ปลายเรื่อง

เมื่อพระวิกรมาทิตย์ทรงนิ่งอึ้งมิได้ออกพระโอษฐ์ตรัสประการใดดังนั้น เวตาลก็แสดงวาจาอาการประหลาดใจเป็นที่สุด กล่าวชมว่าทรงตั้งมั่นพระหฤทัยดีนัก พระปัญญาราวกับเทวดาและอมนุษย์อื่นที่มีปัญญา จะหามนุษย์เสมอมิได้ แต่ถึงเวตาลจะเห็นแล้วว่าพระราชาตั้งพระหฤทัยจะไม่รับสั่ง ก็ยังไม่ยอมสนิท ยังกล่าวยั่วโดยเพียรจะให้รับสั่งให้จงได้

เวตาลกล่าวว่า “ข้าพเจ้าขอถวายพระพรให้ทรงรับความสำราญ เป็นผลแห่งการที่ทรงนิ่งครั้งนี้ พระองค์ได้ทรงเพียรมาหลายครั้งแล้ว ที่จะห้ามความช่างพูดในพระองค์แต่ก็ไม่สำเร็จ ข้าพเจ้าจะไม่ทูลถามว่าการที่ทรงระงับความช่างพูดนั้น เป็นด้วยความถ่อมพระองค์และความสามารถกุมพระสติไว้ได้ หรือเป็นด้วยความโง่แลความไม่สามารถเท่านั้นเอง การที่ข้าพเจ้าไม่ทูลถามว่า ไม่ทรงตอบเพราะเหตุไรนั้น ก็เพราะข้าพเจ้าต้องการจะไว้พระพักตร์ แลพระองค์ก็คงจะทรงทราบแล้ว ว่าข้าพเจ้าสงสัยว่าไม่ทรงตอบเพราะพระปัญญาทึบ ไม่ทรงทราบว่าจะตอบว่ากระไร หาใช่เป็นด้วยมีพระปัญญาจะตอบได้ถูกต้อง แต่ไม่ทรงตอบเพราะกุมพระสติไว้ได้ไม่ การที่ไม่ทรงตอบปัญหาครั้งนี้ ก็กล่าวได้ว่าเป็นด้วยทรงเชื่อคำแนะนำของข้าพเจ้า แลข้าพเจ้ามีความปลื้มใจที่ทรงเชื่อคำสั่งสอนของเวตาล จึ่งไม่ทูลซักถามว่าทรงเชื่อเพราะความฉลาดกุมสติไว้ได้ หรือเป็นเพราะโง่ไม่รู้จะตอบว่ากระไร แลความไม่ตอบก็เป็นความเชื่อคำสั่งสอนของข้าพเจ้าไปในตัว”

พระวิกรมาทิตย์ทรงกัดริมพระโอษฐ์เพื่อจะห้ามพระองค์เองมิให้ตรัส แลก็ห้ามไว้ได้

เวตาลกล่าวต่อไปว่า “เมื่อพระองค์ทรงรู้สึกความทึบแห่งพระปัญญา แลได้รับทุกข์คืออัดอั้นตันพระหฤทัยถึงเพียงนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็เกิดสงสาร จึ่งยอมระงับความมุ่งหมาย ซึ่งมีมาแต่ในเบื้องต้นว่า จะทำให้ทรงดำเนินทวนไปทวนมาจนสิ้นพระชนม์ลงในระหว่างทาง เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีโอกาสสละศพที่สิงอยู่เดี๋ยวนี้ เข้าสิงศพพระราชาลองดูว่ามีรสชาติเป็นอย่างไรบ้าง อนึ่งข้าพเจ้าได้ถวายสัญญาไว้แต่ในชั้นเดิม ว่าจะถวายประโยชน์อย่างหนึ่งซึ่งไม่มีใครอื่นจะถวายได้ แต่ก่อนที่จะถวายนั้นข้าพเจ้าขอทูลถามว่า พระองค์จะทรงขยับย่ามให้ข้าพเจ้าหายใจสดวกขึ้นอีกหน่อยจะได้หรือไม่”

พระธรรมธวัชพระราชบุตรได้ยินเวตาลทูลถามดังนั้น ก็จับแขนเสื้อทรงพระราชบิดากะตุกเพื่อจะเตือนให้รู้พระองค์มิให้ตรัสตอบเวตาล แต่พระราชบิดารู้สึกพระองค์อยู่แล้ว แม้ใครจะเอาม้ามาลากหลายคู่ ก็ไม่ฉุดให้พระวาจาออกจากพระโอษฐ์ได้ ฝ่ายเวตาลเมื่อเห็นพระราชาทรงนิ่งอยู่ดังนั้น ก็กล่าวต่อไปว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ในหมู่นักรบ พระองค์จงรำลึกถึงคำซึ่งอสูรปัถพีบาลได้ทูลไว้ว่า ผู้ใดมุ่งจะฆ่าชีวิตพระองค์ ๆ อาจตัดหัวผู้นั้นเสียก่อนได้โดยคลองธรรม แลในการข้างน่าซึ่งจะเป็นไปตั้งแต่บัดนี้ พระองค์พึงปฏิบัติตามคำที่อสูรกล่าวนั้น ส่วนพ่อค้าพลอยซึ่งถวายทับทิมแก่พระองค์เป็นอันมาก แลโยคีชื่อศานติศีลซึ่งกระทำพิธีอยู่ที่ป่าช้า ริมฝั่งแม่น้ำโคทาวรีนั้น คือคน ๆ เดียวกันแลมิใช่ใครอื่น คือโยคีซึ่งพระราชบิดาแห่งพระองค์ได้กระทำเหตุให้โกรธ แลมาดหมายจะแก้แค้นเป็นเวรกันอยู่จนบัดนี้ ส่วนข้าพเจ้าผู้เป็นลูกพ่อค้าน้ำมันนั้น โยคีกลัวว่าจะกระทำการกีดกั้นความเป็นใหญ่ในโลกของเขา จึ่งฆ่าข้าพเจ้าเสียด้วยอำนาจตะบะ แลพาศพข้าพเจ้ามาแขวนห้อยหัวไว้ที่ต้นอโศกเป็นเครื่องล่อลวงพระองค์

“โยคีนั้นเป็นผู้ใช้ให้พระองค์มาปลดข้าพเจ้าแบกไปให้แก่เขา แลเมื่อพระองค์ทรงทิ้งข้าพเจ้าลงที่เท้าเขาในคืนวันนี้ เขาจะสรรเสริญความกล้าแลความเพียรของพระองค์ขึ้นไปจนถึงฟ้า ข้าพเจ้าขอทูลให้รู้พระองค์แลระวังพระองค์จงหนัก เพราะโยคีคงจะพาพระองค์ไปที่น่ารูปนางทุรคา แลเมื่อเขาได้บูชาแล้ว เขาจะเชิญให้พระองค์เคารพเทวรูป โดยอัษฎางคประณต”

ตรงนี้เวตาลทูลกระซิบค่อยๆ ประหนึ่งเกรงว่าจะมีผู้ได้ยิน แลนำคำที่กล่าวนั้นไปบอกแก่โยคีศานติศีล ครั้นทูลเสร็จแล้วเวตาลก็ออกจากศพ ทำให้ย่ามซึ่งพระราชาทรงแบกอยู่นั้นเบาเข้าเป็นอันมาก แต่เมื่อได้ออกจากย่ามแล้ว ยังลอยกล่าวสรรเสริญพระราชาและพระราชบุตรอยู่อีก คำสรรเสริญนั้นเป็นไปในทางที่ชมว่าทรงรู้สึกความโง่แลลดหย่อนราชมานะ อันเป็นคุณความดีซึ่งถ้ามีในตัวใคร ผู้นั้นย่อมมีความสุขในโลก

ครั้นเวตาลไปพ้นแล้ว พระวิกรมาทิตย์ก็รีบทรงดำเนินไปถึงป่าช้า พบโยคีกำลังนั่งเคาะกะโหลกหัวผี กล่าวไม่หยุดปากว่า “โห กาลี โห ทุรคา โห เทวี” รอบตัวโยคีนั้นมากไปด้วยรูปกายที่น่าเกลียดน่ากลัวต่างๆ คือผีอสูรทั้งหลายสำแดงรูปต่างๆ กัน บ้างก็เป็นนาค บ้างก็เป็นภูต บ้างก็เป็นรูปแพะใหญ่ซึ่งผีแห่งผู้ฆ่าพราหมณ์ได้เข้าสิงอยู่ บ้างก็เป็นหนอนใหญ่ซึ่งผีแห่งพราหมณ์กินเหล้าเป็นผู้สิง บ้างก็รูปเป็นคนหน้าเป็นม้าแลอูฐแลลิง บ้างก็เป็นรูปคนขาข้างเดียวหูข้างเดียว แลเป็นผีดูดเลือดเพราะเมื่อยังไม่ตายได้ขะโมยของวัด บ้างก็มีรูปเป็นแร้งแลเป็นผีเลว ๆ เพราะเคยเป็นชู้กับเมียอุปัชฌาย์ หรือได้เมียเป็นคนต่ำชาติหรือเป็นผีที่ทำบาปอื่นต่าง ๆ บ้างก็เป็นรูปสัตว์ที่น่าเกลียดแลน่ากลัว กัดกินท่อนแห่งศพมนุษย์ แลทำเสียงกึกก้องไปทั้งป่าช้า

ครั้นพระวิกรมาทิตย์เสด็จเข้าไปใกล้จะถึงตัวโยคี โยคีก็ยกแขนขึ้นเป็นสัญญา เสียงทั้งหลายก็หยุดนิ่งหมด พระราชาก็ทรงทิ้งย่ามศพลงตรงหน้าโยคี โยคีก็แสดงความยินดี แลกล่าวสรรเสริญความมั่นคงของพระราชาเป็นอันมาก แล้วโยคีก็หยิบเอาศพซึ่งเป็นเด็กออกมาจากย่าม แล้วหันหน้าไปทางทิศใต้ ร่ายมนต์อยู่ครู่หนึ่ง ศพนั้นก็มีอาการเหมือนเป็น แล้วโยคีก็ถวายของเป็นเครื่องบูชาพระเทวี คือ พลู, ดอกไม้ ไม้จันทน์, เข้า, ลูกไม้, แลเนื้อมนุษย์ซึ่งไม่เคยถูกคมเหล็ก แล้วเอาเชื้อเพลิงใส่ลงในกะโหลกหัวผี จุดไฟเป่าจนลุกเป็นเปลวใช้แทนโคม ส่องทางนำพระราชาแลพระราชบุตรไปยังเทวรูปนางกาลี เป็นรูปหญิงดำคอขาดจากตัวครึ่งหนึ่ง ลิ้นแลบออกมาจากปากซึ่งอ้ากว้าง ตาแดงเหมือนคนเมา คิ้วแดง แลผมซึ่งเป็นเส้นหยาบนั้นห้อยคลุมลงไปจนถึงเท้า เสื้อผ้าที่คลุมนั้นคือหนังช้างแห้ง สเอวรัดด้วยโซ่ร้อยด้วยมือแห่งยักษ์ ซึ่งนางฆ่าตายในขณะรบ มีศพสองศพห้อยเป็นกุณฑลที่หูสองข้าง แลสร้อยคอนั้นเป็นโซ่กะโหลกหัวคน มือทั้งสี่ถือดาบ, บาศ, ตรี, แลคทา, เท้าหนึ่งเหยียบอกพระศิวะผู้สามี อีกเท้าหนึ่งเหยียบน่อง น่าเทวรูปที่น่ากลัวนี้มีเครื่องใช้ในการบูชาต่างๆ คือตะเกียงหม้อ แลภาชนะอื่นๆ กับสังข์แลฆ้องเป็นต้น ของเหล่านี้มีกลิ่นเลือดทั้งนั้น

ครั้นโยคีพาพระราชาแลพระราชบุตรไปถึงน่าเทวรูปแล้ว ก็ก้มลงวางกะโหลกศีร์ษะที่ถือเป็นโคมนำทางมานั้นลงกับพื้น แล้วหยิบดาบมาถือแอบหลังไว้แลทูลพระราชาว่า

“ข้าแต่พระราชา พระองค์ได้ทรงกระทำตามสัญญาแล้วโดยทางที่ชอบทุกประการ แลเพราะเหตุที่พระองค์เสด็จมาในที่นี้ พิธีของข้าพเจ้าจะเป็นอันสำเร็จดังหมาย พระอาทิตย์ก็จะขับรถข้ามเขาเบื้องตะวันออกอยู่แล้ว เชิญพระองค์ทรงเคารพพระผู้เป็นเจ้าโดยอัษฎางคประณต แลพระเกียรติ์ของพระองค์จะรุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้นไป สิธิทั้งแปดแลนิธิทั้งเก้า จะได้เป็นของพระองค์ แลความจำเริญจะมียืนยาวไปชั่วกาลนาน”

พระวิกรมาทิตย์ทรงฟังดังนั้น รำลึกได้ถึงคำเวตาล จึ่งรับสั่งแก่โยคีโดยอาการเคารพว่า “ข้าพเจ้าเป็นราชาไม่เคยกระทำอัษฎางคประณต ขอท่านผู้เป็นอาจารย์จงทำให้ข้าพเจ้าดูก่อน แล้วข้าพเจ้าจะทำตาม”

โยคีผู้ฉลาดขุดหลุมไว้ล่อพระราชา ก็ตกหลุมที่ตัวเองทำไว้ ครั้นโยคีก้มตัวลงกระทำอัษฎางคประณต พระวิกรมาทิตย์ก็ชักพระแสงดาบออกฟาดถูกศีร์ษะโยคีขาดกระเดนไป ขณะนั้นเทวรูปคว่ำลงมา หากพระธรรมธวัชพระราชบุตรจับพระกรพระราชบิดาเหนี่ยวพระองค์กระชากไปโดยแรง พระราชาจึ่งหลีกพ้นเทวรูปรอดชีวิตไปได้

ในทันใดนั้นมีเสียงกล่าวในอากาศว่า “บุรุษพึงฆ่าคนซึ่งตั้งใจจะฆ่าตนได้โดยคลองธรรม” แลมีเสียงดนตรีแลคำอวยชัยมาจากในฟ้า ทั้งดอกไม้ทิพย์ก็ตกกล่นเกลื่อนไป พระอินทร์แวดล้อมด้วยเทพบริวาร ก็เสด็จมาฉะเพาะพระพักตร์พระวิกรมาทิตย์ แลตรัสให้ขอพรๆหนึ่ง

พระวิกรมาทิตย์ทูลว่า “ข้าแต่พระจอมสวรรค์ ขอพระองค์จงประทานพรให้เรื่องของข้าพเจ้านี้ปรากฏเกียรติ์ไปในโลกชั่วกาลนาน”

พระอินทร์ตรัสว่า “เราให้พรแก่ท่านดังขอ แลตราบใดพระอาทิตย์แลพระจันทร์ยังส่องอยู่ในฟ้า แลฟ้ายังครอบดิน ตราบนั้นให้เรื่องนี้ปรากฏไปในโลก”

ครั้นพระอินทร์เสด็จหายไปแล้ว พระวิกรมาทิตย์ก็ทรงยกศพทั้งสองทิ้งเข้าไปในกองไฟ ก็เกิดพีระสองตน พระวิกรมาทิตย์ตรัสว่า “เมื่อข้าเรียกเจ้าจงมาทันที” แล้วก็พาพระราชบุตรเสด็จคืนเข้าพระราชวัง ทรงปกครองบ้านเมืองเป็นสุขชั่วกาลนาน จนเมื่อพระองค์ซึ่งมีความตายเป็นสภาพเสด็จสู่ปรโลกแล้ว พระเกียรติ์ซึ่งมิรู้ดับยังปรากฏตราบเท่าทุกวันนี้

จบบริบูรณ์

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ