ต้นเรื่อง

พระราชาทรงนามวิกรมาทิตย์ ครองราชย์อยู่กรุงอุชชยินี นับเวลาถึงบัดนี้ได้เกือบ ๒๐๐๐ ปี พระองค์เป็นกษัตริย์ทรงนามเลื่องลือ สามารถทั้งในทางศึกแลในทางปกครองไพร่ฟ้าประชาชนให้อยู่เย็นเป็นสุข ทั้งเป็นผู้เอื้อเฟื้อต่อการเรียนรู้ มีปราชญ์ ๙ คนเรียกว่าเนาวรัตนกวี คือกาลิทาสเป็นต้น แต่งกลอนยอพระเกียรติ์ไว้ปรากฏจนเวลานี้ว่า รัชชกาลพระวิกรมาทิตย์เป็นเวลาที่วิชารุ่งเรือง

ประวัติของพระราชาพระองค์นี้มีเรื่องจริงปะปนกับเรื่องซึ่งประดิษฐ์ขึ้น กล่าวตามความที่เป็นคำนำเรื่องนี้ว่า เมื่อพระวิกรมาทิตย์ทรงครองสมบัติรุ่งเรืองอยู่หลายปี จนพระชนมายุได้ ๓๐ พรรษา จึงทรงพระดำริว่า บ้านเมืองต่างประเทศที่ได้ทรงยินชื่อแต่มิได้เคยเห็นนั้นมีมาก สมควรจะเสด็จไปดูให้เห็นเสียสักครั้งหนึ่ง ราชประสงค์คือจะเที่ยวสอดรู้การในบ้านเมืองเหล่านั้น หาช่องทางที่จะเอารวมเข้ามาเป็นเมืองขึ้นด้วยกำลังอาวุธหรือกำลังปัญญา ทรงคิดฉะนี้จึงมอบราชการบ้านเมืองให้พระอนุชาทรงนามพระภรรตฤราชปกครองแทนพระองค์ แล้วทรงเครื่องปลอมเป็นโยคี มีพระราชโอรสองค์ที่ ๒ ทรงนามธรรมธวัชตามเสด็จ เที่ยวเตร็ดเตร่ไปในป่าแลเมืองต่างๆ

พระภรรตฤราชผู้อนุชาซึ่งปกครองสมบัติแลราชการเมืองแทนพระราชานั้น เป็นบุรุษมีหฤทัยซึมเซาเป็นปกติ เพราะได้เสียนางผู้เป็นชายาไปด้วยเหตุประหลาด มีเรื่องตามที่กล่าวต่อกันมาว่า วันหนึ่งพระภรรตฤราชเสด็จออกล่าเนื้อในป่า พบหญิงแม่หม้ายเข้าสู่กองเพลิงซึ่งเผาศพพราหมณ์ผู้สามี หญิงนั้นแสดงความมั่นในใจปราศจากความสะทกสะท้าน ครั้นพระภรรตฤราชเสด็จกลับถึงวังจึงเล่าแก่นางผู้เป็นชายาแห่งพระองค์ว่า นางพราหมณีมีความสัตย์แลความกล้าฉันนั้น ๆ พระชายาทูลตอบว่า เมื่อผัวสิ้นชีพไปแล้ว หญิงดีย่อมจะสิ้นชีวิตด้วยเพลิงแห่งความทุกข์ หาต้องตายในกองเพลิงซึ่งเผาศพสามีไม่ พระภรรตฤราชทรงฟังดังนั้นก็นิ่งตรึกตรอง มิได้ตรัสประการใด ครั้นวันรุ่งขึ้นเสด็จออกป่าล่าเนื้ออีกครั้งหนึ่ง ไม่ช้าตรัสให้มหาดเล็กเชิญเครื่องทรงซึ่งขาดแลเปื้อนเปรอะกลับไปทูลพระชายาว่าเกิดเหตุวิบัติในป่า พระภรรตฤราชสิ้นพระชนม์เสียแล้ว พระชายาได้ยินดังนั้นก็ล้มลงสิ้นชีวิตด้วยเพลิงแห่งความทุกข์ พระภรรตฤราชกลับจากป่าก็เสียพระหฤทัยหนักหนา มีอาการซึมเซากระเดียดไปข้างจะออกเป็นฤษีอยู่ร่ำไป แม้มีชายาองค์อื่น ๆ จำนวนไม่น้อยก็ไม่ทำให้แช่มชื่นได้ (จนได้นางมาใหม่อีกองค์หนึ่ง)

เมื่อได้รับตำแหน่งปกครองแทนองค์พระราชาแล้ว พระภรรตฤราชก็ปฎิบัติราชการโดยทางที่ชอบ แต่ไม่สนุกในงานที่กระทำจนกามเทพแผลงศรดอกไม้ทะลุหฤทัยอีกครั้งหนึ่ง

นางนั้นมีหน้าเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ มีผมดังเมฆสีนิลโลหิตซึ่งอุ้มฝนห้อยอยู่บนฟ้า มีผิวซึ่งเย้ยดอกมะลิให้ได้อาย มีตาเหมือนเนื้อทรายซึ่งระแวงภัย ริมฝีปากเหมือนดอกทับทิม คอเหมือนคอนกเขา มือเหมือนสีแห่งท้องสังข์ เอวเหมือนเอวเสือดาว บาทเหมือนดอกบัว พร้อมด้วยลักษณะนางงามอย่างแขก ซึ่งไทยเราแต่งกาพย์กลอน ก็พลอยเอาอย่างมาเห็นงามไปด้วย

พระชายาองค์ใหม่งามเช่นนี้ พระภรรตฤราชก็ลุ่มหลง แต่นางมิได้จงใจภักดีต่อพระสามี กลับไปมีใจรักใคร่กับอำมาตย์หนุ่มคนหนึ่งชื่อมหิบาล มิช้าก็เกิดเหตุ

ในที่ใกล้พระราชวังมีพราหมณ์คนหนึ่งกับภริยาเป็นคนจนยากแค้นแสนเข็ญไม่รู้จะทำอะไรก็ทำตบะ คืออดข้าวแลทรมานตัวต่างๆ หน้าหนาวลงแช่น้ำ หน้าร้อนนั่งผิงไฟรอบตัว จนเทวดาเบ็ดเตล็ดพากันยำเกรงทั่วไป ในที่สุดเทวทูตลงมาจากสวรรค์ ยื่นผลไม้ให้ผลหนึ่งบอกว่าเป็นผลไม้อำมฤต ถ้ากินแล้วจะยืนชีวิตอยู่ค้ำฟ้า

ครั้นเทวทูตอันตรธานไปแล้ว พราหมณ์ก็อ้าปากซึ่งฟันหมดไปแล้ว เพื่อจะกัดแลกินผลอำมฤต พอนางพราหมณีร้องห้ามว่า “ท่านเอย ท่านจงยั้งชั่งใจดูก่อน ความตายนั้นเป็นทุกข์ชั่วขณะเดียว ความมีชีวิตยากแค้นเช่นเรานี้เป็นทุกข์ยาวนาน ท่านอยากจะมีทุกข์เช่นนี้จนค้ำฟ้าหรือ ความยากจนนี้เป็นบาปที่เราทำไว้ในหนหลัง ท่านจะยึดทุกข์คือชีวิตนี้ไปทำไมเล่า ผลไม้นั้นท่านอย่ากินเลย”

พราหมณ์ได้ยินภริยาท้วงดังนั้นก็ลังเลในใจ นั่งนิ่งปากอ้าตาเพ่งอยู่สักครู่หนึ่งจึงกล่าวแก่ภริยาว่า “ข้าได้รับผลไม้นี้ไว้จากเทวทูตด้วยหมายจะกิน เมื่อเจ้าคัดค้านฉะนี้ข้าก็สงสัยในใจ เจ้าผู้มีปัญญาจะเห็นควรให้ข้าทำอย่างไรต่อไปเล่า”

นางพราหมณีตอบว่า “ท่านกับข้าพเจ้าเวลานี้ก็แก่แล้ว ความชราย่อมกีดกันความสุขซึ่งมีในใจหนุ่มแลสาว คนแก่จะอยู่ปรัมปราอีกช้านานก็หาประโยชน์มิได้ ถ้าการกินผลไม้นี้กลับให้ความเป็นหนุ่มแก่ท่านข้าพเจ้าก็จะมิคัดค้านเลย”

พราหมณ์ได้ยินภริยากล่าวดังนั้นก็สิ้นความลังเลในใจ ทิ้งผลไม้ลงยังพื้นดิน นางพราหมณีก็ยินดี แต่ซ่อนความอิ่มใจไว้มิให้สามีเห็น ความอิ่มใจนั้นเกิดแต่ความเห็นแก่ตนเองถ่ายเดียว คือนางพราหมณีเห็นว่า นางได้อยู่เป็นสามีภริยากับพราหมณ์มาก็ช้านานจนถึงความชราเห็นปานฉะนี้แล้ว ถ้าสามีได้กินผลอำมฤตยืนยงต่อไป ส่วนนางเองมิพ้นความตายได้ไซร้ความเที่ยงธรรมจะมีก็หาไม่ ครั้นสามีทิ้งผลไม้อำมฤตลงบนพื้นดินฉะนั้นแล้ว นางก็กล่าวติเตียนความมีอายุยืนซ้ำเติมอีก จนสามีเห็นจริงกลับโกรธเทวดาว่านำผลอำมฤตมาให้ด้วยความปองร้าย หยิบผลไม้นั้นจะโยนเข้ากองไฟ ภริยาห้ามไว้แล้วกล่าวว่า “ท่านอย่าเพ่อทำเร็วไปนัก ผลไม้นี้มิใช่ของหาง่าย เมื่อได้มาแล้วก็ควรใช้ให้เป็นประโยชน์ ท่านจงไปเฝ้าพระภรรตฤราชถวายผลไม้นี้ เธอคงจะประทานรางวัลให้สมแก่ราคาของ รางวัลนั้นแหละจะปลดทุกข์คือความจนของเรา ท่านทำตบะมาช้านานจนได้ผลเช่นนี้แล้ว ท่านจงกระทำตามคำข้า เพื่อให้ผลแห่งตบะนั้นเป็นเครื่องนำมาซึ่งความสุขเถิด”

พราหมณ์สามีได้ฟังภริยากล่าวดังนั้นก็เห็นด้วย จึงนำผลอำมฤตเข้าไปเฝ้าพระภรรตฤราช ทูลให้ทราบคุณแห่งผลไม้นั้นแล้วทูลว่า “พระองค์จงรับผลไม้นี้เป็นของซึ่งข้าพเจ้าถวายเถิด พระองค์ทรงพระชนมายุยืนนานจะได้เป็นที่พึ่งแก่ประชาราษฎร์ทั่วไป แลถ้าประทานรางวัลแก่ข้าพเจ้าให้สมแก่ค่าแห่งผลไม้นี้ ความเป็นที่พึ่งของพระองค์ก็จะยิ่งแผ่กว้างทวีออกไป”

พระภรรตฤราชได้ฟังดังนั้นก็ทรงยินดี รับผลไม้จากพราหมณ์แล้ว ตรัสให้พราหมณ์ตามเสด็จเข้าไปในคลังทอง อันเป็นที่ซึ่งทองซายกองอยู่หลายพ้อม แล้วตรัสให้พราหมณ์ขนเอาไปเต็มแรงจะขนได้ พราหมณ์ก็เปลื้องผ้าออกห่อทองซายแลบรรจุในที่ต่างๆ ซึ่งจะบรรจุได้ รวมทั้งในปากอันพูดคล่องแลไม่มีฟันนั้นด้วย ครั้นพราหมณ์ออกจากวังไปแล้ว พระภรรตฤราชก็เสด็จไปสู่ตำหนักแห่งพระชายาองค์ใหม่ ประทานผลไม้แก่นางแล้วตรัสว่า “เจ้าจงกินผลไม้อำมฤตนี้เถิด ความงามของเจ้าจะอยู่ให้ข้าชมไปชั่วกาลนาน”

พระชายาซึ่งมีหน้าเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ มีผมดังเมฆสีนิลโลหิตซึ่งอุ้มฝนห้อยอยู่บนฟ้า มีผิวซึ่งเย้ยดอกมะลิให้ได้อาย ฯลฯ ฯลฯ ทรงรับผลไม้อำมฤตจากพระภรรตฤราชแล้ว วางพระหัตถ์บนอุระพระสวามี จุมพิตพระเนตรแลพระโอษฐ์ พลางทูลว่า “พระองค์จงเสวยผลไม้นี้เถิด หรือมิฉะนั้นแบ่งเสวยกับข้าพเจ้าองค์ละครึ่งผล เพื่อจะได้ยืนชนมายุไปด้วยกัน ความเป็นสาวอยู่เสมอนั้น ถ้ามิได้มีชายผู้เป็นที่รักอยู่ด้วยแล้วประโยชน์อันใดจะมีเล่า”

พระภรรตฤราชทรงฟังดังนั้น ก็แช่มชื่นในพระหฤทัย แต่ตรัสแก่นางว่า ผลอำมฤตนั้นต้องกินคนเดียวหมดผล จึ่งจะมีคุณดังกล่าว ถ้าแบ่งกินคนละครึ่งก็ไม่มีประโยชน์เลย รับสั่งเท่านั้นแล้วก็เสด็จไปจากตำหนักนาง ทิ้งผลอำมฤตไว้ให้เสวยตามสบาย

ฝ่ายพระชายาผู้มีหน้าเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ มีผมเหมือนเมฆสีนิลโลหิตซึ่งอุ้มฝนห้อยอยู่บนฟ้าฯลฯ ฯลฯ ครั้นพระสามีเสด็จพ้นตำหนักไปแล้ว นางก็ตรัสให้คนสนิทไปตามอำมาตย์หนุ่มผู้เป็นที่พึ่งพระหฤทัยไปที่ตำหนัก แลประทานผลอำมฤตแก่อำมาตย์หนุ่มด้วยกิริยาแลวาจาซึ่งสำแดงเสนหาอย่างน้อยเสมอกับที่ได้แสดงต่อพระภรรตฤราชผู้สวามี อำมาตย์หนุ่มรับผลอำมฤตด้วยกิริยาแลวาจาซึ่งสำแดงเสนหาไม่หย่อนกว่าที่นางสำแดง แล้วกลับจากตำหนักพระชายา พบนางสนมรูปงามคนหนึ่ง ซึ่งเป็นที่พิสวาทของอำมาตย์หนุ่ม ๆ ก็ให้ผลอำมฤตแก่นางนั้นด้วยกิริยาแลวาจาซึ่งสำแดงเสนหาไม่หย่อนกว่าที่ได้แสดงต่อพระชายา ประมาณ ๕ นาฑีซึ่งพ้นมาแล้ว นางสนมรูปงามได้รับผลไม้สำคัญ ไม่ทราบเรื่องแต่เดิมมา คิดจะหาความชอบต่อพระภรรตฤราช โดยความฝันว่าจะได้เป็นใหญ่ จึ่งนำผลไม้ไปถวาย ทูลว่าเป็นผลอำมฤตซึ่งถ้าเสวยให้หมดผล จะทรงพระชนม์ยืนยาวชั่วกัลปาวสาน

พระภรรตฤราชทรงรับผลอำมฤตจากนางแล้วประทานทรัพย์เป็นรางวัลมากมาย ครั้นนางออกจากที่เฝ้าแล้ว ก็ทรงถือผลไม้ในพระหัตถ์พิศพลางทรงรำพึงว่า

“มายาคือความมั่งคั่ง แลมายาคือความรักนี้มีคุณดีที่ไหนบ้าง ความชื่นบานอันเกิดแต่มายาทั้งสองนี้อยู่ได้ครู่เดียวก็กลับเป็นความขมตลอดชาติ ศฤงคารนี้เหมือนเหล้าในถ้วยของนักเลงสุรา เมื่อจิบครั้งแรกมีรสดีเอิบอาบไปทั่วกาย ยิ่งดื่มบ่อยเข้ายิ่งหย่อนรส ในที่สุดเป็นทุกข์อันหนัก ชีวิตนี้มิใช่อื่นไกล คือความหมุนเวียนแห่งความชื่นบานซึ่งเป็นความหลง กับความเร่าร้อนซึ่งเป็นความจริงเท่านั้น วันที่จะตื่นจากชีวิตก็คือวันที่สิ้นสุดแห่งชีวิตนั้นเอง ทางที่สองรองความตื่นจากชีวิตนี้ก็คือความเป็นดาบสไว้ศรัทธาในตบะเพื่อพระผู้เป็นเจ้าจะได้ทรงกรุณาประทานในโลกน่า ความสุขซึ่งไม่ประทานในโลกนี้”

เราได้กล่าวมาในเบื้องต้นว่า พระภรรตฤราชเป็นผู้มีหฤทัยซึมเซา ชวนจะเป็นฤษีอยู่เสมอ ๆ แล้ว ถ้อยคำที่ทรงรำพึงนี้เป็นคำของคนที่ใกล้จะออกป่าเป็นดาบส เราท่านฟังดูไม่เห็นได้ความเป็นเรื่องเป็นราวอะไร เพราะเรายังห่างไกลจากความเป็นดาบสมาก แลมิได้แสวงที่จะออกป่าเป็นฤษีเลย ส่วนพระภรรตฤราชนั้น เมื่อทรงรำพึงเช่นกล่าวนั้นแล้ว ก็ตกลงในหฤทัยว่าจะออกป่าเป็นโยคี แต่ยังอยากจะสนทนากับพระชายาผู้มีหน้าเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ ฯลฯ ฯลฯ อยู่ จึงเสด็จไปตำหนักนาง ซ่อนผลอำมฤตไปด้วย ครั้นเสด็จจึงตรัสถามว่าผลอำมฤตที่ประทานนั้น นางเสวยแล้วหรือ นางทูลตอบว่า “ไฉนพระองค์จึ่งตรัสถามเช่นนี้ ข้าพเจ้าได้รับประทานก็กินแล้วเป็นแน่ พระองค์ทรงเห็นข้าพเจ้าสวยน้อยไปกว่าเมื่อตะกี้นี้หรือ”

พระภรรตฤราชทรงอยิบผลอำมฤตออกชูให้นางดู แล้วมีดำรัสแก่ราชบุรุษอำนวยวิธีตัดหัวนางอย่างละเอียด ส่วนผลอำมฤตนั้นมีรับสั่งให้ล้างจนสิ้นมลทินที่ติดจากมือคนต่าง ๆ แล้ว ก็เสวยหมดทั้งผลแล้วทิ้งราชสมบัติเข้าป่าเป็นโยคี คนบางพวกกล่าวว่าพระภรรตฤราชยังทรงโยคะอยู่ในแถบเขาหิมาลัย อันเป็นที่กว้างยากที่ใครจะไปตามพบ คนบางพวกกล่าวว่า เมื่อจำเริญตบะยิ่งๆ ขึ้น ก็ได้เข้ารวมอยู่ในภาวะแห่งพระผู้เป็นเจ้า อันเป็นที่ประมวลคนดีทั่วไป

ส่วนราชสมบัติกรุงอุชชยินี ซึ่งว่างผู้ปกครองนั้นก็ร้อนถึงพระอินทร์ตามเคย พระอินทร์ตรัสให้อสูรตนหนึ่งชื่อปัถพีบาล ลงมาป้องกันกรุงอุชชยินีมิให้มีภัยมาถึง ต่อเมื่อพระวิกรมาทิตย์กลับเข้ากรุงเมื่อใด จึ่งให้อสูรกลับไปที่อยู่ได้ ปัถพีบาลรับเทวบัญชา ดังนั้นก็มาอยู่ประจำการที่กรุงอุชชยินี เฝ้ายามทั้งวันทั้งคืนมิให้ภัยมีมาได้

ฝ่ายพระวิกรมาทิตย์ เมื่อเสด็จพาพระโอรสปลอมเป็นโยคี เที่ยวเตร็จเตร่ตามเมืองแลป่าต่าง ๆ ประมาณปีหนึ่ง ก็บังเกิดเบื่อหน่าย เพราะเสื้อผ้าเครื่องทรงไม่สบายควรแก่ราชูปโภค บางคราวก็หิว บางคราวก็ต้องต่อสู้สัตว์ป่าที่นึกว่ากษัตริย์ ๒ องค์คือเนื้อ ๒ ก้อน อนึ่งพระราชาทิ้งราชสมบัติไปนานก็คิดเป็นห่วง เกิดวิตกต่างๆ ทั้งได้ยินลือกันว่าพระภรรตฤราชทิ้งเมืองเข้าป่าเป็นฤษีไปเสียแล้ว เหตุเหล่านี้รวมกันทำให้พระวิกรมาทิตย์พาพระโอรสหันพระพักตร์สู่นคร สององค์ทรงด่วนดำเนิรหลายวัน ถึงประตูนครเวลาเที่ยงคืน พอจะเสด็จเข้าเมืองก็มีผู้มีกายใหญ่ยืนขวางประตู ร้องถามด้วยเสียงดังสนั่นว่า “ใครมา จะไปไหน จงหยุดอยู่กับที่แลบอกชื่อไปก่อน”

พระวิกรมาทิตย์ทรงโกรธเป็นกำลัง ตรัสว่า “เราคือพระราชาวิกรมาทิตย์ จะกลับเข้าสู่นครของเรา เจ้าคือใครจึงกำเริบมาห้ามฉะนี้”

อสูรปัถพีบาลตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่เทพดาให้มารักษาเมืองนี้ ถ้าท่านคือพระวิกรมาทิตย์จริง จงมาสู้กันลองฤทธิ์ดูก่อน”

พระราชาตรัสว่า"ตกลง” เพราะไม่โปรดจะทำอะไรยิ่งกว่ารบ ครั้นทรงเหน็บผ้าทรงมั่นคงแล้ว ก็ตรงเข้าต่อสู้กับอสูร อสูรนั้นกำหมัดเท่าผลแตงโม ลำแขนแข็งราวตะบองเหล็ก ฟาดลงมาแต่ละครั้งดังต้นไม้ใหญ่ซึ่งพายุพัดล้มฟาดลงมา ส่วนพระราชานั้นสูงเพียงสะดือยักษ์ ยักษ์ก้มลงฟาดกำหมัดคราวไรก็ตวาดด้วยเสียงอันดัง คนที่ไม่กล้าหาญมั่นคงอาจแพ้เพราะเสียงนั้นอย่างเดียว

ต่อสู้กันอยู่ครู่หนึ่ง ยักษ์เหยียบพลาดล้มลง พระราชบุตรเข้าช่วยนั่งทับอยู่บนท้องยักษ์ พระราชาขึ้นขี่อยู่บนคอ สองพระหัตถ์จิกลงไปในกระบอกตา ตรัสว่าถ้ายักษ์ไม่ยอมแพ้จะควักดวงตาออกเสีย

ยักษ์ร้องทูลว่า “พระองค์ได้ทีแล้ว นับว่าทำให้ข้าพเจ้าล้มได้ ข้าพเจ้ายอมถวายชีวิตของพระองค์แก่พระองค์”

พระวิกรมาทิตย์ทรงสำรวลแลตรัสว่า “เจ้าจะเป็นบ้าดอกกระมัง เจ้าอยู่ในอำนาจของข้าแล้ว ข้าจะตัดลมหายใจเจ้าเสียก็ได้ในบัดนี้ เจ้าจะกลับมาให้ชีวิตของข้าแก่ข้าอย่างไรเล่า เจ้าไม่ต้องให้ชีวิตข้า ๆ ก็มีชีวิตต่อไปได้”

ยักษ์ตอบว่า “พระองค์อย่ากล่าวเย่อหยิ่งให้เกินไป พระองค์ตั้งอยู่ในความไม่รู้พระองค์จะสิ้นชีวิตในเร็ววันนี้เอง ถ้าข้าพเจ้าช่วยให้พระองค์พ้นภัยถึงแก่ชีวิต ก็คือข้าพเจ้าถวายชีวิตแก่พระองค์ พระองค์จงฟังเรื่องซึ่งข้าพเจ้าจะเล่าถวาย แล้วทรงตรึกตรองดูเถิด ถ้าเชื่อข้าพเจ้าแลทำตามคำข้าพเจ้า พระองค์จะทรงชนมายุยืนยาวประกอบด้วยผาสุกสวัสดี เป็นที่พึ่งของประชาราษฎร์ไปชั่วกาลนาน แลเมื่อถึงคราวดับพระชนม์ ก็จะดับด้วยความไม่กระสับกระส่าย”

พระราชาแลพระราชบุตรเสด็จลงจากตัวยักษ์ยืนอยู่ยังดิน ยักษ์ลุกขึ้นนั่งแล้วเล่าเรื่องดังต่อไปนี้

“ในกรุงอุชชยินีมีคนเกิดในวันเดือนปีเดียวกันแลฤกษ์เดียวกัน ๓ คน คนที่ ๑ คือพระองค์ผู้ทรงนามพระวิกรมาทิตย์ คนที่ ๒ เป็นบุตรคนค้าน้ำมัน คนที่ ๓ เป็นโยคีฆ่าคนที่ ๒ ตายเสียแล้ว โยคีนั้นฆ่าคนทั้งหลายที่มีโอกาสฆ่าได้เพื่อบูชานางทุรคา ครั้นฆ่าบุตรคนค้าน้ำมันแล้ว โยคีก็ไปทำตบะห้อยตัวเองเอาหัวลงอยู่บนต้นไม้ในป่าช้า มีความคิดจะฆ่าพระองค์ผู้เป็นพระราชา แลได้ฆ่าแล้วซึ่งบุตรของตน”

พระราชาตรัสถามว่า “โยคีเหตุไรจึ่งมีบุตร”

ยักษ์ตอบว่า “ข้าพเจ้ากำลังจะเล่าอยู่เดี๋ยวนี้ ในเวลาซึ่งพระราชบิดาของพระองค์ยังทรงพระชนม์ครองราชสมบัติอยู่นั้น วันหนึ่งเสด็จออกเที่ยวป่า ได้ทอดพระเนตรเห็นโยคีตนหนึ่งนั่งทำตบะอยู่ในป่า ฝูงปลวกพากันมาทำรังเกาะอยู่รอบตัวโยคี สัตว์เลื้อยคลานต่างๆ พากันไต่ตามกายแลหน้า หมาร่าทำรังห้อยอยู่บนผม แต่โยคีก็มิได้รู้สึกตัว นั่งนิ่งเหมือนคนไม่มีใจ ต่อพิจารณาละเอียดจึงเห็นได้ว่ามีชีวิต พระราชาทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็แปลกพระหฤทัย สักครู่หนึ่งก็เสด็จคืนพระนคร ทรงม้านิ่งตรึกตรองตลอดทาง ครั้นถึงพระนครก็รับสั่งถึงโยคีนั้นร่ำไป ยิ่งทรงนึกถึงแลรับสั่งถึงก็ยิ่งใคร่ทรงทราบเรื่องแลทดลองตบะแห่งโยคีนั้น ในที่สุดมีรับสั่งให้ป่าวร้องทั่วพระนครว่า ถ้าผู้ใดทำให้โยคีเข้ามาในพระนครได้โดยลำพังความชักชวน จะประทานรางวัลมีจำนวน ๑๐๐ เหรียญสุวรรณ์

“ยังมีนางเวศยาคนหนึ่งชื่อนางวสันตเสนา มีชื่อเสียงชำนาญการร้องรำทำเพลงยิ่งกว่าสามารถสำรวมฤดี นางนั้นเข้าไปเฝ้าพระราชบิดาของพระองค์ อาศาจะนำโยคีเข้ามายังท้องพระโรง แลจะให้แบกทารกมาด้วย พระราชาทรงฟังก็สงสัยคำที่นางกล่าวว่าจะทำได้ แต่ประทานใบพลูแก่นางใบหนึ่งเป็นสัญญา ตกลงให้ทำตามอาศา แล้วประทานอนุญาตให้ออกจากท้องพระโรงไป”

“นางวสันตเสนาครั้นออกจากที่เฝ้าแล้วก็ไปยังป่าเที่ยวหาโยคีพบนั่งหิวแลกระหายน้ำอยู่แทบใกล้ต้นไม้ใหญ่ มีอาการเหมือนใกล้จะสิ้นชีวิตด้วยความร้อนแลความหนาว นางจึ่งทำอาหารน้ำอย่างหนึ่งซึ่งมีรสหวานแหลม ค่อยย่องเข้าไปใกล้แล้วค่อยๆ ป้ายอาหารนั้นที่ปากโยคี ๆ รู้สึกถึงความหวานก็เลียอาหารนั้นเข้าไป นางก็ป้ายเติมอีกเป็นหลายครั้ง ครั้นวันที่สามโยคีค่อยมีกำลัง พอรู้สึกนิ้วป้ายที่ปากก็ลืมตาขึ้นดู เห็นนางวสันตเสนาก็ถามว่า “เจ้ามาที่นี่ทำไม”

“นางวสันตเสนาเตรียมตอบไว้แล้ว ครั้นโยคีถามดังนั้นก็ตอบว่า ‘ข้าพเจ้าเป็นลูกสาวเทวดา ได้กระทำพรตอยู่ในสวรรค์ บัดนี้ข้าพเจ้าลงมาพักอยู่ในป่านี้เพื่อจะถือพรตต่อไป’”

“โยคีเห็นนางรูปร่างงามก็คิดว่าการทรงพรตอยู่ใกล้ ๆ นางมีโฉมเช่นนี้ สำราญกว่าอยู่คนเดียวมาก จึ่งถามว่าที่อยู่ของนางอยู่ไหน นางวสันตเสนาก็ชี้ว่าอยู่ใกล้ ๆ นั้นเองแล้วแกะดินปลวกให้หลุดจากกายโยคี ชักชวนให้อาบน้ำชำระกาย แล้วพาไปที่กระท่อมซึ่งได้จัดให้มีผู้มาสร้างขึ้นเตรียมไว้ในป่านั้น ครั้นถึงกระท่อมได้เห็นของดี ๆ ต่าง ๆ ซึ่งควรแก่ชาวนคร ล้วนเป็นสิ่งซึ่งโยคีไม่เคยพบเห็น โยคีก็พิศวงยิ่งนัก นางวสันตเสนาก็อธิบายว่า นางถือพรตชะนิดที่ต้องใช้ของดีที่สุดซึ่งจะหาได้ ต้องแต่งตัวให้สวย ต้องกินอาหารประกอบด้วยรสทั้ง ๖ ทั้งต้องบำรุงความรื่นเริงต่าง ๆ (ชรอยจะทำนองเดียวกันกับชนหมู่หนึ่งซึ่งนับถือคำสั่งสอนของวัลลภาจารย์ ยังมีอยู่ในอินเดียจนถึงทุกวันนี้)

“ครั้นไปถึงกระท่อมนางวสันตเสนาก็เลี้ยงดูโยคีเป็นอันดี ฝ่ายโยคีเมื่อได้รู้รสทั้ง ๖ ก็ชอบใจละพรตอย่างเก่ามาถือพรตอย่างใหม่ ถือการกินแลดื่มแทนการอด มิช้าก็ได้อยู่กินกับนางวสันตเสนาตามวิธีคนธรรพวิวาหะครั้น ๑๐ เดือนล่วงแล้วไปก็มีบุตรคนหนึ่ง ดังนี้โยคีจึ่งมีบุตร

“ฝ่ายนางวสันตเสนาครั้นมีบุตรแล้ว วันหนึ่งจึงชักชวนโยคีผู้สามีว่า ดูกรท่านผู้ทรงโยคะ เราได้ถือพรตมาในป่านี้ช้านานแล้ว มาเราไปยังท่าน้ำอันเป็นบุณยสถานต่างๆ เพื่อล้างกายให้หมดบาปเป็นที่จำเริญสุขต่อไป”

“โยคีได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ จึ่งแบกทารกผู้บุตรขึ้นบ่า แล้วออกเดินตามนางผู้ภริยา นางก็นำตรงเข้ากรุงอุชชยินี เข้ายังท้องพระโรงในเวลาที่พระราชาประทับอยู่ท่ามกลางอำมาตย์มนตรี ทอดพระเนตรเห็นนางวสันตเสนานำโยคีแบกทารกเข้ามา ก็ทรงพระสรวลตรัสว่า “อโห. หญิงเวศยาไปพาโยคีแบกทารกมาแล้ว”

“พวกอำมาตย์มนตรีพร้อมกันทูลว่า ‘พระองค์ตรัสถูกแท้ หญิงคนนี้เจียวรับจะไปพาโยคีมา นางรับจะทำอันใดก็ทำอันนั้นสำเร็จแล้วทุกประการ’

“พระราชาได้ทรงฟังก็ทรงพระสรวล ผู้ที่เฝ้าอยู่ก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน ประหนึ่งโยคีเป็นเครื่องสนุกอย่างใหญ่ ฝ่ายโยคีเมื่อได้ยินพระราชาตรัสแลได้ยินคนอื่นๆ พูดแล้วหัวเราะเกรียวกราวดังนั้น ก็คิดว่าพวกนี้เจียวแต่งนางไปล่อเราให้เสียผลแห่งตบะที่ได้บำเพ็ญมา ครั้นรู้สึกเช่นนั้นแล้วก็แบกลูกขึ้นบ่า สาปคนทั้งหลายที่อยู่ในที่นั้น แล้วออกจากท้องพระโรงไป คำที่โยคีสาปนั้นไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะเสียตบะเสียแล้ว”

“ครั้นโยคีกลับไปถึงป่าก็ฆ่าบุตรของตนเสียแล้วเริ่มทำตบะใหม่ มาตรหมายจะแก้แค้นพระราชบิดาแห่งพระองค์ บัดนี้พระราชบิดาก็สิ้นพระชนม์ไปแล้ว โยคีตั้งหน้าจะทำร้ายพระองค์ต่อไป หวังจะเอาเลือดพระราชา และพระราชบุตรเป็นเครื่องบูชานางทุรคา เพื่อได้รับความเป็นใหญ่ในโลกเป็นรางวัล”

ปัถพีบาลเล่าเรื่องจบแล้ว ก็ทูลพระวิกรมาทิตย์ว่า “ข้าพเจ้าได้กล่าวสัญญาแล้วว่าจะช่วยชีวิตพระองค์ พระองค์จงฟังข้าพเจ้าเถิด ต่อไปนี้จงระวังพระองค์ อย่าเชื่อคำผู้มีสำนักในหมู่คนตาย และทรงจำใส่พระหฤทัยไว้ว่าผู้ใดมุ่งจะฆ่าชีวิตพระองค์ พระองค์อาจตัดหัวผู้นั้นเสียก่อนได้โดยครองธรรม ต่อนั้นไปจะทรงครอบครองสกลโลกด้วยความสุขปรากฏพระนามไปชั่วกาลนาน”

ปัถพีบาลทูลเท่านั้นแล้วก็อันตรธานไป พระวิกรมาทิตย์กับพระราชบุตรก็เสด็จเข้าไปในพระนคร

ฝ่ายชาวเมือง ครั้นพระราชาเสด็จคืนครองราชสมบัติก็พากันยินดีรื่นเริง ต่างแต่งกายโอ่อ่าประกวดกัน บ้างก็ร้องรำทำเพลง บ้างก็ประโคมดนตรีกึกก้องไป เนาวรัตนกวีก็แต่งกลอนยอพระเกียรติเชิดชูเป็นเครื่องจำเริญพระยศ พระราชาก็ทรงสำราญ แวดล้อมด้วยพระราชวงศ์ อำมาตย์มนตรีแลจัตุรงคเสนา เหมือนหนึ่งสุรเทพนิกรแวดล้อมศักรเทวราชครองราชัยอยู่ในกรุงอมราวดีจัดเป็นทิพยนครฉะนั้น

ฝ่ายพระวิกรมาทิตย์ ครั้นสงบความรื่นเริงในการเสด็จคืนพระนครแล้ว ก็ทรงปกครองประชาราฎร์โดยเยี่ยงอย่างประเสริฐ คนทำผิดก็ลงราชทัณฑ์ตามโทษานุโทษ เป็นต้นว่าอำมาตย์คนหนึ่งขึ้นชื่อว่ารับสินบล ก็โปรดให้ริบทรัพย์สมบัติของอำมาตย์นั้นไปขึ้นท้องพระคลังเสียสิ้น คนชาติต่ำคนหนึ่งมีกลิ่นเหล้าออกจากปาก ก็โปรดให้สักหน้าเป็นเครื่องหมายโทษ ช่างทองคนหนึ่งประกอบการฉ้อโกง ก็โปรดให้เอามีดโกนขีดเนื้อเป็นรอยยาว ๆ เหมือนฉีกผ้า คนหนึ่งเป็นคนปากร้ายพูดจาให้โทษ ก็โปรดให้เจาะที่กระโหลกหลังศีร์ษะแล้วเอาคีมจับลิ้นลากย้อนรอยไปออกทางช่องซึ่งเจาะนั้น คนฆ่าคนตายสองสามคนก็โปรดให้เอาขึ้นเผาทั้งเป็นบนตารางเหล็ก แลโปรดให้อ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้าในขณะเดียวกันให้คนเหล่านั้นพ้นโทษซึ่งน่ากลัวจะได้รับในปรโลก

ส่วนการรบแย่งเมืองของผู้อื่น ก็ได้ทรงทำด้วยความสามารถ มิช้าก็มีอาณาจักรไปในสกลโลก

วันหนึ่งพระวิกรมาทิตย์เสด็จออกว่าราชการเมือง มีพ่อค้าคนหนึ่งเข้าไปเฝ้าในท้องพระโรง พ่อค้าคนนี้มาจากเมืองไกลขึ้นชื่อว่ามั่งมีนัก ครั้นได้เข้าเฝ้าก็นำผลไม้ผลหนึ่ง ไปถวายพระราชาแล้วทูลลาไป เมื่อพ่อค้าไปแล้ว พระวิกรมาทิตย์ทรงดำริว่า คนที่ยักษ์บอกให้เราระวังนั้น อาจเป็นคนนี้ก็ได้ไม่ควรเราจะกินผลไม้นี้ ทรงดำริฉะนั้นแล้ว ก็ตรัสเรียกชาวคลังมารับผลไม้ไปรักษาไว้ รุ่งขึ้นพ่อค้าก็เข้าไปเฝ้าอีก แลถวายผลไม้อีกผลหนึ่ง พระราชาก็ตรัสให้ชาวคลังรับผลไม้นั้นไปเก็บไว้อีก เป็นดังนี้ทุกวันจนผลไม้มีอยู่ในคลังกองใหญ่

วันหนึ่งพระวิกรมาทิตย์เสด็จลงไปทอดพระเนตรม้าณโรงม้าต้น ประสพเวลาที่พ่อค้าไปเฝ้า พ่อค้าก็ถวายผลไม้ที่โรงม้า พระราชาทรงรับแล้ว ก็ทรงเดาะผลไม้นั้นเล่นแลทรงนิ่งตรึกตรองอยู่ เพอินผลไม้ตกจากพระหัตถ์กลิ้งไปใกล้ลิงซึ่งผูกไว้ในโรงม้าต้น สำหรับคอยรับอุปัทวันตรายต่าง ๆ มิให้เกิดแก่ม้า ลิงเห็นผลไม้กลิ้งไปใกล้ก็ฉวยเอาไปฉีกกิน ทับทิมเมล็ดใหญ่งามช่วงโชติก็ตกจากผลไม้นั้น พระราชาแลข้าราชการที่ตามเสด็จต่างก็พิศวง เพราะไม่มีใครเคยเห็นทับทิมงามเช่นนี้เลย

พระวิกรมาทิตย์ทอดพระเนตรพิศทับทิมอยู่สักครู่หนึ่งก็ระแวงพระหฤทัย ตรัสถามพ่อค้าว่า “เหตุไรเจ้าจึ่งให้ทรัพย์แก่เราถึงเช่นทับทิมเมล็ดนี้”

พ่อค้าทูลว่า “ คัมภีร์โบราณสอนว่า เมื่อจะไปเฝ้าพระราชา ๑ ไปหาอุปัชฌาย์ ๑ ไปหาตุลาการ ๑ ไปหาหญิงสาว ๑ ไปหาหญิงแก่ผู้มีลูกสาวซึ่งเราใคร่ได้ ๑ อย่าให้ไปมือเปล่า ข้าพเจ้าได้ถวายทับทิมเช่นเดียวกันนี้แก่พระองค์มากมายแล้ว เหตุใดจึ่งรับสั่งแต่เมล็ดนี้เมล็ดเดียวเล่า ผลไม้ที่ข้าพเจ้าถวายทุกๆ วันนั้น มีทับทิมอย่างเดียวกับเมล็ดนี้ซ่อนอยู่ข้างในทุกผล”

พระราชาได้ฟังดังนั้น ก็ตรัสเรียกนายคลังให้ไปขนผลไม้มาทั้งสิ้น ครั้นขนมาแล้วก็ตรัสให้ผ่าออกดูพบทับทิมผลละเมล็ดขนาดใหญ่แลน้ำงามเสมอกันทุก ๆ เมล็ด พระวิกรมาทิตย์ทอดพระเนตรเห็นก็ทรงโสมนัส จึงตรัสให้ตามพ่อค้าพลอยเข้ามา แล้วตรัสว่า “ มนุษย์เราเมื่อสิ้นชีวิตแล้ว จะพาสิ่งใดจากโลกนี้ไปสู่โลกหน้าได้นั้นไม่มี ความทรงธรรมเป็นคุณวิเศษยิ่งสิ่งอื่นในโลกนี้ เพราะฉะนั้น เจ้าจงบอกแก่เราว่าทับทิมเหล่านี้เมล็ดหนึ่งๆมีค่าเท่าไร”

พ่อค้าพลอยทูลตอบว่า “พระราชารับสั่งถูกต้องทุกประการ ผู้ใดมีธรรมในใจ ผู้นั้นเป็นเจ้าของสิ่งทั้งปวงในโลก ธรรมย่อมจะเป็นเพื่อนไปในที่ทั้งปวง มีประโยชน์ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า อันทับทิมเหล่านี้ถ้าข้าพเจ้าทูลว่า แต่ละเมล็ดมีราคาถึงสิบล้านล้านเหรียญสุวรรณ (๑๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐) พระองค์ก็ยังไม่ทรงทราบราคาจริงของทับทิมเมล็ดหนึ่ง อันที่จริงราคาทับทิมเหล่านี้แต่ละเมล็ดอาจซื้อทวีปได้ทวีปหนึ่งจากจำนวน ๗ ทวีป ซึ่งรวมกันเป็นโลกนี้”

พระราชาได้ฟังก็ทรงสำราญพระหฤทัย ประทานรางวัลแก่พ่อค้าพลอยแล้ว ตรัสให้พ่อค้าผู้ถวายทับทิมตามเสด็จคืนเข้าท้องพระโรง รับสั่งให้นั่งในที่อันควรแล้วตรัสว่า"ราชัยไอศวรรย์ของเราทั้งหมดไม่มีราคาครึ่งค่อนราคาแห่งทับทิมนี้เมล็ดหนึ่งๆ ท่านเป็นคนหาประโยชน์ในการค้าขาย เหตุไรท่านจึ่งให้ทับทิมแก่เราถึงเท่านี้”

พ่อค้าทูลตอบว่า “ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ คัมภีร์โบราณกล่าวว่าข้อความบางอย่างไม่ควรกล่าวในที่ชุมนุม คือการขอพร ๑ การร่ายมนต์ ๑ การวางยา ๑ การกล่าวคุณความดี ๑ การในเรือน ๑ การกินอาหารที่ห้าม ๑ การกล่าวลบหลู่เพื่อนบ้าน ๑ ถ้าข้าพเจ้าได้เฝ้าฉะเพาะพระองค์ ข้าพเจ้าจะทูลความประสงค์ของข้าพเจ้า การอันใดในโลกนี้ถ้าได้ยินถึง ๖ หู ก็สิ้นเป็นความลับ ถ้าได้ยินเพียง ๔ หู บางทีจะไม่มีใครทราบต่อไป ถ้าได้ยินแต่ ๒ หู แม้พระพรหมก็ไม่ทราบได้” (ตรงนี้เราท่านสมัยนี้ควรเห็นว่า ถ้า ๒ หูนั้นเป็นหูพระพรหม ๆ ก็อาจทราบได้บ้างกระมัง)

พระวิกรมาทิตย์ทรงฟังดังนั้น ก็รับสั่งให้พ่อค้าเข้าไปเฝ้าในที่ลับแล้วตรัสว่า “ท่านได้ให้ทับทิมแก่เรามากมายฉะนี้ เรายังมิได้ทำอันใดตอบแทนท่านเลย แม้จะได้เลี้ยงอาหารจนครั้งหนึ่งก็หามิได้ ท่านจะประสงค์สิ่งใดก็จงบอกเราเถิด”

พ่อค้าทูลตอบว่า “ข้าพเจ้ามิใช่พ่อค้า ข้าพเจ้าเป็นโยคีชื่อศานติศีล ข้าพเจ้ากำลังจะกระทำพิธีอันหนึ่งในป่าช้าริมฝั่งแม่น้ำโคทาวรี เมื่อข้าพเจ้าทำสำเร็จแล้ว จะได้ความเป็นใหญ่ในโลก ข้าพเจ้าขอเชิญพระองค์และพระธรรมธวัชผู้พระราชบุตรช่วยข้าพเจ้าในการนี้ เชิญเสด็จไปที่ป่าช้าคืนหนึ่ง และกระทำการตามสั่งข้าพเจ้าทุกประการ ถ้าพระองค์โปรดข้าพเจ้าเช่นนี้ การพิธีของข้าพเจ้าจะสำเร็จ”

พระวิกรมาทิตย์ได้ยินกล่าวถึงป่าช้า ก็สดุ้งพระหฤทัยด้วยระลึกถึงคำที่ยักษ์ทูลไว้ แต่พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ ทรงทราบวิธีซ่อนความรู้สึกมิให้ปรากฏในกิริยาอาการ โยคีศานติศีลจะได้ทราบว่าทรงระแวงนั้นหามิได้ พระวิกรมาทิตย์ทรงนิ่งอยู่สักครู่หนึ่ง ทรงดำริว่าได้ลั่นพระโอษฐ์แล้ว ถ้าไม่ทำตามจะเสียคำไป จึ่งตรัสว่า “เราจะไปยังป่าช้าแลช่วยท่านในพิธีที่กล่าวนั้น ท่านจงบอกกำหนดวันแลเวลาเถิด”

โยคีทูลว่า “เชิญเสด็จไปที่ป่าช้าจำเพาะแต่พระองค์กับพระราชบุตร มิให้มีคนตามเสด็จ แต่ให้ทรงถืออาวุธไปด้วย กำหนดวันจันทร์แรม ๑๔ ค่ำเดือนนี้”

พระราชาทรงรับแม่นมั่นแล้ว โยคีก็ทูลลาจากวังไปเตรียมการสำหรับพิธีที่กล่าวนั้น

ฝ่ายพระวิกรมาทิตย์ ครั้นโยคีทูลลาไปแล้วก็เสด็จขึ้นข้างใน ทรงดำริข้อความซึ่งประทานคำมั่นแก่โยคีไม่มีท่าทางจะถอยได้ แต่การอันนี้เป็นเครื่องซึ่งอาจให้ได้อาย จึ่งมิได้รับสั่งแพร่งพรายแก่ใคร แม้อำมาตย์ที่สนิทก็มิได้ตรัสให้รู้เรื่อง

ครั้นถึงกำหนดกลางคืนแรม ๑๔ ค่ำ พระราชากับพระราชบุตรก็เตรียมพระองค์ทรงผ้าโพกพันไปใต้คาง ทรงถือดาบอันเป็นอาวุธคู่พระหัตถ์สามารถสู้อริทั้งที่เป็นมนุษย์แลอมนุษย์ สององค์พากันเสด็จออกจากวังดำเนิรไปตามถนน บ่ายพระพักตร์สู่ป่าช้าซึ่งอยู่ริมแม่น้ำโคทาวรี

คืนนั้นมืดนัก พายุพัดฝนตกเยือกเย็น ผู้คนไม่มีเดิรไปมาในถนน พระราชาแลพระราชบุตรตั้งพระพักตร์รีบดำเนิรไปจนเห็นแสงไฟอยู่กลางป่าช้า ก็เสด็จตรงเข้าไปหาแสงไฟ เมื่อถึงขอบป่าช้าพระราชาหยุดชะงัก เพราะรังเกียจเหยียบพื้นดินโสโครกด้วยซากศพ ทรงเหลียวดูพระราชบุตรเห็นมิได้ครั่นคร้ามเลย สององค์ก็ทรงดำเนิรตรงเข้าไป

สักครู่หนึ่งถึงกลางป่าช้า พระราชาทอดพระเนตรเห็นสิ่งซึ่งเป็นที่น่ารังเกียจต่าง ๆ อยู่ล้อมกองไฟซึ่งได้เผาศพใหม่ ๆ ภูตผีปิศาจปรากฏแก่ตารอบข้าง เสือคำรามอยู่ก็มี ช้างฟาดงวงอยู่ก็มี หมาไนซึ่งขนเรืองๆอยู่ในที่มืดก็กินซากศพซึ่งกระจัดกระจายเป็นชิ้นเป็นท่อน หมาจิ้งจอกก็ต่อสู้กันแย่งอาหารคือเนื้อและกระดูกมนุษย์ หมีก็ยืนเคี้ยวกินตับแห่งทารก ในที่ใกล้กองไฟเห็นรูปผีนั่งยืนและลอยอยู่เป็นอันมาก ทั้งมีเสียงลมและฝน เสียงสุนัขเห่าหอน เสียงนกเค้าแมวร้อง และเสียงกระแสน้ำไหลกลบกันไป

ในท่ามกลางสิ่งที่น่าเกลียดและน่ากลัวเหล่านี้ โยคีศานติศีลนั่งอยู่ใกล้กองไฟ มีกะโหลกศีร์ษะวางอยู่บนขา มือถือกระดูกแข้งมือละท่อน เคาะกะโหลกเป็นเพลงให้ภูตต่างๆรำและโลดไปมาอยู่รอบข้าง

พระวิกรมาทิตย์ทรงความกล้าอย่างที่สุด ดังจะเห็นได้ในเวลาที่รบยักษ์นั้นแล้ว แต่ความกล้านั้นประกอบด้วยความระมัดระวังพระองค์ ครั้นเห็นมนุษย์แวดล้อมด้วยผีดังนั้นก็ซ้ำคิดถึงคำยักษ์ เห็นเป็นช่องอันดีที่จะทำลายศัตรูซึ่งมุ่งร้ายต่อพระองค์ ทรงคิดว่าในขณะนั้นถ้าตรงเข้าไปฟันด้วยพระแสงดาบอันคมกล้าให้หัวโยคีขาดไป ก็จะทำได้สำเร็จประสงค์โดยง่าย แต่ทรงรำลึกว่า ได้ทรงสัญญาเสียแล้วว่าจะมารับใช้โยคีในคืนวันนั้น จำต้องปฏิบัติตามข้อสัญญา และระวังพระองค์คอยหาโอกาสในเวลาข้างหน้าต่อไป

พระราชาทรงดำริห์ฉะนี้ จึ่งเสด็จทรงนำพระราชบุตรเข้าไป กระทำกิริยาเคารพโยคีเป็นอันดี แล้วทรงนั่งลงบนพื้นดินตามคำโยคีทูลเชิญ สักครู่หนึ่งพระราชาตรัสว่า “เรามาทั้งนี้โดยสัญญาจะปฏิบัติคำสั่งแห่งท่าน ท่านจะให้เราทำอันใดจงว่าไปเถิด”

โยคีทูลตอบว่า “พระองค์เสด็จมาถึงแล้ว ก็จงปฏิบัติความประสงค์ข้อหนึ่งของข้าพเจ้าก่อน คือในทิศใต้มีป่าช้าเช่นเดียวกันนี้อีกแห่งหนึ่ง ในป่าช้านั้นมีต้นอโศก บนต้นอโศกนั้นมีศพแขวนอยู่ศพหนึ่ง พระองค์จงไปพาศพนั้นมาให้ข้าพเจ้าโดยเร็ว”

พระราชาทรงฟังดังนั้นก็จับพระหัตถ์พระราชบุตรพากันเดิรไปในทิศใต้ ทรงทราบแน่ในพระหฤทัยว่าศานติศีลนี้เอง คือโยคีซึ่งพระราชบิดาได้ทรงก่ออริ ในเวลานี้ศานติศีลกำลังตั้งพิธีจะทำร้ายพระองค์แลพระราชวงศ์ของพระองค์ จำเป็นพระราชาต้องคิดอุบายป้องกันมิให้โยคีกระทำการเป็นภัยแก่พระองค์ได้ ทรงพระดำริห์เช่นนี้พลางทรงดำเนิรไป ได้ยินเสียงดนตรีของโยคีและเสียงภูตผีปิศาจต่างๆเต้นรำทำเพลงอื้ออึงไปในป่าช้า ทางที่เดินนั้นมืดถึงแก่จะเดิรให้ตรงมิได้ ทั้งมีภูตตามล้อหลอกให้ตกใจ บ้างก็แกล้งขวางจะให้สดุดล้ม บ้างก็เป็นงูมาพันพระชงฆ์ บ้างก็ทำแสงวูบวาบข้างๆ ทางเดิร บ้างก็ทำเสียงดังลั่นใกล้ๆพระองค์ แม้คนที่กล้าก็น่าหวาดเสียว ไม่อาจดำเนิรต่อไปได้ แต่พระราชากับพระราชบุตรก็มิได้ถอย พากันทรงดำเนิรไปจนถึงป่าช้าซึ่งโยคีทูลนั้น สักครู่หนึ่งเห็นต้นอโศกต้นใหญ่ลุกเป็นไฟแดงไปทั้งต้น พระราชาไม่ทรงย่อท้อก็เดิรตรงเข้าไป ประเดี๋ยวได้ยินเสียงร้องบอกกันว่า “ฆ่าเสีย ฆ่าเสียทั้งสองคน จับตัวให้ได้ ช่วยกันจับตัวเผาในไฟบนต้นไม้นี้ให้ไหม้เป็นจุณไป ทำให้รู้สึกพิษไฟแห่งบาดาล”

พระราชาไม่ทรงครั่นคร้าม ก็ตรงเข้าไปถึงต้นไม้ แต่เปลวไฟบนต้นอโศกนั้นมิได้ร้อน เพราะเป็นไฟที่ปิศาจสำแดงหลอกเท่านั้น เมื่อเข้าไปถึงโคนต้นไม้พระราชาก็หยุดพิศดูศพซึ่งแขวนอยู่บนกิ่งอโศก

ศพนั้นลืมตาโพลน ลูกตาสีเขียวเรือง ๆ ผมสีน้ำตาล หน้าสีน้ำตาล ตัวผอมเห็นโครงเป็นซี่ๆ ห้อยเอาหัวลงมาทำนองค้างคาว แต่เป็นค้างคาวตัวใหญ่ที่สุด เมื่อจับถูกตัวก็เย็นชืดเหนียวๆเหมือนงู ปรากฏเหมือนหนึ่งว่าไม่มีชีวิต แต่หางซึ่งเหมือนหางแพะนั้นกระดิกได้

พระวิกรมาทิตย์ทอดพระเนตรเห็นเช่นนี้ก็ทรงคิดในพระหฤทัยว่า ตัวที่ห้อยอยู่นั้นคือเวตาล แต่เดิมทรงคิดว่าศพนี้คือศพลูกชายพ่อค้าน้ำมันซึ่งยักษ์ได้ทูลไว้ว่าโยคีเอาไปแขวนไว้ที่ต้นไม้ ครั้นเมื่อเห็นเป็นเวตาลเช่นนี้ก็ทรงพิศวง แต่ทรงดำริห์ว่าชะรอยโยคีจะแกล้งเปลี่ยนศพลูกชายพ่อค้าน้ำมันให้มีรูปเป็นเวตาลเพื่อจะลวงให้สนิทดอกกระมัง

ทรงคิดเช่นนี้แล้ว พระราชาก็ทรงปีนขึ้นไปบนต้นไม้ ตรัสให้พระราชบุตรยืนหลีกให้ห่างออกไป แล้วทรงพระแสงดาบฟันกิ่งไม้ซึ่งเวตาลห้อยอยู่นั้นขาดตกลงยังดินทั้งเวตาลด้วย ฝ่ายเวตาลเมื่อตกลงถึงดินก็กัดฟันร้องเสียงเหมือนทารกซึ่งได้รับความเจ็บ พระราชาตรัสว่า “อ้ายตัวนี่มีชีวิต” แล้วเสด็จโจนลงจากต้นไม้ตรัสถามเวตาลว่า “เองนี้อะไร”

ตรัสแทบจะยังไม่ทันขาดคำ เวตาลหัวเราะด้วยเสียงอันดังแล้วกลับขึ้นไปห้อยเกาะกิ่งไม้กิ่งอื่นอยู่บนต้นไม้อย่างเก่า ห้อยพลางหัวเราะจนตัวแกว่งไปแกว่งมา

ฝ่ายพระราชาทรงคิดว่าเวตาลนี้คงจะเป็นบุตรชายพ่อค้าน้ำมันเป็นแน่ จำจะต้องปีนขึ้นไปตัดกิ่งไม้ลงมาอีกครั้งหนึ่ง จึ่งตรัสแก่พระราชบุตรว่า คราวหน้าเมื่อเวตาลตกลงมาถึงดิน ก็ให้จับไว้ให้จงได้ ตรัสสั่งแล้วพระราชาทรงปีนขึ้นบนต้นไม้ตัดกิ่งตกลงมาอีกกิ่งหนึ่งพร้อมกับเวตาล พระราชบุตรคอยอยู่ข้างล่างก็ตรงเข้าจับเวตาลไว้แน่น พระราชาเสด็จรีบลงจากต้นไม้เข้าช่วยพระราชบุตรยึดแล้วตรัสถามว่า “เองนี้คือใคร”

ทันใดนั้นเวตาลก็หัวเราะด้วยเสียงอันดัง แล้วลื่นหลุดลอยขึ้นไปเกาะอยู่บนต้นไม้อย่างเก่า ห้อยพลางหัวเราะเย้ยอยู่บนกิ่งไม้อันสูง

ฝ่ายพระราชาเมื่อเวตาลหลุดไปได้ถึงสองครั้งเช่นนี้ก็ทรงพิโรธ ตรัสสั่งพระราชบุตรว่า เมื่อเวตาลตกลงมาถึงดิน ให้ฟันหัวให้ขาดออกไป แล้วทรงปีนขึ้นต้นไม้จับผมเวตาลกระชากจนหลุดจากกิ่งไม้ที่เกาะแล้วทิ้งลงมาถึงดิน พระราชบุตรคอยอยู่ข้างล่างก็ฟันด้วยพระแสงดาบถูกหัวเวตาล ดาบบิ่นไปปรากฏเหมือนหนึ่งฟันหิน พอพระราชาเสด็จลงจากต้นไม้มาถึงดินตรัสถามว่า “เองคือใคร” แทบจะยังไม่ทันสุดสำเนียง เวตาลก็หัวเราะแล้วลอยไปเกาะอยู่บนต้นไม้อย่างเก่า

พระวิกรมาทิตย์เสด็จปีนขึ้นและลงหลายครั้งก็ไม่ย่อท้อ ปรากฏความเพียรเหมือนหนึ่งว่าจะยอมปีนขึ้นปีนลงอยู่จนสิ้นยุค แต่ไม่จำเป็นต้องเพียรนานถึงเท่านั้น เพราะเวตาลยอมให้จับในครั้งที่เจ็ด และกล่าวว่าแม้เทวดาก็ขืนใจคนหัวดื้อไม่ได ้ ฝ่ายพระราชาเมื่อจับเวตาลไว้ได้ ก็ปลดผ้าผืนหนึ่งออกจากพระองค์ผูกเป็นย่ามจะใส่เวตาล เวตาลนิ่งดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ท่านนี้คือใคร ท่านจะทำอะไร”

พระราชาตรัสตอบว่า “เอ็งจงรู้ว่าข้าคือพระวิกรมาทิตย์ พระราชากรุงอุชชยินี ข้าจะจับตัวเองไปให้คน ๆ หนึ่งซึ่งเห็นสนุกในการเคาะกะโหลกหัวผีเป็นเพลงให้ผีฟัง”

เวตาลทูลตอบว่า “พระองค์ผู้เป็นพระราชาจงจำภาษิตโบราณไว้ว่า ลิ้นคนนั้นตัดคอคนเสียมากต่อมากแล้ว ข้าพเจ้าจะยอมตามพระหฤทัยพระองค์และตามเสด็จไปหาบุรุษที่ทำดนตรีด้วยกะโหลกหัวผี พระองค์จะผูกข้าพเจ้าสะพายหลังเหมือนย่ามคนขอทานก็ตามพระประสงค์ แต่พระองค์จงฟังคำข้าพเจ้าจำใส่พระหฤทัยไปตลอดทาง คือข้าพเจ้าเป็นผู้ช่างพูด และทางเดินตั้งแต่ที่นี้ไปถึงป่าช้าซึ่งเพื่อนของพระองค์นั่งทำดนตรีอยู่นั้น กินเวลาชั่วโมงเศษ ในเวลาเดินทางนั้นข้าพเจ้าจะเล่านิทานเล่น เพราะปราชญ์ผู้มีความรู้ย่อมใช้เวลาของตนในเรื่องหนังสือ มิใช่ใช้เวลาในการนอนและการขี้เกียจอย่างคนโง่ ในเวลาเล่านิทานนั้น ข้าพเจ้าจะตั้งปัญหาถามพระองค์ และพระองค์ต้องสัญญาข้อนี้เสียก่อนข้าพเจ้าจึ่งจะยอมไปด้วย คือเมื่อข้าพเจ้าตั้งปัญหาถ้าพระองค์ตอบ จะเป็นด้วยกรรมในปางก่อนบันดาลให้ตอบ หรือด้วยแพ้ความฉลาดของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าล่อให้ทรงแสดงความเย่อหยิ่งว่ามีความรู้ก็ตาม ถ้าตรัสตอบปัญหาข้าพเจ้าเมื่อใด ข้าพเจ้าจะกลับไปที่อยู่ของข้าพเจ้า ต่อเมื่อพระองค์ไม่ตอบปัญหา เพราะได้สติหรือด้วยความโง่เขลาของพระองค์ก็ตาม ข้าพเจ้าจึ่งจะยอมไปด้วย ข้าพเจ้าขอทูลแนะนำเสียแต่ในบัดนี้ ว่าพระองค์จงสงบความหยิ่งในพระหฤทัยว่าเป็นผู้มีความรู้ เมื่อเกิดมาเป็นคนโง่แล้วก็จงยอมโง่เสียเถิด มิฉะนั้นพระองค์จะไม่ได้ประโยชน์ซึ่งนอกจากข้าพเจ้าแล้วไม่มีใครจะอำนวยได้”

พระวิกรมาทิตย์ได้ทรงฟังดังนั้นก็คิดขัดเคืองในพระหฤทัย เพราะพระราชาไม่เคยฟังใครดูหมิ่นว่าโง่ แต่ครั้นจะไม่ยอมสัญญาตามคำเวตาลก็จะไม่ได้ตัวไปดังประสงค์ ทรงดำริห์เช่นนี้แล้วมิได้ตรัสตอบประการใด ทรงจับเวตาลใส่ลงในย่ามยกขึ้นสพายแล้ว ตรัสให้พระราชบุตรรีบตามให้ทัน พลางเสด็จออกรีบทรงดำเนิรไป

ฝ่ายเวตาลครั้นออกเดิรได้สักครู่หนึ่งก็ทูลถามปัญหาสั้น ๆ กล่าวด้วยลมและฝนและโคลนในถนน พระราชามิได้ตรัสตอบประการใด เวตาลจึ่งทูลว่า “ข้าพเจ้าจะเล่านิทานซึ่งเป็นเรื่องจริงถวายในบัดนี้ พระองค์จงฟังเถิด”

  1. ๑. นามวิกรมาทิตย์ คือ วิกรม + อาทิตย์ อ่านว่า วิก๎รมาทิตย์ หรือ วิ กระ มา ทิตย์.

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ