็นกำลัง จึ่งตรัสแก่พราหมณ์ว่า “ท่านจงกรุณาแก่ข้าพเจ้า อย่าโกรธแลอย่าสาปเลย ท่านจะประสงค์อะไรข้าพเจ้าจะยอมตามทุกประการ”
พราหมณ์เฒ่ากล่าวว่า “ถ้าพระองค์เกรงคำสาปของข้าพเจ้า แลเต็มพระหฤทัยจะประทานไม่ว่าสิ่งใดที่ข้าพเจ้าทูลขอ ก็จงประทานนางจันทร์ประภาพระราชธิดาให้เป็นภริยาบุตรข้าพเจ้า ถ้าทรงยอมดังนี้ข้าพเจ้าจะยกโทษถวาย ส่วนตัวข้าพเจ้าเองนั้น ตั้งแต่นี้ต่อไปสร้อยมุกดาหรืองูเห่ามีพิษก็ตาม ศัตรูมีกำลังที่สุดหรือเพื่อมีไมตรีอย่างดีก็ตาม มณีมีค่าที่สุดหรือดินก้อนหนึ่งก็ตาม ฟูกที่อ่อนนุ่มหรือหินแข็งที่สุดก็ตาม ใบหญ้าใบหนึ่งหรือหญิงงามที่สุดก็ตาม ข้าพเจ้าเห็นเหมือนกันทั้งนั้น ความประสงค์ของข้าพเจ้ามีอยู่แต่ว่าจะหาบุณยสถานสักแห่งหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าจะไปอยู่ภาวนาออกนามพระผู้เป็นเจ้าไปตราบเท่าเวลาตาย”
ท้าวสุพิจารทรงฟังดังนั้นเห็นพราหมณ์เป็นคนอยู่ในศีลในสัตย์ยิ่งขึ้น ก็ยิ่งกลัวคำสาปทวีขึ้นกว่าเก่า จึ่งรับสั่งเรียกโหรเข้ามาคำณวนถวายฤกษ์วิวาหะพระราชธิดากับพราหมณ์อ้วนบุตรพราหมณ์เฒ่า แล้วรับสั่งให้จัดการไปตามประเพณี แต่หาได้ประทานโอกาสให้พระราชธิดายินยอมหรือโต้แย้งการอันนี้ไม่ อันที่จริงถ้ารับสั่งถามพระราชธิดา ๆ ก็คงจะไม่ขัด เพราะนางทรงทราบข่าวว่านางสะใภ้พราหมณ์หายไปจากเรือนโกษาธิบดี แลความในจะเป็นอย่างไรพระราชธิดาก็คงจะทรงเดาได้ อนึ่งนางจันทร์ประภาหยุดประชวรพระโรคลำดับเดือนมาหลายเดือนแล้ว แลนางสงสัยว่าพระราชบิดาคงจะไม่โปรดวิวาหะแบบคนธรรพ์ กล่าวคือไม่โปรดให้พระราชบุตรีมีวิวาหะโดยวิธีนั้น ส่วนพระองค์พระราชาเองนั้นอีกอย่างหนึ่ง
ดังนี้พราหมณ์อ้วนก็ได้รับพระราชธิดาไปเป็นภริยาพร้อมด้วยทรัพย์ซึ่งพระราชทานเป็นสินสมรสเป็นอันมาก
ฝ่ายมนัสวีนั้น เมื่อลุกขึ้นได้จากที่ซึ่งล้มอยู่ในเวลาที่โจนจากหน้าต่างนั้นแล้ว ก็เที่ยวเร้นซ่อนต่อไป จนได้ทราบว่าพราหมณ์ศศีได้วิวาหะกับพระราชธิดาพาไปบ้านแล้ว มนัสวีก็ตามไปที่บ้านพราหมณ์ศศี กล่าวแก่เจ้าของบ้านว่า “ท่านจงส่งภริยาของข้าพเจ้าคืนให้ข้าพเจ้า” พราหมณ์ศศีเถียงว่านางเป็นภริยาของเขาต่างหาก แลอ้างพะยานคือโหรหลวงแลพราหมณ์ในพระราชสำนัก รวมทั้งพยานอีกหกคนนั้นด้วย
มนัสวีสาบาลโดยวิธีที่รุนแรงที่สุดว่านางเป็นภริยาของเขา โดยวิวาหะตามวิธีที่ชอบ แลกุมารในครรภ์นางก็คือบุตรของเขา เหตุฉะนั้นนางจะเป็นภริยาของพราหมณ์ศศีอย่างไรได้ อนึ่งมนัสวีเพียรจะอ้างพราหมณ์มูลเทวะเป็นพะยาน แต่มูลเทวะหลบหายไปเสีย มนัสวีจึ่งอ้างนางจันทร์ประภาเอง แต่นางกลับกล่าวโดยอาการแค้นเคืองว่า ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นมนัสวีเลย
เวตาลกล่าวต่อไปว่า แต่ถึงมนัสวีอ้างพยานไม่ได้ดังนั้นคนก็ยังเห็นจริง เพราะเรื่องของมนัสวีเป็นเรื่องแปลกแลไม่น่าเชื่อคนจึ่งพากันเชื่อ แม้ทุกวันนี้ก็ยังมีคนหลายคนที่เห็นว่ามนัสวีเป็นผู้ที่ได้กระทำวิวาหะกับพระราชธิดาโดยวิธีที่ถูกต้องตามธรรมศาสตร์
พระวิกรมาทิตย์ไม่โปรดการลอบรัก ครั้นได้ยินเวตาลกล่าวดังนั้นก็ตรัสว่า “ถ้าใครเชื่ออย่างเองกล่าวคนนั้นก็เป็นคนใจลามก เพราะไม่มีใครรู้ได้เลยว่ามนัสวีชายชั่วนั้นเป็นพ่อของกุมารในครรภ์ ส่วนพราหมณ์ศศีได้แต่งงานต่อหน้าพยานโดยวิธีที่ถูกต้องตามกฎหมาย เหตุดังนั้นนางจึ่งต้องคงเป็นภริยาของศศี แลบุตรที่เกิดมานั้นก็อาจตรวจน้ำทำบุญไปให้บรรพบุรุษได้ตามคัมภีร์ศาสตร์ กฎหมายแลยุตติธรรมเป็นอย่างที่ข้าว่านี้”
เวตาลกล่าวว่า “ยุตติธรรมนั้นบางทีก็ไม่ยุตติธรรม และพระองค์จงรีบก้าวพระบาทเถิด ลองดูว่าพระองค์จะกลับไปถึงต้นอโศกก่อนข้าพเจ้าได้บ้างหรือไม่”
เวตาลกล่าวดังนั้นแล้ว ก็ออกจากย่ามลอยหัวเราะก้องฟ้ากลับไป
จบนิทานเวตาลเรื่องที่ ๗
-
๑. เป็นธรรมเนียมเจ้าของบ้านต้องให้ใบพลูแลเครื่องเทศให้แขกเคี้ยวเมื่อเวลาจะแนะให้ลากลับ. ↩