เมื่อรถไปถึงบ้านพัก วิทิตอยู่บนระเบียงเรือน เขาเดินมาเปิดประตูรถให้หล่อนลง โดยไม่ทำอะไรผิดสังเกต

“อ้าว เบ๊บไม่มาด้วยหรอกหรือ?” บรรโลมถาม

“เขาจะรีบตามมาคะ” จันทิรารีบตอบ แล้วก้มลงหยิบกระเป๋าเสื้อผ้า เดินนำหน้าวิทิตขึ้นเรือน และตรงเข้าห้องพักที่บรรโลมชี้ให้

เมื่อเขาเป็นฝ่ายไม่ประหม่า หล่อนจึงประหม่า หล่อนนั่งลงบนเตียงและรวบรวมสติ หล่อนจะทำกิริยาอาการอย่างไรดี บรรโลมยังไม่รู้หรือแกล้งทำไม่รู้ หรือไม่แยแสพอที่จะแสดงว่ารู้ บรรโลมไม่เคยพูดกับจันทิรามากนักไม่ว่าในเรื่องอะไร จันทิราแปลกใจทุกครั้งเมื่อกรรณิการ์สรรเสริญความอารีของบรรโลม สำหรับจันทิราบรรโลมไม่เคยแสดงอะไรเลย บรรโลมกับหล่อนเปรียบเหมือนคนรู้จักกัน มีฐานะทัดเทียมกัน และอยู่ในวงสังคมเดียวกัน เมื่อมีแขกเชิญไปบ้าน บางทีบรรโลมก็เชิญบรรเลงกับจันทิรา บางทีก็ไม่เชิญ ถึงวันเกิดหรือมีความเจ็บไข้ บรรโลมก็เยี่ยมเยียน พบกันก็สนทนาวิสาละกัน บรรโลมไม่เคยปรับทุกข์หรือแนะนำอะไรกับจันทิรา ต่างคนต่างก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของกันและกัน ตั้งแต่จันทิราแต่งงานกับบรรเลงแล้ว จันทิราได้เปลี่ยนมารยาทต่อบรรโลมไปจากที่เคยแสดงก่อนแต่งงานอย่างเดียว คือแทนที่จะเรียกว่าคุณบรรโลมก็ได้เปลี่ยนไปเรียก ซิส ตามบรรเลง บรรโลมยังคงเรียกจันทิราว่าคุณจัน เหมือนที่เคยเรียกก่อนที่จะได้มาเป็นน้องสะใภ้

อย่างไรก็ตาม ถ้าบรรโลมมีความสงสัยในเรื่องจันทิรากับวิทิตไปในทางไม่ดี บรรโลมคงไม่เชิญให้บรรเลงและจันทิรามาตากอากาศในคราวนี้รวมกับวิทิต ดังนั้นในข้อนี้จึงเป็นอันแน่ใจได้

ส่วนวิทิตเล่า เขาล่วงรู้อะไรบ้าง แล้วหล่อนก็ตอบแก่ตนเองว่า เขาจะล่วงรู้อะไรอย่างไร ในเมื่อตัวของหล่อนเองก็ยังไม่รู้ แต่ว่าเขามีปฏิกิริยาอันแท้จริงอย่างไร นั่นซิ เป็นสิ่งที่ควรถาม ถึงหากว่าเขาจะแสดงกิริยาธรรมดาสุภาพและไม่เก้อเขินเมื่อกี้นี้

บรรโลมต้องรู้ว่าวิทิตกับหล่อนเกี่ยวดองกัน ถึงแม้ว่ามิได้เป็นญาติกันตามสายโลหิต เพราะบรรโลมก็รู้จักกับบิดาของหล่อนและวิทิตเกือบเท่า ๆ กัน ดังนั้นจันทิราจึงตัดสินใจว่า หล่อนจะใช้มารยาทต่อวิทิตฉันญาติเปรียบเหมือนหล่อนกับวิทิตไม่เคยมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน เมื่ออยู่ต่อหน้าบรรโลม

พอดีกับการตัดสินนั้น ก็มีเสียงบรรโลมดังขึ้น “คุณจัน จะรับประทานเครื่องดื่มอะไรไหม?อาหารกลางวันพร้อมแล้ว จะรับประทานเดี๋ยวนี้เลยก็ได้”

จันทิราตะโกนตอบว่า “ตามใจซิสเถอะคะ ประเดี๋ยว ผลัดเสื้อผ้าก่อนแล้วจะออกไป”

จันทิราทำตัวให้สวยงาม หวีผม ผัดหน้า แต่งริมฝีปาก สวมเสื้อเชิ้ตสีจำปาสด กางเกงขาสั้นสีทองคร่ำทำให้เห็นขาเรียวงามและขาวเกลี้ยง แล้วก็ออกมาที่ระเบียง

วิทิตอยู่ในทะเล เขาออกไปว่ายน้ำเล่นอยู่คนเดียว จันทิราจึงลงนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ระเบียงเรือน มองดูทะเล และมองดูร่างของวิทิตในระยะไกลด้วยสีหน้าเรียบ ๆ

“แอนน์เขาจะมาพรุ่งนี้ใช่ไหมคะ?” จันทิราแกล้งถามบรร โลม หล่อนตั้งใจจะทำตนให้เป็นคนที่ไม่แยแสต่ออะไรนัก หากบรรโลมรู้ทีหลังว่าหล่อนกับวิทิตเคยรักกัน

“เขาว่าจะพยายามกลับมาวันเสาร์ นี่เพิ่งวันพฤหัสเท่านั้น” บรรโลมตอบ

จันทิรานิ่ง ไม่กล่าวอะไรต่อไป หล่อนหยิบหนังสือนิตยสารเล่มหนึ่งขึ้นมาพลิกไปมา

“คุณวิทิตยังเป็นฝรั่งอยู่มาก” บรรโลมเอ่ยขึ้นเมื่อนิ่งกันไปนานพอสมควร “ยังอาบน้ำทะเลกลางแดดได้ เกือบเที่ยงแล้วยังไม่รู้สึกเดือดร้อนเลย เป็นดิฉันละตายแล้ว”

“จันก็ตายเหมือนกันค่ะ” จันทิราคล้อยตาม “ชอบลงเช้า ๆ เย็น ๆ พอให้แดดลบสักหน่อย”

“นี่แกลงได้ทั้งวัน” บรรโลมบอก “แกเหมือนคนอังกฤษคนหนึ่ง ดิฉันว่าแกเป็นอังกฤษ ยิ่งกว่าแอนน์เสียอีก”

“เป็นอย่างไรคะ?” จันทิราถามด้วยความสนใจจริง ๆ แต่น้ำเสียงไม่ผิดสังเกตอย่างใด

“ไม่ค่อยพูดค่อยจา นั่นก็อย่างหนึ่งละ” บรรโลมชี้แจง “แล้วก็ชอบมีความคิดความเห็นเป็นของตัวเอง ไม่ชอบสนใจกับใคร”

จันทิราเกือบจะบอกว่าวิทิตเป็นเช่นนั้นมาตั้งแต่รุ่นหนุ่ม แต่หล่อนบังคับตัวได้ หล่อนนั่งจ้องตาบรรโลมต่อไป จึงเป็นเครื่องยั่วยุให้บรรโลมต่อคำสนทนา

“แกเป็นอังกฤษไอ้เรื่องสิทธิและเสรีภาพนี้น่ะมากเอาการอยู่ แกบอกว่าแกอยากมีชีวิตเป็นของตนเอง ภาษาไทยไม่มีคำที่ตรงทีเดียวนัก คนอังกฤษเขาใช้คำว่า privacy”

“ก็แปลว่าต้องการอยู่ตามลำพังของตัวใช่ไหมคะ?” จันทิราถาม

“มันยิ่งไปกว่านั้น” บรรโลมอธิบาย “อังกฤษเขาถือเรื่องนี้เป็นสิทธิของบุคคล ดิฉันก็ไม่ใช่นักอธิบาย คือเขาถือว่า ชีวิตของคนคนหนึ่งนั้นก็เป็นหน้าที่เฉพาะของเขาจะดูจะแล ไม่ต้องการให้ใครเป็นธุระวุ่นวาย นอกจากเขาจะขอความช่วยเหลือแล้ว ก็ไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเขา ตรงนี้แหละที่ดิฉันว่าแกจะเป็นอังกฤษเสียยิ่งกว่าแอนน์”

“แล้วซิสเห็นด้วยไหมคะ ความคิดเห็นอย่างนั้น?” จันทิราถาม

“เห็นด้วย แต่ไม่ถึงที่สุด” บรรโลมตอบ “คือเห็นด้วยเหมือนกัน แต่ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์”

“หมายความว่าอย่างไรคะ?” จันทิราซัก บรรโลมเริ่มรู้สึกแปลกใจในน้องสะใภ้ เพราะตามปกติ จันทิราไม่ค่อยสนใจคุยกับบรรโลม “คือสำหรับดิฉันการช่วยเหลือคนเรานี่เราควรทำ แต่ถ้าการไปให้ใครเขามาช่วยเหลือนี่ เราไม่ควรเรียกร้องให้มากนัก ไม่เหมือนแบบจีนแบบไทยของเรา เช่นพี่น้องกันนี้ ถือเป็นสิทธิที่จะเรียกร้องให้ช่วยเหลือได้”

“แบบจีนกับแบบไทยนี่เหมือนกันรึคะ?” จันทิราถาม ตอนนี้หล่อนเริ่มสนใจจริง ๆ บรรโลมเคยทำให้จันทิราแปลกใจบ่อย ๆ ในการที่ไม่ช่วยทำให้ใครลืมบรรพบุรุษจีนของหล่อน

“ไม่เหมือนกันทีเดียว” บรรโลมตอบ “แบบจีนก็รู้แล้วรู้รอดไป คือไม่ค่อยยุ่งระหว่างสะใภ้ ระหว่างเขย ตราบใดที่พ่อแม่อยู่ พ่อแม่เป็นคนตัดสิน ขอให้ลูกคนนั้น ช่วยลูกคนนี้ สะใภ้ไม่มีเสียง แต่คนไทยนั้นไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าที่พี่น้องรบกวนนั้นเป็นสิทธิหรือไม่แค่ใหน แต่จีนสมัยใหม่นี้ก็เปลี่ยนกันไป คือจีนในเมืองไทยก็เอาอย่างคนไทยบ้าง เอาอย่างฝรั่งบ้าง แล้วแต่ได้รับการศึกษาที่ไหน เพราะอย่างนั้น ถ้าจะไม่ให้ยุ่งเลยก็ต้องเอาอย่างฝรั่ง แต่ชีวิตมันแห้งแล้งเหลือเกิน”

“ซิสอยู่ในฐานะที่ไม่ต้องขอความช่วยเหลือใคร” จันทิราว่า “ถ้าซิสต้องตกไปอยู่ในฐานะที่ต้องขอความช่วยเหลือ ซิสคิดว่าจะทำอย่างไรคะ?”

“อันนี้ซิที่ทาให้คิดว่าแบบฝรั่งดีกว่า” บรรโลมว่า “แบบครึ่งจีนครึ่งไทยทำให้เราต้องคิดวุ่นวาย ควรขอหรือไม่ควรขอ จะขอเมื่อไรอย่างไร แค่ไหน แล้วเมื่อแข็งอกแข็งใจขอแล้ว เขาไม่ช่วยเราก็ต้องมาช้ำใจ แบบฝรั่งมันหมดเรื่อง ขอเขาไม่ได้ ต้องพยายามช่วยตัวเอง”

จันทิรามองไปทางทะเล เห็นว่าวิทิตยังไม่ทำทีท่าที่จะขึ้นมา จึงหาเรื่องคุยกับพี่ของสามีต่อไป

“ซิสรู้เรื่องคุณสุภัทราแล้วใช่ไหมคะ?” จันทิราเอ่ยขึ้น

“มีอะไรใหม่รึ?” บรรโลมถาม

“คุณน้ากลางต้องเอาธุระทุกอย่าง คุณเต่ามีทอง ต้องไปหาหมอที่ดี เพราะอายุแค่นี้แล้ว การคลอดบุตรมีอันตราย คุณน้ากลางก็ต้องเป็นคนหามดหาหมอ แล้วพอมีหลานออกมาก็คงไม่พ้นคุณน้ากลางละค่ะ”

“นั่นซิ แล้วคุณสุธิราก็จะมีความสุขดีกว่าที่จะไม่ได้รับอนุญาตให้ยุ่งกับชีวิตของน้องแบบอังกฤษ” บรรโลมว่า

จันทิรานิ่งไป สำหรับหล่อนไม่แลเห็นว่าชีวิตของสุธิราจะเป็นสุขเพราะต้องช่วยเหลือน้องสาวคนที่ไม่มีอะไรน่าชื่นชมอย่างคุณเต่าได้อย่างไร

“อยากรู้ว่าแกคิดยังไงขึ้นมาถึงไปแต่งงานกับตาครูปรีชา” จันทิราปรารภออกมาดัง ๆ

“เพราะแกเป็นคุณเต่า ไม่มีใครเห็นอะไรของแกเลย จนกระทั่งมีตาครูปรีชามาเห็น” บรรโลมตอบ

“เขาว่าแกเห็นแก่สมบัติน่ะค่ะ” จันทิราว่า “แกนึกว่าเจ้าคุณท่านสิ้นแล้ว คุณเต่าก็จะได้สมบัติ”

“ก็อาจเป็นได้” บรรโลมว่า “แต่ก็ยังดีกว่าไม่เห็นว่าอะไรเลย”

พอดีวิทิตวิ่งขึ้นจากทะเล จันทิราลืมตัวหันไปจ้องมองร่างอันระหงและแข็งแรงแสดงลักษณะนักกีฬาของเขา ไม่ได้ฟังต่อไปว่าบรรโลมพูดว่าอะไร

ต่อมาอีกประมาณ ๑๕ นาที วิทิต จันทิรากับบรรโลม ก็นั่งลงรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน ระหว่างรับประทาน บรรโลมกับจันทิราเป็นคนคุยถึงเรื่องเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ แต่โดยมากบรรโลมถามถึงหลานชายลูกของจันทิรา วิทิตเป็นผู้ฟังมากกว่าพูด ซึ่งเป็นปกติของวิทิต ไม่มีอะไรแปลกไป พอรับประทานอาหารเสร็จแล้ว บรรโลมก็ขอตัวไปนอน จันทิราจึงทำตาม

ตกบ่ายราว ๑๖.๐๐ นาฬิกา บรรโลมจึงออกมาจากห้องของหล่อน หล่อนอยู่ในเครื่องอาบน้ำทะเล แสดงว่าถึงจะมีใครลงอาบกับหล่อนหรือไม่หล่อนก็จะลง แต่ก็ได้หยุดชวนจันทิราที่หน้าห้องนอนของจันทิรา

มีหนทางเดียวเหลือสำหรับจันทิรา หล่อนต้องลงทะเลไปเล่นน้ำกับพี่ของสามี ในใจคิดถามว่า “เขาจะลงไปเล่น ด้วยไหมหนอ?”

บรรโลมชวนวิทิตเหมือนกัน ซึ่งเขาก็ตกลงจะไปเป็นเพื่อนหล่อน

“คุณติ๊ดนี่น่าชวนมาชายทะเลจริง ๆ” บรรโลมว่า “เล่นน้ำเสียคุ้ม จะมาอีกเมื่อไรไม่ต้องเกรงใจนะ บ้านหลังโน้นก็ยังมีอีกคะ”

ระหว่างอยู่ในทะเล ทั้งสามก็ไม่ได้สนทนากันมากนัก บรรโลมเล่นน้ำประมาณ ๔๕ นาที แล้วก็เตรียมจะขึ้น จันทิราก็เตรียมขึ้นพร้อมกัน

หญิงทั้งสองแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว วิทิตก็ยังไม่ขึ้นจากทะเล บรรโลมหาหนังสือมาอ่าน จันทิราก็ทำตาม

จวนตะวันตกดินแล้ววิทิตจึงขึ้นมาจากทะเล พอวิทิตวิ่งขึ้นหาดมา จันทิราซึ่งเบื่อการอ่านหนังสือแล้วก็ชวนบรรโลมลงไปเดินเล่น ความประสงค์ของจันทิราคือไม่ให้โอกาสพี่ของสามีกล่าวได้ว่า หล่อนได้พยายามหาโอกาส/**198/อยู่กับวิทิตสองต่อสอง หล่อนแน่ใจว่าจะหาโอกาสที่แนบเนียนได้

สำหรับคืนนั้นเหตุการณ์ก็ผ่านไปโดยปกติ.

พอรุ่งเช้า จันทิราก็ตื่นตามเวลาปกติของหล่อน หล่อนไปที่หน้าห้องของบรรโลม เห็นเด็กคนใช้ของบรรโลม หล่อนก็ถามว่าบรรโลมตื่นแล้วหรือยัง เด็กคนใช้ตอบว่ายังไม่ตื่น หล่อนจึงกลับเข้าไปแต่งตัวสำหรับลงทะเล เมื่อหล่อนออกมาจากห้อง วิทิตไม่ได้อยู่ที่บ้าน คนใช้ผู้ชายบอกว่าวิทิตไปเล่นกอล์ฟ หล่อนถามเขาว่า บรรโลมเคยลงเล่นน้ำทะเลเวลาเช้าหรือไม่ ได้รับคำตอบว่าบางทีก็ลงบางทีก็ไม่ลง จันทิราจึงลงไปเล่นคนเดียว

หล่อนขึ้นจากทะเลแล้ว บรรโลมจึงออกมาจากห้อง นอน ทั้งสองคนแต่งตัวแล้วมารับประทานอาหารเช้าด้วยกัน เวลาสายมากแล้ววิทิตจึงกลับมา เขามานั่งพักผ่อนสักประเดี๋ยวแล้วก็ลงไปเล่นน้ำทะเล และเที่ยวเดินเล่นและนั่งเล่นที่หาด จนใกล้เวลารับประทานอาหารกลางวันจึงขึ้นมาเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย แล้วมารับประทานอาหารกลางวันร่วมกันสามคน

หลังจากนั้น จันทิราและบรรโลมก็เข้าห้องส่วนตัวเพื่อพักผ่อนเวลากลางวัน ถึงเวลารับประทานน้ำชา จันทิราก็ออกมาที่ระเบียง

“คิดถึงคุณกรรณจังนะ คุณติ๊ด” จันทิราได้ยินบรรโลมกล่าวแก่วิทิต ทั้งสองคนนั่งอยู่ที่ระเบียงแล้วเมื่อจันทิราออกมาจากห้อง

“นี่ถ้ากรรณิการ์มาพร้อมกับแอนน์ คงมีเรื่องคุยกันไม่จบ” วิทิตว่า

จันทิรารู้สึกว่าความอิจฉาแล่นปลาบเข้ามาที่หัวใจของหล่อน หล่อนอิจฉาเมื่อได้ยินวิทิตกล่าวถึงภรรยา และอิจฉากรรณิการ์ที่เป็นเพื่อนกับภรรยาวิทิต หล่อนเยื้องกรายเข้ามานั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่บรรโลมและวิทิตนั่งอยู่ ทำท่าทีเตรียมพร้อมที่จะร่วมการสนทนาโดยไม่มีอะไรผิดปกติ วิทิตเหลือบตาขึ้นดูจันทิราขณะที่หล่อนเคลื่อนไหวเข้ามาใกล้เขา กิริยาท่าทีของจันทิรานั้นหล่อนไม่ต้องแสร้งทำ เพียงแต่ระวังตัวไว้เล็กน้อยเท่านั้น อิริยาบถของหล่อนงดงามตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเดินหรือลุกขึ้นหรือนั่งลง และสอดประสานไปกับผม และเสื้อผ้าที่หล่อนสวมใส่ไม่มีขัดตา ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด

บรรโลมให้คนใช้ยกเครื่องน้ำชามาที่ระเบียง สามคนรับประทานขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ และดื่มน้ำชา บรรโลมเอ่ยขึ้นว่า “คุณติ๊ดทราบไหม เวลาที่คุณมาอยู่นี่ ฉันได้พลอยรับน้ำชาเหมือนคนอังกฤษไปด้วย ปกติไม่ค่อยดื่ม”

“อ้าว โปรดอย่าทำให้เดือดร้อนถึงแค่นั้นเลยครับ” วิทิตพูดตามธรรมเนียม

“ไม่เดือดร้อนอะไรเลยคะ ชอบเสียอีก” บรรโลมชี้แจง “แต่ถ้าอยู่ตามลำพัง ไม่ค่อยรับประทานอะไรเป็นเวล่ำเวลา”

“เบ๊บไม่เห็นรับประทานน้ำชาเลยค่ะ” จันทิราเอ่ยขึ้น “รับประทานแต่กาแฟตลอดวัน”

หล่อนจับตาดูวิทิตขณะที่หล่อนเอ่ยถึงสามี เขาเหลือบตาต่ำลง หล่อนจึงมองไม่เห็นความรู้สึกในหน้าของเขา

“คุณติ๊ด เมื่อวานนี้ดิฉันคุยกับคุณในเรื่องความเป็นอังกฤษเป็นไทย” บรรโลมเอ่ยขึ้น “แล้วมาเกิดนึกว่า ที่ฉันคิดอะไร ๆ อาจผิดก็ได้ เลยขอถามคุณหน่อย”

วิทยขยับตัวและทำหน้าที่จันทิราอ่านว่าไม่ค่อยสบายใจ เขานิ่งเฉยคอยให้บรรโลมพูดต่อไป

“คุณพูดน้อยจริง ๆ” บรรโลมว่า “ดูซีแม้แต่จะถามต่อไปก็ไม่ถาม ยิ่งกว่าอังกฤษเสียอีก”

“ผมพร้อมที่จะตอบคำถามครับ” วิทิตว่าสีหน้าเขายิ้มเรื่อย ๆ

จันทิราตัดสินใจว่า เพื่อมิให้บรรโลมกล่าวทีหลังได้ว่า หล่อนแสร้งทำเป็นสนิทสนมกับวิทิต หล่อนควรแสดงให้บรรโลมทราบว่าหล่อนรู้จักวิทิตคนเก่าดีพอสมควร หล่อนจึงว่า

“ก่อนไปเมืองอังกฤษ คุณติ๊ดก็เป็นคนไม่ค่อยชอบพูดค่ะ”

“ถ้าจะถือการพูดหรือไม่พูดเป็นการแสดงความเป็นอังกฤษหรือเป็นไทย” วิทิตกล่าวขึ้น “เห็นจะใช้ไม่ได้หรอกครับ ผมเคยอยู่กับทหารอเมริกัน อเมริกันนี่มีชื่อเสียงว่าพูดมาก แต่คนนี้แกไม่พูดเอาเลย และคนอังกฤษช่างพูดก็มีแยะเชียวครับ ผมว่าคนไทยพูดน้อยอย่างผมก็มีมาก”

“ไม่ใช่เรื่องพูดหรือไม่พูดหรอกคะ” บรรโลมว่า “ท่าทีอาการทั่ว ๆ ไปของคุณ”

วิทิตนิ่งรอคำอธิบายอีก บรรโลมพยักหน้าให้จันทิราดู “แม้แต่จะซักก็ไม่ซัก” บรรโลมว่า “นี่แหละค่ะ เรื่องรอได้นี่เป็นลักษณะของอังกฤษ ดูแต่สงครามครั้งก่อนซี คุณติ๊ดนี่มีลักษณะไม่แคร์กับความเห็นของใคร ใครจะว่าอย่างไรก็ตามใจ ไม่ค่อยกระตือรือร้นอยากรู้อยากฟัง นี่ก็เป็นลักษณะอังกฤษ เป็นอิสระแก่ตัว”

“แหม ผมอยากทราบความเห็นของคุณบรรโลมครับ ผมพูดด้วยความจริงใจ ความคิดเห็นของคุณมีราคาสำหรับผม” วิทิตว่า

“อ๋อ นี่คุณพูดตามหน้าที่ของสุภาพบุรุษนี่นะ” บรรโลมว่าพลางหัวเราะ

“แล้วกัน อย่างนั้นก็ไม่ยุติธรรมสำหรับผม” วิทิตท้วง

“เอาเถอะ ถึงคุณจะพูดเพราะเป็นสุภาพบุรุษ คุณก็ได้ผูกมัดตัวเองไปแล้ว” บรรโลมพูดอย่างพอใจ “เอาละ ที่คุณจะต้องตอบคำถาม หนีไม่พ้นแล้ว ที่ดิฉันว่าการรอก็เป็นลักษณะอังกฤษ การถือความอิสระก็เป็นลักษณะอังกฤษ นั่นถูกไหม?” บรรโลมตั้งกระทู้

“คนโดยมากกว่าเช่นนั้น” วิทิตตอบ

“อา นั่นแน่ นั่นก็เป็นลักษณะอังกฤษ” บรรโลมว่าอย่างพอใจ สีหน้าเบิกบาน “การพูดไม่ให้เกินไป หรือให้น้อยไว้ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด แทนที่คุณจะว่า คุณเชื่อเช่นนั้น ถูกแล้ว ใช่แล้ว คุณตอบว่าคนโดยมากก็ว่าเช่นนั้น”

วิทิตยิ้มอย่างพอใจเหมือนกัน “เอ้า ผมรับว่าคุณพูดถูกทั้งนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบ”

“อีตอนนี้ คุณไม่มีชาติแล้ว คุณเป็นผู้ชายเท่านั้น” บรรโลมว่า

“อีตอนนี้คุณผิด” วิทิตว่า

บรรโลมนั่งรออยู่หลายชั่วระยะลมหายใจ แต่ไม่ได้ฟังคำอธิบายขยายความของวิทิต หล่อนกล่าวขึ้น

“เออ ดิฉันเป็นฝ่ายรอไม่ได้ ต้องขอคำอธิบาย”

วิทิตทำท่าอึกอัก แล้วในที่สุดพูดว่า “เอ้อ ผมว่า...ผมว่า...การคิดว่าผู้ชายเหมือนกันทั้งโลกเป็นอันตราย”

บรรโลมหัวเราะชอบใจ “แต่ผู้ชายคิดว่าผู้หญิงเหมือนกันทั้งโลกใช่ไหม?” เว้นระยะหน่อยหนึ่งแล้วจึงต่อ “หรือไม่คิดเลย?”

วิทิตนิ่งไปนานพอสมควรแล้วจึงตอบ “ผมไม่ค่อยเข้าใจผู้หญิง” เขาว่า

บรรโลมรอฟังต่อ ครั้นไม่สมประสงค์จึงต้องพูดขึ้น “ขอคำอธิบายต่อคะ”

จันทิรานึกแปลกใจตลอดเวลาที่นั่งฟังวิทิตกับบรรโลมสนทนากัน ก่อนอื่นหล่อนจะไม่ติดใจถามถึงข้อที่บรรโลมถาม และหล่อนจำไม่ได้ว่า วิทิตเป็นคนชนิดที่ต้องแคะไค้ให้พูดกันถึงขนาดนี้ หล่อนจำได้ว่า เมื่อเขาอยู่กับหล่อน เขากับหล่อนไม่เคยเหงาไม่เคยเงียบเลย แต่หล่อนก็ยอมรับพร้อมกับติดใจสงสัยไปพลางว่า ในกิริยาท่าทีของเขาที่แสดงออกมา ณ บัดนี้ หล่อนจะสรุปเอาว่า เขาไม่พอใจในการสนทนา จึงทำตามเป็นคนพูดสั้น รอการแคะไค้ทุกระยะก็ไม่ถนัด เพราะสีหน้าของเขายิ้มเรื่อย และนัยนตาที่จ้องจับดวงหน้าบรรโลม ประกายตาแสดงความสนใจ

“คุณจะให้อธิบายว่าอย่างไร?” เขาย้อนถาม

“แหม ดิฉันไม่เคยต้องแคะไค้ใครอย่างนั้นเลย” บรรโลมบ่น “แต่เอาละ คุณจะว่าน่าเบื่อก็ตามที ไหน ๆ ตั้งต้นแล้วต้องต่อให้จบ คุณไม่เข้าใจผู้หญิงในด้านไหน?”

“ทุกด้าน” เขาตอบ

“โอย ตายแล้ว” บรรโลมอุทาน “ดิฉันยอมแพ้คุณแล้ว คุณติ๊ด ไม่ซักต่อไปแล้ว ไม่เคยเป็นทนายและไม่เคยเป็นครู สำหรับคนค้าขาย เขาว่าพอลูกค้าแสดงความไม่สนใจอยากพูดต่อให้หยุดเสีย แล้วสืบเอาความจากแหล่งอื่น”

“คนค้าขายเป็นคนฉลาดที่สุด” วิทิตว่า แล้วหยุดอยู่เพียงแค่นั้น

บรรโลมลุกขึ้นจากที่นั่ง “เห็นจะเชิญไปลงทะเลกันได้กระมัง” หล่อนว่า “คุณจัน คุณอยากเล่นน้ำไหม?”

“อยากค่ะ” จันทิราหวังว่าบรรโลมจะขอตัวไม่ลงเล่นกับหล่อนสักมื้อหนึ่ง และหล่อนเสี่ยงเดาเอาว่าวิทิตจะลง การก็สมใจหล่อน บรรโลมกล่าวว่า

“วันนี้ดิฉันต้องขอตัว คุณนายบ้านเอกสิทธิ์ให้คนมาเชิญไปที่บ้าน จะเรื่องอะไรไม่รู้ ต้องไปเสียหน่อย เพราะไม่ชอบให้คนแก่น้อยใจ”

“ให้ผมไปเป็นเพื่อนไหม?” วิทิตเอ่ยขึ้น ทำให้จันทิราใจหาย แต่บรรโลมว่า

“โอ แค่นี้เอง เวลาคุณไม่มาด้วย ดิฉันเดินวันละสิบ ๆ หน เห็นเอายางเอาอะไรไปกองอยู่บนหาดแล้ว เชิญเถิดค่ะ”

ทั้งวิทิตและจันทิราไม่คัดค้านต่อไป จันทิราเข้าไปผลัดเครื่องแต่งกาย เมื่อหล่อนแต่งตัวเสร็จแล้วออกมาที่ระเบียง ก็พบวิทิตในเครื่องอาบน้ำทะเลยืนคอยหล่อนอยู่ หล่อนกับเขาก็เดินลงไปที่ชายหาดด้วยกัน แล้วก็เดินลุยน้ำริมฝั่งลงไปช้า ๆ ด้วยกัน เพื่อจะออกไปในที่น้ำลึกพอจะว่ายได้

ต่างคนต่างไม่พูดว่าอย่างไร จนกระทั่งลงไปในที่น้ำลึกพอสมควรแล้ว ต่างคนต่างว่ายไปมาอยู่นานพอสมควร จนกระทั่งจันทิรารู้สึกเหนื่อย และรู้สึกว่าถ้าต่างคนต่างไม่พูดอะไร ก็จะเกิดความเก้อกันขึ้น หล่อนจึงเอ่ยว่า “ฤดูนี้ หัวหินก็สบายดีเหมือนกัน”

วิทิตก็หยุดว่ายน้ำ แล้วมายืนอยู่ในระยะใกล้หล่อน พอสมควร “สบาย” เขาตอบ

“คุณติ๊ดไม่ใช่คนพูดน้อยอย่างนี้ แต่ก่อนนี้” จันทิราเอ่ยขึ้น หล่อนยินดีที่หล่อนเรียกเขาได้ว่าคุณติ๊ดแล้วไม่รู้สึกเก้อเขิน เพราะระหว่างที่รักกัน หล่อนเรียกเขาว่า พี่ติ๊ด

เขามองหล่อนอย่างสงบนิ่งอยู่ จันทิราต้องพูดต่อ “คนเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น บางคนก็พูดน้อยลง บางคนก็พูดมากขึ้น”

“ผมว่า ผมไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างไร” วิทิตเอ่ยขึ้น จันทิราแทบละอึกเมื่อได้ยินเขาใช้สรรพนามแทนตัวเขาว่า “ผม” แต่คิดว่าจะไม่ทักท้วง แต่รู้สึกอึดอัด ไม่รู้ว่าจะดำเนินการสนทนาไปอย่างไร หล่อนรู้สึกโกรธเขาเล็กน้อย

“จันว่าเปลี่ยนไป” ในที่สุดหล่อนเลือกเอาวิธีเถียง เพื่อจะให้เขาพูดต่อ “แต่ก่อนเป็นคนช่างพูดพอสมควร”

“แปลกมาก เพื่อน ๆ ของผมบางคนเขาว่าผมพูดมาก” วิทิตว่า

จันทิราหาทางต่อการสนทนาให้ถูกใจหล่อนไม่ได้ จึงเที่ยวแหวกว่ายน้ำเล่นครูใหญ่ แล้วจึงกลับมาชวนเขาคุยอีก

“ที่กระทรวงเป็นอย่างไรบ้างคะ?”

“ไม่ค่อยสบายใจนัก” เขาว่า

“เป็นอย่างไรคะ?” จันทิราชัก รู้สึกเคืองการพูดสั้นของเขาหนักขึ้น

“เห็นจะเป็นที่เราหัวใหม่เกินไป” วิทิตตอบ

“แล้วคนที่กระทรวงหัวเก่า ๆ หรือคะ?”

“ผมไม่ทราบจะว่าเขาเก่าหรือไม่” วิทิตตอบ “เขาอาจจะกำลังดี”

จันทิราขัดใจจนไม่รู้จะทำอย่างไร ถ้าหล่อนไม่ได้มีโอกาสฟังบรรโลมแคะไค้ให้เขาพูดก่อนที่จะลงมาเล่นน้ำ หล่อนคงต้องคิดว่าเขาไม่อยากพูดกับหล่อน แต่เมื่อได้เห็นฤทธิ์ตอบสั้นของเขามาหยก ๆ จึงได้แต่โกรธนิสัยของเขา หล่อนอยากโทษเมียอังกฤษของเขาเหลือเกิน “มันคงบ้า ๆ ด้วยกันหมด คนชาตินี้” หล่อนคิดในใจ แต่รู้ดีว่าไม่มีประโยชน์สำหรับหล่อนที่จะกล่าวความคิดนั้นออกมาเป็นถ้อยคำ หล่อนว่ายน้ำเล่นต่อไปอีกครู่ใหญ่แล้วก็บอกว่าจะขึ้น พอหล่อนว่ายเข้าไปใกล้ฝั่งพอสมควร ได้ระยะที่ต้องเดินลุยน้ำ วิทิตก็ว่ายไกลออกไปในทะเล

จันทิราขึ้นจากน้ำ เดินไปยังเรือน พบบรรโลมยืนอยู่ที่บันได บรรโลมเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหล่อน

“อ้าว ขึ้นแล้วหรือ เป็นอย่างไร เพื่อนเล่นน้ำ พูดกันสักกี่คำ?”

จันทิราทำท่านับนิ้วมือของหล่อน “ไม่เกินยี่สิบ” หล่อนพูดพลางหัวเราะ และยินดีที่บรรโลมได้เห็นว่าหล่อนไม่ได้อยู่กับวิทิตตามลำพังนานเกินไป และยินดีที่บรรโลมถามสิ่งที่หล่อนตอบตามความจริงได้

จันทิราเข้าห้องน้ำ อาบน้ำแล้วก็เข้าในห้องของหล่อน แต่งตัวพลางนึกพลาง “นี่วันศุกร์ พรุ่งนี้วันเสาร์แล้ว เดี๋ยวเมียเขาก็จะมา ผัวเราก็จะมา จะได้พูดกันเพียงไม่กี่คำเท่านั้นรึ?”

แต่ในคืนนั้น จันทิราก็ได้สมคิด หลังการรับประทานอาหารแล้ว บรรโลม จันทิรา และวิทิตนั่งคุยกันตามปกติของคนร่วมบ้านตากอากาศด้วยกัน แล้วบรรโลมก็ลุกขึ้นจากเพื่อนร่วมสนทนาและหายเข้าไปในห้องนอนทำอะไรในห้องอยู่นาน แล้วก็เลยดับไฟ แสดงว่าจะเข้านอนและไม่ออกมาอีก

ระหว่างที่คุยกันสามคน จันทิรามีนิตยสารฉบับหนึ่งอยู่ในมือ หล่อนพลิกไปพลางและฟังการสนทนาไปพลาง บางทีก็เรียกให้บรรโลมดูภาพ และพูดต่อไปเกี่ยวกับภาพที่ให้ดู แต่พอบรรโลมลุกไปแล้ว หล่อนก็นั่งอ่านหนังสือ ไม่ได้เอ่ยปากว่าอย่างไร แต่อ่านไม่รู้เรื่องเลย ครั้นแสงไฟในห้องบรรโลมดับลง มีความรู้สึกว่าอะไรเกิดขึ้น หล่อนก็เงยหน้าขึ้นจากหนังสือ หล่อนเจอะตาของวิทิต จับจ้องอยู่ที่หล่อนอย่างลืมตัว พอหล่อนสบตาเขา เขาลุกขึ้นยืนและหันหน้าไปทางทะเล

ความครื้นเครงเกิดขึ้นในใจของจันทิรา ทำให้เลือดวิ่งซ่านไปทั้งตัว เท่านั้นเองที่หล่อนต้องการ หล่อนลุกขึ้นยืนบ้าง หล่อนไม่อาจนั่งอยู่กับเขาสองต่อสองต่อไป ผลที่จะตามมา อาจมีรูปและลักษณะที่ไม่พึงปรารถนาสำหรับหล่อน จันทิราต้องการแต่เพียงชัยชนะ และหล่อนรู้แล้วว่าชัยชนะเป็นของหล่อน หล่อนรีบบอกลาไปนอนและทิ้งให้วิทิตอยู่ที่ระเบียงต่อไปคนเดียว

“แม่เมียอังกฤษ” จันทิรานึกในใจ “หล่อนนึกว่าหล่อนได้แย่งคู่รักของฉันไปสำเร็จหรือ โอ หล่อนจะต้องเสียใจ เพราะผู้หญิงทุกคนที่ผัวไม่รักจะต้องรู้ความจริงในวันหนึ่ง และในวันนั้น ความวุ่นวายทั้งสิ้นในชีวิตก็จะตามมา”

เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่หล่อนออกจากบ้าน ที่จันทิรานึกเห็นภาพของบุตรชาย เห็นหน้าตายิ้มอย่างบริสุทธิ์ เห็นกำปั้นเล็ก ๆ ชูไปมาตรงหน้า เห็นหัวแม่เท้าสีชมพูกวัดแกว่ง เห็นก้อนเนื้อเป็นมัด ๆ ที่ต้นขา เห็นท่าที่นอนหลับ เห็นทั้งตัวของลูกชาย หน้าบอกเค้าจะเป็นชายงามคนหนึ่ง ผิวละเอียดเหมือนบิดา แต่ดวงตาดำกลม ขนตายาวงอนเหมือนตัวหล่อนเอง และจันทิราก็นอนยิ้มรำลึกภาพลูกชายอยู่ด้วยความพึงพอใจ

พอรุ่งขึ้น แอนน์ก็ไปยังหัวหินตามสัญญาไว้กับบรรโลม แต่จันทิราได้รับจดหมายจากบรรเลง แจ้งว่าเขาจะตามไปที่ชายทะเลไม่ได้ดังที่อยากจะทำ เพราะธุรกิจไม่ลุล่วงไปอย่างที่คาดหมาย ไว้ จันทิราจึงบอกบรรโลมว่าหล่อนจะกลับกรุงเทพ ฯ ในเช้าวันรุ่งขึ้น

การที่จันทิราได้ไปอยู่ร่วมบ้านกับวิทิตเป็นเวลาสองคืนกับสองวัน โดยไม่มีแอนน์หรือบรรเลงร่วมอยู่ด้วยนี้ น่าจะมีความสำคัญเพียงเล็กน้อยชั้นหนึ่ง แต่ได้กลายไปเกิดมีความสำคัญชั้นสูงแก่ชีวิตจันทิราในเวลาต่อมา ตามที่เคยทำบ่อย ๆ นิสาไปเยี่ยมหลานในเวลาบ่ายวันเสาร์ ในคราวนั้นก็ไม่ได้พบบรรเลง เมื่อได้หยอกเอินเชยชมหลานพอสมควรแล้ว นิสาเกิดนึกขึ้นมาได้ว่าหล่อนไม่ได้พบกับวิภาเป็นเวลานานแล้ว และอยากคุยอวดใครสักคนเรื่องความน่าดูของหลาน และความสุขสมบูรณ์ของครอบครัวของพี่สาว วิภาเป็นเพื่อนรับฟังความรู้สึกเหล่านี้ดีมาก เพราะเขาไม่ขัดคอใคร นิสาลงไปเยี่ยมคุณสังเวียนและถามหาวิภา

เมื่อทักทายไต่ถามทุกข์สุขกันพอสมควรแล้ว นิสาก็เล่าว่าได้ไปเยี่ยมจันทิรา แต่ไม่พบเพราะไปหัวหิน

“โอ๋” วิภาอุทานขึ้นทันที “พี่จันไปพักที่ไหน?”

“พักบ้านคุณบรรโลม” นิสาตอบ

วิภายิ่งทำตาโต “จริง ๆ เรอะ รู้ไหม พี่ติ๊ดก็อยู่ที่นั่น”

“เหรอ” นิสาย้อนถามอย่างตกใจ “ตายเขาวางหน้าอย่างไรกัน”

“ฉันเคยสังเกตดูในงานศพเจ้าคุณตา” วิภาว่า “ฉันว่าเขาเลี่ยง ๆ กัน พี่ติ๊ดกับพี่จันน่ะนะ แต่ว่าคุณบรรเลงนะชอบคุยกับแอนน์ และพี่ติ๊ดก็ไม่เห็นเขาพยายามเลี่ยงคุณบรรเลง” แล้ววิภาเฉลียวใจขึ้นมา “พี่จันไปหัวหินกี่วันแล้ว?”

“ไปตั้งแต่วันพฤหัส” นิสาบอก

“โอ แอนน์เพิ่งกลับไปวันนี้ ทีแรกแอนน์ไปพร้อมกับพี่ติ๊ด แล้วเขากลับมาธุระของเขาคนเดียว”

นิสาฉลาดพอที่จะนิ่งเงียบ เพื่อประโยชนของพี่สาว หล่อนไม่บอกวิภาว่าบรรเลงก็ไม่ได้ไปหัวหินด้วย

แต่แน่ละ เมื่อแอนน์กลับมาถึงบ้านแล้ว วิภาก็รู้ในไม่ช้านักว่า บรรเลงไม่ได้ไปหัวหินกับจันทิรา และจันทิราได้ไปอยู่ที่บ้านชายทะเลกับบรรโลมและวิทิตโดยไม่มีแอนน์และบรรเลง

เพราะนิสาไม่บอกกับหล่อนว่าบรรเลงไม่ได้ไปด้วย ทำให้วิภาแคลงใจ นิสากับจันทิรารู้เรื่องอะไรกัน ทำไมนิสาจึงต้องทำลับลมคมในกับหล่อนด้วย โดยความขัดเคือง หล่อนจึงพยายามไปพบกรรณิการ์เพื่อระบายอารมณ์ตามเคย

พอกรรณิการ์ฟังวิภาจบ หล่อนก็เห็นมีวิธีเดียว “เรื่องอย่างนี้นะตุ๋งติ๋งขอให้เชื่อพี่ ขอให้เงียบเสีย อย่าเล่าต่อไป” หล่อนแนะนำ “ไม่มีประโยชน์อะไร เราไปช่วยอะไรเขาไม่ได้” แต่คำแนะนำนั้นมาช้าไป เพราะวิภาได้เล่าให้วิธานฟังแล้ว วิธานได้เล่าให้สุรัตน์ฟังอีกต่อ แต่การเล่าให้วิธานฟังนั้น วิภาเล่าโดยไม่ได้หวังจะได้รับฟังอย่างสนใจ แต่เพราะหล่อนไม่ค่อยมีอะไรจะคุยกับพี่ชาย เมื่อมีเรื่องอะไรพอจะเล่าได้ก็เล่าให้เขาฟัง

ส่วนนิสานั้น ตั้งแต่วันที่ได้พบกับวิภาแล้วหล่อนก็ไม่ได้ใจในความหยั่งรู้ของพี่สาวในเรื่องราวของชีวิต หล่อนก็จับตาดูพฤติการณ์ของจันทิรา มีความสนใจว่าจันทิราจะไปไหน ไปกับใคร เวลาไหน ยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน นิสากลัวว่าจันทิราจะไม่คำนึงถึงประโยชน์ที่นิสาได้พลอยรับ เนื่องมาจากการที่มีพี่เขยที่มีฐานะอย่างบรรเลง

แต่สำหรับกรรณิการ์นั้น พอวิภากลับไปแล้วอยู่คนเดียวก็เริ่มกลุ่มใจเรื่องเงินค่าเรือนที่ค้างชำระช่าง ถ้าหากบรรโลมรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจันทิรากับวิทิต ทั้งความสัมพันธ์เก่าและความสัมพันธ์ใหม่ ซึ่งกรรณิการ์ก็ไม่รู้ว่ามีลักษณะอย่างไร บรรโลมคงจะมีความรู้สึกดูหมิ่นพี่น้องของหล่อนมาก หล่อนเก็บความกลุ้มใจไว้คนเดียวไม่ไหว ในที่สุดหล่อนทำสิ่งที่ได้งดทำไปนานแล้ว คือนำเรื่องไปปรึกษากับสุธิรา

“พุธโธ กรรณนี่ เป็นบ้าจริง ๆ” สุธิราดุ “ทำไมไปเก็บเอาความทุกข์ของคนอื่นมาเป็นเรื่องของตัวถึงแค่นั้น จะต้องตายวันหนึ่งรู้ไหม ทำไมไม่ปรึกษาคุณจิต”

“กรรณเคยเลียม ๆ แล้วคะ” กรรณิการ์ตอบ “แต่ติดที่คุณป้าถมยา เป็นอย่างไรไม่ทราบ ถ้าเอ่ยเรื่องคุณติ๊ดไม่ว่าจะเล่าเรื่องอะไร ท่านต้องเทศนาแอนน์เสียยาว กรรณว่าไม่ยุติธรรม กรรณไม่ชอบ เลยไม่กล้าพูดอะไรกับคุณลุงจิตอีก”

“คุณลุงจิตกับกรรณแน่ะ พูดกันโดยไม่มีคุณถมยาไม่ได้เชียวหรือ?” สุธิราถาม

“หาโอกาสไม่ค่อยได้คะ” กรรณิการ์ตอบ “คุณลุงจิตมีธุระของท่านมาก ท่านไปจังหวัดโน้นจังหวัดนี้ พอท่านกลับมา กรรณก็กำลังยุ่งธุระทางโรงเรียนบ้าง คุณพ่อไม่สบายบ้าง กว่าจะพบกับท่านได้ เดี๋ยวท่านก็ไปเสียอีกแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องพูดกับวิทิตเอง” สุธิราว่า

“กรรณก็เคยเลียม ๆ เหมือนกันคะ” กรรณิการ์ชี้แจงอีก “แต่คุณติ๊ดนี่ แหม รำคาญจังเลย พอจะพูดอะไรเรื่องอย่างนี้กับแก กรรณก็เริ่มสงสารแกเสียแล้ว แล้วแกก็พูดอะไรกรรณมักไม่เข้าใจ แล้วมาแปลเอาเองตามความต้องการของเรา กรรณเคยเจรจาให้พี่น้องพวกนี้หลายหนแล้ว เรื่องยุ่งยากต่าง ๆ ของเขานี่ ต้องใช้วิธีนี้แหละค่ะ”

“แต่เรื่องนี้มันต้องให้รู้นี่” สุธิราว่า “ว่าแต่กรรณแน่ใจว่าคุณป้าสังเวียนยังไม่ได้ชำระแน่หรือ?”

“ก็จะชำระยังไงคะ คุณป้าท่านไม่รู้ว่าเท่าไรด้วยซ้ำ กรรณไม่ได้บอกท่าน แล้วท่านก็ทำเฉยไม่ถามเสียด้วย ท่านก็คงจะให้คุณติ๊ดเสีย”

“มันจำเป็นแล้วละที่จะให้ติ๊ดรู้” สุธิราตัดสิน “เออ เรื่องที่เขาว่าจันทิรากับวิทิตแอบไปหัวหินด้วยกัน กรรณรู้ไหม มันมีความจริงสักแค่ไหน?”

“โอย” กรรณิการ์คราง “ถึงกับแอบไปด้วยกันเชียวหรือคะ?”

“ได้ยินใคร รู้ไหม มาเล่าให้ฟัง” สุจิราว่า “ยายแดง น้าต้องเกือบกราบแน่ะ ว่าเขาอย่าเล่าต่อไป โดยเฉพาะกับพวกตีรสกุลของแก” ‘ยายแดง’ คือน้องเล็กของสุธิราที่แต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของบรรโลม

“กรรณไม่รู้อะไรหรอกค่ะ” กรรณิการ์ตอบ “คุณแดงรู้มาจากใครคะ กรรณห้ามวิภาแล้วว่าไม่ให้เล่าให้ใครฟัง”

“ยายแดงได้ยินจากตาโป๋” สุธิราบอก

“เจ้าประคุณเอ่ย” กรรณิการ์ปริเวทนาอีก “แล้วตาโป๋เล่าให้ใครฟังอีกบ้างก็ไม่รู้ ผู้ชายปากมากก็มี”

“ตาโป๋น่ะ แกเป็นโรคหมั่นไส้จันทิรากับบรรเลง” สุธิราว่า “แกบอกแกคลื่นไส้ จันทิราเรียกผัวว่าเบ๊บ แล้วพ่อเบ๊บนะเรียกพี่สาวว่าซิส คำครึ่งฝรั่งครึ่งเจ๊กอะไรก็ไม่รู้ แล้วแกไม่พอใจที่ยายแดงไปแต่งงานกับพวกครึ่งเจ็กครึ่งฝรั่งอีกคน เพราะอย่างนั้นแกหาโอกาสว่าอะไรได้แกก็ว่า”

“พวกนี้เป็นพวกก่อกวนความสงบโดยไม่รู้สึกตัว” กรรณิการ์ปรารภ

“ยังงั้นซิ แต่ทำอย่างไรได้ พวกคนอย่างนี้มันมีทั่วไปหมด ไม่ว่าผู้ดีไม่ว่าไพร่ พวกหาอะไรพูดดีกว่าเรื่องอย่างนี้ไม่ได้” สุธิราปรารภต่อ

กรรณิการ์หาโอกาสจะพูดกับวิทิตก็หาไม่ได้ เพราะงานของหล่อนที่โรงเรียนเพิ่มขึ้นทุกที และโอกาสที่หล่อนจะได้พบวิทิตโดยไม่พบแอนน์ด้วยก็มีน้อยอีก กาลเวลาก็ล่วงไปเรื่อย ๆ เรื่องส่วนตัวของกรรณิการ์ก็ไม่ทำให้หล่อนแจ่มใสนัก มีเพื่อนฝูงมาบอกว่า ธัชได้กลายเป็นนักเที่ยวตามไนท์คลับและดื่มสุรา เมื่อมีเพื่อนตักเตือน เขาก็ตอบว่าชีวิตของเขาไม่มีความหวังอะไร

“โอย ฉันจะต้องรับบาปเรื่องธัชนี่อีกเรื่องหนึ่งหรือ” กรรณิการ์รำพันถึงชีวิตของหล่อนเอง แล้วหล่อนก็เขียนจดหมายไปถึงเขา หล่อนฉีกเสียหลายฉบับก่อนที่จะตกลงใจว่าสามารถเขียนดีว่านี้ได้

ธัชที่รัก

กรรณได้ยินว่าเธอเที่ยวบอกกับเพื่อน ๆ ว่า ชีวิตของเธอไม่มีความหวังอะไร กรรณเสียใจมากที่ได้ยินเช่นนี้ ผู้ชายที่ต้องทำความดีเพราะหวังเอาผู้หญิงเป็นกำลังใจนั้น ธัชลองพิจารณาดูสักหน่อย มันมีเหตุผลสมดุลกันไหม ทำไมเราจะทำดีของเราเองไม่ได้ ที่เขียนมานี้เพราะเราเป็นเพื่อนรักกันมานาน พอเธอเปลี่ยนความรู้สึกของเธอต่อฉัน เธอก็จะเกณฑ์ให้ฉันเปลี่ยนตามให้ได้ในวันในพรุ่ง ฉันยังรักเธอเหมือนเดิมในฐานะเพื่อนกัน ถ้าเธอโกรธฉันเพราะเหตุฉันยังเปลี่ยนตามเธอไม่ได้ แล้วเธอไปทำอะไรที่ไม่ดี เธอนึกว่าเป็นการยุติธรรมต่อตัวเธอเอง และต่อฉันไหม

จากเพื่อนที่รักเธอ

กรรณิการ์

กรรณิการ์เขียนได้เพียงนั้น แล้วหล่อนก็ไปรษณีย์จดหมายไป หล่อนบอกกับตัวหล่อนเองว่า หล่อนรู้จักวิธีสู้หน้ากับชีวิตวิธีเดียว คือสู้ด้วยความจริง เมื่อหล่อนมีความคิดในเรื่องธัชอย่างที่หล่อนได้เขียนบอกเขาไปในจดหมาย หล่อนก็ต้องการให้เขารู้ความจริงนั้น ผลของการพูดความจริงเป็นอย่างไรหล่อนก็ไม่อาจเดาได้ แต่ถ้าจะเฉยเสียไม่ติดต่อกับธัชเลย ก็ผิดกติกาของความเป็นเพื่อนดีตามที่หล่อนได้เคยตั้งไว้ให้ตนเอง

เสร็จจากเขียนจดหมายส่งไปถึงธัชแล้ว กรรณิการ์ก็หันกลับมากังวลเรื่องเงินค่าปลูกเรือนของวิทิตอีก เพื่อที่จะได้พูดเรื่องธุระให้ได้แน่นอน หล่อนจึงโทรศัพท์ไปพูดกับเขาที่กระทรวง วิทิตบอกมาทางโทรศัพท์ว่าให้หล่อนไปพบกับเขาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เขาบอกชื่อร้านใกล้สะพานเทวกรรม และวิธีไปสู่ร้านนั้นมาด้วย

กรรณิการ์รู้สึกรำคาญใจพิกลในการที่หล่อนกับวิทิตซึ่งเป็นญาติสนิทกันต้องไปพบกันที่ร้านขายอาหาร ในเมื่อมีธุระต้องพูดกัน แต่ก็คิดว่าไม่ควรรอให้เรื่องที่กังวลอยู่ยืดนานออกไปอีก จึงไปตามนัด

“ที่จริงที่นัดกรรณมาที่นี่เพราะอยากหาเพื่อนมากินของชนิดนี้ด้วยน่ะ” วิทิตอธิบายเมื่อหาที่นั่งได้เรียบร้อยแล้ว “ฉันอยากกินอาหารกลางวันแปลก ๆ บ้าง แต่ทุกที่ที่แอนน์เขาชวน ฉันบอกว่าฉันไม่ชอบไปกินข้าวข้างนอกกระทรวง ที่จริงน่ะเพราะแกชอบไปกินอย่างของแก แต่เราไม่สตางค์ไปเลี้ยงแก แกต้องเลี้ยงเราทุกที เราเลยไม่ค่อยยอมไปกับแกบ่อย ๆ ครั้นจะไปคนเดียวตามใจเราบ่อย ๆ ก็กลัวแกจะรู้ เพราะอย่างนั้นถ้ามีโอกาสได้ชวนใครกินข้าวข้างนอกชนิดที่ไม่ค่อยเปลืองสตางค์ก็รีบชวน”

กรรณิการ์รับประทานอาหารกับวิทิตพลางก็คุยเรื่องราวธรรมดาทั่วไป ไม่กล้าจะพูดถึงเรื่องธุระที่หล่อนอยากพูดขึ้น จนกระทั่งรับประทานอิ่มแล้ววิทิตจึงเตือนขึ้น

“คุณกรรณจะพูดธุระอะไร?” วิทิตถาม

กรรณิการ์อึกอักอยู่เป็นครู่ใหญ่ ในที่สุดรวบรวมกำลังประสาททั้งหมดที่มีอยู่แล้วก็กล่าวขึ้น

“คุณติ๊ด ธุระที่กรรณจะพูดนี่นะ ควรพูดมาสักปีหนึ่งแล้ว ตั้งแต่คุณติ๊ดกลับมาใหม่ ๆ แต่ทีแรกไม่อยากกวนใจคุณติ๊ด เลยรอไป ๆ แล้วเรื่องมันก็ชักจะเกือบลืม ๆ ไป เพิ่งมาคิดได้เมื่อเร็ว ๆ นี้ แล้วก็รีรอไม่พูดอีก แต่มาเห็นว่าจะรั้งรอไปอีกอาจมีผลเสียเกิดขึ้น จึงต้องแข็งใจพูดเสียที”

“แหม อารัมภบทยาวกว่ากฎบัตรสหประชาชาติ” วิทิตกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มอย่างผ่องใส “คุณกรรณเธอทำไมไม่เรียนการทูต เธอจะทำหน้าที่ได้อย่างดี”

“เอาละ ทีนี้ก็ต้องพูดแล้ว” กรรณิการ์รวบรัด “ขอรับว่าถ้าเป็นความผิดก็ผิดไปแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไร”

หยุดเว้นระยะแล้วกล่าวต่อ “คุณติ๊ด เรือนที่คุณติ๊ดอยู่น่ะ คุณป้าท่านยังไม่ได้ชำระค่าปลูก แล้วกรรณก็ไม่กล้าเตือนท่าน”

“เท่าไร?” วิทิตถาม

“หกพันห้าร้อยกว่า ๆ” กรรณิการ์ตอบ “ช่างคนรู้จักกัน จะไปถามรายละเอียดทีหลัง”

“ใครเป็นช่างคนนั้น แล้วทำไมเขาจึงทนให้เราค้างตั้งปีกว่าอย่างนี้?” วิทิตซัก “เป็นพี่น้องกันหรือ?”

กรรณิการ์เย็นวาบไปทั้งตัว “ช่างคุณบรรโลมนำมา” หล่อนบอก พยายามให้กำลังใจจ้องหน้าวิทิตไม่หลบตาจากเขา

“อ๋อ ถ้ายังนั้น คุณบรรโลมออกไปให้ก่อนละซี” วิทิตดักได้ทันที “ทำไมเธอไม่บอกก่อนนี้”

กรรณิการ์อึกอักอยู่เป็นครูใหญ่ “ก็บอกแล้วไงว่า เป็นความผิดของกรรณที่ลืมเตือนคุณป้าไป”

“แล้วนี่เธอเตือนแล้ว คุณแม่ให้มาเอาที่ฉันใช่ไหม?” วิทิตถาม

“ไม่กล้าพูดกับ” กรรณิการ์ตอบ “พบท่านทีไร ท่านรำพันแต่เรื่องจน เลยไม่กล้าเอาเรื่องนี้มาพูด”

วิทิตถอนใจใหญ่ “ทำไมนะ ฉันอยากรู้” เขาถาม “ทำไมคุณลุงจิตกับเธอ กับใคร ๆ อีกหลายคนไม่ยอมให้ฉันพูดกับคุณแม่เรื่องสมบัติของคุณพ่อ”

“ก็คงเป็นเพราะเกรงใจคุณป้า” กรรณิการ์ตอบ

“ทำไมต้องเกรงใจจนถามไม่ได้ และทำไมเมื่อฉันถาม คุณแม่ต้องเสียใจ” วิทิตว่า “ฉันไม่มีสิทธิจะถามถึงทรัพย์สมบัติของฉันเรอะ?”

“เออ...สิทธิ” กรรณิการ์คราง “ทำไมคุณติ๊ดชอบพูดเรื่องสิทธิ ใครบ้างอยู่ในโลกโดยใช้สิทธิ”

“แล้วเขาใช้อะไรกัน?” วิทิตย้อนถาม “ใช้วิธีเอาเปรียบคนอย่างเธอ พอมีเรื่องอะไรที่ใคร ๆ กลุ้มใจก็ไปเรียกเธอมา นั่นซิ วิธีของพวกเรา”

เมื่อเห็นกรรณิการ์นิ่งอยู่ไม่โต้ตอบ วิทิตก็กล่าวต่อไป

“ถ้าคนไม่รู้จักเรื่องสิทธิ เขาก็ไม่รู้จักเรื่องหน้าที่แล้วโลกก็อยู่กันไม่ได้”

กรรณิการ์นิ่งอีก หล่อนอยากตะโกนบอกวิทิตว่า หล่อนไม่ได้พูดกับเขาเรื่องโลกจะอยู่ได้อย่างไร หล่อนกำลังกลุ้ม กังวล อยากให้เขาใช้หนี้บรรโลมเสียก่อนที่เขาจะทำตนเป็นคู่รักเก่าของน้องสะใภ้บรรโลมเท่านั้น หล่อนไม่กล้าโต้ตอบว่าอย่างไร เหลือบตาขึ้นดูเขาบ้างและหลบลงมองดูผ้าปูโต๊ะบ้าง

วิทิตนิ่งไปนาน ในที่สุดเมื่อไม่เห็นกรรณิการ์ขัดแย้ง หรือส่งเสริมความเห็นที่เขาได้ออกไป เขาก็กล่าวขึ้น

“ฉันคนหนึ่งละ จะไม่ล่วงล้ำสิทธิของเธอ ฉันจะไม่ให้เรื่องนี้ก่อความทุกข์แก่เธออีกต่อไป ฉันจะหาเงินมาใช้ในเร็ววันนี้ ขอเวลาสักสองอาทิตย์”

แล้วเขาก็ลุกขึ้นลาหล่อนไป

ประมาณ ๑๓ วันต่อมา วิทิตโทรศัพท์มาถึงกรรณิการ์ที่โรงเรียน ถามว่า ถ้าแทนที่เขาจะหาเงินมาใช้ทั้งก้อน เขาจะหามาผ่อนส่งที่ละประมาณสองพันสามพันบาทจนกระทั่งใช้หนี้จนครบภายในเวลาประมาณสามเดือนจะได้ไหม กรรณิการ์อึกอักสักครู่ เพราะหล่อนไม่อยากมีภาระเก็บเงิน หรือเที่ยวไปส่งเงินครั้งละน้อยๆ หลายครั้ง แต่เมื่อคิดถึงว่าเจ้าหนี้ก็มิได้เร่งรัด และการที่ลูกหนี้พยายามผ่อนใช้หนี้เป็นการแสดงความสุจริตอย่างหนึ่งจึงรับปากว่าหล่อนจะจัดการให้ได้

วิทิตได้นัดว่า ทุกครั้งที่เขาจะนำเงินส่ง ขอให้หล่อนกับเขาไปรับประทานอาหารร่วมกันอย่างที่เคยทำที่ร้านเดียวกันนั้น เพราะสะดวกด้วยกันทั้งสองฝ่าย เป็นการป้องกันมิให้พี่น้องรู้เรื่องแล้วเล่าลือกันไปต่าง ๆ ผิด ๆ ถูก ๆ กรรณิการ์ก็รับคำ

ทั้งวิทิตและหล่อนไม่มีทางที่จะรู้ว่า การนัดแนะกันโดยประการเช่นนี้ จะมีผลไปถึงชีวิตของคนอื่นหลายคนที่มีความสำคัญในชีวิตของเขา

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ