๑๑

ตอนเช้า เมื่อจันทิราตื่นขึ้น หล่อนไม่ได้พบบรรเลง แต่ในใจของจันทิรานั้นยุ่งยิ่งสับสน หล่อนมีความอยากรู้จนระงับไว้ไม่ได้ หล่อนจะรู้ความจริงว่ามูลเหตุที่บรรโลมถามคำถามนั้นมีมาอย่างไร หล่อนรู้ว่าหล่อนควรจะไปหาความรู้นั้นจากที่ไหนแห่งหนึ่ง ก็คือที่บ้านอาผู้หญิงของหล่อน คือคุณนายถมยา และแห่งที่สองก็คือที่มารดาของหล่อน ถ้ามีเรื่องราวชนิดที่หล่อนอยากสืบสวน ไม่บ้านใดบ้านหนึ่งคงจะต้องได้เคยได้ยินและวิพากษ์วิจารณ์กัน หล่อนจึงกะจะไปหามารดาตอนบ่าย เผื่อว่าถ้าพลาดจากมารดาก็จะได้ถามน้องสาว เพราะในตอนเช้านิสไปทำงาน หล่อนรับประทานอาหารเช้าแล้วก็บรรจงเลือกเครื่องแต่งตัว เลือกกระเป๋าถือ เลือกรองเท้าให้เช้าชุดกับเครื่องนุ่งห่มและกระเป๋า แล้วก็ลงมาเรียกคนรถให้พาหล่อนไปยังที่หมาย

จันทิราไม่ได้มาเยี่ยมเยือนญาตินานพอสมควร ครั้นเมื่อคุณนายถมยาพบหลานสาว ท่านก็แสดงความกระตือรือร้นต้อนรับเต็มที่ เชิญชวนให้ดื่มและรับประทานของหลายอย่าง แต่ในวันนั้นคุณจิตกลับมาจากต่างหวัดเมื่อพบจันทิราก็ซักไซ้เรื่องตลาดและการค้าของบรรเลง จันทิราตอบเท่าที่จะตอบได้ แต่ไม่มีโอกาสถามถึงเรื่องที่หล่อนอยากถาม แม้เวลารับประทานอาหารกลางวัน คุณจิตก็เข้าร่วมรับประทานด้วย จันทิราจึงต้องลาไปโดยไม่ได้ผลประโยชน์อย่างไร

ออกจากบ้านอา หล่อนก็ไปที่ร้านแต่งผมมีชื่อ และให้บริการโดยคิดราคาสูงที่สุดร้านหนึ่งในพระนคร หล่อนสระผม แต่งผม แต่งเล็บ แล้วออกไปเที่ยวชมเสื้อผ้าอาภรณ์ตามตลาด พอกะว่าได้เวลาอันสมควรแล้วก็ไปยังบ้านเดิมของหล่อน

หล่อนพบมารดาและบิดาอยู่ด้วยกันอีก ทำให้รู้สึกขัดใจ ดูราวกับว่าโชคจะเล่นแกล้งหล่อน คุณหลวงยินดีที่ได้พบลูกสาว ท่านถามถึงลูกเขยและหลาน และชวนคุยเรื่องทั่ว ๆ ไป จันทิรากลัวว่าจะไม่มีโอกาสพูดถึงสิ่งที่หล่อนอยากพูด จึงพยายามคัดเข้าหาเรื่องด้วยวิธีที่หล่อนคิดว่าฉลาด

“ฉันไม่ได้พบญาติพี่น้องนานแล้ว มัวแต่ยุ่งเสียเรื่อย ใครเป็นอะไรกันอย่างไรบ้าง คุณลุงพระธรินทร์ ฯ เป็นอย่างไรบ้างคะ คุณแม่ทราบไหม?”

“แม่จันน่ะก็ยุ่งงานสังคมของหล่อนน่ะซี” คุณนายมารดาว่า “ที่จริงน่ะ ในบรรดาญาติพี่น้อง หล่อนน่ะมีรถยนต์ คนอื่นเขาไม่มีกันนะ”

“งานสังคมนี่มันจำเป็นนะคะ สำหรับคนค้าขายอย่างคุณบรรเลง” จันทิราชี้แจงอย่างอารมณ์ดี “ฝรั่งมังค่าถ้าไม่เลี้ยงเขาหรือไปในงานเลี้ยงของเขาก็ค้าขายกับเขาไม่ได้ค่ะ”

คุณนายเทศนาเรื่องลูกหลานไม่ค่อยเอาใจใส่ต่อไปอีกหลายนาที จันทิราต้องเริ่มใหม่ “เอ เมื่อไรนิสาจะกลับมา” เว้นระยะนิดหนึ่ง “ที่จริงนิสแกก็คิดถูกหรอก ที่จบอักษรศาสตร์แล้วไม่เป็นครูเหมียนกรรณิการ์กับวิทิตกับวิภา”

“แม่กรรณิการ์น่ะเขาแม่หัวเรือใหญ่ แม่วิภาน่ะคนละแบบ” คุณนายจำเนียรว่าพลางชำเลืองตาดูสามีนิดหนึ่ง

จันทิราเห็นท่าจะได้การ ก็เลยทำเป็นถาม “หมายความว่าเขาเที่ยวยุ่งกับอะไรต่ออะไรรึคะ?”

คุณหลวงอนุมัติ ฯ นึกถึงคำสัญญาที่ให้ไว้แก่กรรณิการ์ไว้ว่าจะช่วยให้เรื่องเล่าลือกันในหมู่พี่น้องเกี่ยวกับตัวหล่อนสงบลงไป จึงฉวยโอกาสกล่าวว่า “เออ นี่เรื่องแม่กรรณ ที่ลือกันว่าแหม่มหึงอะไรน่ะ ฉันไปสืบดูแล้วไม่มีมูลความจริงเลย แม่แหม่มแกไม่เคยว่าอะไรเลย”

คุณนายแอบค้อนให้สามี บุ้ยปากให้ลูกสาวเป็นเนื้อความว่าอย่างไร จันทิราก็เดาไม่ถูก กำลังนึกภาวนาให้คุณพ่อละจากที่นั่งไป ก็พอดีนิสาเข้าบ้านมา

มีการทักทักทายและไต่ถามทุกข์สุข โดยเฉพาะเกี่ยวกับลูกชายของจันทิรา คุยกันอยู่ครู่ใหญ่ แล้วคุณหลวงอนุมัติก็ละไป ทำให้ทั้งบุตรและภรรยาดีใจมาก

จันทิรารีบถามขึ้นโดยเร็ว “ที่คุณพ่อว่าแหม่มหึงกรรณิการ์น่ะ เรื่องราวเป็นไงคะ?”

“ไม่รู้เขา ได้ยินเขาว่ากันอย่างนี้” คุณนายตอบ “เขาว่าคุณสังเวียนก็โกรธ”

“โกรธใครคะ?” จันทิราถาม

“โกรธแหม่มมันน่ะซี” มารดาตอบ “แต่ใครจะรู้ แม่กรรณแกอาจเป็นจริงก็ได้”

จันทิราแลเห็นดวงตาของนิสาจับจ้องอยู่ที่หล่อน จึงไม่กล้าแสดงความเอาใจใส่ต่อไป นิ่งกันอยู่สักครู่จันทิราจึงกล้าถาม

“แล้วแปลว่ามีมูลความจริงหรือไม่มี?”

นิสาเพื่อจะแกล้งพี่สาว ตอบว่า “ใครจะรู้ พี่กรรณเขาก็สนิทสนมกับคุณติ๊ดมาก แล้วคุณติ๊ดแกอาจไม่แน่นอนกับแหม่มก็ได้”

จันทิรารู้สึกเย็นวูบไปทั้งตัว หล่อนพยายามข่มอารมณ์ แล้วถามเสียงราบรื่น “แล้วลือกันไปหมดเทียวรึ ดูเหมือนพี่บรรโลมก็รู้ ได้ยินพูดแว่ว ๆ อยู่เหมือนกัน”

“เอ๊ะ แปลกละ” นิสาอุทาน “คุณบรรโลมไปรู้มาจากใคร พวกเราไม่เคยพูดเรื่องพรรคอย่างนี้กับคุณบรรโลมหรอกค่ะ วิภาหรือแต๋งแกก็คงไม่กล้าเอาเรื่องพรรคอย่างนี้ไปเล่าแก่เขา คนที่คุณบรรโลมสนิทด้วยที่บ้านคุณสังเวียน ก็คือแอนน์นั่นแหละ”

“ถ้ายังงั้นก็ต้องมีมูลซี ไม่มีมูลฝอยหมามันไม่ขี้หรอก” คุณนายมารดากล่าวขึ้น

“อาจมีคนที่คุณบรร โลมได้ยินไปได้ก็คือคุณแดง” นิสาว่า “เพราเขาเป็นญาติกัน”

จันทิรากลับไปบ้านด้วยความเร่าร้อนยิ่งกว่าเมื่อจากมา ตอนเย็นวันนั้น บรรเลงไม่กลับบ้าน จันทิราจึงนอนและนั่งครุ่นคิดถึงปัญหาเกี่ยวกับกรรณิการ์กับวิทิตอยู่คนเดียว หล่อนเคืองตัวเองมากที่ไม่สามารถปกปิดความในใจไว้ได้ และมัวแต่ตื่นเต้นจนไม่ได้ถามถึงสาเหตุที่บรรโลมมาตั้งคำถามสำคัญอันนั้นขึ้น ทำอย่างไรหนอ หล่อนจะได้พบบรรโลมอีก หรือไพจิตราก็ได้ แต่จะมีประโยชน์อะไร ถ้ารู้ว่าแอนน์หึงกรรณิการ์จริงหรือไม่จริง สิ่งที่หล่อนอยากรู้นั้นคือ วิทิตรักกรรณิการ์จริงหรือไม่ !

วันรุ่งขึ้น บรรเลงกลับมาบ้านตามเวลาปกติ เขาตั้งใจจะทำความเข้าใจกับภรรยาถ้าทำได้ แต่เมื่อคิดถึงว่า เขาอาจผิดหวังในตัวหล่อน บรรเลงก็หมดกำลังใจ หันเข้าหาสุราเป็นเครื่องพยุงตัว พอจันทิราเห็นสามีดื่มอยู่ในห้องรับแขกคนเดียว หล่อนก็ทำอาการไม่แยแส เดินเลี่ยงไปเสียที่อื่น บรรเลงก็ออกจากบ้านไปโดยไม่กลับมาอีกคืนหนึ่ง

ความข้องเคืองใจของบรรเลงเกี่ยวกับภรรยานั้นทำให้สุรชาติ สามีของไพจิตรารับเคราะห์ไปด้วย ระหว่าง ๒-๓ วันที่บรรเลงไม่มีความสุขนี้ เขาแสดงความโกรธเคืองคนร่วมงาน โดยไม่มีเหตุผลหลายครั้ง ยิ่งกว่านั้นมีกรณีที่บรรเลงต้องตัดสินใจเกี่ยวกับการค้า บรรเลงตัดสินในทางที่สุรชาติรู้แน่ว่าผิด และจะทำให้บริษัทซึ่งเขามีหุ้นอยู่ด้วยและทำงานรับผิดชอบด้วย ต้องเสียหายเป็นเงินอย่างน้อยก็นับหมื่น เมื่อสุรชาติทักท้วง บรรเลงก็โกรธเคือง สุรชาติหนักใจมากจึงปรารภกับภรรยา

“เที่ยวถามหลายคนว่าไปลงทุนทำอะไร ที่ไหน แล้วขาดทุนขาดรอนบ้างหรือเปล่า” เขาว่า “ใคร ๆ ก็บอก าไม่มี ถ้ายังงั้นก็ต้องมีเรื่องทางบ้าน เพราะเบ๊บเป็นคนหัวแน่มากทางการค้า”

“ทำไมไม่ลองถามพี่บรรโลม” ไพจิตราแนะ

“เคยลองดูแล้ว พบพี่บรรโลมที่บริษัท พี่บรรโลมฟังแล้วก็นิ่งเฉย” สุรชาติตอบ แต่ความจริงนั้นคือบรรโลมได้รับการอบรมแบบตะวันตกมานานทำให้หล่อนไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของพี่น้องมากนัก ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ

“เธอลองสืบดูทางพี่น้องเธอบ้างซิ” สุรชาติแนะบ้าง

ไพจิตราคิดถึงเรื่องที่มีการซุบซิบกันในหมู่พี่น้องว่า วิทิตกับจันทิรานัดไปพบกันที่หัวหิน ซึ่งหล่อนได้รับสัญญาไว้กับสุธิราว่าจะไม่ไปเล่าให้สามีฟัง หล่อนอยากทราบว่ามีเหตุการณ์อะไรเพิ่มขึ้นมาหรือเปล่า จึงรับกับสามีว่าจะลองถามดู

วันอาทิตย์เป็นวันที่ลูกหลานมักไปประชุมกัน เพื่อแสดงคารวะต่อคุณหญิงมารดาเลี้ยงของไพจิตรา ซึ่งไพจิตราก็ปฏิบัติสม่ำเสมอ โดยเฉพาะระหว่างที่สุธิราไปต่างประเทศ สุธิราได้ฝากฝั่งไพจิตราเป็นพิเศษไม่ให้ละทิ้งผู้ที่ไพจิตราเรียกว่าคุณแม่ และสุธิราเรียกว่าคุณอา เพราะไพจิตราเป็นสมาชิกของตระกุลผู้เดียวในขณะนั้นที่มีรถยนต์และน้ำมันบริบูรณ์พอที่จะเรียกใช้ได้ตามความพอใจ ดังนั้นเมื่อวันอาทิตย์มาถึง ไพจิตราก็ได้พบกับนิสาผู้ซึ่งจงใจไปเยี่ยมคุณหญิงก็เพื่อได้พบกับไพจิตรา เพราะนิสาก็อยากรู้ว่า บรรโลมรู้เรื่องที่แอนน์หึงกรรณิการ์มาจากผู้ใด

พอมีโอกาส ไพจิตราก็ถามนิสา “เออ ไม่ได้พบพี่จันนาน เธอได้พบบ้างหรือเปล่า?”

คำถามมาโดยนิสาไม่รู้ตัว จึงตอบตามความจริงว่า “ได้พบเมื่อวานซืน”

“แล้วเป็นยังไงบ้าง พี่จัน?” ไพจิตราถามอย่างฉลาด

นิสาเหลือบไปดูไพจิตรา ความอิจฉาว่าไพจิตราไม่ใช่คนสวยเด่นอย่างไร การที่แต่งงานกับสุรชาติก็เพราะ มารดาได้เป็นเมียน้อยท่านเจ้าคุณ ไพจิตราได้เป็นธิดาท่านเจ้าคุณ สุรชาติจึงแลเห็นเด่นขึ้นมาจากผู้หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน ไพจิตราจึงเป็นภรรยาเศรษฐี ทำให้นิสาตอบว่า “พี่จันก็สวยเรี่ยมตามเคย พี่จันใช้เงินทุกบาทของคุณบรรเลง เพื่อรักษาความงามของตัว”

ไพจิตราไม่เล็งไปถึงความรู้สึกของนิสา หล่อนถามต่อไป เพื่อจะเอาความรู้ที่จะเป็นประโยชน์แก่สามี

“มีเรื่องอะไรเล่าสู่กันฟังอีกบ้างไหม?”

นิสาได้โอกาสจึงถามว่า “เออ คุณแดงเล่าให้คุณบรรโลมฟังเรื่องแอนน์หึงพี่กรรณหรือเปล่า?”

“เปล่า” ไพจิตราตอบ “คุณพี่กลางสั่งว่าไม่ให้เอาเรื่องของพวกเราไปเล่าให้พี่น้องทางโน้นฟัง ฉันก็ไม่เคยเล่าให้ใครรู้อะไรเลย เดี๋ยวคุณพี่กลางมาเล่นงานเอาตายที่จริงน่ะ พวกนั้นเขาไม่ค่อยสนใจกับพวกเราเท่าไหร่หรอก เขาสนใจแต่การค้าขายของเขา”

“ถ้าเธอไม่ได้เล่า พี่บรรโลมก็ต้องรู้จากแอนน์แปลว่าแอนน์หึงจริงๆ” นิสาปรารภออกมา

“แล้วทำไมเธอรู้ล่ะ ว่าพี่บรรโลมรู้” ไพจิตราย้อนถาม

“พี่จันบอกว่าพี่บรรโลมรู้ เคยพูดถึงกับพี่จัน” นิสาตอบ เห็นเป็นโอกาสที่จะให้ไพจิตราช่วยรู้ด้วยว่าได้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างวิทิตกับกรรณิการ์จริง ๆ

ไพจิตราโยงเรื่องไปไม่ถึงเรื่องที่หล่อนต้องการทราบ คือสภาพของครอบครัวของบรรเลงและจันทิรา จึ่งไม่ต่อเรื่องที่นิสากล่าวถึง เลยซักถามเรื่องอื่นต่อไป

แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน หล่อนก็คุยกับสามี “ไปพบนิสาวันนี้ เขาว่าไม่เห็นพี่จันเป็นอย่างไร เมื่อวานซืนก็ไปบ้าน แล้วก็สวยเรี่ยมตามเคย”

“แล้วนอกจากสวยมีอะไรอีกไหม?” สุรชาติซักต่อ

“ไม่เห็นว่าอย่างไร เป็นแต่ว่าพี่จันเล่าว่า พี่บรรโลมเล่าให้ฟังว่าแอนน์หึงกรรณิการ์” ในเรื่องนี้ไพจิตราไม่ได้ถูกกำชับไม่ให้เล่าแก่สามี หล่อนจึงไม่แลเห็นความสำคัญของมันเท่าใด สำหรับไพจิตรา เรื่องนี้เป็นแต่เพียงเรื่องขบขัน เพราะหล่อนรู้ว่าวิทิตรักจันทิรา และไม่เฉลียวใจไปว่าสามีของหล่อนผู้ไม่รู้เรื่องเท่าหล่อน จะแลเห็นความสำคัญผิดไปจากหล่อนอย่างไร

“แปลกละ” สุรชาติว่า “พี่บรรโลมน่ะเขาเป็นผู้ใหญ่ แล้วก็เป็นผู้ใหญ่แบบฝรั่ง เขาไม่พูดกับพี่จันเรื่องอย่างนี้เล่นๆ หรอก ต้องมีอะไรสักอย่าง”

สุรชาติเดาว่าบรรเลงอาจมีความร้อนใจในครอบครัว เกี่ยวกับพี่สาวไม่ถูกกับภรรยาหรืออย่างไร ในวันจันทร์เขาก็สังเกตุอิริยาบถของบรรเลง บรรเลงมาทำงานโดยมีกลิ่นสุราติดมาด้วยตั้งแต่เช้า ซึ่งผิดปกติของเขามาก ตลอดวันอาทิตย์บรรเลงไปเที่ยวเล่นตามสโมสรต่าง ๆ ค่ำลงก็กลับบ้านเพื่อจะทำความเข้าใจกับภรรยา แต่จันทิราทำอาการให้สามีเป็นฝ่ายขอโทษ แต่ครั้นบรรเลงขยับจะพูดเรื่องที่เขาข้องใจอยู่ จันทิราก็ทำเหมือนไม่ได้ยิน เมื่อบรรเลงตามเข้าไปในห้อง จันทิราก็นอนหันหลังให้เหมือนวันก่อน บรรเลงก็ออกจากบ้านไปนอนที่อื่นเหมือนวันที่แล้วมา เมื่อถึงเช้าวันจันทร์ เขากลับไปบ้านก็พบจันทิราแต่งตัวสวย เตรียมจะออกไปแต่งผมตามที่หล่อนเคยเป็นประจำ อาทิตย์หนึ่งสองหรือสามครั้งจันทิราแสดงอาการเฉย ๆ มองดูเขาเหมือนกับว่าเขาไม่มีความสำคัญอย่างไรแก่หล่อน บรรเลงก็เดินผ่านหล่อนไปห้องแต่งตัวของเขา ผลัดเครื่องแต่งตัว แล้วก็มาทำงาน

สุรชาติรู้สึกหนักใจ เพราะการงานที่เกี่ยวข้องกับเงินจำนวนแสนจำนวนล้านอยู่ในอำนาจของบรรเลงที่จะทำให้เสียหายมากหรือเพิ่มพูนได้ ญาติหลายคนทั้งที่อยู่เมืองไทยและต่างประเทศก็มีส่วนได้เสียในกิจการที่บรรเลงและสุรชาติทำร่วมกัน เขาจึงคิดว่าจะต้องหาทางให้บรรเลงพ้นความร้อนใจที่บั่นทอนสมรรถภาพเสีย เขาและเลียมถามว่า

“เบ๊บ ทำไมกินเหล้าแต่เช้า ไม่สบายเป็นอะไรรึ ทำไมไม่หาหมอ?”

บรรเลงเงยหน้าขึ้นดูลูกพี่ลูกน้องอย่างไม่พอใจ “ฉันทำอะไรเสียหายแก่ใคร?” เขาถามเสียงขุ่น

“ยังไม่ได้ทำอะไร” สุรชาติว่า

“แต่อาจทำได้ ใช่ไหม?” บรรเลงพูดเสียงกร้าว ๆ

“ไม่รู้ละ” สุรชาติตอบ “กิจการของเรามันกิจการใหญ่ มีสติไว้มันก็ดีกว่าไม่มี ปัญหาอะไรทั้งนั้นมันขบกันได้ ถ้ามีสติดี”

บรรเลงก้มหน้าลงนิ่งอยู่สักครู่ แล้วเงยขึ้นพูดว่า “ถูกแล้ว งานสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด”

เมื่อเห็นลูกพี่อารมณ์ดีขึ้น สุรชาติก็ต่อไปว่า “พี่บรรโลมกับเบ๊บพบกันบ่อย ๆ รึ พี่บรรโลมน่ะเขาเป็นคนสมองดีคนหนึ่งนะ อย่าเป็นฝรั่งกันให้มากนักเลย เป็นคนตะวันออกกันเสียบ้างเถอะ มีอะไรข้องใจก็พูดกับพี่กับน้องเสียบ้างเถอะ”

ความสนใจของสุรชาติที่มีต่อเขาทำให้บรรเลงรู้สึกชุ่มชื่นใจขึ้นบ้าง ยิ้มออกมานิดหนึ่งพลางตอบน้องชายว่า “ซิสเขาก็ตามเคย พบกันคุยกันแต่ก็ไม่มีอะไรจะไปรบกวนเขา” แล้วทันทีภาพสีหน้าของภรรยาเมื่อวันสุดท้ายที่ได้พบกับพี่สาว ก็ผุดขึ้นในความทรงจำแจ่มแจ้ง บรรเลงก็รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้าอก จึงก้มหน้าเพื่อหนีสายตาของสุรชาติ

เมื่อสุรชาติรู้แน่ว่าบรรเลงไม่ได้ผิดใจกับพี่สาว เขาก็นึกว่าความผิดพลาดที่บรรเลงอาจทำได้ จนกระทั่งเขาเสียความตั้งอกตั้งใจในงานไปก็มีอีกอย่างเดียวคือ อาจไปรักผู้หญิงอื่นนอกใจภรรยา จึงเอ่ยขึ้น

“เรื่องครอบครัวคนไทยนี่มันยุ่งพอใช้ เพราะเราไม่มีฐานะอะไรให้แน่นอน จะมีเมียน้อยหรือไม่มี จะหย่ากันได้หรือไม่หย่า ดูมันได้ไปเสียหมด เลยทำให้กินแหนงแคงใจกันไปเรื่อย”

บรรเลงร้อนตัวขึ้นมาทันที คิดว่าสุรชาติจะมาล่วงล้ำสอนเขา จึงพูดเสียงขุ่นขึ้นอีกว่า “ใครไม่ไว้ใจใครบ้าง?”

“เขาว่ายายแอนน์แกหึงคุณกรรณิการ์ เขาว่าวิทิตกับกรรณิการ์รักกัน บางคนก็ว่าจริง บางคนก็ว่าไม่จริง”

บรรเลงเกิดความรู้สึกประหลาด เขาไม่รู้ว่าเขายินดีหรือไม่พอใจเมื่อได้ยินเรื่อง แต่ถามต่อไปว่า “แล้วดิ๊กไปรู้มาได้อย่างไร?” ดิ๊ก เป็นชื่อเรียกเล่นของสุรชาติ

“นิสาเล่ากับคุณแดงว่า พี่จันบอกว่าพี่บรรโลมเล่าให้ฟัง” สุรชาติตอบ “ผมน่ะว่าไม่จริงหรอก คุณกรรณิการ์แกเป็นคนมีความคิดมากกว่านั้นมาก แต่ผมว่าเป็นเพราะเหตุที่คนไทยเราทำอะไรได้มากเกินไป มีเสรีภาพกันไปทุกอย่าง ยายแอนน์แกก็ไม่รู้ว่าขอบเขตอยู่ตรงไหน แกก็คงสงสัยไปใหญ่ ผมว่าผู้ชายเราทำขอบเขตเสียก็จะดี เช่นถ้าเราเห็นว่าเรามีสิทธิที่จะมีเมียน้อย เราก็แสดงว่าเราจะรักษาสิทธินั้นเสียเลย ให้ภรรยาเข้าใจเสีย อย่าครึ่ง ๆ กลาง ๆ จิตใจก็เสียไปเปล่า แต่ถ้าไปรักเมียคนอื่นเขา ไอ้นี่ ก็ต้องหยุดยั้งไว้ละ เราต้องเลิกรักให้ได้ ไม่ยังงั้นเราก็หาความสุขไม่ได้”

ในวินาทีหลัง ๆ ระหว่างที่สุรชาติใช้วิธีอบรมเขาทางอ้อมนี้ บรรเลงไม่ได้ยินเลยว่าสุรชาติพูดว่าอย่างไร บรรเลงกำลังจับเรื่องโยงกันเข้าเป็นเกลียวเชือกเส้นเดียวกัน เรื่องของวิทิตกับแอนน์กับกรรณิการ์กับจันจิราและกับตัวเอง

เมื่อสุรชาตินิ่งไปสักครู่หนึ่งแล้ว บรรเลงเงยหน้าขึ้น “ดิ๊กจะไม่ได้เห็นฉันกินเหล้ามาทำงานอีกต่อไป”

เขาพูดกับน้องชายและผู้ร่วมงาน แล้วตลอดวันนั้น เขาก็สั่งงานและเซ็นหนังสือเป็นปกติ ทำให้สุรชาติแปลกใจในผลการเจรจาของตัวอย่างเหลือล้น ครั้นถึงเวลาจวน ๑๕.๐๐ นาฬิกา บรรเลงก็ออกจากที่ทำงานกลับไปบ้าน ก่อนออกจากสำนักงาน เขาได้โทรศัพท์ไปถามเพื่อให้รู้แน่ว่าจันทิราจะอยู่บ้านไม่ออกไปไหนเมื่อเขาไปถึง

เมื่อบรรเลงไปถึงบ้าน เขาก็ได้ทราบว่าจันทิราอยู่ที่ลานบ้านทางตะวันออก ซึ่งมีลักษณะเป็นเนินหญ้าปลูกเรียบ มีพื้นที่เสมอด้วยตึกชั้นล่าง ยื่นต่อไปจากห้องรับแขก จันทิรานั่งอยู่บนชิงช้า ในมือถือนิตยสารเล่มหนึ่ง เมื่อสามีออกไปปรากฏตัว หล่อนก็ชำเลืองตาขึ้นมองดูเขาหน่อยหนึ่งแล้วก็เหลือบตาลงดูหนังสือต่อไป

บรรเลงลงนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งใกล้ชิงช้าที่ภรรยานั่ง เขาเรียกชื่อหล่อน “จันทิรา”

จันทิราเกือบสะดุ้ง เขาไม่เคยเรียกหล่อนอย่างนี้ เขาเรียกคุณจัน หรือเรียกเป็นภาษาอังกฤษคำใดคำหนึ่ง ที่แปลว่าเป็นที่รัก หรือน่ารัก หรือหวาน หรือสวย หล่อนเหลือบตาขึ้นมองหน้าเขา

“ภายใน ๒-๓ วันนี้ คุณทำกิริยาอาการแปลกต่อสามีของคุณ” บรรเลงกล่าวขึ้น

“คุณเมาทุกเวลาที่มาพบฉัน” จันทิราพูดเสียงแข็ง

“ถูกแล้ว ฉันเมา” บรรเลงตอบ “ฉันทำไม่ถูก แต่ต่อไปนี้ฉันจะไม่เมาละ ฉันต้องการพูดกันให้เข้าใจ”

เมื่อสามีอยู่ในอาการมีสติสัมปชัญญะอย่างนั้น จันทิราเกิดมีความหวาดหวั่นอย่างประหลาดขึ้นในความรู้สึก หล่อนมองดูตาเขา ครั้นเขาจับจ้องตาหล่อน หล่อนก็ไม่กล้าสู้ตาเขา หล่อนพูดเสียงอ่อนลง “คุณจะพูดว่าอย่างไร?”

“คุณจันทิรา” บรรเลงกล่าว น้ำเสียงเขาสั่นนิด ๆ แต่เขาบังคับไม่ให้ผิดปกติมากนักได้อย่างดี “ฉันจะไม่อยู่กับเมียที่ไม่รักฉัน เมียที่รักคนอื่น ถ้าคุณจะเรียกร้องเอาเงินอย่างไร คุณก็โปรดบอกมา แต่ลูกของฉันจะต้องอยู่กับฉัน ถ้าคุณไม่ให้อิสรภาพแก่ฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ ฉันจะไปอยู่เสียที่อื่น”

“อะไร้ เบ๊บ” จันทิราอุทานด้วยความตกใจจริง ๆ “ฉันทำอะไร?”

“คุณเคยทำอะไรล่ะ?” บรรเลงย้อนถาม

“ทำไม ใครบอกเธอว่าฉันทำอะไร?” จันทิราย้อนถาม

“ตลอดเวลาสามสี่วันนี้ เมื่อพบพี่บรรโลมพูดถึงแอนน์ว่า อยากรู้ว่าวิทิตเคยรักกับใคร สิ่งที่เธอสนใจอยากทราบนั้น ไม่ใช่ว่าสามีของเธอมีความรู้สึกอย่างไร แต่เธออยากรู้ว่า คู่รักเก่าของเธอรักผู้หญิงใหม่หรือเปล่ามากกว่า”

จันทิราลุกขึ้นจากที่นั่ง อาการอย่างเดียวที่หล่อนจะแสดงได้เวลานั้นก็คืออาการโกรธ การตัดสินใจของบรรเลงรวดเร็วเกินไปจนหล่อนเตรียมแผนการต่อต้านไม่ทัน

“ถ้าเธอไม่ไว้ใจฉัน ถ้าเธอไม่รักฉันแล้ว ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูด” จันทิรากล่าวได้เพียงนี้แล้วก็วิ่งขึ้นไปชั้นบน ตรงเข้าห้องนอนแล้วก็ปิดประตูใส่กลอนเสีย

หล่อนเข้าไปยืนตัวสั่นอยู่ในห้อง ได้ยินเสียงรถยนต์ติดเครื่องและรถแล่นออกไป หล่อนใจหายวาบ ลูก... ลูก ของหล่อนอยู่ที่ไหน บรรเลงเอาไปแล้วรึ หล่อนชะโงกหน้าออกไปดู เห็นว่าในรถไม่มีวี่แววว่าจะมีเด็กอยู่ด้วย ค่อยโล่งใจ แต่ยังไม่แน่ทีเดียว หล่อนวิ่งออกจากห้อง วิ่งลงไปข้างล่างพบรถเข็นสำหรับลูกชายจอดอยู่ในสวนด้านหลัง หล่อนวิ่งตรงไปดูในรถ แต่พบว่าพี่เลี้ยงกำลังอุ้มเด็กใส่บั้นเอวอยู่ใกล้ ๆ แทนที่จะให้เด็กอยู่ในรถซึ่งหล่อนเคยห้าม แต่วันนี้หล่อนไม่มีเวลาจะว่ากล่าวในเรื่องนี้ หล่อนรับลูกชายมาจากพี่เลี้ยงแล้วก็กลับขึ้นไปข้างบน พาลูกชายเข้าไปในห้องด้วยกับหล่อน

หล่อนนั่งลงบนเตียงนอนและกอดลูบไล้เนื้ออันอ่อนนุ่มของลูกชายอยู่หลายวินาที ไม่รู้ว่าจะคิดไปทางไหนเป็นเวลานานจึงคิดได้ว่า การที่หล่อนจะป้องกันลูกไว้ไม่ให้บรรเลงเอาไปจากหล่อนนั้น จะไม่เป็นปัญหาอะไร บรรเลงไม่ได้ขู่ว่าเขาจะเอาลูกไปเสียจากหล่อน เขาบอกแต่เพียงว่า เขาจะไม่อยู่กับหล่อน ถ้าหล่อนจะเรียกร้องสิทธิของภรรยาจากเขา ถ้าหล่อนจะเลิกกับเขาให้เขาเป็นอิสระ และจะเรียกร้องเอาทรัพย์สมบัติ เขาจึงจะเรียกร้องเอาลูกไป แต่หล่อนไม่อาจจะทำให้เขาอยู่กับหล่อนได้ไม่ว่าหล่อนจะใช้สิทธิของมารดาหรือไม่

หล่อนจะต้องอยู่บ้านกับลูกชายในฐานะแม่หม้ายสาวอย่างนั้นรึ อยู่ไปโดยทุกคน เพื่อนฝูงพี่น้องรู้ว่าหล่อนถูกทิ้งไป จันทิราผู้ที่เคยเป็นดาราของมหาวิทยาลัย จันทิราผู้ไม่เคยแพ้ใครในเรื่องใด อย่างนั้นรึ

หล่อนอุ้มลูกชายออกจากห้อง พาไปส่งพี่เลี้ยงข้างล่าง ปัญหาการยึดเอาสิทธมารดาไว้จะไม่ช่วยอะไรหล่อน บรรเลงไม่ได้ขู่ว่าเขาจะเอาลูกไปจากหล่อน หล่อนกลัวในสิ่งที่ไม่ควรกลัวเลย

จันทิรากลับเข้ามานั่งในห้องนอน นั่งตรึกตรองโดยไม่รู้ว่าตรึกตรอง มือเท้าเย็นเฉียบ แต่ในทรวงอกนั้นร้อนผ่าว หล่อนนั่งอยู่ไม่ได้นาน ต้องลุกขึ้นเดินไปมา ไปหยุดที่หน้าต่างบ้าง ไปนั่งที่หน้าเครื่องแป้งบ้าง และกลับมาบนเตียงบ้าง

หล่อนคิดถึงวิทิต หล่อนรู้ว่าเขายังรักหล่อนอยู่ แต่เขารักแค่ไหน เขารักพอที่จะบอกเลิกเมียแหม่ม ขับไล่ไสส่งให้กลับไปบ้านเกิดเมืองนอนของเมียนั้นรึ และถ้าเมียเขาไม่ยอมเลิก วิทิตจะกล้าทิ้งภรรยามาสมสู่อยู่กับหล่อนด้วยความรัก และถ้าหล่อนเสียสละลูกและสามี วิทิตจะยอมเสียสละชื่อเสียงและเกียรติยศเพื่อเห็นแก่ความรักอย่างนั้นรึ

และถ้าหล่อนเสียสละทุกอย่างเพื่อกลับไปหาวิทิต หล่อนจะเป็นอย่างไร สมมุติว่าแอนน์ยอมกลับไปอังกฤษ หล่อนจะไปอยู่กับวิทิตที่ไหน ไปอยู่ที่เรือนน้อยที่วิทิตกับวิภา กับวิธาน ยายบุญเลี้ยงและหลานยายบุญเลี้ยง และลูกเลี้ยงคุณสังเวียนอีกคนหนึ่งที่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นลูกของสามีของคุณสังเวียนแต่เมื่อใด กลับเข้าไปอยู่ในหมู่พี่น้องที่ยากจน ล้วนแต่มีความทุกข์ความคับแค้น ล้วนแต่บ่นรำพันถึงค่าครองชีพซึ่งสูงขึ้นทุกวัน กลับไปเป็นแม่จัน ลูกสะใภ้คุณสังเวียน เมียพอติ๊ด แทนที่จะเป็นแม่จันซึ่งขี่รถยนต์คันใหญ่สีเลือดหมูดูเป็นเงางาม แม่จันผู้ซึ่งอาจเรียกคุณป้าคุณอาขึ้นรถยนต์คันใหญ่นั้น แล้วพาไปส่งที่ญาติเหล่านั้นอยากไป และต้องไปเองด้วยความลำบาก แม่จันผู้ซึ่งญาติทั้งหลายจะต้องขอบใจและอวยชัยให้พร แม่จันผู้ซึ่งเมื่อเดินเข้าบ้านผู้ใด ก็จะได้รับการต้อนรับอย่างผู้มีเกียรติยศ

ผู้เป็นที่มาแห่งเกียรติยศนั้นก็คือบรรเลง ถ้าไม่มีบรรเลงเสียแล้ว หล่อนก็อาจมีรถยนต์ได้ แต่ว่าก็จะต้องมีคนสงสารด้วย เขาจะพูดกันว่า ‘โถ แม่จันไม่รู้ผัวเขาโกรธเรื่องอะไร อยู่ ๆ เขาก็ทิ้งไป’ และแม้แต่รถยนต์ ก็คงไม่ใช่คันใหม่ที่สุดที่ตกเข้ามาในพระนคร

หล่อนคิดเกินไปเสียแล้ว วิทิตเขาก็ยังมีเมียของเขาอยู่ เขาจะมองเห็นอะไรกับแม่หม้ายสาวจันทิรา และแม่หม้ายสาวจันทิราเมียนายวิทิตคู่รักเก่า โอ เป็นไปไม่ได้จะอยู่ที่เรือนเล็กหลังนั้น หรืออยู่คนเดียวในตึกใหญ่หลังนี้ จะทำอย่างไร บรรเลงสามีหล่อนเขาเป็นคนอย่างไร จันทิราไม่เคยสนใจอยากรู้ว่าบรรเลงเป็นคนอย่างไรเลย จะพูดกับเขาอย่างไร จะทำให้เขาเชื่อถือหล่อนอย่างไร ทำอย่างไรเขาจึงจะกลับมาอยู่ที่บ้านนี้ในฐานะสามีผู้ภักดีในความงาม ในความเป็นสาวของหล่อน

ยังไม่สายเกินไป เวลาก็ยังไม่ค่ำด้วยซ้ำ จันทิราต้องทำอะไรสักอย่าง จะนั่งคิดไปคิดมาวนเวียนอยู่ไม่ได้ หล่อนเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว เรียกรถยนต์ แล้วก็บอกให้คนขับพาไปบ้านบรรโลม

จันทิรามักจะมีโชคดี บรรโลมอยู่บ้าน และไม่มีแขก หล่อนทำสวนอยู่คนเดียว กำลังแยกกอไม้ดอกชนิดหนึ่งอยู่ในสวนหลังตึก เมื่อทราบว่าน้องสะใภ้มาหา บรรโลมก็ทิ้งงานมารับรองตามมารยาทอันดี

จันทิราไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่าที่ควร เมื่อเสร็จจากการปราศรัยตามธรรมเนียมแล้ว จันทิราก็เล่าให้พี่สาวของสามีฟัง

“จันเห็นว่าซิสเป็นพี่สาวคนเดียวของเบ๊บ จึงมารบกวน ซิสคงไม่รำคาญเกินไปนะคะ”

เมื่อบรรโลมเชื้อเชิญให้พูดต่อไป จันทิราก็เล่าให้ฟัง “เบ๊บเขาโกรธว่าอย่างไรก็ไม่ทราบค่ะ ตั้งแต่เขาเดาว่าฉันเคยรักกับคุณติ๊ดแล้ว เขาก็เมาเรื่อย จันเกลียดขี้หน้า จันก็ไม่พูดด้วย มาวันนี้เขาก็มาตัดเป็นตัดตายเลย ดูซีคะ ถึงกับจะหย่ากัน จันก็เคยไปทำอะไร ที่เคยพบกับคุณติ๊ดโดยไม่มีเบ๊บหรือแอนน์ก็หนเดียว ที่หัวหินนั่นแหละคะ ซิสจำได้ไหมคะ เกือบไม่ได้พูดกัน นับคำที่คุณติ๊ดพูดกับจันไม่เกินยี่สิบคำ”

บรรโลมมองดูน้องสะใภ้ด้วยหน้าเฉย ๆ หล่อนรู้สึกสังเวชอยู่ในใจ “แล้วคุณจันจะให้ดิฉันทำอะไรคะ?” หล่อนถาม

“ซิสลองพูดกับเบ๊บดูซิคะ ว่าเขาโกรธเรื่องอะไร จันนึกไม่ออกเลย” จันทิราว่า

บรรโลมนิ่งไปหลายอึดใจ ในที่สุดหล่อนกล่าวว่า “เบ๊บกับดิฉันน่ะ ไม่ค่อยจะยุ่งเกี่ยวอะไรกันกี่มากน้อย มักจะอยู่กันคนละประเทศมาเรื่อย และก็โต ๆ ด้วยกันแล้ว ดิฉันเตือนเขาได้อย่างเดียวว่า จะทำอะไรอย่าทำเป็นเด็ก ๆ เท่านั้น”

“แล้วนี่ซิสเห็นว่าเบ๊บทำเป็นผู้ใหญ่รึคะ?” จันทิราถาม

“ถ้าเมาละก็ไม่เป็นผู้ใหญ่แน่ แต่คนที่เมา คนที่ทำงานการใหญ่ ๆ ได้อย่างเบ๊บ ถ้าเมาก็คงมีอะไรใหญ่ที่ทำให้เมา”

“เวลาพูดกันวันนี้ เขาไม่เมาค่ะ” จันทิราบอก

“ถ้าอย่างนั้น เขาคงมีเหตุผลอะไร ถ้าจะให้เป็นพยานเรื่องที่หัวหินละก็เป็นพยานได้ค่ะ นอกนั้นก็ไม่ทราบ คุณเป็นผัวเมียกัน น่าจะทราบดีกว่าดิฉันเป็นแน่”

จันทิราถอนใจใหญ่ หล่อนไม่เข้าใจคำพูดของบรรโลมเลย บรรโลมเกลียดหล่อนรึ ยินดีให้น้องชายเลิกกับหล่อนรึ เพราะเหตุใด หล่อนเคยทำอะไรที่บรรโลมจะเกลียดหล่อนได้ นอกจากที่ไปหัวหินคราวนั้น

คืนนั้นจันทิรานอนไม่หลับตลอดคืน หล่อนมีความรู้สึกสับสนกระวนกระวาย แต่ก็ไม่เคยคิดว่ายอมแพ้ ยอมเสียสามีไปเลยสักชั่วลมหายใจเดียว

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ