๑๒

ส่วนแอนน์ระหว่างที่หาทางสืบสวนความจริงเกี่ยวกับสามี ก็มีความกลุ้มมาก หล่อนไม่รู้จะช่วยตัวเองหรือสามีได้อย่างไร วิทิตพยายามเป็นสามีที่อ่อนโยนเอาใจใส่ในความทุกข์สุขของหล่อนอยู่ตามเดิม แต่เขาก็ยังมีอาการเหม่อสติลอยตามเดิม แอนน์ต้องอดทนอย่างที่สุด และในเวลาค่ำบางวันที่วิทิตไม่กลับมาบ้านตามกำหนดที่ควรกลับ หล่อนต้องเหงาอยู่คนเดียว แอนน์ก็นึกอยากร้องไห้ หล่อนจึงใช้วิธีเก่า คือคิดหาทางช่วยเหลือธัชเพื่อจะได้ลืมความทุกข์ของตนเอง

หล่อนชวนธัชไปรับประทานอาหารกลางวันกัน ครั้งนี้เขาไม่ปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยง เมื่อคุยกันเรื่องงานในบริษัทพอสมควรแล้ว แอนน์ก็ถามขึ้นเรื่องความรักของเขา

“มีอะไรดีขึ้นไหมในเรื่องของคุณ?” หล่อนถาม

“ผมไม่ได้พยายามติดต่อกับเขา” ธัชตอบ “ผมพยายามจะลืมเขา”

“โอ น่าเสียใจ กรรณิการ์เป็นคนดีมาก” แอนน์ว่า

“ก็เขาไม่เห็นผมดีพอ จะให้ผมทำอย่างไร?”

“คุณเคยถามตัวเองว่า คุณรักกรรณิการ์เพราะเหตุใด?” หล่อนถามเขา

“ใครรู้รึว่าใครรักใครเพราะเหตุใด?” ธัชย้อนถาม

“ฉันรู้ว่าฉันรักติ๊ดเพราะเหตุใด?” แอนน์ตอบ เพราะหล่อนมีเวลาได้ใคร่ครวญปัญหาชีวิตของหล่อนมาหลายเดือน

“ไหน... คุณลองบอกผมได้ไหม ผมอยากทราบไว้เป็นความรู้” ธัชว่า

“ฉันรักติ๊ดเพราะเขารูปร่างสวย” แอนน์ตอบ “เขาเป็นสุภาพบุรุษ เขามีอุดมคติ และเพราะเขารักฉัน”

“ที่นี้ถ้าเผื่อเขาไม่รักคุณแล้ว คุณจะรักอยู่ไหม?”

“รักซิ” แอนน์ตอบ หล่อนยินดีจะได้เทความในใจออกพอให้เบาอกลงเสียบ้าง แม้แต่กับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งหล่อนเพิ่งรู้จักไม่กี่มากน้อย “ความรักอย่างที่ฉันมีต่อติ๊ด เป็นความรักที่จะอยู่ไปเสมอ ถึงเขาไปรักผู้หญิงอื่น ฉันก็ยังรักเขาไปเรื่อย อารมณ์ของฉันอาจเปลี่ยนไป คือฉันอาจไม่ตื่นเต้นเมื่อพบเขา ไม่ดีใจมากถ้าเขายิ้มกับฉัน หรือทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ ฉันอาจไม่ห่วงเขาว่าเขาจะทำอะไรผิดไหม และอาจไม่ภาคภูมิใจมากถ้าเขาทำอะไรดี แต่ถึงอย่างไรฉันก็รักเขา เพราะฉันรักติ๊ดตามที่ตัวเขาเป็นจริง ๆ ไม่ได้รักอะไรภายนอก ความรักอย่างนี้ไม่เปลี่ยน”

ธัชนิ่งตรึกตรองไปนาน ในที่สุดพูดขึ้นว่า “ถ้าเรารักตัวคนนั้นจริง ๆ ถึงเขาไม่รักเรา เราก็รักเขาได้ใช่ไหม คุณหมายถึงอย่างนั้นใช่ไหม?”

แอนน์พยักหน้ารับ หล่อนรีบหลบลงมองดูจานอาหาร เพราะหล่อนรู้ว่าน้ำตากำลังมาคลออยู่เต็มเบ้าตาของหล่อน ถ้าหล่อนพูดแม้อีกคำเดียว หล่อนก็จะไม่สามารถบังคับเสียงให้ราบเรียบได้

แอนน์กับธัชชวนกันไปรับประทานอาหารบ่อย ๆ เพราะต่างคนต่างก็มีความทุกข์ในใจด้วยกัน และมีความว้าเหว่เปล่าเปลี่ยวเหมือน ๆ กัน

ครั้งที่สามแอนน์ออกไปรับประทานอาหารกลางวันกับธัช หล่อนกับเขารู้สึกสนิทสนมกันมาก แอนน์กลับมาบ้านวันนั้นด้วยความรู้สึกว่าชีวิตของหล่อนนั้นก็ไม่ไร้ความหมายเสียเลยทีเดียว หล่อนคงจะขบปัญหาชีวิตของหล่อนได้ และคงจะช่วยขบปัญหาของธัชไปด้วย หรืออาจเป็นปัญหาของกรรณิการ์ก็ได้ พอดีในเย็นวันนั้น วิทิตกลับมาบ้านเร็วกว่าที่เคยมาตามปกติ เขามีอาการเด็ดขาด อย่างไรอย่างหนึ่งในสีหน้า เขาบอกแอนน์ว่าเขาจะออกไปข้างนอก แล้วก็รีบเข้าห้องน้ำ อาบน้ำและผลัดเครื่องแต่งตัวใหม่ให้สวยงาม เห็นได้ชัดว่าเขาจงใจเลือกชุดกางเกงเสื้อ เลือกผ้าผูกคอ ถุงเท้า รองเท้า และผ้าเช็ดหน้าที่แลบออกมาจากกระเป๋า เมื่อเขาออกมาจากห้อง กำลังจะลงบันได แอนน์ก็หลุดปากถามออกไปโดยไม่ได้จงใจว่า “ติ๊ดจะไปไหน?”

“จะไปหานายบรรเลงกับจันทิรา” เขาตอบด้วยสีหน้าเอางานเอาการ และเมื่อก้าวบันไดลงไปแล้วหนึ่งขั้น ก็หันกลับมาสั่งแอนน์ว่า “แอนน์ แต่งตัวเอาไว้นะ ประเดี๋ยวฉันกลับมา แล้วออกไปกินข้าวข้างนอกด้วยกัน”

แอนน์ประหลาดใจในหน้าและอาการของเขามาก เขาไปบ้านบรรเลงทำไม ถ้าบรรเลงและจันทิรามีงานเชิญอะไร ทำไมไม่เชิญหล่อนด้วย ถ้าจะว่าญาติพี่น้องคนไทยทั้งหลายกำลังช่วยกันแสดงความรังเกียจหล่อน ทีท่าของวิทิตก็ไม่แสดงอะไรพิรุธ เขามีท่าทางแนใจกับตัวเองมากกว่าที่เคยมีมาในเวลาหลายเดือนนี้

ประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ วิทิตกลับมา แอนน์อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยสำหรับอยู่กับบ้าน เพราะยังไม่ได้เวลาที่จะออกไปรับประทานอาหาร วิทิตเดินขึ้นมาบนเรือน เขาตรงเข้าสวมกอดและจุมพิตหล่อนอย่างดูดดื่มอ่อนหวาน แอนน์กำลังประหลาดใจ และกำลังพยายามบังคับตัวไม่ให้ร้องไห้ เขาก็หยิบกระดาษสีฟ้าแผ่นเล็ก ๆ ยังมีกลิ่นหอมรื่น เพราะเป็นกระดาษเขียนจดหมายที่มีคุณภาพสูงราคาแพงมาก เมื่อแอนน์รับเอาไปอ่านช้า ๆ เพราะเป็นลายมือเขียนไม่ใช่ตัวพิมพ์เป็นภาษาไทย ก็ไม่ทันใจวิทิต เขาจึงดึงกลับมาอ่านให้หล่อนฟัง

คุณติ๊ดที่รัก

สามีของจันเขาโกรธว่าจันกับคุณติ๊ดเคยรักกัน แล้วไม่ได้บอกเขา ถึงกับจะตัดเป็นตัดตาย ถึงกับหย่ากัน จันไม่เห็นว่าจะขอความช่วยเหลือใครดีกว่าคุณติ๊ด จึงเขียนมาขอความกรุณาให้ช่วยทำความเข้าใจให้คุณบรรเลงด้วยว่า เราไม่เคยมีอะไรกันเลยตั้งแต่ต่างคนต่างแต่งงานกันไป คุณบรรเลงดูเหมือนจะเป็นคนชอบพูดอะไรให้เด็ดขาดตรงไปตรงมา เพราะไปอยู่อเมริกานาน ถ้าคุณติ๊ดจะกรุณาพูดกันเสียให้รู้เรื่อง คงจะได้ทำกุศลไม่น้อย และขอให้ไปหาคุณบรรเลงที่สำนักงาน เพราะหมู่นี้เขาไม่ค่อยกลับมาบ้าน

ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ เพราะแน่ใจว่าคุณติ๊ดจะไม่ปฏิเสธคำขอร้องนี้

จันทิรา

“แล้วติดไปหาบรรเลงมาแล้วรึ?” แอนน์ถาม หล่อนไม่ได้ดูวันที่จดหมาย

“ไปแล้ว” วิทิตตอบ “พูดกันรู้เรื่องแล้ว”

“บอกให้ฉันรู้ได้ไหมว่าพูดอย่างไร?” แอนน์ถาม

“ฉันบอกบรรเลงว่า เขาเข้าใจผิดมาก จันทิราไม่เคยรักฉันเลย ฉันซิรักเขาเมื่อฉันยังเป็นเด็กอยู่”

“แล้ว...แล้ว...เดี๋ยวนี้ติ๊ดโตขึ้นแล้ว ติ๊ดไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว...งั้นรึ” แอนน์ซ้อมความเข้าใจเสียงสั่น ไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้

“ถูกแล้ว เดี๋ยวนี้ฉันโตขึ้นแล้ว ไม่เป็นเด็กอีกต่อไปแล้ว” วิทิตตอบอย่างหนักแน่น เขาจ้องตาของหล่อนพลางยิ้มพลาง นัยน์ตาของเขาเป็นประกายเหมือนเมื่อเขากับหล่อนเริ่มมีความรักต่อกันระหว่างที่มีความทุกข์ยากท่ามกลางสงคราม

“ฉันจะเป็นเมียติ๊ดให้เหมือนเมียไทยที่สุดที่จะเป็นได้” แอนน์บอกแก่สามี

“โอ แอนน์ อย่าพยายามเลย” วิทิตว่า “เธอเป็นคนไทยก็ไม่ได้ เป็นคนอังกฤษก็ไม่ได้ เธอเป็นได้แต่คนของโลกเท่านั้น เธอเกิดมาอย่างนั้นเอง แอนน์”

วิทิตไม่ได้เล่าให้แอนน์ฟังว่า หลังจากที่ได้พูดกับบรรเลงแล้ว เขาได้โทรศัพท์ไปถึงจันทิรา และบอกแก่หล่อนว่า

“คุณจันทิรา ผมได้บอกแก่สามีของคุณแล้วว่าเขาเข้าใจผิด ที่จริงคุณไม่เคยรักผมเลย และผมไม่ทราบว่าจะทำให้คุณสบายใจหรือไม่ ถ้าจะให้คุณรู้เสียด้วยว่า นายแว่วเพื่อนผม เขาได้กระโดดร่มลงมาในเมืองไทยระหว่างสงคราม แล้วเขาได้กลับออกไปพบกับผมที่อินเดีย เขาได้คุยให้ผมฟังว่า เขาได้แอบเข้ามารำวงในการแต่งงานอันหรูหรางานหนึ่งที่อำเภอเสนา จังหวัดอยุธยา เจ้าสาวสวย นัยน์ตาเหมือนดาว ผมดำขลับหยักโศกสลวยชื่อจันทิรา และเจ้าบ่าวเป็นเศรษฐีหนุ่ม แล้วผมก็กลับไปอังกฤษ แล้วก็ได้แต่งงานกับเมียคนปัจจุบันนี้”

ประมาณเดือนหนึ่ง หลังจากวันที่กล่าวแล้วข้างต้น สุธิราก็กลับมาจากต่างประเทศ บรรโลมได้เชิญสุธิรา แอนน์กับวิทิต และกรรณิการ์ไปรับประทานอาหารที่บ้านเป็นการต้อนรับสุธิรา ระหว่างที่ คุยกันอย่างเพลิดเพลินถึงเรื่องต่าง ๆ บรรโลมมีโอกาสที่จะกล่าวแก่กรรณิการ์ว่า “คุณกรรณ คุณตัดสินใจเรื่องคุณธัชเสียเร็ว ๆ เถอะ คุณจะให้แกเป็นยังไงก็บอกแก หรือทำให้แกเป็นอย่างที่คุณต้องการเลย ไม่งั้นคุณจะเป็นโอลด์เมดเหมือนดิฉัน”

“แหม เอาอีกแล้ว กรรณเกลียดจังเรื่องนี้” กรรณิการ์ว่า “มันเสียหายอย่างไรคะ ทำไมคุณน้ากลางกับคุณบรรโลมถึงอยู่กันมาได้”

“มันเสียข้อนี้ซิคุณ” บรรโลมตอบ “ประเดี๋ยวเราก็ต้องไปรักลูกคนอื่นเขา อย่างดิฉันยังงี้ได้ตั้งใจไว้ว่าจะไม่เป็นคุณป้าห่วงหลาน เดี๋ยวนี้มันชักจะเสียความตั้งใจเข้าไปทุกทีแล้ว”

“ไหน อธิบายไปซิคะ ไปรักลูกคนอื่นมันไม่ดีอย่างไร และอะไรทำให้เสียความตั้งใจไป” กรรณิการ์และสุธิราซักขึ้นพร้อมกัน

“รักลูกคนอื่นเขา มันต้องรบกับพ่อแม่เขาบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งก็ไม่ใช่ธุระของเรา แต่ว่าเราไปรักใครเข้า เราก็ถือว่ามันเป็นธุระ” บรรโลมตอบ “ทีนี้เรื่องของหลานชายดิฉันนี่ก็คือ เบ๊บนะหัวดีมากทางการค้า ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์พิสดารเปลี่ยนบ้านแปลงเมือง เบ๊บต้องเป็นเศรษฐีเหมือนคุณป๋าแน่”

“เอ๊ะ แล้วมันเป็นยังไง?” กรรณิการ์ซักต่อไปอีก

“ก็ตาหนูแกก็โตขึ้นเป็นลูกชายเศรษฐีเหมือนพ่อแก” บรรโลมตอบ

“ก็แล้วไง คุณบรรเลง กรรณก็เห็นแกดี เอางานเอาการออกจะตาย”

“อ๋อ ลูกชายเศรษฐีน่ะรึ” บรรโลมว่า “ก็โง่ต่อชีวิตที่สุด โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง”

จบ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ