๓
ฤดูหนาวของปี ๒๔๘๗ กำลังจะผ่านพ้นไป น้ำลดลงไปหมด ชาวชนบทในตำบลนั้นเริ่มปลูกผักกันที่ชายฝั่งน้ำ คุณลุงจิตซึ่งบัดนี้กำลังซื้อที่ดินแห่งโน้นเอาไปขายแล้วซื้อใหม่แห่งนี้ กำลังสนุกกับการค้าของท่านอย่างมาก ก็ได้มารายงานว่า ได้ไปสืบประวัติของนายบรรเลงแล้วเท่าที่จะสามารถสืบได้ ก็ไม่ปรากฏว่าเป็นคนที่ได้ทำผิดอย่างไร นอกจากเสียว่าจะถือว่าคนที่ค้าขายกับญี่ปุ่นเป็นคนผิด ส่วนคุณหลวงอนุมัติ ฯ ก็ไม่มีข้อที่จะคัดค้านภรรยา จึงตกลงอนุญาตให้จันทิราแต่งงานกับนายบรรเลง
กรรณิการ์มองดูการตระเตรียมงานสมรสของจันทิราด้วยความประหลาดใจ งุนงงและเศร้าใจระคนกันไป ประหลาดใจที่คุณนายจำเนียรแสดงความยินดีอย่างไม่ซ่อนเร้น ทั้งที่คุณสังเวียนก็แสดงทีท่าเศร้าๆ ทุกคราวที่ท่านไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงการตระเตรียมได้ ประหลาดใจในข้อที่จันทิรามีทีท่าท้าทายญาติมิตรทั้งหลายอยู่ตลอดเวลา และงุนงงที่จันทิราสนใจกับการตัดเสื้อสมรส การเตรียมงานเลี้ยงในวันสมรส เหมือนกับว่าไม่มีเหตุการณ์อะไรสำคัญกำลังเกิดในโลก นอกเหนือไปจากงานสมรสของจันทิรากับนายบรรเลง
จันทิราเคยกล่าวแก่ญาติที่อ่อนวัยกว่าหล่อน ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่จะได้ยินถึงญาติทั่ว ๆ ไปในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ในสังคมที่จะหาอะไรเพลิดเพลินเกือบไม่ได้ นอกไปจากการเล่ากันไปเล่ากันมาถึงเรื่องญาติด้วยกัน “ใครที่ดูถูกว่าคุณบรรเลงเป็นเจ๊กเป็นจีนน่ะฉันจะคอยดู จะภาคภูมิกันไปอีกสักกี่วัน”
ส่วนบรรโลมได้กลายมาเป็นเพื่อนที่ถูกอัธยาศัยกันคนหนึ่งกับสุธิราและกรรณิการ์ บรรโลมเป็นคนได้รับการศึกษามาก ได้เคยไปศึกษาจนถึงยุโรปและสหรัฐอเมริกา และได้กลับมาในการแลกเชลยใน พ.ศ. ๒๔๘๕ นั้น หล่อนเป็นคนไม่ค่อยช่างคุยนัก แต่ก็มีข้อคิดเห็นมากพอสมควรเมื่อมีความรู้สึกไว้ใจผู้ใด บังเอิญหล่อนไว้ใจสุธิรา จึงออกความเห็นกับสุธิราหลายอย่างที่หล่อนไม่ออกต่อหน้าคนอื่น
กรรณิการ์อดอยากรู้ถึงความรู้สึกของบรรโลมในเรื่องงานสมรสของจันทิรากับน้องชายไม่ได้ จึงและเลียมถาม “คุณบรรโลมตัดเสื้อใส่งานคุณบรรเลงแล้วหรือคะ?”
“ไม่ตัดหรอกคะ” บรรโลมตอบ “คุณล่ะคะ?”
“ดิฉันกำลังเย็บเองค่ะ” กรรณิการ์ตอบ “ดิฉัน ซื้อผ้าฝ้ายอุบลมา แล้วมาปักเองค่ะ ดิฉันชอบจัง ของไทยทั้งนั้น นึกถึงเรื่องคนไทยเราทำอะไรต่ออะไรเองได้แล้ว บางทีไม่อยากให้เลิกสงครามเลย”
“ออกจะบาปสักหน่อยกระมัง กรรณิการ์” สุธิราว่า “เลิกสงครามแล้วคนไทยอาจกลายเป็นพ่อค้าอะไรไปก็ได้”
“ไม่หรอกค่ะ” บรรโลมค้านอย่างอ่อนหวานตามนิสัยของหล่อน “เลิกสงครามแล้วคนไทยก็กลับไปเป็นอย่างเดิม”
“มันเป็นเพราะยังไงคะ?” กรรณิการ์ซัก
“ทำการค้านี่มันต้องแข่งขันกันไม่ได้พักผ่อนเลยค่ะ” บรรโลมอธิบายอย่างผู้จัดเจน “พอเลิกสงครามการแข่งขันมักจะมากเหลือเกิน พอสินค้าฝรั่งมาได้ไทยก็เลิกคะ การทอผ้า การทำอะไรต่ออะไรนี่ เพราะทุนมันสู้เขาไม่ได้ค่ะ แล้วคนไทยถ้าต้องแข่งขันอยู่เรื่อย ๆ ก็เบื่อคะ ในที่สุดก็หางานที่ได้เงินเดือนทำ เพราะมันสบายกว่ามาก”
กรรณิการ์พยายามย้อนกลับมาหาเรื่องเดิม “คุณบรรโลมจะแต่งอะไรคะ?”
“ยังไม่แน่เลยคะ” บรรโลมตอบ “แต่ก็จะต้องเลือกแต่งอย่างที่ไม่ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวเขาว่าไม่ทำให้งานเขาครึกครื้นน้อยไปค่ะ”
กรรณิการ์นึกชมศิลปของการตอบของบรรโลมอยู่ในใจ หล่อนได้ทราบสิ่งที่อยากทราบพอใจแล้ว จึงชวนคุยเรื่องอื่นต่อไป
งานสมรสของจันทิราและบรรเลงได้ดำเนินไปอย่างครึกครื้น สมใจบ่าวสาวทุกประการ เป็นงานที่สังคมคนไทยยามสงครามวิพากษ์วิจารณ์ทั้งชมทั้งค่อนขอด เป็นอาหารหูของผู้ที่ไม่ต้องเดือดร้อนกับความทุกข์ของโลกไปได้หลายวัน ญาติมิตรที่ได้อพยพแยกย้ายกันไปอยู่ในจังหวัดใกล้เคียง ในเส้นทางคมนาคมที่พอจะไปมาถึงกันได้ ก็ถือโอกาสได้มาเยี่ยมเยียนกัน บ้างก็จ้างเรือไฟหรือเรือยนต์ “เผาหัว” จูงเรือพ่วงมาจอดเทียบท่า ใช้เป็นที่นอนค้าง เมื่อเสร็จงานแล้วจึงลาไป บ้างก็มานอนค้างอยู่ในบ้านเรือนคนหนึ่งหรือสองสามคน บ้างก็มาเช้ากลับเย็น จากจังหวัดอยุธยา ที่ตำบลบางปะอิน มีเจ้านายและข้าราชการอพยพมาหลบภัยหลายท่าน บางท่านก็ได้มาร่วมงานเป็นเกียรติแก่บิดามารดาเจ้าสาวซึ่งเป็นที่รู้จักในวงของข้าราชการและผู้มีตระกูลมานาน ในบรรดาผู้ที่มาบ้างก็ซุบซิบเรื่องเกี่ยวกับวิทิตและจันทิรา บ้างก็แสดงความเห็นใจจันทิราในการที่ไม่อาจรอคอยโดยความไม่แน่นอน บ้างก็ชมความสวยของเจ้าสาวและความรวยของเจ้าบ่าว บ้างก็แสดงความหนักใจแทนว่าเจ้าบ่าวเป็นคนรวย มักจะทำอะไรตามใจตน บ้างก็ชมว่าเจ้าของงานช่างอุตส่าห์จัดงานให้หรูหราแม้ในยามสงคราม และบ้างก็ว่าเจ้าบ่าวมีกิริยาท่าทีไม่เป็นไทยแท้นัก และมีคำวิพากษ์วิจารณ์อื่น ๆ แต่ส่วนใหญ่ก็ยินดีที่มีงานสมรสที่เป็นพิธีรีตอง ที่มีการเลี้ยงอาหารอร่อยและที่ให้โอกาสญาติมิตรได้รื่นเริงกัน ได้ฟังพิณพาทย์มโหรี่ ได้เล่นไพ่ไทย-ฝรั่ง ขาดแต่ไม่ได้มีการลีลาศเพราะหาไม้ทำพื้นเรียบลื่นมิได้ และคุณหลวงอนุมัติ ฯ ข้อนว่า “คนเรานี่มันไม่บ้าน้อยๆ มันบ้ากันขนาดหนัก” จันทิรากับคุณนายจำเนียรขัดใจ จึงไม่พยายามรบเร้าให้นายบรรเลงจัดการให้
เมื่อทำการสมรสแล้ว บรรเลงพร้อมด้วยบรรโลมก็ย้ายมาปลูกเรือนเล็ก ๆ อยู่ที่ตำบลที่ญาติของจันทิราอพยพมาอยู่ แทนที่จะกลับไปอยู่ที่อยุธยา บรรโลมกับกรรณิการ์และสุธิราก็กลายเป็นมิตรสนิทสนมกันมาก
ญาติและมิตรในกลุ่มนั้นค่อย ๆ ชินกับบรรเลงและจันทิรามากขึ้น ๆ และค่อยหันความสนใจไปที่เหตุการณ์เกี่ยวกับสงคราม เพราะฝ่ายสหประชาชาติกำลังรุกลึกเข้าไปในเยอรมัน และอเมริกันก็เริ่มการรุกในปาซิฟิก ได้ขึ้นเกาะเลเต้ในหมู่เกาะฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่นก็แสดงอาการอ่อนเพลียต่อสงคราม คนไทยเริ่มหวาดกลัวการรุกของกองทัพของฝ่ายศัตรูทางราชการ คือฝ่ายอังกฤษและอเมริกัน แต่มิใช่ศัตรูทางจิตใจของตน คนไทยส่วนใหญ่มั่นใจว่าอเมริกันจะมีความเมตตาต่อคนไทย และอังกฤษก็คงจะต้องคล้อยตามอเมริกัน
“ไอ้คนพวกเรานี่มันมีความคิดเหมือนเด็กอายุสิบสาม” คุณหลวงอนุมัติ ฯ ปรารภแก่กรรณิการ์ตามเคย “ไม่คิดเรื่องแง่กฎหมายแง่อะไรทั้งนั้น คิดอะไรเอาตามใจตัวง่าย ๆ หมด แล้วญี่ปุ่นมันจะไม่คิดทำอะไรบ้าง มันจะเผาวายวอดไม่รู้สึก มันนักรบ ใครมันจะยอมตายง่าย ๆ คนเดียว เสือกไปประกาศสงครามร่วมกับมัน แล้วจะหนีมันสบาย มันคงยอมง่าย ๆ ให้เราเต้นรำทำเพลงบ้า ๆ บอ ๆ รึ น้าว่าเราหลบมาแค่นี้จะเอาตัวรอดไหมก็ไม่รู้”
คุณจิตมาเยี่ยมญาติ และนำข่าวที่ควรรู้มาให้เป็นคราว ๆ ตามความเห็นของคุณจิตว่า ไม่มีทางจะตระเตรียมให้ความปลอดภัยแก่ครอบครัวอย่างไรให้ได้ดีกว่าเท่าทำอยู่แล้ว
“ฝรั่งมันต้องรุกเข้ามาทางพม่าแน่” คุณจิตว่า “แต่มันจะรุกทางไหน กี่ช่องกี่ทางก็รู้ไม่ได้ เรื่องเป็นขี้ข้าฝรั่งนะไม่ต้องห่วงหรอก เพราะหมดสมัยเมืองขึ้นแล้ว แต่ไอ้ถูกปล้นถูกฆ่า กระจัดพลัดพรากกันนี่ไม่รู้ มันถึงทีเราแล้ว เมื่องอื่นเขาก็โดนกันหมด ตอนนี้มันแล้วแต่บุญแล้วแต่กรรมแล้ว”
ยิ่งได้ข่าวการยอมแพ้สงครามของเยอรมัน ความห่วงใยในชีวิตและทรัพย์สมบัติของคนไทยทั้งหลายก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ใครคิดจะหาทางช่วยเหลือตนได้ทางใดก็พยายามทั้งการตระเตรียมหาที่ซ่อนข้าวของที่มีราคา การคิดเก็บสงวนยารักษาโรคบางชนิด ซึ่งก็หายากอย่างยิ่งอยู่แล้ว แต่ก็พอมีเล็ดลอดมาขาย นอกจากนั้นก็หาเครื่องช่วยเหลือทางไสยศาสตร์ เช่นปรึกษาหมอดูทุกชนิดที่จะหาได้ หาพระที่ศักดิ์สิทธิ์ และของอื่น ๆ ที่จะหาได้ ในขณะเดียวกันการ ระซิบกระซาบว่า มีคนไทยคณะหนึ่งทำการต่อต้านญี่ปุ่นอย่างลับ ๆ เรียกว่า “ใต้ดิน” ก็กระจายกันทั่ว ๆ ไป ทั้งนี้ยิ่งเพิ่มความหวาดกลัวว่าจะมีการต่อสู้กันรุนแรงน่ากลัวอันตรายมากขึ้น
แต่เดชะพระสยามเทวาธิราชคุ้มครอง ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นในประเทศ พอถึงเดือนสิงหาคมภายหลังจากที่ได้รับข่าวว่ามีการทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมาครั้งนั้นและที่เมืองนางะซากิอีกครั้งหนึ่ง ญี่ปุ่นก็ยอมแพ้สงคราม
กรรณิการ์จำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ดีตลอดชีวิตของหล่อนเช่นเดียวกับที่ได้ยินเรื่องการรุกของกองทัพที่แปดที่ได้ยินจากวิทยุในระหว่างอุทกภัยใน พ.ศ. ๒๔๘๕ คุณหลวงอนุมัติฯ กลับมาจากอยุธยาโดยเรือแจวคู่ใจของท่านในเวลาบ่ายประมาณ ๑๔ นาฬิกา ท่านตะโกนเรียกกรรณิการ์ซึ่งอาศัยอยู่กับคุณพ่อคุณแม่และน้อง ๆ ใกล้ฝั่งแม่น้ำที่สุด มาตั้งแต่เห็นหลังคาบ้านหล่อน “เสร็จแล้วหลาน เสร็จแล้ว เสร็จแล้ว”
กรรณิการ์วิ่งลงมาที่ท่าน้ำ “สงครามเลิกหรือคะ?” กรรณิการ์เดาจากกิริยาอาการของท่าน
“เลิกแล้ว เขาเลิกกันแล้ว ได้ยินวิทยุแน่แล้ว” ท่านรีบกระโดดขึ้นจากเรืออย่างคล่องแคล่ว “มา มากับน้า ไปเรียนเจ้าคุณท่าน”
สุธิราวิ่งลงจากเรือมารับคุณหลวงและกรรณิการ์เดาได้จากกิริยาอาการของบุคคลทั้งสองว่ากำลังนำข่าวดีมาแล้ว ทั้งสามรีบขึ้นไปหาท่านเจ้าคุณพ่อของหล่อน
“ที่คุณหลวงเป็นห่วงอะไรต่ออะไรก็หมดห่วงแล้วซินะคะ” สุธิราว่า เมื่อคุณหลวงแจ้งข่าวจบ
คุณหลวงอนุมัติ ฯ หัวเราะเก้อ ๆ “ไม่รู้ที่คุณ ดูเรามันโชคดีจนไม่น่าเชื่อ”
“คุณหลวงว่าใครโชคดี?” ท่านเจ้าคุณชราถาม
“เมืองไทยซิครับ คนไทย” คุณหลวงตอบ
ท่านเจ้าคุณซึ่งไม่เคยออกความคิดเห็นเกี่ยวกับบ้านเมืองให้กรรณิการ์ได้ยินเลย กล่าวอย่างช้า ๆ ว่า “คุณหลวงจำคำฉันไว้นะ ฉันมันคนแก่ ตอนเขาเปลี่ยนการบ้านการเมืองอะไรกัน ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรหรอก เรามันไม่ทันสมัย มันโบราณ แต่คราวนี้น่ะ จำไว้เถอะ เราเสียบ้านเมืองแก่พม่าเสียเลือดเสียเนื้อ แต่เรากู้คืนได้หมด แต่คนเสียสัตย์นะมันกู้ยาก ฉันน่ะกลัวว่าคราวนี้เราจะเสียมากกว่าเลือดเนื้อ มากกว่าอิสรภาพ มันจะเสียคน” แล้วท่านก็ทำท่าทางเหนื่อยอ่อนไม่พูดต่อ หันไปหยิบหนังสือธัมมะที่อ่านค้างอยู่มาอ่านต่อไป
คุณหลวงอนุมัติ ฯ หันมาดูหน้ากรรณิการ์ สุธิราก้มหน้า จะเป็นเพราะตรึกตรองหรือกระดาก หรืออย่างไรกรรณิการ์เดาไม่ถูก แต่คุณหลวงพยักหน้าให้ลาท่านขุนนางชรา แล้วหล่อนก็ตามคุณหลวงกลับมาเรือนของหล่อน
ครอบครัวของจันทิรา ของกรรณิการ์ และญาติมิตรในกลุ่มของหล่อนมิได้ประสบภัยอันตรายอะไรร้ายแรงเกินไปกว่าการเสียหายเครื่องถ้วยชามและเครื่องใช้นุ่งห่มเล็ก ๆ น้อย ๆ บางอย่างในการอพยพกลับมาบ้านเดิมที่กรุงเทพ ฯ พอกลับมาอยู่บ้านเรียบร้อยแล้ว กำลังปรับตัวเข้ารับกับภาวะหลังสงคราม เช่นมีราคาของบางอย่างแพงขึ้น บางอย่างถูกลง และมีทหารฝรั่งชาติต่าง ๆ เข้ามาตั้งกองทัพอยู่ในพระนครแทนญี่ปุ่น คุณสังเวียนและจันทิราก็ได้รับจดหมายจากวิทิตพร้อมกัน ในจดหมายแจ้งว่า วิทิตจะยังไม่กลับมาประเทศไทย เพราะจะต้องอยู่ประเทศอังกฤษเพื่อศึกษาให้จบและรับปริญญา ด้วยเหตุว่าได้ละการศึกษาไปทำงานเกี่ยวกับสงครามเสีย และในจดหมายทั้งสองฉบับวิทิตก็ได้แจ้งข่าวว่า ตนได้ทำการสมรสกับหญิงชาวอังกฤษแล้ว ถ้าการกระทำนั้นเป็นความผิด เขาก็ขอยอมรับเอาว่าเป็นความผิดของเขาโดยชื่นตา
๑๖ เดือนหลังจากที่ญาติพี่น้องได้รับข่าวจากวิทิต ตัวเขาก็กลับมาถึงบ้านเกิดเมืองนอนพร้อมด้วยภรรยาสาวชาวอังกฤษ ในระยะนี้หนุ่มไทยที่ได้ไปอยู่ต่างประเทศด้วยราชการหรือด้วยการศึกษา หรือด้วยธุระอื่น กลับมายังบ้านเกิดเมืองนอนกันเรื่อย ๆ และในจำนวนชายหนุ่มที่กลับมาก็มีที่พาภรรยาต่างชาติมาด้วยเกือบครึ่งหนึ่ง ที่ภรรยาเป็นชาติเยอรมันก็มี ที่เป็นชาติอังกฤษ ชาติอเมริกัน เป็นอเมริกันผิวขาวเลือดฝรั่งก็มี อเมริกันที่มีเลือดจีนเลือดญี่ปุ่นผสมก็มี และที่เป็นชาติอื่นก็มี ในบรรดาญาติมิตรที่รู้จักคุ้นเคยกัน ก็มีอยู่ระยะหนึ่งที่มีการเปรียบเทียบสะใภ้แหม่มกัน เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้กันก็มี และเป็นการสังสรรค์เพื่อความรื่นเริง ตามภาษาของคนที่ไม่มีปัญหาชีวิตจริงจังอะไรจะขบก็มี
ก่อนที่วิทิตจะกลับมา ทางบ้านก็มีการตระเตรียมกันเพื่อต้อนรับสะใภ้แหม่มของตระกูล ความรู้สึกและทรรศนะของญาติและมิตรก็มีกันไปต่าง ๆ และตามเคย กรรณิการ์ผู้ซึ่งเวลานี้ได้รับราชการเป็นครูแล้วก็เป็นผู้รับฟัง
“นี่ วิทิตเขาพบกับจันทิราเขาจะตีหน้ากันอย่างไรนะ” นี่เป็นคำปรารภที่ได้ยินบ่อยที่สุด
“เห็นไหม ถ้าน้องจันแกคอยอยู่ แกก็ช้ำเปล่า”
“ถ้าฉันเป็นพี่จัน ฉันจะต้องให้นางแหม่มเห็นว่าฉันสวยกว่า ดีกว่า รวยกว่า”
“ถ้าฉันเป็นจันทิรา ฉันก็วางหน้าเฉย ๆ เราเป็นผู้ดี ก็ต้องแสดงความเป็นผู้ดีไว้”
“จุ๊ จุ๊ พี่บรรโลมมา อย่าไปให้เขาได้ยิน เขาไม่รู้อะไรกับเราด้วย”
“เออ คุณ (หรือพี่ หรืออา หรือน้า) บรรเลงเขารู้เรื่องแค่ไหนนะ?”
คุณหลวงอนุมัติ ฯ ว่าแก่กรรณิการ์ “พวกนี้มันบ้ากันตามเคย หลาน มันคิดแต่แค่จมูก ไม่เห็นมีใครจะคิดว่าแม่แหม่มเขาจะว่าไอ้บ้านไอ้เมือง พี่น้องวงศ์ญาติเจ้าติ๊ดมันจะป่าแค่ไหน หรือดีแค่ไหนเลย”
กรรณิการ์ถูกคุณป้าสังเวียนยึดเอาเป็นที่ปรึกฉา “มาดูบ้านเรือนให้ป้าหน่อย” ท่านขอร้อง “แหม่มเหมิ่มเขาจะมา เรามันก็แค่นี้ เขาจะมาอยู่ได้ไหมก็ไม่รู้ เห็นเขาว่ากันว่า แต่ละคน ๆ ล้วนแล้วแต่เทวดาร้าย” แล้วท่านก็ร้องไห้ “ถ้าคุณลุงของหลานอยู่ พ่อติ๊ดคงไม่กล้าทำอย่างนี้”
วิทิตมีน้องชายคนหนึ่งและน้องสาวคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกของคุณสังเวียนร่วมกันกับเขา แต่ยังมีน้องชายและน้องสาวต่างมารดาอีกสองคน ซึ่งต่างมารดากันไปอีก ลูกของคุณสังเวียนสองคนนั้นก็ได้จบการศึกษารับราชการแล้ว น้องชายต่างมารดาก็เช่นเดียวกัน ยังมีน้องสาวเล็กต่างมารดาคนเดียวที่กำลังเป็นนิสิตในมหาวิทยาลัยอยู่
กรรณิการ์มองดูบ้านที่คุณสังเวียนอาศัยมาตลอดชีวิตสมรสของท่าน ซึ่งท่านรักและถือว่าเป็นสถานที่ให้ความสุข ตัวเรือนเป็นไม้สองชั้น มีระเบียงโดยรอบ ชั้นบนแบ่งเป็นห้องใหญ่หนึ่งห้อง ห้องเล็กสองห้อง ห้องใหญ่เป็นห้องที่คุณสังเวียนใช้เป็นห้องนอน ห้องแต่งตัว ห้องเก็บของที่ท่านถือว่ามีราคาสำหรับท่าน ได้แก่เครื่องนุ่งห่ม เครื่องภาชนะที่ทำด้วยเงินบ้าง ประดับมุกบ้าง ทำด้วยโลหะอื่นบ้าง เครื่องลายครามและเครื่องเบญจรงค์บ้าง เครื่องแก้วบ้าง ภาชนะเหล่านี้เป็นถาดบ้าง พานบ้าง ตะลุ่มบ้าง เป็นชามสำหรับใส่อาหารบ้าง เป็นโถเล็กโถน้อย ซึ่งในขณะนั้นไม่มีผู้ใดรู้แน่ว่าจะใช้ในกิจกรณีใดก็มี ที่เป็นชิ้นที่ท่านไม่รักไม่ถนอม ท่านได้ขายไปเพื่อเอาเงินมาใช้ระหว่างสงครามก็มาก แต่ที่เหลืออยู่ก็มีจำนวนเต็มตู้ขนาดใหญ่ ๓ ใบ ซึ่งท่านตั้งเรียงไว้ในห้องติดกับผนังด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งของห้องท่านตั้งเตียงนอนซึ่งในบางเวลาที่เหมาะแก่อารมณ์ของท่าน ท่านก็ให้ยกมาตั้งที่ระเบียง แล้วปูที่นอนบนพื้นแทน เตียงที่ระเบียงใช้เป็นที่นั่งเล่น แต่ในบางเวลาซึ่งอาจมีระยะยาวสองเดือนหรือสามหรือสี่ ท่านก็กางมุ้งนอนที่ระเบียงและเอาเตียงไว้ในห้องนอน เตียงนั้นก็ใช้เป็นที่วางสิ่งของแล้วแต่ความสะดวก หรือความจำเป็นในขณะนั้น เช่น ในฤดูเข้าพรรษาท่านต้องทำบุญบ่อย ๆ เตียงนั้นก็เป็นที่วางของที่ซื้อมาสำหรับถวายพระหรือวางภาชนะที่เอาออกมาจากตู้ที่เป็นที่เก็บเป็นประจำ ซึ่งจะใช้เกี่ยวกับการทำบุญ ระหว่างห้องใหญ่ที่เป็นห้องนอนของคุณสังเวียน และห้องเล็กสองห้อง เป็นทางเดินแคบ ๆ สำหรับผู้ที่อยู่ชั้นบน ของบ้านนั้นเดินไปสู่ห้องน้ำและห้องส้วมซึ่งอยู่ในห้องขนาดใหญ่พอสมควร และไม่มีที่กั้นระหว่างกัน เป็นห้องสร้างย้อยออกไปจากระเบียงตอนหลัง ห้องเล็กสองห้องที่อยู่ชั้นบนของบ้านนั้น รวมแล้วมีขนาดเท่าห้องใหญ่ ห้องหนึ่งเคยเป็นห้องนอนของวิทิตและวิธานน้องชายใช้ร่วมกัน แต่ในขณะที่กล่าวถึงนี้ เป็นห้องนอนของวิธานใช้คนเดียว อีกห้องหนึ่งเป็นห้องพระ มีที่บูชาซึ่งเป็นโต๊ะหมู่ฝีมือเก่า งามรองรับพระพุทธรูปและเครื่องบูชา
ชั้นล่างของเรือนมีห้องใหญ่หนึ่งห้อง และห้องเล็กสองห้องเหมือนชั้นบน ห้องใหญ่ชั้นล่างเป็นหนังสือซึ่งบิดาของวิทิตได้สะสมไว้ และเก็บภาชนะใหญ่ ๆ เช่น อ่างมังกรลายครามของเก่า กระถางลายคราม โตก โต๊ะทองเหลือง ฯลฯ อาสนะสำหรับใช้ในการทำบุญเลี้ยงพระและกิจการอื่น ๆ รวมทั้งเก้าอี้และโต๊ะวางของที่ไม่ใช้วางในที่ใดที่หนึ่งในบ้านเป็นประจำ ในห้องนี้นางบุญเลี้ยงซึ่งมีหน้าที่เป็นแม่ครัวและมีฐานะเป็นน้าของน้องสาวต่างมารดาของวิทิต หรืออีกนัยหนึ่งน้องสาวของภรรยาน้อยของคุณสังเวียนเอง ใช้เป็นที่นอนและอาศัยทำกิจวัตรส่วนตัวของหล่อนด้วย ตัวภรรยาน้อยหรือมารดาของจุลรัตน์ ลูกเลี้ยงคนที่หนึ่งของท่านได้ตายไปแล้ว หญิงนั้นเป็นสาวใช้ต้นห้องของท่านตั้งแต่ครั้งท่านอยู่กับบิดาของท่าน และนางบุญเลี้ยงก็ได้มาจากบานเดิมของท่านด้วยกันกับพี่สาว ส่วนสุรัตน์ลูกชายเลี้ยงนั้น คุณสังเวียนไม่รู้จักมารดาท่านได้ มาเลี้ยงดูหลังจากที่สามท่านล่วงลับไปแล้ว ก่อนหน้าที่วิทิตจะจากไปต่างประเทศเพียงปีเดียว
อีกสองห้องเล็กที่มีอยู่ในบ้าน ห้องด้านหน้าใช้เป็นห้องรับแขก และด้านหลังเป็นห้องของวิภาและจุลรัตน์อยู่ร่วมกัน ปัญหาว่าใครควรอยู่ห้องข้างล่าง ใครควรอยู่ห้องข้างบน เป็นข้อพิพาทประจพครอบครัวของคุณสังเวียน แต่ในขณะที่กล่าวถึงนี้ภาวะในบ้านของท่านเป็นดังกล่าวมานั้น และยังมีเรือนแถวหลังเรือนใหญ่อีกเรือนหนึ่ง มีครัวห้องคนใช้ และห้องที่สุรัตน์อาศัยเก็บของและแต่งตัวเพราะที่นอนประจำของสุรัตน์คือที่ระเบียงจะเป็นด้านใดก็แล้วแต่ ความพอใจของสุรัตนและแล้วแต่ทิศทางลมในฤดูหนึ่ง ๆ มีอาคารเล็กอีกอาคารหนึ่งในบ้านของคุณสังเวียน อาคารหลังนี้มีห้องส้วมและห้องน้ำ คนในบ้านทุกคนใช้นอกจากวิภา คุณสังเวียน และในตอนหลังสงครามนี้จุลรัตนถูกห้ามไม่ ให้ใช้ “เพราะ...” คุณสังเวียนอธิบาย “โตขึ้นทุกที ๆ แล้ว” แต่เหตุผลจะมีอย่างอื่นต่อไปอย่างไรท่านมิได้ขยายความ และพี่ ๆ ของจุลรัตน์ก็ไม่ติดใจซัก
บ้านของคุณสังเวียนนั้นอยู่ในซอยซึ่งออกถนนใหญ่ได้โดยการเดินออกมาหรือนั่งสามล้อออกมา รถยนต์ขนาดเล็กที่สุดก็อาจเข้าออกซอยนั้นได้ ถ้าคนขับระมัดระวัง และข้างถนนซอยนั้นข้างหนึ่งมีคูเล็ก ๆ ในบางฤดูมีน้ำเค็ม ในบางฤดูก็มีน้ำไหลท่วม และในเวลาน้ำลงก็มีโคลน
กรรณิการ์พิจารณาบริเวณบ้าน ตัวเรือนและภาวะที่แวดล้อมบ้านของคุณสังเวียน ซึ่งท่านได้วานให้ไปช่วยจัดเพื่อรับรองสะใภ้แหม่มแล้วก็ทอดถอนใจ ชาวต่างประเทศที่กรรณิการ์รู้จัก ที่เป็นครูอาจารย์ก็มีบ้าง ที่เป็นมิตรสหายก็มีบ้าง แต่หล่อนก็ไม่เคยเข้าไปอยู่ใกล้ชิดในบ้านในเรือนจนรู้ถึงความรู้สึกต่าง ๆ ที่อาจมีในการอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน หล่อนรู้จากที่ได้เคยประสบมาว่าสะใภ้ที่เป็นชาติเดียวกับญาติของสามี ก็อยู่ร่วมกันได้อย่างไม่ราบรื่นนัก สำหรับสะใภ้คนละชาติคนละภาษาคงจะมีปัญหาเป็นหลายเท่า ไม่รู้จะเอาตัวเลขใดคูณ
หล่อนนำปัญหาไปปรึกษาสุธิราตามเคย แต่สุธิราก็ได้แต่แสดงความหนักใจ และระหว่างที่กรรณิการ์ครุ่นคิดว่าหล่อนจะกล้าปรึกษาบรรโลมหรือไม่ เพราะคุณสังเวียนอาจไม่พอใจถ้าทราบว่าหล่อนนำเรื่องในครอบครัวไปปรึกษาผู้ที่ท่านมิได้ถือว่าเป็นญาติของท่าน ก็พอดีบรรโลมไปเยี่ยมคุณสังเวียน ในขณะที่กรรณิการ์กำลังอยู่ที่บ้านนั้น
บรรโลมทำตนเป็นมิตรที่น่ารักสำหรับญาติของกรรณิการ์ เมื่อสงครามเลิกไปใหม่ ๆ ราคาสินค้าบางอย่างได้ลดลงมาบ้าง แต่แล้วก็กลับแพงขึ้นไปอีกอย่างน่าใจหาย บรรดาญาติมิตรของกรรณิการ์ แม้คนที่มิได้จนในระหว่างสงครามก็ต้องพยายามประหยัดการใช้สอย เครื่องอุปโภค บริโภคสิ่งใดที่มีราคาสูงกว่ามากก็ไม่อาจซื้อมาบริโภคทั้งที่อยากอย่างมาก ในเรื่องเหล่านี้บรรโลมผู้อยู่ในฐานะที่ไม่ค่อยต้องระมัดระวังเรื่องการใช้จ่าย ก็ทำให้ตนเป็นผู้จัดการให้แก่ญาติชั้นผู้ใหญ่ เช่นลูกไม้จากต่างประเทศที่ท่านเจ้าคุณพ่อของสุธิราอยากรับประทาน และแป้งสาลีซึ่งทุกครอบครัวอยากได้ทำขนมต่าง ๆ ที่ต้องอดไประหว่างสงคราม ถ้าผู้ใดเจ็บไข้ต้องการใช้ยาที่หายากและราคาแพง และสิ่ง อื่น ๆ ที่จะหามาได้ด้วยเงินหรือความรู้จักคุ้นเคยกับพ่อค้า บรรโลมก็เป็นผู้รับจัดการหามาให้โดยไม่ให้เป็นที่สังเกตเอิกเกริกอย่างใด และบรรโลมใช้ความมั่งคั่งของหล่อนเป็นเครื่องมือช่วยเหลือบรรเทาความทุกข์ของคนที่หล่อนชอบพอนับถือได้โดยทันกับเหตุการณ์เสมอ
ในวันที่บรรโลมมาเยี่ยมคุณสังเวียน และมาพบกับกรรณิการ์นั้น กรรณิการ์ก็เดาว่าบรรโลมมาเพราะตั้งใจจะช่วยเหลือในเรื่องนี้ถ้าอาจช่วยได้ แต่หล่อนมิได้ทำให้คุณสังเวียนเข้าใจเช่นนั้น เพราะบรรโลมมีความฉลาดพอที่จะเข้าใจได้ดีว่า บรรดาญาติใหม่ของน้องชายของหล่อนมีความถือตัวไม่ต้องการรับความช่วยเหลือจากหล่อน ในสิ่งที่จะทำให้เขาเหล่านั้นรู้สึกว่าเขาด้อยกว่าหล่อนในความมั่งคั่ง และเขามิได้ยอมรับเอาหล่อนเป็นญาติหรือมิตรเก่าของเขาพอที่จะแสดงความอัตคัด อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเปิดเผย แต่รับเอาหล่อนเป็นญาติเกี่ยวดองหรือมิตรใหม่ที่ต้องแสดงความระมัดระวังในที่ท่าทั้งหลายให้เป็นที่เข้าใจ
แต่โดยปกติของคนที่มีความข้องใจอยู่ในเรื่องใดย่อมอยากระบายออกให้มีผู้ฟังมากเท่าที่จะหาได้ เมื่อบรรโลมไปเยี่ยมพร้อมด้วยผลไม้กระเช้าใหญ่ คุณสังเวียนก็พาเรื่องสนทนาเข้าสู่ข้อข้องใจของท่าน
“ลูกชายฉัน...เขาจะพาลูกสะใภ้แหม่มมาบ้าน ดูเอาเถอะ ฉันก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เขาว่ากันว่านางแหม่มนี้มันร้ายกันทั้งนั้น แต่ละคนๆ...”
“ที่เขาว่าร้ายนะ ร้ายอย่างไรบ้างคะ?” บรรโลมถามเสียงนุ่มนวลตามธรรมดาของหล่อน
“เขาว่า พอมาถึง เขาก็ไม่พอใจที่จะให้ผัวเขาอยู่กับพ่อกับแม่ มักจะเคี่ยวเข็ญให้ไปเสียจากพ่อแม่ที่เดียว” คุณสังเวียนตอบ “พิโถ ไอ้ข้างฝ่ายพ่อแม่ก็คอยลูก จากกันไปตั้งนาน กลับมาจะได้ชื่นอกชื่นใจกัน ก็จะมาพรากให้จากกันไปเสียแล้ว แล้วเขาว่ามันไม่ชอบพี่ชอบน้อง รังเกียจเดียดฉันท์ ไม่ให้ใครเข้าใกล้ไปหมด”
กรรณิการ์พยายามจับตาดูหน้าบรรโลมตลอดเวลาที่คุณสังเวียนพูด เพื่อสังเกตปฏิกิริยาให้แน่ชัดแล้วก็เห็นบรรโลมถอนใจเบา ๆ เธอพูดว่า “มันเป็นเรื่องยากเหลือเกินคะ” แล้วก็นิ่งไป
กรรณิการ์จำเป็นจะเอาความรู้จากบรรโลมจึงต่อการสนทนา
“คุณบรรโลมค่ะ แหม่มที่จน ๆ เหมือนพวกเรามีใช่ไหมคะ แล้วที่เขาคิดอะไรแบบผู้ดี ๆ ก็คงมีใช่ไหมคะ?”
“มันไม่ใช่เรื่องจนเรื่องมี เรื่องผู้ดีเรื่องไพร่ดอก คุณกรรณ” บรร โลมว่า “มันเรื่องชีวิต มันไม่เหมือนกันเลย คิดอะไรกันคนละอย่าง เคยชินกันคนละอย่าง”
“แต่ว่า” กรรณิการ์พูดต่อไป “การที่แหม่มคนหนึ่งมารักแล้วแต่งงานกับคนไทย แล้วก็ติดตามเขาจนถึงบ้านเมืองเขา ก็จะมาเอาอะไรให้เหมือนบ้านเมืองตัวจะได้หรือคะ”
“นั่นแหละเธอ ปัญหามันอยู่ที่ว่าผู้ชายไทยของเราน่ะ ได้บอกให้เขาเข้าใจเรื่องบ้านเมืองของตัวแค่ไหน” บรรโลมว่า “บอกฐานะของเราให้เขาเข้าใจหรือเปล่า หรือแม้แต่บอกแล้ว เวลารักกัน อะไร ๆ กว่าจะทนได้ทั้งนั้น แต่ครั้นถึงเวลาเข้ามันก็ทนไม่ได้ก็มี”
“เราน่ะมันยากจนละ” คุณสังเวียนเริ่มปริเวทนา ตลอดชีวิตการสมรสของท่าน ถึงแม้ท่านจะได้มีความสุขร่วมกับสามีเป็นอย่างดีมาเป็นเวลากว่าสิบปี คุณสังเวียนก็ยังวัดฐานะความร่ำรวยของท่าน โดยเทียบกับฐานะที่ท่านเคยมีเมื่ออยู่กับท่านบิดา ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ในสมัยที่มีข้าทาสหญิงชายมากมาย “แล้วจะทำยังไงมันก็มีอยู่เท่านี้แหละ จะเอาวิเศษวิโสอย่างไรก็ไม่มีจะให้ละ”
“ดิฉันว่า” บรรโลมค่อย ๆ พูดอย่างระมัดระวัง “สำหรับผู้หญิงฝรั่ง อะไรไม่สำคัญให้เขาได้อยู่ตามลำพังผัวเมียเขา ถ้าเรามีเรือนมีบ้านให้เขาอยู่เสียต่างหากนั่นแหละค่ะ จะตัดปัญหายุ่งยากทั้งหมดที่จะตามมา และถ้าจะคิดถึงกันให้ยุติธรรมถึงสะใภ้ไทยเรา เราก็มีธรรมเนียมปลูกเรือนหอให้ต่างหากเหมือนกัน ไม่ใช่แบบจีนที่อยู่ด้วยกันกับพ่อแม่เรื่อย ๆ ไป”
คุณสังเวียนน้ำตาคลอขึ้นมาทันทีด้วยความน้อยใจเมีย ฟังบรรโลมพูดจบ “แม่บรรโลม ฉันไม่ได้มั่งมีมาจากไหน จะไปหาบ้านหาเรือนอย่างไรตอนสงคราม พ่อวิธานก็เรียน แม่วิภาก็เรียน แล้วก็ยังมีตาโป๋ คุณพระก็ไปมีไว้ที่ไหน แล้วก็โผล่มาให้ฉันต้องเลี้ยง แล้วก็ยายแต๋งมันก็ลูกนางบุญรับฉันก็เลี้ยงมันมาตั้งแต่แม่แต่ยาย มันก็เกิดมาเป็นลูกคุณพระก็ต้องให้เรียนทุกคน เขาช่างไม่คิดบ้างเลยว่าฐานะเราเป็นอย่างไร ฉันจะเอาเงินที่ไหนปลูกสร้างเวลานี้” แล้วท่านก็ร้องไห้
บรรโลมนิ่งไปนาน แล้วหล่อนกล่าวว่า “ดิฉันว่าเราควรบอกให้คุณวิทิตรู้เรื่องบ้านเราไว้บ้างจะดีกระมัง ให้คุณกรรณเขียนไปบอกให้เตรียม ๆ เอาไว้ คุณวิทิตจากบ้านไปตั้ง ๑๑ ปี แล้วก็เป็นเวลาสงครามเขาอาจหลงลืมบ้าง แล้วดิฉันว่าเราอย่าเพ่อหนักอกหนักใจนัก ระหว่างนี้เขาอาจคิดหาทางอะไรไว้แล้ว และเดี๋ยวนี้ก็มีไปรษณีย์/**/อากาศ พอติดต่อกันได้เร็วพอสมควร”
กรรณิการ์เข้าใจว่าบรรโลมต้องการจบการสนทนากับคุณสังเวียน ในเรื่องของวิทิตและภรรยาชาวอังกฤษเพียงแค่นั้น ก็เลยเสคุยเรื่องอื่นไปเสีย ปล่อยให้คุณสังเวียนนั่งฟังโดยไม่ค่อยเอาใจใสไปก่อน แล้วบรรโลมก็ลาทันทีที่ได้จังหวะที่จะลาโดยไม่น่าเกลียด แล้วกรรณิการ์ก็เดินตามบรรโลมออกมาถึงปากซอย จนถึงรถยนต์จอดคอยบรรโลมอยู่
ระหว่างเดินมาตามซอย กรรณิการ์ก็ถาม “คุณบรรโลมคะ แหม่มนี้ถ้ามันเคยจน มันจนเหมือนพวกเราไหมคะ?”
“แหม่มของคุณวิทิตนี่เป็นคนชั้นไหน?” บรรโลมย้อนถาม
“คุณติ๊ดนี่เขาเป็นโรคประหลาดค่ะ” กรรณิการ์ว่า “เขาไม่บอกมาว่าอะไรหมดเรื่องเมียเขา บอกแต่ว่าอย่าให้เราวิตกอะไร อย่าเป็นห่วงกังวลอะไร เขามาจัดการของเขาได้”
“ระหว่างที่เขาจะจัดน่ะ เขาจะมาจัดอยู่ตรงไหน จัดเรื่องอะไร ที่ถามนี่เพราะสงสารคุณแม่เขาเท่านั้นนะคะ เผื่อจะช่วยเหลืออะไรท่านได้บ้าง อย่าคิดว่าซอกแซกถามเพื่ออะไรอื่นเลย” บรรโลมกล่าวแก่เพื่อนสนทนา
“เขาบอกมากะวิธานค่ะ เขาไม่ได้บอกดิฉัน” กรรณิการ์ตอบ “แล้วก็บอกมาแก่คุณป้าสังเวียนเอง เขาว่ามีบ้านอยู่กันอย่างไรก็เอาอย่างนั้น ไม่ต้องทำอะไรให้พิเศษสำหรับเขากับเมียของเขา เขาอยู่กันได้ทั้งนั้น”
“เขาจำได้หรือเปล่าว่า เช้าขึ้นจะต้องรอกันเข้าห้องนำตั้งสามสี่คน” บรรโลมว่า “นี่ คุณกรรณิการ์ ที่ดิฉันพูดอย่างนี้เพราะไว้ใจคุณว่าเข้าใจดิฉันนะ”
“ค่ะ เข้าใจ” กรรณิการ์รับรอง “คุณบรรโลมไม่เห็นจะมีส่วนได้ส่วนเสียอะไร จะมาพูดให้ขัดใจกันโดยไร้สาระทำไมคะ”
“ฝรั่งน่ะ ถ้าจนมาก ๆ ก็อาจโดนภาวะอย่างที่ว่า แต่ถ้าเป็นคนชั้นกลาง ๆ ถ้าเขาอยู่บ้านของเขาเอง ไม่ใช่อยู่หอพักหรืออะไรอย่างนั้น เรื่องห้องน้ำห้องส้วมเขาก็สะดวกสบายกันพอสมควร”
“เมียคุณติ๊ดนี่ ไม่รู้เขาแค่ไหนอย่างไรเลยค่ะ แต่ที่คุณบรรโลมว่าให้ดิฉันเขียนจดหมายไปเตือนบ้าง ดิฉันก็พอทำได้ค่ะ” กรรณิการ์ว่า “ที่จริงคุณติ๊ดกับดิฉันนี้ เมื่อก่อนไปเมืองนอกก็ไม่ได้รักใคร่สนิทอะไรกันดอกคะ แต่ดิฉันว่าก็ไม่เป็นไร เขาคงจะแลเห็นว่าเราหวังดี ดู ๆ เขาก็เป็นคนมีเหตุผลพอสมควร” กรรณิการ์เกือบเล่าต่อไปว่าญาติหญิงที่วิทิตเอาใจใส่ก่อนเขาไปเมืองนอกก็มีจันทิราคนเดียว แต่ยั้งไว้ทัน
“นี่ค่ะ คุณกรรณิการ์” บรรโลมกล่าวอย่างระมัดระวัง “ดิฉันจะบอกไว้เพราะไว้ใจคุณว่าเข้าใจดิฉันนะคะ ถ้าคุณสังเวียนท่านจะต้องการเงินสำหรับสร้างเรือนเล็ก ๆ สักหลังให้คุณวิทิตกับเมียที่ในบ้านนี้ก็ยังมีบริเวณอยู่บ้าง หรือถ้าท่านมีที่ไหนอีก คุณบอกดิฉันนะคะ ดิฉันจะจัดการให้ ไม่ให้ท่านต้องเดือดร้อนมากหรอกค่ะ”
“แหม ขอบคุณ คุณบรรโลมอย่างเหลือเกินค่ะ” กรรณิการ์กล่าวอย่างจริงใจ
บรรโลมขึ้นรถของหล่อนกลับไปแล้ว กรรณิการ์กลับเข้าไปหาคุณสังเวียน ฟังท่านรำพันถึงชีวิตของท่านด้วยความน้อยใจอีกสักครูใหญ่ แล้วก็ลาไป
เมื่อหาเวลาว่างจากงานทั้งทางวิชาชีพและงานช่วยเหลือบิดามารดาในบ้านได้ หล่อนก็ไปหาสุธิรา เพื่อปรึกษาเรื่องที่บรรโลมแนะนำ
“คุณน้าว่า ให้กรรณเป็นคนเขียนจดหมายไปเตือนคุณติ๊ดดี หรือจะให้น้องของเขาแท้ ๆ ดีคะ”
“ไม่รู้ซี” สุธิราว่า “วิธานกับวิภาน่ะ เมื่อจากกันกับวิทิตแกก็ยังเด็กอยู่ แต่เขาก็พี่น้องกันแท้ ๆ ส่วนกรรณน่ะเป็นลูกพี่ลูกน้อง แต่ถ้าพูดไม่เหมาะไม่ดี ทำให้วิทิตเขาคิดว่าพี่ ๆ น้อง ๆ รังเกียจเมียเขา เรื่องก็จะไปกันใหญ่ การเตือนคนน่ะเป็นการเสียสละ กรรณจะยอมเสียสละให้คุณป้าสังเวียน ไหมล่ะ เมื่อวิทิตเขามาโกรธเอา”
“กรรณไม่ต้องเสียต้องสละอะไรหรอกค่ะ” กรรณิการ์ตอบ “ถ้าคุณติ๊ดมาโกรธหาว่ากรรณเข้ามายุ่งในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัว กรรณก็ว่าบ้าเท่านั้นแหละค่ะ”
“จริง เราน้อยใจคนที่เรารักเท่านั้น ถ้าเราไม่รัก เราก็ไม่น้อยใจ” สุธิราว่า “แต่ถ้าแก่เข้า ๆ แม้คนที่เรารัก เราก็ชักไม่ค่อยน้อยใจ” สุธิราเสริมจากความจัดเจนชีวิตของหล่อน
“กรรณเห็นจะยังอีกนานกว่าจะถึงตอนนั้น” กรรณิการ์ว่าโดยไม่ค่อยเชื่อนัก สำหรับกรรณิการ์ ถ้าใครที่หล่อนรัก เช่นเพื่อนฝูงคนใดเข้าใจความหวังดีของหล่อนผิดไป หล่อนจะน้อยใจมาก
“แล้วมันถึงเข้าวันหนึ่งเองแหละ” สุธิราว่า หญิงทั้งสองสนทนาด้วยเรื่องต่าง ๆ พอสมควรแล้ว กรรณิการ์ก็ลากลับบ้าน
กรรณิการ์ใช้แรงสมองแรงใจอย่างหนักในการร่างจดหมายฉบับสำคัญนั้นถึงวิทิต หล่อนเขียนแล้วเปลี่ยนลำดับ เปลี่ยนสำนวน เปลี่ยนถ้อยคำหลายแห่ง ในที่สุดก็ส่งไปทางเมล์อากาศ
วิทิตมิได้ทำให้กรรณิการ์ผิดหวังหรือดูหมิ่นว่า “บ้า” ยิ่งกว่านั้นจดหมายตอบของวิทิตทำให้กรรณิการ์รู้สึกเกิดความนิยมรักใคร่อย่างที่หล่อนไม่เคยมีมาก่อนในตัวเขา
“กรรณิการ์ที่รัก” เขาเริ่มจดหมายแปลกจากที่เขาเคยเขียนถึงหล่อน ซึ่งแต่ก่อนเขาเรียกหล่อนว่า “คุณกรรณ”
“จดหมายของเธอเล่าเรื่องทางบ้านมานั้น ฉันได้รับแล้ว รู้สึก appreciate อย่างยิ่ง ขอโทษที่ ต้องใช้ภาษาอังกฤษ เพราะนึกคำไทยที่สมใจเท่าไม่ได้ ขอให้เธอเห็นใจบ้างนะ ว่าฉันจากบ้านเมืองไป ๑๑ ปี ป่านนี้คนที่เคยรู้จักอยู่ที่เมืองไทยมีลูกกันโต ๆ ไปแล้วหลายรายหรือตลอดเวลาสงครามฉันฟังวิทยุภาษาไทยจากทุกสถานที่พอจะมีเวลาและพอจะรับฟังได้ และอ่านหนังสือไทยอยู่เรื่อย ๆ และฉันไม่ได้ลืมภาวะทางเมืองไทยอย่างที่เธอห่วงใยเลย ดูซี คำว่า “ภาวะ” ฉันก็ใช้เป็น แต่ตัวสะกดแปลก ๆ สมัย “แปลก” น่ะ ฉันไม่ได้หัดเขียน และสังเกตว่าเธอก็ไม่เขียน แต่ช่างเถอะ เรื่องอักษรศาสตร์เป็นเรื่องของเธอ ฉันจะขอตอบเธอเรื่องชีวิตในครอบครัวละ
ที่เธอเป็นห่วงมา และเธอใช้ถ้อยคำสละสลวยเหลือเกิน เรื่องห้องน้ำห้องส้วม เรื่องน้ำโคลนในคูในซอยบ้านเรา เรื่องที่เราจะต้องไปอยู่ด้วยกันกับพี่ ๆ น้อง ๆ ในห้องติดกัน ได้ยินเสียงถึงกัน เรื่องเหล่านี้แอนน์กับฉันเตรียมไว้หมดแล้ว เธออย่าลืมว่า ประเทศอังกฤษทำสงครามมา ๖ ปี ถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังมิใช่ภาวะปกติ เท่าที่ได้ยินได้ฟัง คนไทยจะมีความสะดวกสบายกว่าคนอังกฤษเสียอีก และแอนน์ได้ทำสงครามจริง ๆ เขาเคยขับแทรกเตอร์ไถนา เคยเฝ้าไฟเวลามีระเบิด เคยดึงคนออกมาจากซากตึกที่พังทลาย แอนน์เป็นคนเข้าใจอะไรดี เธออย่าเป็นห่วงเลย แม้แต่การที่พี่น้องของเราจะไม่ยินดีรับรองสะใภ้ต่างชาติเขาก็เข้าใจ เขารู้ว่าเป็นธรรมดา ที่ใคร ๆ ก็ไม่ชอบคนแปลกหมู่แปลกพวก ฉันยินดีเหลือเกินที่ได้รับจดหมายจากเธอ ทีแรกฉันก็ไม่รู้ว่าใครจะสนใจแค่ไหน น้อง ๆ แกก็ยังเด็กมากเมื่อจากกันมา เดี๋ยวนี้เขาก็คงมีความคิดนึกเป็นของเขาเอง คงไปกันคนละทาง เพราะผ่านชีวิตกันมาคนละอย่าง แต่จดหมายของเธอทำให้ฉันรู้สึกว่าแอนน์จะได้มีเพื่อนคนหนึ่งในหมู่ญาติพี่น้องของเรา แอนน์เขากำลังหัดพูดไทย หัดนั่งพับเพียบวันละครึ่งชั่วโมงทุกวัน เขาพูดไทยได้มากพอสมควรแล้ว หวังว่าเธอจะช่วยสอนให้อีกเมื่อถึงบ้านแล้ว เขากำลังอ่านหนังสือเรื่องพระพุทธศาสนา และกำลังอ่านประวัติศาสตร์ชาติไทย ฉันว่าเธอกับเขาจะมีเรื่องคุยกันเยอะแยะ วันแรกที่เราไปถึงบ้าน ฉันขอกินน้ำพริกแห้ง อย่าให้เผ็ดนัก กบปลาช่อนย่างกับผักชีสดๆ สำหรับแอนน์ขอให้มีไข่เจียวกินทุกมื้อก็ดีใจแย่แล้ว เพราะเมืองอังกฤษกินไข่ผงกันมาหลายปี น้ำพริกเผาเขาก็ชอบ เขาเคยกินเหมือนกัน และเขาเป็นคนเรียนทางการค้า ถ้าหางานทำได้ก็ยิ่งดี เห็นจะเป็นเรื่องสำคัญมากเรื่องนี้ เพราะเงินเดือนราชการของฉันเขาว่าไม่พอกินใช่ไหม ถ้ามหาวิทยาลัยเขาจะจ้างให้เป็นอาจารย์ เขาก็คงสอนภาษาอังกฤษได้
เรื่องการที่จะต้องอยู่กันตามลำพังผัวๆ เมียๆ นั่นก็เป็นธรรมดา เราจะพยายามหาที่อยู่ของเราเองเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เธออย่าเพิ่งไปพูดให้คุณแม่รู้ เพราะฉันเข้าใจดีว่าท่านคงจะไม่พอใจ แล้วฉันจะค่อย ๆ ทำให้ท่านยอมไปทีละน้อย ๆ เอง ด้วยความช่วยเหลือจากเธอนะ ส่วนเรื่องที่เรามีน้องคนละท้อง เรื่องมีเมียน้อยเมียหลวง แอนน์เขาขอความตกลงกับฉันว่า ถ้าฉันเกิดจะต้องรักษาประเพณีมีเมียน้อยขึ้นมาเมื่อไร เขาขออนุญาตกลับบ้านเขา ซึ่งเป็นความเข้าใจรับรู้กันด้วยเกียรติยศ หรือที่เขาเรียกว่าเย็นเติลแมนอะกรีเม้นท์ (gentleman's agreement) น่ะ ไม่ถึงกับเซ็นสัญญาดอก แต่เพื่อน ๆ หลายคนเขาช่วยบอกว่า กฎหมายหย่าของไทยเราดี เสียเงินสองบาทก็หย่าได้ และไม่เคยปรากฏว่ามีผู้ชายไทยคนไหนไม่ยอมหย่าเมื่อเมียขอหย่า ไม่รู้จะเอาไว้ทำอะไร แอนน์เขาก็เชื่อ
ส่วนตัวเธอล่ะ ไม่เห็นเล่าอะไรมาเลย เล่าแต่เรื่องคุณพ่อคุณแม่ คุณป้า คุณอา คุณลุง น้องคนนั้นพี่คนนี้ ของเธอมีอะไรปิดเป็นความลับรึ ผู้ชายไทยในเมืองไทยโง่เง่าอะไรกันถึงเพียงนั้น ทำไมปล่อยเธอไว้ถึงป่านนี้ ถ้ามีข่าวทั้งดีทั้งร้ายขอให้เล่าให้ “พี่” ของเธอฟังบ้าง อย่าลืม ว่าเธอไม่มีพี่ชายอื่นอีกนะ พี่ประจำลูกคุณลุงจิตก็ตายแล้ว เธอมีพี่ชายก็คือคุณติ๊ดของเธอคนเดียวนีละนะ เพราะฉะนั้นควรเล่าอะไร ๆ ให้ฟังบ้าง
พี่สะใภ้ของเธอและพี่ชายของเธอกำลัง look forward to meeting you และพี่น้องของเราทุกคน
รักและคิดถึงน้องกรรณมาก
วิทิต