๑๐

อีกประมาณเดือนหนึ่งต่อมา วันหนึ่งแอนน์กลับมาบ้านเวลาประมาณเกือบ ๑๗.๐๐ นาฬิกา วิทิตกลับมาถึงก่อนแล้ว ตามปกติทั้งสองคนพยายามกลับบ้านใกล้ค่ำ เพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่ด้วยกันตามลำพังมากว่าที่จำเป็น โดยมากแอนน์ก็มีงานที่บริษัทจริง ๆ ส่วนวิทิตเที่ยวเถลไถลที่โน่นบ้างที่นั่นบ้าง ถ้ากรรณิการ์ไม่มีงานมาก และต้องอยู่ที่โรงเรียนจนใกล้ค่ำเหมือนกัน เขาก็คงไปพบกรรณิการ์บ่อย ๆ แต่บังเอิญเหตุการณ์ในชีวิตไม่เปิดโอกาสในทางนั้น งานในราชการของวิทิตก็ไม่มีอะไรสลักสำคัญให้เขานัก วิทิตจึงหนีความกลัดกลุ่มไม่ค่อยพ้น ในวันนั้นแอนน์กลับมาถึงบ้าน หล่อนก็ลงนั่งเอนตัวบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ระเบียง สีหน้าของหล่อนเต็มไปด้วยความครุ่นคิด เมื่อนั่งนิ่ง ๆ อยู่สักประเดี๋ยวหล่อนก็ขอร้องวิทิตให้ไปโทรศัพท์ที่บ้านใกล้ที่เคยอนุญาตให้หล่อนใช้โทรศัพท์เพื่อบอกไปยังเพื่อนชาวต่างประเทศที่นัดไว้ว่าจะไปรับประทานอาหารค่ำด้วยกัน วิทิตถามเหตุผล แอนน์ก็ตอบว่าหล่อนไม่สบายพอที่จะไปได้

พออาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกายอย่างอยู่กับบ้านแล้ว แอนน์ก็เข้าไปหาขนมปังกับเนื้อกระป๋องรับประทานเป็นอาหารค่ำ แล้วก็บอกวิทิตให้ไปรับประทานอาหารบนเรือนใหญ่กับมารดา แต่วิทิตมีความรู้สึกไม่สบายใจอย่างใดอย่างหนึ่งจึงปฏิเสธ และหาอาหารกระป๋องรับประทานเหมือนกับแอนน์

เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เขากับหล่อนก็ออกมานั่งที่ระเบียงด้วยกัน แอนน์มีอาการว่าหล่อนใช้กำลังใจบังคับตัวเต็มที่ แล้วในที่สุดก็พูดขึ้น เสียงของหล่อนเครือไม่ปกติดีนัก

“ติ๊ด แว่วบอกฉันว่าเธอไปขอยืมเงินเจ็ดพันบาท เพื่อเอาไปใช้หนี้รายหนึ่ง”

วิจิตรู้สึกเบาใจขึ้นเล็กน้อย “ถูกแล้ว” เขารับ “เธออย่ากังวลเลย แอนน์ ไม่มีอะไรที่น่าวิตกดอก”

แอนน์กลืนอะไรในลำคอ พยายามบังคับตัวให้พูดต่อไป “ติ๊ด ทำไมเธอไม่บอกฉัน เธอรู้ดีว่าฉันมีเงินมากกว่านั้น ทำไมเธอไม่ขอยืมฉัน?”

“ฉันไม่อยากรบกวนเธอ” วิทิตตอบสั้น ๆ

“ทำเธอจึงคิดว่าควรรบกวนแว่วก่อนฉัน ฉันเป็นเมียของเธอ เธอต้องรบกวนฉันก่อนคนอื่นซิ”

“ฉันไม่เห็นจำเป็นจะต้องให้เธอร้อนใจ” วิทิตอธิบาย เขามองดูภรรยา แต่เมื่อแอนน์จ้องมองนานเข้า เขาก็สู้ตาหล่อนไม่ได้

“เหตุผลที่เธออ้างมานี้ยังไม่ดีพอ ติ๊ด ฉันยังรับเชื่อไม่ได้” แอนน์ค่อย ๆ พูดช้า ๆ แลเห็นได้ว่าหล่อนพยายามบังคับตัวบังคับเสียง “ไม่มีเหตุผลที่ฉันจะร้อนใจ ถ้าเธอเอาเงินนั้นไปใช้ในทางที่สมควร และในเมื่อฉันมีเงินอยู่ ฉันจะต้องเดือดร้อนทำไม เธอจะบอกได้ไหม ว่าเธอต้องการเงินไปทำอะไร?”

“ฉันเอาไปช่วยใช้หนี้ที่ฉันไม่ได้ทำไว้ ฉันจึงไม่อยากรบกวนเธอ” วิทิตพยายามหาทางออก

“เธอรู้จักฉันเพียงนั้นเองหรือ ติ๊ด?” แอนน์เรียกชื่อแสดงความรักใกล้ชิดเป็นภาษาอังกฤษด้วย “เธอรู้ดีว่าถ้าเป็นหนี้ที่เธอควรใช้แทน ฉันก็จะต้องยินดีให้เงินนั้นแก่เธอ ติ๊ด การที่ผัวเมียปิดบังกันในเรื่องเช่นนี้ ไม่ใช่ภาวะที่ควรเป็น เธอรู้อยู่แก่ใจเธอ โดยเฉพาะเธอสัญญาแววว่า เธอจะผ่อนเงินใช้ให้เขาทุกเดือน เธอจะทำอย่างนั้นกับฉันก็ได้ ง่ายนิดเดียว ถ้าเธอไม่อยากรบกวนเงินของฉัน”

“แอนน์ ขออย่าทำเรื่องเล็กน้อยให้เป็นเรื่องสำคัญเกินไป” วิทิตใช้กลวิธีของผู้ชายเมื่อไม่มีทางออกอย่างอื่น

“เธอใช้คำพูดเช่นนี้กับฉันไม่ได้หรอก ติ๊ด” แอนน์รู้เท่าเขาในทันที “เธอกับฉันเคยผ่านอะไรมาด้วยกันมากเกินกว่าที่เธอจะพูดอย่างนี้ เธอจะแก้ตัวว่าเธอเห็นว่าเธอควรรบกวนแว่วก่อนเมียของเธอไม่ได้หรอก ติ๊ด”

วิทิตนิ่งไปหลายอัดใจ เขาพยายามจะถ่วงเวลาไว้จนกว่าเขาจะหาเหตุผลที่จะทำให้แอนน์จำนน จึงบ่นขึ้นว่า “แว่วสัญญาฉันว่าจะไม่บอกเธอแล้วทำไมเขาเสียสัญญา”

“ไม่เกี่ยวกับปัญหาที่ฉันตั้งให้แก่เธอเลย” แอนน์ว่า “แต่ถ้าเธออยากรู้เรื่องนี้ ฉันบอกให้ก็ได้ แว่วไม่ได้บอกฉัน ฉันรู้สึกโดยบังเอิญ แว่วไปเอาเงินจากพี่สาวของเขาอีกต่อหนึ่ง พี่สาวเขามาถามเมียแว่วต่อหน้าฉันว่า แว่วใช้เงินเปลืองรึ เมียแว่วแปลกใจจึงไปถามสามี แว่วก็บอกเมียว่าเขาขอยืมไปให้เธอ แต่แว่วคงลืมสั่งเมียว่าเธอไม่ให้ฉันรู้ เมียแว่วเขาจึงมาถามฉันอีกทีว่าเธอต้องเลี้ยงครอบครัวหลายคน แฟรนซีน (หมายถึงภรรยาอเมริกันของแว่ว) เป็นคนชอบทำให้ฉันรู้สึกตัวว่าฉันสู้เขาไม่ได้ ถ้าเปรียบฐานะเธอกับแว่ว เธอก็รู้อยู่แล้ว”

วิทิตยิ่งต้องนิ่งไปนานกว่าคราวที่แล้ว เขาไม่รู้จะหาข้อแก้ตัวอันใดมาชี้แจงแก่ภรรยา เพราะตัวของเขาก็ยังไม่รู้ว่าเหตุใดจึงไม่ยอมให้ภรรยารู้เรื่องนี้ แต่ในสองอึดใจต่อมา แอนน์ได้ทำให้เขาเข้าใจตัวเอง

แอนน์รวบรวมกำลังใจทั้งหมดที่หล่อนมี หล่อนคิดว่าถ้าหล่อนไม่พูดเวลานี้ หล่อนคงไม่มีกำลังใจจะพูดเรื่องนี้อีกในอนาคต หล่อนได้รอมานานแล้ว รอโดยความขี้ขลาด ไม่ยอมเผชิญหน้าต่อความจริงซึ่งผิดธรรมเนียมของหล่อน นับวันหล่อนก็ต้องตราหน้าตัวเองว่าเป็นคนอ่อนแอ ไม่มีอะไรเป็นตัวของตัวเองเข้าทุกวัน ๆ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องให้ภาวะอันนี้สุดสิ้นลง

“ดาร์ลิ่ง” แอนน์ใช้คำแสดงความรักสามี เสียงของหล่อนจับได้ว่าเครือนิด ๆ แต่หล่อนบังคับตัวอย่างเต็มที่ “ฉันคิดว่าฉันควรจะต้องพูดอะไรเกี่ยวกับความรักของเรา เกือบปีมาแล้วที่เธอไม่เป็นคนเดิมที่ฉันเคยรักเคยรู้จัก ติ๊ด ทำไมเธอจึงพยายามไม่ใช้เงินของฉัน ฉันเป็นเมียของเธอ คนรักกันไม่ต้องมีความรู้สึกว่า นี่เป็นเงินของเมีย นี่เป็นเงินของตัว ทีแรกฉันคิดว่าเป็นธรรมเนียมไทยหรืออย่างไร แต่ก็เปล่า ผู้ชายไทยหลายคนที่เรารู้จัก มีเมียรวยกว่าเขา เขาก็ไม่เดือดร้อนเลย เขาอยู่บ้านของเมีย นั่งรถยนตร์ของเมีย เขาต่างคนต่างให้ความสุขแก่กัน ยิ่งในกรณีฉันกับเธอ เธอยิ่งไม่มีเหตุผลจะอับอายเลย ฉันไม่รวยกว่าเธอ ถ้าเธอจะออกมาหางานทำตามบริษัทการค้าของฝรั่ง เธอก็จะได้เงินเดือนเท่าหรือดีกว่าฉันด้วยซ้ำไป การที่เธอทำราชการ เพราะเราได้เห็นพ้องกันว่าเธอเป็นหนี้ประชาชนชาวไทย เธอไปเรียนด้วยเงินที่ประชาชนเขาสละไปจากสมองและเหงื่อของเขา เธอทำราชการเพราะเหตุนั้น ไม่ใช่เพราะเธอไม่สามารถจะหารายได้เท่าฉัน”

แอนน์นิ่งไปครู่หนึ่ง เพราะเสียงหล่อนเครือขึ้นทุกที หล่อนหยุดเพื่อจะรวบรวมกำลังควบคุมตนเอง และเพื่อจะให้โอกาสแก่วิทิตที่จะโต้ตอบ แต่วิทิตนั่งจ้องดูพื้น ระหว่างเท้าทั้งสองของเขา เมื่อคุมสติได้ดีแล้ว แอนน์จึงพูดต่อ

“ติ๊ด เธอเคยบอกฉัน เมื่อก่อนเราแต่งงานกันว่า เธอรักกันกับญาติคนหนึ่ง แต่เป็นความรักเด็ก ๆ เมื่อไกลกันเข้าก็ห่างเหิน ต่างคนก็ต่างลืมความรักกันไป แต่เมื่อเธอกลับเมืองไทยแล้ว เธอคงกลับรักเขาอีกใช่ไหม เธอจึงรู้ว่าเธอไม่ควรจะเอาประโยชน์ที่เป็นวัตถุเช่นเงินทองของฉัน เพราะเธอไม่ได้รักฉันเหมือนเมื่อเราอยู่อังกฤษด้วยกัน”

วิทิตส่ายหน้ากับพื้นไปมา เขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นดูหล่อน

“ญาติคนนั้นเป็นคนดีใช่ไหม? เป็นคนที่จะทำให้เธอมีความสุขได้ มีสติปัญญาดีพอกับเธอ และเธอก็จะหมดปัญหาเกี่ยวกับการมีเมียต่างชาติ คนบางคน เช่นสุภัทรา ยังเรียกฉันว่าแหม่มอยู่เลย จะเรียกชื่อของฉันเหมือนฉันเป็นคนคนหนึ่งก็ยังไม่ได้”

“ไม่ใช่ ไม่ใช่” วิทิตปฏิเสธ

“ไม่ใช่สำหรับข้อไหน ติ๊ด?” แอนน์ถาม เสียงของหล่อนอ่อนโยนแสดงความเหน็ดเหนื่อยในใจที่สุด

“เธอไม่ได้รักกับกรรณิการ์รึ?”

“โอ กรรณิการ์” วิทิตอุทานด้วยความตกใจเกือบเป็นเสียงตะโกน “ไม่ใช่ ไม่ใช่กรรณิการ์”

แอนน์จ้องดูเขาด้วยหัวใจเต้นแรง หล่อนรอให้เขา/*302*บอกหล่อนว่าเขาไม่ได้รักใครนอกจากหล่อน แต่วิทิตไม่มีสติพอที่จะทำดังนั้น เขาประหลาดจนพูดอะไรไม่ได้ นอกจากย้ำว่า “ไม่ใช่กรรณิการ์ เธอเข้าใจผิด”

“ถ้าเช่นนั้นใคร?” แอนน์ถาม หล่อนรู้สึกมือและเท้าของหล่อนเย็นเฉียบ ตลอดเวลาสองสามเดือนมานี้ แอนน์ได้อบรมตนเองตามความเข้าใจของหล่อนว่า การที่วิทิตรักกรรณิการ์นั้น เป็นสิ่งที่ดีแล้วสำหรับคนทุกคนนอกจากตัวหล่อน แต่ตัวหล่อนก็จะต้องรับเอาภาระที่เป็นจริงได้ ในที่สุดความชอกช้ำจะต้องจางหายไปวันหนึ่งเมื่อหล่อนกลับไปปิตุภูมิของหล่อน และหางานที่หล่อนสนใจทำได้ ถ้าหาไปในประเทศอังกฤษไม่ได้ หล่อนก็จะออกไปหางานในประเทศในเครือจักรภพประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่ถ้าไม่ใช่กรรณิการ์ หล่อนจะยอมยกสามีให้ง่าย ๆ หรือไม่ นี่เป็นปัญหาที่หล่อนต้องขบใหม่

วิทิตไม่กล้าสู้หน้าแอนน์ หรือที่ถูกไม่กล้าสู้กับความจริง เขาสะบัดศีรษะไปมาเหมือนม้าที่มึนงง แล้วโดยแอนน์ไม่ทันรู้ตัว เขาก็ผลุนผลันออกจากบ้านไป

คืนนั้นวิทิตกลับมาบ้านเมื่อก่อนสว่างเพียงเล็กน้อย เขาพยายามย่องอย่างเบาที่สุด เพื่อจะได้ไม่รบกวนภรรยา แต่แอนน์ได้ยินฝีเท้าของเขาทุกก้าว ตั้งแต่เขาเปิดประตูบ้าน จนเขาเดินเข้ามาที่เรือน แล้วย่องขึ้นบันไดมาเข้าห้องนอน

จากอากัปกิริยาของวิทิต แอนน์รู้ดีว่า ถ้าหล่อนจะถามเขาถึงความรักในหัวอกของเขา เขาก็จะไม่บอกหล่อน เขามีอาการอับอายหล่อน มีทีท่าของคนที่รู้ว่าตัวผิด ไม่ใช่อาการของคนที่ต้องการเรียกร้องเอาอิสรภาพจากภรรยา

แอนน์เริ่มเดาว่าวิทิตกำลังทำศึกกับตนเอง และในการนี้เขาอาจต้องการความช่วยเหลือของหล่อน แต่หล่อนก็ไม่แน่ใจว่าหล่อนควรจะทำอย่างไรจึงจะถูกต้องเหมาะสม ที่สุดความอยากรู้ประสาหญิงของหล่อนก็สูงมาก หล่อนรู้สึกว่าตราบใดที่หล่อนไม่รู้วิทิตรักใคร หล่อนก็ยังตัดสินไม่ได้ว่าจะเลือกทางเดินทางไหน

พอดีวันหนึ่งหลังจากวันที่หล่อนเจรจากับวิทิต เพื่อนชาวอังกฤษที่ร่วมงานกับหล่อนในบริษัทก็มาต่อว่า

“นายธัชคนที่เธอรับไว้ทำงานน่ะ เขาเป็นอะไรดูเหมือนเขาไม่ค่อยมีสติ ดูใจลอย ๆ อยู่เสมอ ที่จริงความรู้ก็ไม่เลวนัก และเวลามอบงานอะไรให้ทำ ก็ทำได้ดีพอสมควร”

แอนน์จึงคิดขึ้นมาได้ว่า ธัชอาจเข้าใจผิดเรื่องกรรณิการ์วิทิตเช่นเดียวกับหล่อน และธัชมีอาการแปลกไปพร้อม ๆ กับที่หล่อนเริ่มสงสัยว่าวิทิตรักกรรณิการ์ แอนน์จึงคอยหาโอกาสจะสนทนาตามลำพังกับธัช

หล่อนจ้องหาโอกาสอยู่ ๓-๔ วันก็ได้สมใจ วันนั้นธัชทำงานเสร็จช้า ยังคงนั่งคนเดียวหลังจากที่เพื่อนร่วมงานออกไปรับประทานอาหารกลางวันกันหมดแล้ว แอนน์แอบมองทางหน้าต่างเล็กในผนังห้องของหล่อน พอเห็นเขาเก็บเครื่องมือทำงานเข้าลิ้นชัก เตรียมตัวจะไปบ้าง หล่อนก็รีบออกมายืนในระยะที่เขาจะเห็นหล่อน

“คุณจะไปรับประทานอาหารที่ไหน คุณธัช” แอนน์ถาม แล้วก็อออกเดินคลอไปกับเขา

ธัชจ้องดูหล่อนอย่างพิศวง แล้วก็ออกไปโดยไม่ตอบ แอนน์เดินไปกับเขาโดยไม่พูดว่าอะไร สำนักงานของบริษัทของเขาทั้งสองนี้อยู่ที่ถนนสีลม ธัชเดินไปจนถึงที่จอดรถราง แอนน์ก็เดินไปหยุดที่นั้นด้วย

“คุณมีนัดจะไปรับประทานอาหารกับใครรึ?” แอนน์ถาม

ธัชไม่ได้เตรียมตัวไว้ จึงตอบว่า “เปล่า”

“เราอย่าไปรถรางเลย” แอนน์ว่า “ไปรถเมล์ดีกว่า ไปที่ร้านขายอาหารทางถนนโน้นเถอะ” หล่อนชี้มือไปทางที่หล่อนทราบว่ามีร้านขายอาหาร ในที่สุดก็สำเร็จตามแผนการ ธัชต้องไปรับประทานอาหารกับหล่อน

เมื่อไปร้านอาหารจีนแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ริมคลองหัวลำโพงตอนใกล้ถนนสาธร แอนน์และธัชก็เข้าไปหาที่นั่ง แล้วก็สั่งอาหาร แอนน์บอกให้เขาสั่งตามใจชอบ และบอกว่าหล่อนขออนุญาตเลี้ยงสุภาพบุรุษมื้อหนึ่ง และเดิมแต้มต่อไป โดยบอกเขาว่าหล่อนเหงามาก อยากมีเพื่อนคุยพอหายเศร้า หล่อนหวังว่าถ้าธัชเศร้าโศก ด้วยเหตุที่สงสัยว่ากรรณิการ์รักวิทิต เขาคงเดาเรื่องว่าหล่อนก็คงเศร้าโศกด้วยเรื่องเดียวกัน การที่เป็นไปตามแผนการชั้นที่สองของแอนน์

ธัชจ้องมองหล่อนด้วยสายตาเศร้า ๆ และถอนใจใหญ่เบา ๆ

“ว่าไง คุณกับหญิงที่รักของคุณ ทำความเข้าใจกันแล้วหรือยัง?” แอนน์ถามทีเล่นทีจริง

“ผมไม่มีใครรักใครอะไรแล้ว” ธัชตอบ เขามีอารมณ์เกิดขึ้นวูบวาบทันที บังคับตัวไม่ให้แสดงอาการผิดปกติไม่ได้

“เกิดเข้าใจผิดอะไรกัน?” แอนน์ถามทำเป็นซื่อ

“ผมว่าผมเข้าใจถูก” ธัชตอบอย่างเด็ดขาด

“คุณอย่าแน่ใจนัก” แอนน์ว่า “ฉันกับสามีของฉัน ฉันเข้าใจผิดเขามาตั้งนาน ฉันนึกว่าเขารักผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ เป็นความเข้าใจผิดของฉันทั้งเรื่อง”

แอนน์สงสัยว่าสีหน้าของธัชเปลี่ยนเป็นแดงเข้ม แล้วก็กลับซีดลง “สำหรับผม...ไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น” เขากล่าวขึ้น “เขาไม่พอใจผม เขาว่าผมเป็นเด็กแต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าผมมีเงินมาก ๆ ใคร ๆ จะเห็นผมเป็นเด็กไหม”

“ต้องพิสูจนซี” แอนน์ว่า “เราต้องรวย เพื่อจะดูว่าเขายังเห็นเราเป็นเด็กไหม หรือถ้าเรารวยไม่ได้ เราก็ต้องลองเลิกทำสิ่งที่เขาว่าเป็นเด็ก”

“ผมอยากเลิกรักเขามากกว่า” ธัชว่า “ผมจะมีความสุขขึ้นอีกเยอะ”

แอนน์ถามว่า ‘เยอะ’ แปลว่าอะไร เมื่อได้รับคำบอกเล่าว่าแปลว่ามาก หล่อนก็ถามว่า มีความหมายเหมือนกับ ‘แยะ’ ไหม แล้วก็ถอนใจ

“โอ เมื่อไรฉันจะรู้ว่าคำว่ามากในภาษาไทยมีทั้งหมดกี่คำ” แอนน์ปรับทุกข์ “อย่าว่าแต่จะรู้ธรรมเนียมไทย หรือเข้าใจคนไทยเลย” ซึ่งทำให้ธัชหัวเราะออกมาได้

“ทำไมคุณจึงสนใจกับผม?” ธัชถามขึ้น

“ดิฉันเป็นคนไม่ดี ตามทรรศนะของอังกฤษ หรือแม้แต่ทรรศนะของติ๊ด” แอนน์ตอบ “ดิฉันชอบไปคิดว่าดิฉันอาจช่วยเหลือคนที่ฉันรักได้ เช่นกรรณิการ์”

“แปลว่า....ที่คุณสนใจกับผมเพราะคุณสนใจกับกรรณิการ์ ใช่ไหม?” ธัชซัก

“ถูกแล้วค่ะ” แอนน์ตอบ พยายามรักษามารยาทของไทย “ฉันสนใจกับคุณ เพราะคิดว่า ถ้าคุณทำให้กรรณิการ์รักคุณได้ ทั้งคุณและกรรณิการ์จะมีความสุข ฉันอยากเห็นคนดี ๆ อย่างกรรณิการ์ได้รับความสุข”

ธัชอ้ำอึ้งอยู่หลายวินาที เขาเกือบบอกแอนน์ตรง ๆ ว่ากรรณิการ์โกรธเขาด้วยเรื่องเกี่ยวกับแอนน์ แต่ยับยั้งเอาไว้ได้ ตามปกติเขาเป็นคนเก็บความคิดอะไรไม่ค่อยได้ และเก็บความรู้สึกอะไรก็ไม่ได้ เมื่อเห็นเขานิ่งอยู่ แอนน์ก็เลยเกิดความเกรงใจ หล่อนเริ่มคิดได้ว่า ปัญหาของธัชและกรรณิการ์นั้น มิได้อยู่ที่การเข้าใจผิดอย่างเดียว แต่หล่อนก็ยังไม่สามารถเอาเรื่องได้ตลอด อาจเป็นได้ว่ากรรณิการ์รักวิทิตโดยวิทิตรักคนอื่นอีกคนหนึ่ง กรรณิการ์จึงไม่รักธัชก็ได้ หล่อนคิดว่าหล่อนจะต้องสืบสวนต่อไป เพราะตราบใดที่หล่อนไม่รู้ว่าวิทิตรักใคร หล่อนก็ยังตัดสินไม่ได้ว่าบทบาทของหล่อนนั้นคืออย่างไร ในวันนั้นหล่อนจึงระงับเรื่องที่จะช่วยเหลือธัชไว้เพียงให้เขารู้ว่า กรรณิการ์กับวิทิตไม่ได้รักกัน หล่อนชวนเขาคุยเรื่องอื่น ๆ จนรับประทานอาหารเสร็จแล้วกลับไปยังสำนักงานด้วยกัน

เพื่อจะพิสูจน์ว่าวิทิตไม่ได้ตั้งใจให้หล่อนตัดขาดจากเขา ในคืนนั้นแอนน์ได้พูดกับสามีของหล่อนว่า ถ้าหากว่าเขามิได้ต้องการให้หล่อนเลิกกับเขา และกลับไปปิตุภูมิของหล่อน ก็ให้เขารับเงินของหล่อนไปใช้นายแว่วเสียและให้เขาผ่อนใช้หล่อนแทนที่จะผ่อนใช้แว่ว วิทิตก็รับคำว่าจะทำตามที่หล่อนแนะ แต่แอนน์ไม่กล้าถามสามีว่า เขารักใคร เพราะหล่อนมีญาณของภรรยา หล่อนรู้ว่าเขาอายมาก และหล่อนก็เลยรู้สึกกระดาก ไม่อยากทำให้เขาอายมากขึ้น แต่หล่อนยังเป็นผู้หญิงพอที่จะสืบเอาความจริงต่อไป

ความใจดีของแอนน์ต่อสุภัทราได้ช่วยให้หล่อนใกล้ความสำเร็จเข้าไป คือไพจิตรา น้องสาวเล็กของสุธิราได้รับฝากจากพี่สาวให้ดูแลพี่สาวคนรองบ้างตามควร ไพจิตราก็เช่นเดียวกับญาติมิตรทั้งหลาย มีความเคารพเกรงกลัวสุธิรามาก จึงพยายามไปเยี่ยมเยือนสุภัทราเท่าที่จะทำได้ เมื่อหล่อนพบกับพี่สาว หล่อนก็เหมือนกับคนอื่น ๆ คือหาเรื่องคุยกับสุภัทราไม่ค่อยได้ ชีวิตของไพจิตราแตกต่างกับสุภัทรามากมายเกือบไม่มีอะไรเป็นสิ่งที่ประสบร่วมกัน ไพจิตราได้แต่ซักไซ้ไล่เลียงถึงความทุกข์สุข และเมื่อหล่อนได้รับทราบจากสุภัทราว่า แอนน์ได้มาเยี่ยมสุภัทราถึงบ้าน ก็อดที่จะกล่าวอะไรให้มีเรื่องคุยกันต่อไปไม่ได้ “เออ แกก็ดีนะอุตส่าห์มาเยี่ยมพี่” แล้วก็เล่าต่อไป “น่าขันจังค่ะ เขาว่าแกหึงพี่กรรณกับคุณติ๊ด พุทโธ่ แกไม่รู้ความจริง คุณติ๊ดเขารักพี่กรรณเมื่อไหร่กัน เขายังรักพี่จันอยู่”

แล้วไพจิตราก็ลืมคำกำชับของพี่สาวใหญ่ว่าไม่ให้พูดเรื่องของคนสองคนนี้ต่อไป ก็เลยเล่าต่อไปว่า “เขายังเคยนัดไปหัวหินด้วยกัน ไปพักบ้านคุณบรรโลม”

“จริง ๆ รึ?” สุภัทราย้อนถาม สายตาของสุภัทราฉายแสงวูบหนึ่งอย่างที่ไม่เคยฉายมาเลย “ใครรู้บ้างเรื่องนี้?”

“ใครจะรู้บ้างก็ไม่ทราบค่ะ” ไพจิตราตอบ “รู้แต่ว่าคุณพี่กลางรู้ เพราะได้เรียกน้องไปเทศนา ห้ามไม่ให้พูดต่อไปเป็นอันขาด คุณพี่ก็อย่าพูดต่อไปนะ เดี๋ยวคุณพี่กลางรู้ว่าน้องเป็นคนมาเล่าละตายละ”

“คุณบรรโลมเขารู้เห็นเป็นใจ?” สุภัทราซัก

“คุณบรรโลมเห็นจะไม่รู้” ไพจิตราตอบ “สำหรับคุณบรรโลมดูเหมือนจะเป็นเรื่องบังเอิญ คือเขาชวนแอนน์กับคุณติ๊ดไปหัวหินกับเขา แล้วแอนน์กลับมากรุงเทพ ฯ คุณบรรโลมมีหนังสือมาชวนคุณบรรเลงกับพี่จัน คุณบรรเลงไปไม่ได้ พี่จันก็เลยไปคนเดียว”

“เขานึกยังไงของเขา” สุภัทราพูดคล้ายปรารภกับตนเอง

“ไม่รู้เขาซีคะ ถึงยังไงเขาก็คงไม่ทิ้งคุณบรรเลงมาแต่งงานกับคุณติ๊ดนา น้องว่า” ไพจิตราเดา

สุภัทราไม่โต้ตอบว่าอย่างไรอีกต่อไป ไพจิตราต้องนั่งคิดหาเรื่องคุยจนเบื่อแล้วก็ลาไป

ไม่มีใครเดาความคิดของสุภัทราได้ แต่ภายในเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ แอนน์มาเยี่ยมสุภัทราอีก และในคราวนั้น สุภัทราหลังจากที่ได้แสดงมารยาทเจ้าของบ้านตามสมควรแล้ว ได้เอ่ยขึ้นแก่แอนน์มีน้ำเสียงและทีท่าของผู้ใหญ่พูดกับเด็กหรือผู้ต่ำอาวุโสกว่า ซึ่งสุภัทราไม่เคยแสดงต่อใครเลยแม้แต่น้อง ๆ ของหล่อนเองทุกคน

“แหม่ม แหม่มอยู่เมืองไทยนี่สบายดีรึ?”

“โปรดเรียกว่าแอนน์ได้ไหมคะ” แอนน์กล่าวเป็นภาษาอังกฤษ เพราะไม่รู้ว่าจะทำน้ำเสียงในภาษาไทยอย่างไรจึงจะพอเหมาะสำหรับคำขอร้องเช่นนั้น

“เถอะค่ะ ไม่เป็นไร” สุภัทราย้อนตอบ ซึ่งทำให้แอนน์คิดไม่ได้ว่า สุภัทรานี่ปัญญาอ่อนมาก “อยากทราบว่าแหม่มสบายดี หรือทุกข์ร้อนเป็นอย่างไร?”

“ก็มีบ้างเป็นบางเวลาค่ะ” แอนน์ตอบเป็นภาษาอังกฤษอีก แล้วต่อเป็นภาษาไทย “แต่ดิฉันพยายาม”

“พยายามทำอะไรคะ?” สุภัทราซัก ซึ่งผิดปกติของหล่อนมาก

“พยายามหาความสุขค่ะ” แอนน์ตอบ

“แล้วแหม่มหาได้ไหมคะ?” สุภัทราถามอีก

“บางที่ก็ได้ค่ะ” แอนน์ตอบ แท้จริงในใจหล่อน อยากบอกความทุกข์ของหล่อนให้ใครสักคน แต่หล่อนคิดว่าหล่อนไม่เลือกสุภัทรา

“คุณติ๊ดเขาดีทุกอย่างรึคะ?” สุภัทราซักต่อไปซึ่งทำให้แอนน์ประหลาดใจมาก

“ก็ดีพอใช้ค่ะ” แอนน์ตอบ เดาไม่ถูกว่าสุภัทร กำลังนำเรื่องไปทางไหน

“ผู้ชายไทยใจมักกลับไปกลับมา” สุภัทราว่า “แหม่มอย่าไว้ใจนัก ต้องคอยดู ๆ ไว้บ้าง”

แอนน์ประหลาดใจจนเกือบอ้าปาก หล่อนไม่ได้คาดหมายเลยว่าสุภัทราจะพูดคำเหล่านี้แก่หล่อน

“จะดูได้อย่างไรคะ?” ความสนใจของแอนน์แสดงออกมาโดยแอนน์ไม่ทันซ่อนเร้น

“ถามใคร ๆ ดูซี ถามให้หลาย ๆ คน ว่าสามีของเราเขาติดต่อกับใครที่ไหน อย่างไรบ้าง?”

แอนน์ประหลาดใจในทีท่าและคำพูดของสุภัทราจนหล่อนไม่รู้จะพูดอย่างไรต่อไป ในที่สุดจึงถามขึ้นว่า “คุณคิดว่าดิฉันควรถามใครบ้างคะ?”

“ถามบรรโลม ถามไพจิตรา และใคร ๆ อื่น ๆ ก็ได้” สุภัทราตอบ

แอนน์นิ่งตรึกตรองไปนาน ไม่รู้ว่าจะต่อการสนทนาไปทางไหนดี เพื่อเป็นการแก้เก้อ หล่อนก็เลยคุยเรื่องของสุภัทรา ซึ่งสุภัทราตอบอย่างเรื่อย ๆ เหมือนที่เคยมา แอนน์สนทนาอยู่อีกไม่นานก็ลากลับไป

“ถามบรรโลม ถามไพจิตรา” แอนน์ได้ยินคำพูดของสุภัทราซ้ำแล้วซ้ำอีก คำพูดเหล่านี้มาจากสุภัทราผู้ซึ่งเกือบไม่เคยพูดอะไรกับใครให้ใครเล่าได้ว่าสุภัทราได้พูดอะไร ทำให้แอนน์เกิดความรู้สึกประหลาดราวกับว่าเป็นเสียงมาจากอีกโลกหนึ่ง ไม่ใช่โลกมนุษย์ธรรมดา เป็นเสียงมีกำลังบังคับชอบกล ไพจิตรานั้น แอนน์ไม่สนิทสนมพอที่จะถามได้ แอนน์จึงคิดว่าหล่อนจะลองถามบรรโลม ตามคำแนะนำของสุภัทรา

ตามปกติบรรโลมกับแอนน์พบกันบ่อย ๆ คราวหนึ่ง ๆ ห่างกันไม่เกินสามสัปดาห์ บรรโลมติดต่อกับบริษัทของแอนน์ในเรื่องธุรกิจการค้า และเพื่อนฝูงชาวต่างประเทศของบรรโลมกับของแอนน์ก็อยู่ในวงเดียวกัน ไม่นานต่อจากที่ได้พบกับสุภัทราเป็นครั้งสุดท้าย แอนน์ก็ได้พบกับบรรโลม แล้วแอนน์ก็หาโอกาสคุยกับบรรโลมได้ เพราะบรรโลมก็ชอบแลกเปลี่ยนความคิดนึกกับแอนน์เป็นปกติ

“ฉันไม่ค่อยได้พบกับกรรณิการ์เลย” แอนน์เอ่ยขึ้น “คุณได้พบบ้างไหมคะ?”

“ไม่ค่อยได้พบเลย” บรรโลมตอบ “เห็นจะต้องไปเยี่ยมสักที แต่ก่อนพบกันบ่อย ๆ ที่บ้านคุณสุธิรา ตั้งแต่คุณสุธิราไปต่างประเทศ ก็ไม่ได้พบกันเลย”

“กรรณิการ์มีงานทำมากใช่ไหมคะ?” แอนน์ถาม พยายามเลียบเคียงเข้าไปหาเรื่องที่หล่อนอยากถาม

“เป็นธรรมดาของเมืองไทย บรรโลมตอบ ใครเป็นคนรำคาญ ต้องการให้อะไรมันเป็นอะไรก็ต้องทำงานมาก เพราะคนที่ตั้งอกตั้งใจทำอะไรจริง ๆ มีน้อย กรรณิการ์เป็นคนเอื้อเฟื้อก็ต้องมีงานทำมาก”

“คุณเดาได้ไหม ว่าทำไมกรรณิการ์ไม่รักธัช?” แอนน์ถาม “นอกจากธัชจนแล้วอาจมีเหตุผลอื่นไหม?”

“แหม ไม่ทราบเลย” บรรโลมตอบ “ยังไม่เคย คิดจะเอาเป็นธุระ ทำไม คุณอยากจะช่วยธัชรึ?”

“อยากช่วยกรรณิการ์” แอนน์ว่า “ที่จริงฉันก็ชอบธัช ไม่รู้ว่ามีอะไรในตัวเขา ทำให้รู้สึกหวังดีต่อเขา คุณว่ากรรณิการ์อาจรักใครที่เขาไม่อาจแต่งงานด้วย และที่เขาไม่อยากให้ใครทราบไหม?”

“ไม่เคยรู้ระแคระคายเลย” บรรโลมตอบ “ดู ๆ กรรณิการ์ดูเหมือนจะต้องเอาธุระกับคนอื่นมากจนไม่มี/*318*เวลาดูแลตัวเอง”

“แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่ากรรณิการ์อาจรักใครที่เขาไม่รู้จักคุณค่าของผู้หญิงดีพอ แล้วไปรักคนอื่นเสียใช่ไหม” แอนน์ออกความเห็นต่อไป “ผู้หญิงอย่างกรรณิการ์ ผู้ชายบางคนก็ไม่เข้าใจ”

“ก็เกือบเป็นไปได้เหมือนกัน” บรรโลมว่า

“บรรโลม ฉันอยากได้รับความช่วยเหลือจากใครสักคน แอนน์เข้าหาเรื่องสำคัญของหล่อนได้ในที่สุด เมื่อติดอยู่ที่อังกฤษ เวลาเรารักกัน เขาบอกกับฉันว่า เขาเคยรักกับญาติของเขาคนหนึ่ง ตั้งแต่เป็นเด็ก ๆ ด้วยกัน แล้วห่างเหินกันไป อาจเป็นกรรณิการ์ได้ใช่ไหม หวังว่าคุณจะไม่ว่าว่าฉันเป็นคนเหลวไหล อยากซอกแซกอะไรต่ออะไร”

“คุณรู้แล้วคุณจะช่วยอะไรได้รึ?” บรรโลมถาม “คุณจะรู้ไปทำไม?”

“มีอะไรบอกกับฉันอย่างหนึ่ง คุณจะว่าฉันเป็นคนเหลวไหล ไม่รู้จักเป็นผู้ใหญ่ก็ได้” แอนน์ว่า “แต่ฉันคิดว่า ถ้าฉันได้รู้ความจริงข้อนี้ จะมีอะไรดีขึ้นสำหรับคนหลายคน”

“แอนน์ ฉันนึกว่าผู้หญิงอังกฤษที่ผ่านสงครามผ่านชีวิตมามาก ๆ อย่างคุณ จะไม่เป็นผู้หญิงอย่างที่เราพบ ๆ กันอยู่ในตะวันออกนี้เสียอีก” บรรโลมปรารภหัวเราะเบาๆ อย่างเศร้า ๆ นิดหน่อย

“บางทีฉันก็ว่าฉันไม่ใช่คนอังกฤษ” แอนน์ตอบยิ้มเศร้า ๆ เหมือนกัน “ฉันรู้ดีว่า ถ้าใครรู้ว่าฉันมีความรู้สึกอะไร อยากทำอะไรต่ออะไรบ้าง เขาคงว่าฉันเป็นบ้าเป็นคนแปลกหลายอย่าง”

“เขาว่าคนอังกฤษนั้นผิดจากมนุษย์ธรรมดา แต่คุณนี่จะไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่เขาว่ามาเสียแล้ว” บรรโลมว่า

“ฉันว่ามนุษย์เป็นมนุษย์เหมือนกันหมดทั้งโลก” แอนน์ว่า “จะผิดกันก็มีการอบรมในครอบครัวทำให้เป็นอย่างไร แล้วก็โรงเรียนบ้าง เพื่อนฝูงบ้าง งานบ้าง เท่านั้น”

“ฉันยังไม่เห็นด้วยว่า ถ้าคุณกรรณิการ์รักวิทิตแล้ว คุณจะช่วยใครได้อย่างไร” บรรโลมว่า แล้วหล่อนก็อ้างสุภาษิตอังกฤษซึ่งมีใจความว่า “ถ้าความไม่รู้นำมาซึ่งความสุข เป็นการโง่เขลาที่จะไปหาความรู้มา”

“แต่ในกรณีนี้ ฉันเชื่อความรู้สึกภายในของฉัน” แอนน์เถียง “ถ้าคุณสามารถสืบได้ ขอให้ช่วยด้วยเถิด”

“ฉันไม่สัญญา” บรรโลมตอบ แล้วก็เปลี่ยนเรื่องสนทนาไป

แต่บรรโลมก็คงเป็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่นเอง หล่อนไม่เห็นด้วยว่าแอนน์ควรพยายามสืบให้รู้ความจริงเกี่ยวกับวิทิตกับกรรณิการ์ แต่ตัวหล่อนเองก็อดอยากรู้ไม่ได้ วันหนึ่ง หล่อนได้อยู่กับน้องชายและน้องสะใภ้ตามลำพังนานสักหน่อย เพราะไปเยี่ยมหลานชายแล้วก็ได้รับเชิญชวนให้อยู่รับประทานอาหารที่บ้านน้องชาย เมื่อพูดคุยกันถึงเรื่องอะไรต่ออะไรหลายเรื่องแล้ว บรรโลมนึกถึงเรื่องที่แอนน์วานสืบให้ ก็เอ่ยขึ้นว่า

“เออ คุณจัน คุณติ๊ดกับคุณกรรณเขาเคยรักกันเมื่อก่อนคุณติ๊ดไปเมืองนอกรึ?” ทันทีที่คำถามหลุดออกจากปากหล่อน บรรโลมก็รู้ว่าหล่อนได้ทำผิดขนาดหนัก เพราะหน้าจันทิราเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้วก็กลับขาวเผือด แววตาแสดงความกระวนกระวาย บรรเลงก็สังเกตเห็น และจับตาดูภรรยาอย่างพินิจพิเคราะห์

“ไม่ใช่กรรณิการ์ เป็นใครอีกคนหนึ่งใช่ไหม?” บรรเลงถามขึ้น

จันทิราลุกขึ้นจากที่นั่งยืนหันข้างให้สามีและพี่ของสามี

“คุณบรรเลง” หล่อนเรียกสามีอย่างที่ปกติหล่อนไม่ได้เรียกมาเป็นเวลานาน “ขอคุณอย่ามาพูดเรื่องนี้ให้รกหูฉันเป็นอันขาดนะ”

บรรเลงลุกขึ้นจากที่นั่งโดยแรงเหมือนกัน “กินปูนร้อนท้อง” เขาว่า

บรรโลมลุกขึ้นยืนบ้าง แล้วพูดกับน้องชายเป็นภาษาอังกฤษ “เบ๊บโปรดทำตัวให้สมกับอายุสักหน่อยนะ”

“ขอโทษ ซิส” เขาว่า “ถูกแล้ว เราควรทำตัวให้สมกับอายุของเรา” แล้วเขาก็กลับนั่งลง แต่มือที่รินเหล้าราคาแพงของเขานั้น ไม่แน่วแน่เหมือนเมื่อก่อนที่บรรโลมจะได้ถามคำถามสำคัญนั้นขึ้นมา

จันทิราก็นั่งลงบ้าง พอสงบอารมณ์ได้แล้วก็บอกว่า จะไปดูกับข้าวให้แน่ใจว่าเป็นของบรรโลมชอบหรือไม่

บรรโลมรับประทานอาหารร่วมกับน้องชายน้องสะใภ้มื้อนั้น โดยหล่อนเป็นคนคุยเกือบคนเดียว หล่อนพูดถึงธุรกิจการค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ พอเห็นสมควรแก่เวลาแล้วก็ลาไป หล่อนไม่รู้สึกว่ามีอะไรเกิดขึ้นระหว่างน้องชายและภรรยาของเขาในคืนนั้น อันเป็นผลเนื่องมาจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของหล่อน รู้เมื่อเรื่องล่วงเลยไปแล้ว

ในคืนนั้น พอบรรโลมกลับไปแล้ว บรรเลงก็ยังคงนั่งอยู่ในห้องรับแขกโดยไม่พูดว่าอย่างไร เขารินเหล้าดื่ม แล้วรินดื่มอีกหลายแก้ว จันทิรานั่งอยู่กับเขาประมาณ ๕ นาที เห็นเขาไม่พูดว่าอะไร ก็ลุกขึ้นเดินเข้าห้องไป

อีกประมาณ ๒๐ นาทีต่อมา บรรเลงก็เข้ามาในห้องนอน เขาได้ดื่มเหล้าหลายแก้ว กลิ่นพุ่งออกมาจากตัวเขา จันทิราหันหลังให้เขาทันที บรรเลงยืนจ้องดูหลังของภรรยา ผมสลวยดำขลับของหล่อนกระจายอยู่กับท้ายทอย ระอยู่กับเสื้อชุดนอนแพรสีส้ม บรรเลงไม่อาจรู้ได้ว่าขณะนั้นจันทิรามีความรู้สึกอย่างไร เขากล่าวขึ้นว่า

“ทำไมเธอไม่บอกฉันเลยเรื่องเธอกับวิทิต เธอยังรักเขาอยู่รึ”

“บ้า” จันทิราตวาดโดยไม่หันหน้ามาทางเขา

บรรเลงยืนนิ่งอยู่ต่อไปอีกครู่ใหญ่ “ทำไมไม่พูด เธอมีพิรุธ เธอไม่ได้รักฉัน เธอแต่งงานกับฉันเพราะอะไรจะให้เดารึ?”

จันทิรานอนตัวแข็ง บรรเลงยืนอยู่ต่อไปอีก ๒-๓ วินาที แล้วก็หันออกจากห้อง ลงไปที่โรงรถ ขับรถออกจากบ้านไป

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ