นิทานเวตาลเรื่องที่ ๖

ครั้นพระวิกรมาทิตย์เสด็จกลับถึงต้นอโศก ทรงปีนขึ้นไปปลดเวตาลลงมามัดลงย่ามตามเคย และทรงพาพระราชบุตรออกเดินไปได้หน่อยหนึ่ง เวตาลก็เล่าเรื่องที่กล่าวว่าเป็นเรื่องจริงอีกเรื่องหนึ่งดังนี้

เหนือฝั่งอันงามแห่งแม่น้ำยมุนา มีกรุงชื่อธรรมสถล ในกรุงธรรมสถลมีพราหมณ์คนหนึ่งชื่อเกศวะ พราหมณ์เกศวะเป็นคนบุญ มีปกติเป็นผู้ทำตบะแลบูชายัญณะฝั่งแม่น้ำ เทวรูปที่ใช้บูชาก็ปั้นเองด้วยดินเหนียว หาเที่ยวซื้อจากผู้ที่ทำขายไม่ พราหมณ์ผู้นี้เป็นผู้มีความรู้เมื่ออายุมาก เมื่อยังเด็กเป็นผู้ไม่มีเพียรในทางเล่าเรียน ใช้เวลาเมื่อยังเป็นหนุ่มในการบูชากามเทพและนางรตี มิใคร่ส่างความมัวเมาในกาม เป็นเหตุให้บิดามารดามีเรื่องร้อนใจบ่อย ๆ

วันหนึ่งเกศวะกระทำผิดให้เป็นเครื่องขุ่นเคืองใจบิดามารดาเป็นข้อใหญ่ บิดามารดาจึ่งติเตียนกล่าวแสดงโทษแห่งความประพฤติของบุตรอย่างรุนแรง เกศวะแค้นใจก็หลบหนีออกจากหมู่บ้านของตนไปจนเข้าละแวกอื่น พบต้นไม้ใหญ่ก็ขึ้นไปซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ แลใต้ต้นไม้นั้นมีเทวรูปปัญจานน คือ รูปพระอิศวร ๕ พักตร์ คนทั้งหลายในละแวกนั้นนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก เทวรูปนั้นมีผู้เฝ้าระวังรักษาเพื่อการหากินของเขา แต่เวลานั้นเพอินผู้เฝ้าไม่อยู่ เกศวะอยู่บนต้นไม้เห็นเทวรูปตั้งอยู่ข้างล่างก็เกิดความคิดลามก จึ่งถ่ายปัสสาวะรดลงมาบนเทวรูป แล้วลงจากต้นไม้ผลักเทวรูปกลิ้งตกลงในสระซึ่งอยู่ข้างหน้านั้น

รุ่งเช้าผู้เฝ้าเทวรูปไปถึงที่ต้นไม้ไม่พบเทวรูปซึ่งเคยเป็นเครื่องหากินของตน ก็เดือดร้อนตีโพยตีพายกลับไปบ้าน แลประกาศให้ฝูงชนทราบ ไม่ช้าชาวบ้านก็ออกเกรียวกราวช่วยกันตามหาเทวรูปที่หายแลโจทก์จรรแซ่ไปในหมู่บ้าน ในขณะนั้นบิดามารดาของเกศวะเที่ยวตามหาบุตรที่หลบหายไป ครั้นไปถามหาคนหนุ่มซึ่งมีลักษณะอย่างนั้น ๆ ก็มีคนกล่าวว่าจำได้ว่าเมื่อวันก่อนมีคนหนุ่มเช่นที่ว่า ไปนั่งอยู่บนต้นไม้อันเป็นที่สำนักของเทวรูปปัญจานน รุ่งขึ้นก็ทราบกันว่าเทวรูปหายไป

ต่อมาไม่นานเกศวะกลับเข้ามาในหมู่บ้าน ชาวบ้านทั้งหลายพากันชี้เป็นนิ้วเดียวกันว่าคนนี้คงจะเป็นผู้ขะโมยเทวรูป เกศวะเห็นจะปฏิเสธไม่ไหวก็รับเป็นสัตย์ แลชี้ให้ค้นในสระซึ่งทิ้งเทวรูปลงไว้ ทั้งบอกคนเหล่านั้นว่าได้ถ่ายปัสสาวะรดเสียแล้ว คนทั้งหลายได้ฟังดังนั้นก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าเกศวะกระทำบาปมีโทษใหญ่หลวง มนุษย์ไม่จำต้องลงโทษ เพราะพระปัญจานนคงจะลงโทษถึงสิ้นชีวิตทันทีไม่ต้องสงสัยเลย เกศวะได้ทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าจะลงโทษถึงดังนั้นก็ตกใจกลัวเป็นกำลัง กลับเป็นคนว่าง่ายสอนง่าย เชื่อถ้อยฟังคำบิดามารดาตั้งแต่นั้นมา แลพากเพียรเรียนรู้จนได้ชื่อว่าเป็นผู้มีวิชายิ่งยวดในชนบท มีคำกล่าวว่าชรอยจะเป็นเพราะเกศวะกลับตัวได้ในทันที พระปัญจานนจึ่งไม่ประหารชีวิตเพราะกรรมที่กระทำบนต้นไม้ครั้งนั้น

ตั้งแต่เกศวะกลับตัวได้แล้วก็จำเริญในวิชาสามารถทุกประการ จนมีเย่าเรือนเป็นหลักแหล่ง ภายหลังมีบุตรีชื่อมธุมาลตี เป็นหญิงที่งามนัก มีคำถามว่าเทวดาได้สิ่งใดมาจากไหน จึงปั้นหน้าคนได้งามถึงเท่านั้น ได้แบ่งเอาภาคอันงามที่สุดในพระจันทร์มาหรือ จึ่งทำให้มีรอยแหว่งซึ่งคนอาจเห็นได้ในดวงเดือน นางมธุมาลตีมีตาเหมือนนีโลตบลซึ่งบานเต็มที่ มีแขนเหมือนก้านบัว มีผมยาวห้อยเหมือนความมืดแห่งกลางคืน

ครั้นนางงามผู้นี้มีอายุสมควรวิวาหะ มารดาบิดาแลพี่ชายก็ช่วยกันเป็นทุกข์ด้วยการหาคู่ เพราะปราชญ์ย่อมกล่าวว่า

“ลูกหญิงซึ่งอายุควรมีคู่ไม่มีคู่ ย่อมเป็นเช่นก้อนอุบาทว์ห้อยอยู่เหนือหลังคาเรือน”

แล “พระราชา ๑ หญิง ๑ ไม้เลื้อย ๑ ย่อมรักผู้แลสิ่งที่อยู่ใกล้”

แล “ใครบ้างไม่เคยได้ทุกข์เพราะหญิง เหตุว่าหญิงนั้นผู้ใดจะบังคับให้อยู่ในถ้อยคำก็บังคับไม่ได้ แม้จะบังคับด้วยให้ของที่ชอบใจ หรือบังคับด้วยความกรุณา หรือบังคับด้วยปฏิบัติดีต่อ หรือบังคับด้วยรับทำการให้อย่างดีที่สุด หรือบังคับด้วยนิติธรรม หรือบังคับด้วยการลงโทษ ก็บังคับไม่ได้ทั้งนั้น เพราะหญิงไม่รู้จักผิดแลชอบ”

วันหนึ่งพราหมณ์เกศวะไปจากบ้าน เพื่อช่วยการแต่งงานบุตรของพราหมณ์ ไปบ้านอุปัชฌาย์เพื่อการศึกษาแลในระหว่างที่บิดาแลบุตรไม่อยู่บ้านนั้น มีชายคนหนึ่งมาที่บ้านพราหมณ์ นางพราหมณีภริยาเกศวะเข้าใจว่าชายคนนั้นจะเป็นคนมีคุณดีเพราะเหตุมีรูปงามจึงบอกยกลูกสาวให้ ฝ่ายพราหมณ์เกศวะนั้นไปพบพราหมณ์หนุ่มคนหนึ่งเป็นที่ชอบใจ ก็บอกยกลูกสาวให้ แลส่วนบุตรชายนั้นไปพบชายเพื่อนเรียนคนหนึ่งที่บ้านอุปัชฌาย์ ก็ยกน้องสาวให้เหมือนกัน

ต่อนั้นมาบิดาแลบุตรก็พาชายหนุ่มคนละคนมายังบ้านตน ครั้นถึงบ้านพบชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่นางพราหมณียกลูกสาวให้ ชายหนุ่มทั้ง ๓ คนนั้นเสมอกันในวิชา ในคุณดี ในรูป แลในอายุ จึงเกิดปัญหายุ่งยากขึ้นในทันที ชายทั้งสามต่างคนร้องทุกข์ คนหนึ่งว่ามาถึงเรือนก่อน คนหนึ่งว่าบิดานางเป็นผู้ยกให้ แลบิดาย่อมเป็นใหญ่ในครอบครัว อีกคนหนึ่งร้องทุกข์ว่ากระไรไม่มีใครจำได้ ปรากฏแต่ว่าตัวเป็นคนที่ควรได้นางเท่านั้น คนทั้งสามร้องขอความเป็นธรรม แลความเป็นธรรมตามความเห็นของชายหนุ่มคนหนึ่งๆ ก็คือให้นางแก่ตัว จึงเป็นอันกล่าวได้ว่าธรรมะในเวลานั้นแยกได้เป็นสามแพร่งเพราะชายหนุ่มสามคน

ฝ่ายพราหมณ์เกศวะผู้บิดา ครั้นเกิดเหตุเช่นนี้ ก็รำพึงว่า “เจ้าสาวคนเดียวเจ้าหนุ่มสามคนเช่นนี้จะทำอย่างไรหนอ จะยกให้คนไหน จะไม่ยกให้สองคนๆไหนจึงจะถูกต้องตามธรรมนิยม เราผู้บิดามารดาแลพี่ชายก็ให้คำตกลงแก่เขาทั้งสามแล้วคนละคน เหตุเกิดประหลาดเผอิญเป็นไปเช่นนี้ จะทำอย่างไรดี”

พราหมณ์เกศวะอ้ำอึ้งอยู่ช้านาน ไม่ตกลงในใจว่ากระไร หารือกับภริยาแลบุตรก็ไม่ได้ประโยชน์ เพราะคนทั้ง ๒ ก็ไม่รู้จะว่ากระไรเหมือนกัน ส่วนชายหนุ่มทั้ง ๓ คนนั้น เมื่อบิดานางยังไม่ตัดสินว่ากระไรก็พากันนั่งนิ่งดูเดือนเพ็ญคือหน้าแห่งนางจนไม่กระพริบตา ดูประหนึ่งจะประพฤติตัวเป็นนกจโกระ ซึ่งกล่าวกันว่ากินแสงจันทร์เป็นอาหาร

พราหมณ์เกศวะตรึกตรองอยู่ช้านาน นึกว่าเห็นช่องที่พอจะแก้ปัญหาได้ จึงกล่าวแก่ชายทั้งสามว่า จะต้องตัดสินด้วยวิธีให้สำแดงความรู้ประชันกัน ใครยกเอาภาษิตซึ่งกวีผู้มีเกียรติ์แต่งไว้แต่โบราณมากล่าวให้ดีกว่าคนอื่น คนนั้นจะได้รางวัลคือลูกสาวพราหมณ์

ชายหนุ่มคนที่ ๑ ได้ยินดังนั้น ก็กล่าวภาษิตของกวีโบราณโดยที่ไม่ได้ตรึกตรองว่า -

๏ ชายหาญเห็นได้เมื่อ สงคราม นั้นเนอ
ความซื่อส่อถนัดยาม ส่งหนี้
เห็นมิตรคิดเห็นความ จริงเมื่อ ทุกข์แล
เมียสัตย์ชัดชื่อชี้ เมื่อไข้ไร้สิน ฯ

ชายหนุ่มคนที่ ๒ ยกภาษิตขึ้นกล่าวว่า -

๏ หญิงใด (๑) อยู่ในเหย้าแห่งพ่อก็จริงอยู่แหล่ แต่มิฟังบังคับ (๒) มิกำชับใจตัวมัวแต่เที่ยวรื่นเริงเชิงสนุกทุกเบื้อง (๓) ปลดเปลื้องผ้าคลุมหน้าต่อหน้าชาย (๔) หลับราวตายแล้วมิวายง่วง (๕) ดื่มเหล้าล่วงลำคอ (๖) พอใจอยู่หากจากสามี สตรีนั้นปราศจากธรรมนำจิตต์ชอบ ประกอบด้วยใจบาปหยาบยิ่ง จริงแล ฯ

ชายหนุ่มคนที่ ๓ กล่าวภาษิตซึ่งอ้างว่าเป็นของโบราณว่า -

๏ ใครจะไว้ใจอะไรตามใจเถิด

แต่อย่าเกิดไว้ใจในสิ่งห้า

หนึ่งอย่าไว้ใจทะเลทุกเวลา

สองสัตว์เขี้ยวเล็บงาอย่าวางใจ

สามผู้ถืออาวุธสุดจักร้าย

สี่ผู้หญิงทั้งหลายอย่ากรายใกล้

ห้ามหากษัตร์ทรงฉัตรชัย

ถ้าแม้นใครประมาทอาจตายเอย ฯ

พราหมณ์เกศวะได้ฟังชายหนุ่มสามท่องภาษิตซึ่งกล่าวว่าเป็นของโบราณก็จับใจแกทั้งหมด ไม่รู้ว่าชอบภาษิตไหนมากกว่าอีกสองภาษิต ก็ทำให้อ้ำอึ้งไปอีก คราวนี้ไม่ใช่ตรึกตรองว่าควรยกลูกสาวให้ชายคนไหน ตรึกตรองว่าควรยกให้ภาษิตบทไหน เป็นเรื่องนึกถึงคำพูด ไม่ใช่นึกถึงคน จึงลังเลไปอีกทางหนึ่ง

ขณะนั้นมีงูพิษตัวหนึ่ง มาตัดปัญหาที่มีในใจพราหมณ์เกศวะ พราหมณ์ยังตรึกตรองรวนเรในใจ พองูเลื้อยเข้ามากัดลูกสาวตาย คนทั้งหกก็ร้องไห้ตีโพยตีพายเพราะทุกข์สามัญ ครั้นได้สติก็วิ่งตามหมอแลแม่มด รวมทั้งคนฉลาดทั้งปวงที่ประกาศตัวว่าเรียกพิษงูออกจากกายผู้ถูกกัดได้ คนเหล่านั้นเมื่อได้มาเห็นศพนางมธุมาลตีแล้ว ต่างคนก็สั่นศีร์ษะ คนหนึ่งกล่าวว่า คนที่ถูกงูกัดขึ้น ๕ ค่ำ ๖ ค่ำ ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ ๙ ค่ำ และ ๑๔ ค่ำนั้นไม่มีรอด อีกคนหนึ่งกล่าวว่า คนที่ถูกงูกัดวันเสาร์และวันอังคารต้องตายเสมอ คนที่ ๓ กล่าวว่า คนที่ถูกงูกัดจะตายหรือไม่ก็แล้วแต่ว่าพระจันทร์สถิตราษีไหนในเวลาที่ถูกกัด คนที่ ๔ กล่าวว่า ผู้ใดถูกงูกัดที่ตา หู ลิ้น จมูก ริมฝีปากล่าง แก้ม คอ และท้องคนนั้นต้องตาย คนที่ ๕ กล่าวว่า แม้พระพรหมก็ไม่อาจแก้นางให้คืนชีวิตได้

ครั้นหมอทั้งหลายกลับไปหมดแล้ว พราหมณ์เกศวะก็จัดการเผาศพลูกสาวแล้วกลับบ้าน ฝ่ายชายหนุ่มสามคนจึงกล่าวแก่กันว่า “เราทั้ง ๓ คนหัวอกอันเดียวกันได้ทุกข์อย่างเดียวกัน เกิดเพราะเหตุเดียวกัน เราจะต้องเที่ยวไปหาความสุขที่อื่น และในการหาความสุข ไม่มีทางใดดีกว่าทางที่พระอินทร์ผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์กล่าวไว้ คือ -

๑๖ ชายใดไม่เที่ยวเทียวไป ทุกแคว้นแดนไพร
มิอาจประสบพบสุข  
๏ ชายใดอยู่เย่าเนาทุกข์ ไม่ด้นซนซุก
ก็ชื่อว่าชั่วมัวเมา ฯ  
๑๒ จงจรเที่ยว เทียวบทไป
พงพนไพร ไศละลำเนา
๏ ดั้นบทเดิน เพลินจิตต์เรา
แบ่งทุขเบา เชาวนะไว ฯ
๑๖ ชายหาญชาญเชี่ยวเที่ยวไพร สองขาพาไป
บ่มัวบ่เมาเขลาขลาด  
๏ ขาเขาคือกิ่งพฤกษชาติ ช่อชูดูดาด
และดกด้วยดอกออกระดะ  
๏ ไป่ช้าเป็นผลปนคละ โตๆโอชะ
รสาภิรสหมดมวล  
๏ โทษหลายกลายแก้แปรปรวน เจือจุนคุณควร
เพราะเหตุที่เที่ยวเทียวเดิน ฯ  
๑๒ จงจรเที่ยว เทียวบทไป
พงพนไพร ไศละดำเนิร
๏ ดุ่มบถด่วน ชวนจิตเพลิน
ใดบ่มิเกิน เชิญบทจร ฯ
๑๖ เชิญคะนึงซึ่งพระทินกร ฤๅหลับฤๅนอน
ธเดินและด้นบนสวรรค์  
๏ เธอมีความสุขทุกวัน หมื่นกัปป์แสนกัลป์
บ่อ่อนบ่เปลี้ยเพลียองค์  
๑๒ จงจรเที่ยว เทียวบทไป
ตั้งจิตใน ไพรพนพง
๏ ดูทินกร จรจิรยง
แสนสุขทรง ทุกขะบ่มี ฯ

ชายหนุ่มทั้งสามตกลงใจว่า จะออกเที่ยวด้นดั้นไปตามบุญตามกรรมดังนี้แล้ว ชายคนที่ ๑ ก็เก็บกระดูกแห่งนางรวมเข้าเป็นห่อขึ้นห้อยบ่า แล้วประพฤติตัวเป็นไวเศษิก ถือศีลเว้นบาปใหญ่ทั้ง ๘ อย่าง คือ กินกลางคืน ๑ ฆ่าชีวิต ๑ กินผลไม้เกิดบนต้นซึ่งมียาง หรือกินฟักทองหรือหน่อไม้ไผ่ ๑ กินน้ำผึ้งหรือเนื้อสัตว์ ๑ ลักทรัพย์ของผู้อื่น ๑ ข่มขืนหญิงมีสามี ๑ กินดอกไม้หรือเนยเหลวหรือเนยแข็ง ๑ บูชาเทวดาในสาสนาอื่น ๑ ส่วนการปฏิบัติด้วยดี ชายผู้เป็นไวเศษิกย่อมตั้งใจมั่นว่าการไม่ทำร้ายคนแลสัตว์อื่นเป็นทางเว้นที่ชอบ แม้ผู้ทำความผิดก็ไม่ควรเอาชีวิต อนึ่งศีลทั้ง ๕ คือไม่กล่าวเท็จ ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ขะโมย ไม่ดื่มน้ำเมา ไม่มีภริยา นั้นต้องถือมั่นเป็นนิตย์ ทรัพย์ทั้งหลายจะมีไม่ได้ เว้นแต่ผ้าพันกาย ผ้าเช็ดปาก ภาชนะสำหรับรับทานคืออาหาร แลแซ่สำหรับกวาดดินด้วยเกรงจะเหยียบสิ่งมีชีวิตเท่านั้น อนึ่งอาจารย์ไวเศษิกสอนให้ศิษย์ไม่ไว้ใจในทางที่นอกลัทธิของตน ให้กลัวความทุกข์ในภพหน้า ให้รับทานจากผู้อื่นไม่เกินที่จะพอเป็นอาหารชั่ววันเดียว ไม่ให้กินอาหารที่เกี่ยวกับชีวิตสัตว์แลให้ทำคุณต่อคนทั้งหลาย

ชายหนุ่มคนที่ ๑ เมื่อเป็นไวเศษิกแล้วฉนี้ ก็เพียรจะลืมความรักที่เคยมี เพียรจะลืมนางที่หนีตาย กล่าวแก่ตัวเองว่า “ที่เราได้เคยนึกว่าหญิงอาจให้ความสุขได้นั้น ไม่ใช่เหตุอื่น เป็นด้วยความทนงแลความนึกถึงตัวเองถ่ายเดียว เราได้เคยคิดว่าริมฝีปากของนางเหมือนผลไม้สุก อกเหมือนบัวตูม พระจันทร์ย่อมจะซีดเพราะเพียรจะเอาอย่างแสงหน้าแห่งนาง ฯลฯ เช่นนี้ก็เพราะหลง บัดนี้ใจเราออกหากจากโลกไปแล้ว ถ้าเราได้เห็นนางอีก เราก็คงจะกล่าวว่า นี่หรือรูปที่ชายหลงใหล สิ่งนี้มิใช่อื่นไกล คือตะกร้าซึ่งมีหนังหุ้มภายนอก ข้างในคือกระดูกเลือดเนื้อแลสิ่งโสโครกทั้งหลายเท่านั้น ธรรมดาคนที่หลงเมื่อเห็นสิ่งซึ่งประกอบขึ้นด้วยของสกปรก ก็เรียกว่าหน้า แลพิศชมดูดดื่มราวกับคนขี้เมากินเหล้า เราไม่ควรยินดียินร้ายในร่างกายที่เต็มไปด้วยเลือดแลเนื้อ น่าที่ของเราคือ เข้าหาพระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นต้นเหตุแห่งสังขาร เลิกความเอาใจใส่ในสิ่งทั้งหลายซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความสำราญ หรือความเร่าร้อน

ฝ่ายชายหนุ่มคนที่ ๒ นั้น กวาดเอาเถ้าถ่านที่เผาศพนางรวมกันเข้าเป็นห่อแล้วก็ออกพาเข้าป่า ทำตัวเป็นวานปรัสถ์ตามบัญญัติของพระมน แม้อายุยังไม่สมควรก็ทำจนได้

พระมนูบัญญัติไว้ในธรรมศาสตร์ว่า เมื่อชายผู้เป็นพ่อบ้านรู้สึกว่ากล้ามเนื้อของตนอ่อนเทิบทาบ ผมก็หงอก และทั้งได้เห็นลูกแห่งลูกของตน ก็ถึงเวลาที่ควรออกป่า ให้พาเอาไฟสำหรับบูชา (อัคนีโหตร) ของตนกับเครื่องใช้ในการบูชาไฟไปด้วยกับตน แลเมื่อถึงป่าที่สงัดแล้ว ก็ให้อยู่สำรวมอินทรีย์ในที่นั้น ให้กินของสอาดซึ่งเป็นอาหารฤษี คือมูลผลาหารต่างๆ แลให้ทำการบูชาทั้ง ๕ คือ (๑) สอนพระเวท (บูชาพระเวท) (๒) เส้นด้วยขนมแลน้ำ (บูชาบิดร) (๓) เผาของในไฟ (บูชาเทวดา) (๔) ให้อาหารเป็นทาน (บูชาสัตว์ทั้งหลาย) (๕) ต้อนรับแขก (บูชาคน) แลให้นุ่งหนังหรือเปลือกไม้ ให้อาบน้ำเช้าเย็น ให้ผมแลหนวด แลเล็บงอกไม่มีกำหนดตัด ให้นอนเสือกกายไปมาบนแผ่นดิน หรือยืนเขย่งบนนิ้วหัวแม่เท้าตลอดวัน น่าร้อนให้ผิงไฟ ๕ กอง คือไฟล้อมตัว ๔ กอง ไฟบนหัวคือพระอาทิตย์กองหนึ่ง หน้าฝนให้ตากฝน หน้าหนาวให้ใช้ผ้าเปียก แลทรมานตัวอย่างอื่น ๆ อีกมาก

ฝ่ายชายหนุ่มคนที่ ๓ นั้น บวชเป็นโยคีเที่ยวเร่ร่อนไปในที่ต่างๆ และปฏิบัติตนตามควรแก่โยคีทุกประการ

วันหนึ่งโยคีไปถึงบ้านแห่งหนึ่ง ก็แวะเข้าไปเพื่อจะขออาหาร ชายเจ้าของบ้าน ครั้นเห็นโยคีไปก็ต้อนรับเป็นอันดี แลเชิญให้รับเลี้ยงอาหารในบ้าน ครั้นเตรียมอาหารพร้อมเสร็จ เจ้าของบ้านก็เชิญโยคีไปยังที่กินอาหารแลเมื่อได้ล้างมือแลเท้าแล้ว ก็กล่าวแก่โยคีว่า “ธรรมดาเจ้าของบ้านจะขับให้แขกที่มาถึงในตอนเย็นไปพ้นบ้านนั้นทำไม่ได้ แขกมาถึงเพราะพระอาทิตย์ที่จะกลับเดินทางนั้นเป็นผู้ให้มา แลแม้จะมาตามควรแก่ฤดูหรือมิควรก็ดี เจ้าของบ้านจะให้เข้าพักอยู่ในบ้านโดยที่มิเลี้ยงดูนั้นมิได้ ข้าพเจ้าไม่อาจกินอาหารอันอร่อยได้ก่อนเชิญแขกให้กิน เพราะการเลี้ยงแขกให้อิ่มหนำสำราญนั้นย่อมนำทรัพย์ นำเกียรติ์ นำความมีอายุยืนมาสู่เจ้าของบ้าน แลทั้งเตรียมที่ในสวรรค์ไว้ให้ด้วย”

เจ้าของบ้านกล่าวดังนี้แล้ว ภริยาก็นำอาหารมาเลี้ยง คือข้าวกับถั่วแลน้ำมันแลเครื่องเทศต่างๆ ซึ่งผสมกันหุงในหม้อเหนือไฟซึ่งใช้ฟืนอันสอาด ครั้นเลี้ยงอาหารได้ครึ่งหนึ่งยังไม่สำเร็จการกิน ภริยาเจ้าของบ้านจะยกอาหารมาเพิ่มเติม พอทารกผู้เป็นบุตรร้องไห้ด้วยเสียงอันดังแล้วเข้ายึดผ้ามารดาไว้ไม่ให้ยกอาหารไปตั้งมารดาจะห้ามก็ไม่อยุด ยิ่งร้องแลยิ่งยึดผ้าดึงไว้ มารดาขัดใจก็วางเครื่องเลี้ยงลงแล้ว จับตัวลูกโยนเข้าไปในกองไฟ ทารกก็ไหม้เป็นจุณไป

ฝ่ายโยคีเมื่อเห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง เจ้าของบ้านจึ่งถามว่า “เหตุใดอาจารย์จึ่งไม่กินเล่า”

โยคีตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นแขกมารับเลี้ยงของท่าน แต่ข้าพเจ้าไม่อาจกินอาหารได้ในที่เลี้ยงของคนที่ประพฤติราวกับรากษส คำโบราณย่อมกล่าวว่า ‘คนที่สำรวมความยินดียินร้ายไม่ได้นั้นมีชีวิตป่วยการเปล่า’

“แล ‘พระราชาโง่ ๑ ผู้เย่อหยิ่งเพราะมีทรัพย์มาก ๑ เด็กอ่อนแอ ๑ ทั้งสามนี้ประสงค์สิ่งซึ่งไม่อาจได้มาดังประสงค์’

“แล ‘พระราชาย่อมทำลายศัตรูแม้เมื่อกำลังหนี ช้างแม้เพียงกระทบ แลงูแม้เพียงหายใจรด ก็ย่อมนำมาซึ่งความตาย คนใจบาปแม้กำลังหัวเราะก็อาจทำลายผู้อื่นได้’”

ฝ่ายเจ้าของบ้านเมื่อได้ยินดังนี้ก็ยิ้ม แล้วลุกไปอยิบสมุดเล่มหนึ่งมาจากที่ซึ่งซ่อนไว้บนขื่อ สมุดนั้นกล่าวสํชีวนีวิทยา คือวิชาชุบคนตายให้คืนชีวิต ครั้นอยิบหนังสือลงมาแล้ว ชายเจ้าของหนังสือก็กางตำราออกทำพิธีชุบลูกให้คืนเป็น ไม่ช้าเด็กก็กลับมาร้องไห้เสียงดังอยู่อย่างเก่า ชายผู้เป็นบิดาจึ่งกล่าวว่า “บรรดาของมีค่าทั้งหลายจะหาสิ่งใดมีค่าเกินวิชานั้นหาได้ไม่ ทรัพย์อื่นๆ อาจจะถูกขะโมยลัก หรือลดน้อยลงไปด้วยการจับจ่าย แต่วิชานั้นไม่มีความตาย แลยิ่งจ่ายมากก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น วิชานี้จะแบ่งให้แก่ใครก็ไม่ได้ แลขะโมยจะลักก็ลักไม่ได้”

ฝ่ายโยคีเมื่อได้เห็นอัศจรรย์ดังนั้นก็นึกในใจว่า “ถ้าเราได้สมุดเล่มนี้เราก็อาจชุบนางผู้เป็นที่รักของเราให้คืนชีวิตมาดังเก่า แล้วเราจะเลิกประพฤติอย่างไม่สบายต่างๆ ดังซึ่งเราทำอยู่เดี๋ยวนี้”

โยคีตรึกตรองดังนี้แล้วก็กลับนั่งลงกินอาหารแลค้างอยู่ในเรือนนั้น ครั้นเวลากลางคืนเมื่อได้เลี้ยงกันอีกมื้อหนึ่งแล้ว ต่างคนก็ไปยังที่นอนของตน โยคีนอนแล้วระวังตัวไม่ยอมให้หลับ จนเวลาเที่ยงคืนเห็นว่าคนทั้งหลายคงจะหลับสนิทแน่แล้ว โยคีก็ลุกขึ้นย่องเข้าไปในห้องนอนเจ้าของบ้าน ลักหยิบเอาสมุดตำราสํชีวนีลงมาจากขื่อได้แล้ว ก็ลอบออกจากบ้านหนีไปในเวลากลางคืน รีบเดินตรงไปยังป่าช้าที่เผาศพนางผู้เป็นที่รัก เพอิญพบชายหนุ่มอีกสองคนกลับมาอยู่ในที่เดียวกัน ต่างคนต่างเล่าความเป็นไปแห่งตนแลตนสู่กันฟังอยู่ ครั้นชายทั้งสองนั้นเห็นโยคีก็จำได้ จึ่งร้องทักขึ้นว่า “ท่านเอย ท่านได้ไปเที่ยวในโลกแล้ว ท่านได้ความรู้อันใดซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่เราทั้งสามบ้างหรือเปล่า”

ชายผู้เป็นโยคีตอบว่า “ข้าพเจ้าได้เรียนวิชาชุบคนตายให้คืนชีวิตได้”

ชายสองคนตอบว่า “ถ้าท่านมีวิชาเช่นนั้น ท่านจงชุบนางผู้เป็นที่รักของเราให้คืนชีวิตมาเถิด”

ชายผู้เป็นโยคีก็จัดการตั้งพิธีชุบนาง เริ่มการร่ายมนต์ซึ่งทำให้ฟ้าแลอากาศเต็มไปด้วยสิ่งซึ่งน่าหวาดเสียว คือภูตผีที่มีร่างกายเป็นที่พึงแสยงสำแดงอาการให้เห็นปรากฏต่างๆ ทั้งกระหลบไปด้วยเสียงที่ไม่พึงฟังคือเสียงหมาหอน เสียงนกฮูกแลสัตว์อื่นๆ ชายทั้งสามก็แทงตัวเองให้เลือดตกเป็นเครื่องบูชานางจัณฑี แล้วกล่าวสรรเสริญว่า “ข้าแต่พระแม่ผู้เป็นเจ้าแห่งสากลโลก พระองค์เป็นผู้กระทำความสำเร็จให้เกิดตามความประสงค์ของชนทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอถวายเลือดจากกายของข้าพเจ้าเป็นเครื่องบูชาพระองค์ ขอพระองค์จงโปรดอนุกูลข้าพเจ้า”

ชายทั้งสามกล่าวอย่างข้างบนแล้ว ก็เชือดเนื้อเผาไฟบูชาอีกชั้นหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ข้าแต่พระเทวี ขอพระองค์จงโปรดให้นางผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้าคืนชีวิตมาเถิด ขอพระองค์จงโปรดกรุณาข้าพเจ้าตามส่วนแห่งความจงรัก ซึ่งเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าถวายเนื้อของตนเป็นเครื่องบูชานั้นเถิด ข้าพเจ้าขอถวายนมัสการพระองค์ด้วยความนับถือแท้จริง โอม”

เมื่อได้กล่าวสรรเสริญแลบูชานางจัณฑีด้วยเลือดแลเนื้อของตนดังนั้นแล้ว ชายทั้งสามก็ช่วยกันรวมเถ้าแลอัฏฐิแห่งนางซึ่งชายคนที่ ๑ แลคนที่ ๒ ได้เก็บรักษาไว้นั้น ให้เป็นกองเดียวกัน ชายคนที่ ๓ ผู้เป็นเจ้าของตำราก็ร่ายมนต์จนเกิดไอสีขาวขึ้นมาจากดิน แล้วเกิดเป็นรูปลอยอยู่ แล้วเกิดความดูด ดูดเอาเถ้าแลอัฏฐิซึ่งกองอยู่นั้นเข้าไปในรูป อีกครู่หนึ่งก็เกิดเป็นนางมธุมาลตีมีชีวิตคืนมาอย่างเดิม แลนางขอให้ชายทั้งสามพาไปส่งยังเรือนบิดา

ฝ่ายชายทั้งสามเมื่อนางคืนชีวิตมาแล้วก็วิวาทแย่งชิงนาง ต่างคนกล่าวว่าตนควรจะได้นางเป็นภริยาโดยความชอบธรรม ชายคนที่ ๑ กล่าวว่านางคืนชีวิตมาได้ก็เพราะกระดูกที่เขารักษาไว้ ชายคนที่ ๒ กล่าวว่าเพราะเถ้าถ่านต่างหาก ชายคนที่ ๓ หัวเราะเยาะคนทั้ง ๒ ว่า กระดูแลเถ้าถ่าน ถ้าไม่ได้ตั้งพิธีแลร่ายมนต์ตามตำรา จะมีชีวิตมาอย่างไรได้ ชายทั้งสามทุ่มเถียงกันไม่มีใครยอมใคร จึ่งพากันไปหาบัณฑิตผู้ปราดเปรื่องให้ตัดสิน ก็ไม่มีใครตัดสินได้ ส่วนพระราชานั้นใครบ้างนึกว่าจะได้ปัญญาจากพระราชา ใครบ้างไปหาพระราชาในขณะที่ต้องการพบผู้เฉลียวฉลาด ส่วนตัวข้าพเจ้า (เวตาล) นี้ พิศวงว่าพระองค์ผู้ทรงนามวิกรมาทิตย์ เป็นพระราชาผู้ประกอบด้วยปัญญายิ่งมหากษัตริย์ทั้งปวง พระองค์จะตัดสินได้บ้างกระมัง ว่านางนั้นควรเป็นของชายคนไหนโดยทางที่ชอบ

พระวิกรมาทิตย์กำลังขุ่นพระหฤทัยในข้อที่เวตาลกล่าวดูหมิ่นปัญญาพระราชาทั้งปวง ครั้นเวตาลทูลให้ตัดสินก็ตรัสออกมาว่า “เองมันโง่ไม่รู้จักอะไร ชายคนที่ ๒ สิควรได้นางเป็นภริยา”

เวตาลถามว่า “เพราะเหตุใดจึ่งทรงตัดสินอย่างนั้น”

รับสั่งตอบว่า “เพราะเขาเป็นผู้เก็บเถ้าถ่านไว้”

เวตาลกล่าวว่า “ถ้าชายคนที่ ๑ ไม่ได้เก็บกระดูกไว้บริบูรณ์ นางจะคืนชีวิตมาอย่างไรได้ แลถ้าชายคนที่ ๓ ไม่ได้เรียนวิชาสํชีวนีรู้ร่ายมนต์แลตั้งพิธีถูกต้องตามตำราการชุบนางก็ไม่อาจทำได้ ชายคนที่ ๒ เก็บไว้แต่เถ้าถ่าน จะได้เปรียบชายอีก ๒ คนอย่างไรไม่เห็นเหตุ แต่พระราชปัญญาล้ำลึกเห็นจะทรงอธิบายได้ดอกกระมัง”

พระราชาทรงตวาดว่า “เองโง่แล้วยังดื้อด้วย ชายคนที่ ๑ นั้นเก็บกระดูกของนางรักษาไว้ จึ่งอยู่ในตำแหน่งเสมอลูก ไม่ควรได้นางเป็นภริยา ชายคนที่ ๓ ได้ชุบนางให้คืนชีวิต คือให้ชีวิตแก่นาง จึ่งอยู่ในตำแหน่งบิดาไม่ควรได้นางเป็นภริยาเหมือนกัน ส่วนชายคนที่ ๒ นั้นเป็นแต่เพียงเก็บเถ้าถ่านไว้ จึ่งควรได้เป็นผัวนาง คำอธิบายเช่นนี้จะทะลุความโง่ของเองเข้าไป ทำให้เองเข้าใจได้หรือยัง”

เวตาลตอบว่า “ความโง่ของข้าพเจ้าทะลุแล้ว แต่พระองค์นั้นยัง จึ่งเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าได้กลับไปแขวนตัวอยู่ยังต้นอโศกในบัดนี้”

ครั้นเวตาลหัวเราะก้องฟ้าลอยไปแล้ว พระวิกรมาทิตย์กับพระราชบุตรก็เสด็จกลับไปยังต้นอโศก พระราชาทรงปีนขึ้นไปปลดเวตาลลงมาใส่ย่ามแล้วก็ทรงรำพึงว่า “ถ้าเรานั่งลงวางอ้ายตัวนี่ไว้กับดินให้มันพูดไปจนสิ้นฤทธิ์ของมัน บางทีจะสำเร็จได้ เมื่อเราเดินพลางคิดพลางนั้น คงจะเหนื่อยเกินไปจึ่งทำให้เสียทีมันร่ำไป”

ทรงคิดดังนี้ก็เอาย่ามวางลงยังพื้นดิน ทรงนั่งลงข้างๆ แล้วเอาเชือกผูกย่ามล่ามกับผ้ารัดสะเอวแน่นหนา รับสั่งให้พระราชบุตรทำอย่างเดียวกัน

เวตาลรู้ดังนั้นก็ร้องทุกข์ว่าผิดระเบียบสัญญา พระราชาทรงตอบว่าสัญญาไม่ได้กล่าวว่าเดินหรือนั่ง เวตาลสาบาลว่าจะไม่อ้าปากพูดอะไรอีกจนคำเดียว แต่ไม่ช้าก็อดไม่ได้ เอ่ยเล่าเรื่องขึ้นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งกล่าวว่าเป็นเรื่องจริงตามเคย

จบนิทานเวตาลเรื่องที่ ๖

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ