ปางที่ ๖ ปรศุรามาวตาร

ร่าย

๏ จะแสดงดำนาน แห่งอวตารปางหก ยกยอเกียรติพ่อพราหมณ์ ชื่อรามผู้ถือขวาน อันอวตารปางนี้ เหตุมีเพราะกษัตริย์ ผู้ชงัดทั้งชาติ สามารถทางยุทธนา แต่ว่าไร้ทางธรรม ก่อบาปกรรมมากมาย ทำร้ายแลข่มเหง บ่ยำเกรงชาติพราหมณ์ ตามพระเวทสอนไว้ จึงเทพไท้พิษณุ รู้เหตุแล้วอวตาร ลงมาผลาญกษัตริย์ ถนัดช่วยชาติพราหมณ์ ตามวิษณุปุราณะ มีวาทะแถลง สำแดงซึ่งต้นวงศ์ แห่งองค์ปรศุราม ตามเรื่องในคัมภีร์ ว่ามีราชาหนึ่ง ซึ่งทรงนามประกาศ คาธิราชนรินทร์ เปนองค์อินทร์อวตาร ผ่านมาสู่พงศ์เผ่า เกาศิกสกุลวงศ์ ดำรงราชย์เปนใหญ่ ในกานยะกุพชะ [๒๐] ธมีราชธิดา ปรากฎนามนงรัตน์ ว่าสัตยวดี มีรูปศรีโสภา ทั้งกิริยามรรยาท งามวิลาศสมงาม ความสรวยอีกความดี แห่งนางนี้บรรฦๅ ระบือทั่วธรณี จึ่งฤษีตนหนึ่ง ซึ่งมีนามฤจิก ธรรมิกภาร์ควะพงศ์ ประสงค์ราชธิดา เปนชายาร่วมใจ เฃ้าไปขอนงคราญ ฝ่ายท่านท้าวคาธิน มิใคร่ยินดีให้ เพราะพราหมณ์ไซร้ชรา แต่ธิดายั้งเยาว์ โฉมเฉลาแฉล้ม ดังบุบผะแรกแย้ม ยอดถวิล ฯ

โคลง ๓

๏ ภูมินทร์ตรัสแพลงพลิก แด่ฤจิกว่าถ้า
เธอประสงค์ลูกฃ้า จริงหนอ
๏ ฃ้าขอม้าหนึ่งพัน อันวิ่งเร็วเลิดแล้
อีกขาวสอาดแท้ ทั่วตู
๏ แต่หูหนึ่งให้ดำ จงจำลักษณะไว้
แม้หาอัศวะได้ ดั่งถวิล
๏ จึ่งจะยินดียอม ประนอมให้ลูกฃ้า
แต่กว่าจะรับม้า อย่าหวัง ลูกเลย ฯ

โคลง ๒

๏ ได้ฟังตรัสดังนั้น ฤจิกก็รีบดั้น
กลับสถาน  
๏ การพลีรีบตั้ง บวงสรวงและอีกทั้ง
สรรเสริญ  
๏ เชิญวรุณเทพไท้ ขอเสด็จมาให้
อภิวันทน์  
๏ ครานั้นเทพแห่งน้ำ ผู้ฤทธิเลิดล้ำ
จึ่งมา  
๏ รับหาสินธพให้ ถูกลักษะหมดได้
ครบพัน  
๏ ฤษีพลันขับม้า สู่นครบ่ช้า
ถวาย ฯ  

โคลง ๔

๏ ฦาสายคาธิผู้ เพ็ญยศ
รับอัศวะทั้งพัน เสร็จแล้ว
ก็ประพฤติตามพจน์ ประภาษ
ยอมยกธิดาแก้ว แก่พราหมณ์
๏ นางงามลาท่านท้าว บิดา
ตามฤจิกสู่ที่ สำนัก
ประติบัติเปรอสา มีสนิธ
สมที่มุนีรัก ร่วมสมร
๏ บังอรวอนกราบง้อ ภัสดา
ขอบุตร์เพื่อได้สืบ ทายาท
ฤจิกก็ปราถนา มีบุตร์
จึ่งรับจะประสาท สมหวัง
๏ ตั้งกิจกวนข้าวทิพย์ อย่างดี
ประกอบธัญญะชาติ ประเสริฐ
อีกเนยและนมมี โอชะ
ทุกๆ สิ่งล้ำเลิด สุดหา
๏ กัลยาขอให้พระ สามี
กวนซึ่งข้าวทิพย์อีก หนึ่งภาชน์
เพื่อพระชนนี เสวยอีก องค์แล
ฤจิกก็ประสาท ดั่งขอ
๏ พอเสร็จจึ่งเศกข้าว สองจาน
หนึ่งเพื่อสัตยวดี นิ่มน้อง
อีกหนึ่งเพื่อพระมาร ดารับ เสวยแฮ
และสั่งว่าเมียต้อง ระวัง
๏ ตั้งใจจำไว้ว่า ผิดกัน
จานหนึ่งเพื่อหล่อนกิน จะได้
บุตร์ชายซึ่งสมพันธุ์ เชื้อชาติ พราหมณ์แล
กอบสุธรรมศิลไซร้ สมาทาน
๏ อีกจานเพื่อแม่เจ้า เสวย
จะประสูตร์โอรส ฤทธิกล้า
ฉนั้นอย่าลืมเลย นาแม่
สั่งเสร็จพระบ่ายหน้า สู่ไพร
๏ ไม่ช้าพระแม่เจ้า มาถึง
ซึ่งพระอาศรมเยือน ลูกไซร้
สัตยวดีจึ่ง ทูลเรื่อง
ข้าวทิพย์สองจานให้ ชนนี
๏ เทวีทราบเรื่องแล้ว จึ่งตรัส
อ้าธิดาปวงหญิง จะต้อง
อยากได้บุตร์ชงัด เลิดเกียรติ
หากถ่อยกว่าพี่น้อง เสียใจ
๏ ฉนั้นไซร้จงแลกฃ้าว ทิพย์กัน
เพราะแม่มีลูกชาย เก่งแล้ว
ส่วนลูกสิมิทัน มีบุตร์
ควรอยากได้ลูกแก้ว อาจหาญ
๏ ในจานของแม่นั้น มุนี
คงเศกมนตราลง เลิดล้ำ
เพื่อให้แม่นี้มี โอรส
ผู้ฤทธิ์เดชกั่นก้ำ กาจแฮ
๏ แต่ส่วนของลูกนั้น สิทธา
คงเศกมนตราลง เสร็จแล้ว
เพื่อให้บุตร์เกิดมา เปนทวิช
ชวดทรัพย์ชวดเดชแกล้ว แกว่นไกร
๏ อรไทยเชื่อถ้อย มารดา
จึ่งแลกข้าวทิพย์กัน ดั่งเว้า
ต่างบริโภคปา ยาสเสร็จ
แล้วพระแม่กลับเฃ้า วังสถาน
๏ ไป่นานฤจิกกลับ จากไพร
เห็นเหตุก็โกรธเมีย ไม่น้อย
ร้องว่าเหม่ไฉน นางโฉด
จึงบ่มิฟังถ้อย สั่งสรรพ์
๏ ผิวพรรณเจ้าแจ้งเหตุ เห็นปรา กฎแฮ
ว่ากระทำผิดคำ สั่งไว้
ได้กินซึ่งข้าวปา ยาสเศก
สำหรับพระแม่ไซร้ เสวย
๏ เจ้าเอยฃ้าได้เศก มนตรา
ให้ศักดิ์และกำลัง เดชห้าว
สำหรับขัตติยา วีระ
เรืองอิทธิอะคร้าว อาจหาญ
๏ ในจานของเจ้าเศก มนตร์งาม
ให้บุตร์มีใจบุญ บ่ร้าย
รอบรู้และมีความ สันโดษ
แต่พะเอินกลับย้าย ยักกัน
๏ ฉนั้นลูกเจ้าจะ มีลักษณ์
เหมือนกษัตริย์พอใจ รบเร้า
ส่วนลูกพระแม่จัก ใจอย่าง พราหมณ์แฮ
จะชอบสันติเฝ้า ภาวนา
๏ กัลยาสดับถ้อย มุนี
ระยอบหมอบกราบลง แทบบาท
ขอเถิดอย่าให้มี โอรส
มีลักษณะผิดชาติ ทวิชา
๏ แต่ถ้ามิอาจแก้ เหตุการณ์
ก็โปรดเมตตาเมีย สักครั้ง
ขอรอต่อถึงหลาน เถิดจึ่ง
ให้สฤษดิถ้วนทั้ง ทุรผล
๏ นิรมลวอนว่าเว้า อยู่นาน
จึงพระมุนียอม โปรดให้
ดังนั้นเมื่อนงคราญ ประสูติ
โอรสจึ่งมิได้ ผิดพันธุ์
๏ อันว่าโอรสนี้ มีนาม
ว่าชมทัคนี ผ่องแผ้ว
เปนยอดอย่างแห่งพราหมณ์ ปฏิบัติ ดีแล
บ่มิได้คลาดแคล้ว คติงาม ฯ

ร่าย

๏ ดำเนินความต่อไป ตามมีในตำรา มหาภารตะ ว่าองค์พระฤษี ชมทัคนีนั่นไซร้ ได้ไปขอธิดา แห่งราชานะเรนทร์ นามประเสนะชิต บพิตร์เกาศิกพันธุ์ อันธิดานงราม มีนามเรณุกา เสร็จอาวาห์แล้วไซร้ ไปกับพระสามี เฃ้าสู่ที่พนา เนาอาศรมสถาน นงคราญนั้นยินดี ยังชีวีอยู่สงัด ในป่าชัฏไกลคน นิรมลเฝ้าประติบัติ พระภัสดาทรงพรต มีโอรสรวมห้า อันว่าองค์สุดท้าย เกียรติขจายขจร มีนามกรว่าราม บ่มิคร้ามผู้ใด ฤทธิไกรวิเศษ กระเดื่องเดชไพโรจน์ เปนคนโปรดศิวะ พระเปนเจ้าประทาน ขวานเพ็ชร์เปนอาวุธ ฤทธิรุทโรมรัน แต่นั้นมีฉายา ว่าปรศุราม แม้เปนพราหมณ์โดยชาติ ก็สามารถรณรุท ยุทธศาสตร์รู้จบ รบบ่ย่อหย่อนกำลัง ขลังคำแหงนักหนา แต่ว่าเพราะกำเนิด เกิดในภาร์ควะพันธุ์ จึ่งถือมั่นทางธรรม ละบาปกรรมทั้งหลาย บ่มุ่งร้ายต่อใคร ตั้งใจนิตย์บำเพ็ญ เช่นพราหมณะวิสัย คอยรับใช้กิจจา แห่งบิดามารดร ฟังคำสอนบ่คร้าน ทำการงานบ่หน่าย ต่ออันตรายมาถึง ซึ่งอาศรมนั่นไซร้ จึ่งจะใช้กำลัง ทั้งวิชารณการ เพื่อปราบพาลพิบัติ ขจัดภัยผาดแผ้ว เพื่อชนกท่านแคล้ว คลาดศัลย์ ฯ

โคลง ๓

๏ ครั้นวันหนึ่งกุมาร เฃ้าไพรสาณฑ์หมดไซร้
เพื่อเก็บซึ่งลูกไม้ มาฉัน
๏ ทั้งทรงธรรม์ดาบส ก็จรดลับแล้ว
เหลือแต่เทวิแก้ว กัลยา
๏ เรณุกากอบการ งานหมดน่าที่ไซร้
จึ่งคิดจะใคร่ได้ โสดสรง
๏ ตรงไปสู่คงคา มาจวนถึงท่าแล้ว
ยินเสียงคนส่งแจ้ว แจ่มมา ฯ

โคลง ๔

๏ เรณุกาแมกไม้ มองดู
เห็นบุรุษรูปงาม ประเสริฐ
คือจิตรรถผู้ ทรงรัช
มฤตติกาวดีเลิศ แหล่งนคร
๏ ภูธรงามรูปแม้น เทวัน
ทรงปะทุมมาลัย เลิดล้ำ
กอดนางรูปผ่องพรรณ พิลาศ
ชวนเล่นกระแสร์น้ำ ชลสินธุ์
๏ ภูมินทร์พลางหยอกเย้า มหิษี
นางปัดพอเปนเชิง เล่นล้อ
และวักซึ่งวารี สาดภัส ดาแฮ
พระก็แสร้งทำพ้อ ภิปราย
๏ โฉมฉายชังพี่แล้ว ฤาไฉน
จึ่งมิยอมให้เรียม แตะต้อง
โอ้โอ๋ช่างกระไร ใจแม่
ดำมืดเจียวละน้อง แน่นอน
๏ บังอรตอบว่าอ้า นเรนทร์
ฃ้าบาทเปนฃ้าทูล หม่อมแก้ว
ทรงหยอกหากใครเห็น จะติ
ว่าพระบ่อายแล้ว เสื่อมศรี
๏ ฉีๆ ช่างพูดแท้ ชื่นใจ
ใช่ว่าเราเปนคน อื่นเน้อ
เปนผัวและเมียใน ว่าจะ
เย้าหยอกกันต้องเก้อ ไฉน
๏ ทรามวัยอยากให้พี่ ทำขรึม
เปนฤษีชีไพร ฤาเจ้า
เจ้าอยากนั่งซึมงึม งอก่อ
จงแต่งกับพราหมณ์เถ้า เหมาะดี
๏ โฉมศรีฟังก็ยิ้ม แย้มสรวล
โอยไม่ไหวละทูล หม่อมแก้ว
ผัวพราหมณ์นั่งแต่ชวน ใจเหี่ยว
ไม่รับประทานแล้ว มิ่งขวัญ
๏ หม่อมฉันขออยู่ฃ้า ฝ่าธุลี
รับพระกรุณา ครอบเกล้า
ถึงหากพระภูมี ทรงข่ม เหงฤา
ก็จะขืนเฃ้าเฝ้า บ่หนี
๏ ภูมีเชยพักตร์เจ้า เยาวมาลย์
จูงพระกรกัลยา ยอดจิต
ทรงท่องกระแสร์ธาร เพลินเพลิด
สองพลอดสอดสนิธ เสน่หา
๏ เรณุกาจิตข้อง หมองมล
เพราะจิตอิจฉานาง โน่นไซร้
เปนคู่พระจุมพล ขัตติยะ
จึ่งสุขสนุกไร้ ขุกเข็ญ
๏ ตูเปนเพียงคู่เจ้า ฤษี
อยู่ถิ่นพนารัญ เปลี่ยวแท้
อีกทั้งพระโยคี บ่หยอก
ยวลจิตเริงรื่นแม้ สักวัน
๏ อันชีพยังอยู่ด้วย กันดาร
บ่าวไพร่บ่ได้มี ช่วงใช้
แต่เช้าชั่วค่ำงาน ทำหนัก เองแฮ
ยามว่างก็มิได้ เล่นหัว
๏ โอ้ตัวเปนลูกท้าว ครองเมือง
แต่เพราะเปนเมียพราหมณ์ จึ่งยาก
นางโน้นสิประเทือง สุขสวัสดิ์
บ่มิต้องกรำกราก สักวัน
๏ ดังนั้นเมื่ออาบน้ำ คงคา
เย็นแต่กายแต่ใจ เร่าร้อน
อาบเสร็จรีบกลับอา ศรมสถิต
นอนทอดกายสท้อน ถอนใจ อยู่ฮือ ฯ

ร่าย

๏ ในไม่ช้ามุนี ชมทัคนีกลับสถาน เห็นนงคราญหม่นหมอง ไร้ความผ่องผุดฉวี ตามที่เคยเห็นมา สิทธาจึ่งไต่ถาม พอได้ความเสร็จสรรพ์ มุนีนั้นโกรธา ว่าเจ้านี้เสื่อมศรี มีบาปเหลือคณนา กัลยาวอนขอโทษ เธอโกรธบ่ละลด ครั้นโอรสหัวปี จรลีกลับมาถึง จึ่งมุนีว่าไป แม่เจ้าไซร้ทำผิด ปล่อยให้จิตอีร์ษยา ลามกใหญ่ใจชั่ว บาปมากลั้วกมล จนเสื่อมเสียจรรยา มารดาเจ้ามีผิด ชีวิตไม่ควรคง จงประหารเสียพลัน ฝ่ายรุมัณวัตไซร้ ผู้บุตร์ใหญ่ได้ฟัง ก็จังงังตลึง คิดถึงคุณมารดา ที่เลี้ยงมาแต่น้อย คอยถนอมบ่มิวาย บ่มิคลายเสน่หา จะฆ่าได้ดังฤา จึ่งประนมมือนิ่ง บ่ได้ติงกายา ฝ่ายบิดากริ้วกราด ตวาดว่าเหม่มึง ยืนตลึงอยู่ใย ไม่ได้ยินกูสั่ง เสียงดังๆ หรือหวา หรือว่ามึงลบหลู่ ขัดกูผู้บิดา ฝ่ายว่ารุมัณวัต ประนมหัดถ์ดุษณี อยู่ที่หน้าบิตุรงค์ องค์ชมทัคนี โกรธเต็มทีจึ่งว่า ถ้ามึงไม่ทำตาม ความที่กูสั่งไซร้ ต่อไปจงจริต จิตวิกลเปนบ้า ครานั้นรุมัณวัต ทราบชัดว่าถูกสาป กราบแล้วไปพ้นหน้า มิช้าจิตวิกล เปนคนบ้าไปพลัน ครั้นโอรสที่สอง ทั้งน้องอีกสองรา กลับมาถึงกุฎี มุนีเธอก็ใช้ เช่นคนใหญ่อีกเล่า แต่เฃาทั้งสามไซร้ ก็มิได้ทำตาม เพราะความรักมารดา พระสิทธาขัดใจ สาปให้จิตวิกล สิ้นสามคนพี่น้อง รวมสี่โอรสต้องสาปสรรพ์ ฯ

โคลง ๓

๏ ครานั้นรามฤทธิรุท ผู้เปนบุตร์ที่ห้า
จวนพลบจึ่งบ่ายหน้า สู่สถาน
๏ ฝ่ายท่านผู้บิดา เห็นบุตร์มาจึ่งเว้า
ว่าเออนี่แน่เจ้า ลูกขวัญ
๏ อันมารดาทำบาป ใจหยาบศรีเสื่อมแล้ว
ฆ่าเสียเถิดลูกแก้ว อย่ารอ
๏ พ่อได้สั่งผู้พี่ ทั้งสี่เช่นนั้นไซร้
แต่เฃาบ่รับใช้ บิดา
๏ เจ้าจงอย่าอาลัย จงทำใจกั่นกล้า
ทำกิจอันที่ฃ้า สั่งพลัน ลูกเอย ฯ

โคลง ๔

๏ ครานั้นรามเร่าร้อน หฤทัย
เพราะรักมารดาแสน สุดรัก
แต่หากจะขัดใจ พระพ่อ
โทษก็คงมีหนัก แน่นอน
๏ บิดรคงสาปให้ เสื่อมศรี
แล้วใช่จะช่วยชีพ แม่ได้
ทำตามพระมุนี เธอสั่ง
แล้วพระอาจจะให้ พรพลัน
๏ คิดฉนั้นยกหัดถ์ไหว้ มารดา
ขอโทษอย่าเอาผิด ลูกน้อย
ลูกขอขะมาลา โทษเถิด
จำจะทำตามถ้อย บิตุรงค์
๏ กราบลงแทบบาทแล้ว จึ่งจับ
ขวานเพ็ชร์อันคู่กร ฤทธิรุท
เงื้อผงาดฟาดฉับ ศอแม่ ฃาดแฮ
เรณุกาสิ้นสุด ชีพลง
๏ ฝ่ายองค์ดาบสนั้น เห็นนาง
วายวอดชีวิตลง นั่นแล้ว
ความโกรธลดลงพลาง ชมบุตร์
เออนี่สิลูกแก้ว ลูกขวัญ
๏ อันเจ้าทำสิ่งสุด แสนยาก
เพราะกตัญญูจึ่ง รับใช้
พรใดลูกออกปาก ขอบัด นี้ฤา
พ่อจะประสาทให้ ดั่งถวิล
๏ ยินดีที่สุดแล้ว เจ้าราม
กราบบาทบิดาทูล ท่านไซร้
ฃ้าขอพระพรสาม ประเสริฐ
จงโปรดประสาทให้ สิทธิ์สม
๏ ประถมขอให้พระ มารดา
คืนชีพเพื่อบำเรอ พระบาท
และลืมว่าชีวา ได้ดับ
อีกปลอดปวงบาปฃาด ทั้งผอง
๏ ที่สองขอให้พี่ สี่องค์
กลับจริตดีดัง เก่าไซร้
ที่สามโปรดฃ้ายง ยุทธอย่า พ่ายเลย
อายุยืนอยู่ไว้ เกียรติพราหมณ์
๏ พรสามบิตุร์ให้ ดังประสงค์
เรณุกาก็พลัน กลับฟื้น
อีกพี่สี่กลับคง คืนสวัสดิ์
ยอเกียรติกนิษฐครื้น ครั่นครัน
๏ แต่นั้นอยู่พรั่งพร้อม เกษมศรี
ไปอีกหลายฉนำ สร่างเศร้า
จนเหตุเกิดอีกที ดังเรื่อง
ที่จะแถลงเค้า ต่อไป ฯ

ร่าย

๏ ขอขานใขความย้อน ขึ้นไปก่อนกำเนิด ประเสริฐแห่งเจ้าราม ตามที่ตรวจค้นได้ ในรามายณะ อุตตระกัณฑ์บ้าง อีกได้ทางลิขิต วิษณุปุราณ มีดำนานแสดง แถลงเรื่องประวัติ แห่งกษัตร์ทรงยศ ปรากฎนามอรชุน สุนทรราชฦๅชัย จอมไหหัยชนบท โอรสกฤตะวีรยะ พระจึ่งมีฉายา ว่าการตะวีรยะ คราเมื่อพระยังเยาว์ เอาใจใส่พากเพียร เรียนศิลปวิทยา ณอาศรมสำนัก ที่พักพระมุนี มีนามทัตตะไตรย ผู้บุตร์ไท้อัตรี ประชาบดีจอมบุญ อันอรชุนกุมาร กอบกิจการบ่เบื่อ ทุกเมื่อหมั่นปฏิบัติ จึ่งพระทัตตะไตรย ชอบหฤทัยนักหนา สิทธาจึ่งการุญ บอกอรชุนนั้นไซร้ ให้ขอพรตามจิต จะประสิทธิ์ประสาท ให้ดังปราถนา ฝ่ายว่าอรชุนไซร้ ไหว้มุนีแล้ววอน ขอพรเจ็ดประการ ขออาจารย์โปรดให้ ที่หนึ่งไซร้ขอกร ล้วนฤทธิรอนถ้วนพัน ที่สองนั้นขอรถ งามงดบุษบกทอง อันละล่องลอยไป ได้ตามใจทุกยาม ที่สามขอให้มี ธีระคุณอำนาจ อาจบำราบทุจริต สิทธิด้วยยุติธรรม สี่ขอชำนะได้ ไปทั่วเมทินิดล เปนสากลราชา ที่ห้าขอมีจิต รู้จักผิดและชอบ เพื่อกอบกิจปกครอง ชนทั้งผองโดยธรรม์ ที่หกนั้นขอฤทธิ์ รณชิตมีชัย อย่าให้แพ้ไพรี ที่เจ็ดยามจะตาย วายชนมะชีพไซร้ ขอให้ตายด้วยมือ ผู้บรรฦๅเกียรติก้อง ทั่วท้องถิ่นพิภพ จบจวบเขตสาคร อันพรเจ็ดประการ อาจารย์ประสาทแล้ว การตะวีรยะแกล้ว กลับสถาน ฯ

โคลง ๓

๏ แต่กาลบัดนั้นมา เปนราชาอคร้าว
เรืองฤทธิ์วิชิตด้าว ชมพู
๏ ศัตรูขามพระเดช ทั่วทุกเขตทุกแคว้น
เปนใหญ่ในโลกแม้น วัชรี ฯ

โคลง ๒

๏ ทรงธรณีเรื่อยหล้า อยู่ชั่วแปดหมื่นห้า
พันปี  
๏ บ่มีความเดือดร้อน นิรทุกข์สุขซ้อน
สุขเสริม  
๏ เกียรติเพิ่มทุกค่ำเช้า ทุกประเทศถิ่นเฝ้า
แต่สรร เสริญฮา ฯ  

โคลง ๔

๏ ปางนั้นในเขตแคว้น ลงกา
ท้าวราพณาสูร ทรงราชย์ [๒๑]
ทราบข่าวระบือมา เกรอกเกียรติ
อรชุนว่ากาจ เก่งไกร
๏ มีใจกำเริบร้อน อิสสา
คิดอยากใคร่ลองแรง ฤทธิ์สู้
จึงสั่งจัดโยธา ทัพใหญ่
อวดอึกอธึกอู้ เออกอึง
๏ ครั้นถึงยามฤกษ์ล้วน เลิดศรี
ยกจากกรุงลงกา อคร้าว
ถึงมหิษมดี บุระ
ร้องเรียกหาตัวท้าว อรชุน
๏ ขุนอำมาตย์ผู้รัก ษาสถาน
ตอบว่าพระจอมจักร์ ฤทธิล้ำ
เสด็จสู่พนานต์ แรมอยู่
ริมฝั่งลำแม่น้ำ นรรมทา
๏ พญาราพณ์จึงรีบ ตามไป
ถึงฝั่งนรรมทา นั่นไซร้
พักพลอยู่ที่ใน แนวป่า
ฃ้างอุดรพอให้ ห่างกัน
๏ แล้วพลันจัดตั้งกิจ พิธี
บูชิตพระอิศวร เทวราช
ท้าวทศกัณฐ์มี จิตมุ่ง
จะปลุกตนให้กาจ เก่งขลัง
๏ ตั้งต้นทำกิจด้วย โหมไฟ
แล้วจึ่งจับระบำ บูชิต
รำเสร็จจึ่งตั้งใจ สมาธิ
ขอพระพรประสิทธิ์ เสร็จสรรพ์
๏ ครานั้นแลท่านท้าว อรชุน
ยังมิทราบศัตรู อยู่ใกล้
ตรัสชวนพระนางสุน ทรศักดิ์
ผู้มหิษีไซร้ โสดสรง
๏ ลงในลำแม่น้ำ นรรมทา
พร้อมสนมกำนัล นับร้อย
จึงองค์พระราชา เริงรื่น
เล่นไล่นางใหญ่น้อย ในธาร
๏ ท่านกางกรออกกั้น สายชล
ประหนึ่งทำนบวาง ปิดไว้
ธาราก็ไหลวน วกบ่า
ขึ้นสู่เหนือน้ำไซร้ บ่นาน
๏ ถึงสถานหาดตั้ง พิธี
ของทศกัณฐ์ธาร ท่วมท้น
ไหลล้นแทบเวที พาพัด
เครื่องพลีไปพ้น หมดพลัน
๏ ทศกัณฐ์โกรธแม้น เพลิงผลาญ
เสียกิจพิธียัญ บัดนั้น
ตะโกนเร่งพลมาร หาญเศิก
รีบยกทัพใหญ่ดั้น แดนไพร
๏ ครั้นไปถึงที่หน้า ค่ายหลวง
แห่งพระอรชุน อยู่ไซร้
ต้อนพลไล่ทลวง ฟันฟาด
มนุษถอยจนใกล้ ฝั่งชล
๏ จุมพลผู้สหัสร์ พาหา
เห็นเหล่าอรีรอญ รุกเร้า
ก็ขึ้นจากธารา รีบจับ
พระคทาแกวงเฃ้า ต่อตี
๏ เสนีอสุรศักดิ์ ยักษา
จะต่อต้านพระฤทธิ์ บ่ได้
ต่างตนร่นลงมา จนถับ
ถึงรถราพณะไซร้ เธอทรง
๏ จึ่งองค์กษัตริย์เจ้า อรชุน
ร้องว่าเหวยพญา ราพณ์ร้าย
มึงแสนหยาบทารุณ ทนงหนัก
มาแอบตีหลังอ้าย อัปรีย์
๏ แม้ดีจริงอย่าช้า ลงพลัน
จากรถและต่อกร กับฃ้า
เราสองประยุทธกัน ลองฤทธิ์
ปรากฎกันต่อหน้า ทัพพลัน
๏ กุมภัณฑ์สิบพักตร์ได้ ฟังคำ
ตอบว่ากูบ่กลัว สักน้อย
มึงถือว่ากำยำ กรมาก
เกรงจะเก่งแต่ถ้อย ปากหาญ
๏ ขุนมารโลดสู่พื้น ปัถพี
เฃ้ารบท้าวอรชุน บัดนั้น
ทั้งคู่ประยุทธที ท่าว่อง
ต่างรุกรับล่อชั้น เชิงสมร
๏ พันกรยามได้ท่า ทางถนัด
จึ่งรวบกรอสูร มั่นไว้
แล้วจึงสั่งให้มัด จงแน่น
บ่มิให้หลุดได้ ต่อไป
๏ ทันใดพระขึ้นแต่ง วรองค์
แล้วเสด็จขึ้นรถ ก่องแก้ว
เอายักษ์ผูกมั่นคง ท้ายราช รถแฮ
แล้วเลิกพลเกรอกแกล้ว กลับพลัน
๏ ครั้นถึงนคเรศท้าว สั่งการ
ให้นครบาลนำ ราพณ์ร้าย
ไปมัดผูกประจาน กลางพระ นครแฮ
แล้วจึ่งจะฆ่าอ้าย จิตพาล
๏ สั่งการเสร็จแล้วกลับ วังใน
เฃาก็เอาท้าวราพณ์ ผูกแต้
คนเดินผ่านมาไป พลางเยาะ
แสนอัปรยศแท้ ทศกัณฐ์ ฯ

ร่าย

๏ ครานั้นข่าวระบือ ฦๅไปทั่วสากล ว่าจุมพลทรงฤทธิ์ จอมมหิษมดี จับอสุรีราพณ์ได้ เอามัดไว้กลางเวียง เสียงฦๅลั่นทั่วหล้า ถึงฟากฟ้าสุรแมน ทุกแดนฦๅต่อ ๆ ต่างเยินยอเกียรติคุณ แห่งอรชุนราชา ข่าวมาถึงดาบส นามนารทมุนี โดยทันทีเธอนั้น พลันไปหาเปาลัสตย์ รีบรัดแถลงฃ่าว ราวเรื่องร้ายสิ้นสรรพ์ อันเปาลัสตย์ทราบข่าว เดือดร้อนร้าวหฤทัย รีบไปบ่มิหึง ถึงมหิษมดี มุนีตรงเฃ้าไป เฝ้าไหหัยราชา ครานั้นท้าวอรชุน สุนทรราชคำนับ ต้อนรับพระมุนี เชิญนั่งที่สูงกว่า แล้ววันทาใต่ถาม ความทุกข์สุขใดมี จึ่งมุนีตอบถ้อย ทูลแถลงเรียบร้อย หนักหนา ฯ

โคลง ๔

๏ อ้าจอมจักรพรรดิผู้ เพ็ญยศ
สหัสระพาหา อคร้าว
พระเกียรติธปรากฎ ทั่วภพ
เปนยอดขัตติยท้าว เทอดธรรม์
๏ อันราพณ์บุตร์ฃ้าสิ อหังการ
กำเริบบ่ยำเกรง เดชไท้
หวังสู้พระสมภาร ก็พ่าย พระเอย
พระจึ่งจับตัวได้ มัดมา
๏ ถึงธานีพระให้ ประจาร
สมที่มันนั้นมี โทษผิด
สาใจที่มันพาล กำเริบ
บ่มิเกรงพระฤทธิ์ ยิ่งยง
๏ หากทรงสั่งให้ฆ่า คงวาย ชีพแล
แต่ก็จะเปนเวร มากแท้
หากองค์พระฦๅสาย ทรงเมต ตาฤา
โปรดประทานโทษแล้ เลิดงาม
๏ ทุกคามทุกเขตแคว้น แดนชน
ก็จะชมบุญญา นุภาพ
สมเปนพระสากล จักรพรรดิ
จะอ่อนศิโรราบ กราบกราน
๏ ภูบาลฟังพระเจ้า ฤษี
ปลื้มจิตประนมกร กราบไหว้
อันองค์พระมุนี ขอโทษ
ฃ้ายกถวายให้ ฉับพลัน
๏ บัดนั้นสั่งให้ปล่อย ขุนราพณ์
เชิญสู่พระโรงคัล ไป่ช้า
ราพณ์ถึงก็ไปกราบ บิตุราช
แล้วก็หมอบก้มหน้า เพราะอาย
๏ ฦๅสายจอมจักร์เฃ้า นั่งเคียง ราพณ์เฮย
แล้วว่ามาเถิดเรา พี่น้อง
สาบาลมิตรภาพเพียง ชั่วชีพ
ตั้งแต่นี้อย่าต้อง โกรธกัน
๏ ดังนั้นสบถหน้า กองไฟ
ดาบสเปนพยาน อยู่แล้ว
มุนีเสร็จสมใจ มุ่งมาตร์
อวยพระพรศรีแผ้ว แด่สอง
๏ ปรองดองแล้วราพณ์ไซร้ กลับลง กาแล
สองนครมั่นใน มิตรภาพ
ไหหัยะราชทรง รัฐครอบ
ครองมนุษโลกราบ เรียบนาน ฯ

ร่าย

๏ นับแต่กาลนั้นมา อานุภาพอรชุน สุนทรราชเพิ่มพูน ประมูลมากเหลือแสน ทั่วทุกแดนเกรงเดช ทั่วทุกเขตขามเคารพ นอบนบแทบบทมาลย์ ภูบาลไหหัยราช ค้ำจุนชาติกษัตริย์ ทั่วทุกรัฐทุกคาม เมื่อใดพราหมณ์กับกษัตริย์ ข้องขัดจิตวิวาท ภูมินาถอรชุน สนับสนุนชาติตน ทุกแห่งหนจึ่งพราหมณ์ ขามขยาดขัตติยา เพราะว่าต่อสู้กัน ไม่มีวันชำนะ การตะวีรยะคง ส่งกำลังแขงขัน พลันไปช่วยกษัตริย์ จอมรัฐไหหัยราช เริ่มอาฆาฎพวกพราหมณ์ ตามบำราบเรื่อยไป บมิได้ลดหย่อน ภูธรกำเริบฤทธิ์ บ่ได้คิดเกรงชี แม้ฤษีทรงพรต ก็บ่ลดละให้ คราหนึ่งไซร้พิโรธ โกรธวสิษฐมุนี ยกโยธีไปห้อม ล้อมอาศรมสถิต แต่วสิษฐทรงญาณ ท่านใช้โคล้ำเลิด สุดประเสริฐสมญา ว่ากามะเธนุ สุรภีที่ได้ มาแต่ในเกษียรสมุท [๒๒] ให้เร่งรุดเร็วหา แสนยากรมากมวล จำนวนเหลือคณนา มาต่อสู้ทวยหาญ ของภูบาลอรชุน รบชลมุนไม่ช้า เสนาของจักรพรรดิ ก็กระจัดกระจาย พ่ายแพ้ล่าถอยไป ต่อนั้นไซร้มุนี ชวนฤษีชีพราหมณ์ ทั่วทุกคามเขตขัณฑ์ พร้อมกันขึ้นไปเฝ้า พระเปนเจ้าทูลฟ้อง ร้องทุกข์ว่าอรชุน เริ่มทารุณแรงหาญ เที่ยวรุกราญเหล่าชี จนไม่มีสมาธิ สันติเพื่อกอบกิจ สิทธิสมกรณีย์ ขอจักรีโปรดช่วย อำนวยสุขสันติภาพ บำราบการตะวีรยะ ฝ่ายองค์พระพิษณุ รู้เหตุร้อนดังนั้น ก็พลันรับภาระ ว่าจะช่วยทวิชา แล้วเทวากำแหง จึ่งแบ่งภาคพระองค์ อวตารลงภูวดล ปฏิสนธิพลัน ในครรภ์เรณุกา ดังกล่าวมานั้นไซร้ เพื่อความสดวกได้ ปราบพาล นั้นแล ฯ

โคลง ๓

๏ เมื่อถึงการพอดี ที่จะปราบยุคไซร้
จึงท้าวศักระไท้ ช่วยงาน
๏ บันดาลดลหฤทัย ให้อรชุนอคร้าว
ไปประพาสเขตด้าว แดนไพร
๏ ไล่มฤคหลายหลาก ได้มวลมากยิ่งแท้
เกินกว่าก่อน ๆ แล้ มากมาย ฯ

โคลง ๒

๏ ฦๅสายเพลินเพลิดเต้า ตามมฤครุกเฃ้า
ไพรสณฑ์  
๏ จนถึงลานแหล่งกว้าง เห็นพระอาศรมสล้าง
หว่างไพร  
๏ ทรงชัยแสนเมื่อยล้า จึงเสด็จลงจากม้า
อัศดร  
๏ พักนิกรน่าเหย้า แล้วพระยุรยาตร์เฃ้า
สู่อา ศรมแล ฯ  

โคลง ๔

๏ เรณุกาอยู่เฝ้า อาศรม
ทั้งลูกและผัวไกล บัดนั้น
จึ่งเชิญพระบรม จักรพรรดิ์
ขึ้นสู่ระเบียงชั้น นอกพลัน
๏ ทรงธรรม์ขอบจิตแล้ว ขอพัก
พอผ่อนอิริยา บถบ้าง
นางเชิญพระทรงศักดิ์ ประทับ
ในพระอาศรมสล้าง ไป่หวง
๏ ปวงเสวกให้พัก ตามสบาย
ตามร่มพฤกษาอยู่ รอบแล้ว
ตักน้ำเพื่อถวาย พระโสด สรงแฮ
เพื่อพระกายผ่องแผ้ว ผุดเย็น
๏ เห็นว่ากษัตร์ทั้ง บริวาร
เหน็จเหนื่อยนางเรียกโค เลิดล้ำ
สั่งหาโภชนาหาร เอมโอช
พร้อมเสร็จทั้งฃ้าวน้ำ เสร็จสรรพ์
๏ บัดนั้นโควิเศษ จึ่งหา
สรรพะอาหารดี ไม่น้อย
น้ำผึ้งอีกธัญญา ขั้วเสร็จ
ผาณิตอีกทั้งอ้อย อ่อนหวาน
๏ น้ำสมานรสแล้ ชูใจ
อีกกับแกล้มโอชะ เลิดล้วน
ข้าวสุกที่ร้อนไอ ขึ้นพลุ่ง
ทั้งขนมได้ถ้วน ทุกตน
๏ นมค่นคงค่นแท้ น่ากิน
สูปะเปนหลายเท มากแท้
คนโทใส่น้ำริน ดื่มรส หวานแฮ
จัดเสร็จทุกสิ่งแล้ ดั่งถวิล
๏ ภูมินท์อีกทั้งพวก บริพาร
บริโภคโภชนา อิ่มแปล้
เรียกใดบ่มินาน ได้ดั่ง ใจฮือ
เห็นว่าโคเก่งแท้ แน่นอน
๏ ภูธรนึกอยากได้ โคดี
จึ่งกล่าวแก่บังอร นั้นไซร้
ขอโคเถิดเทวี จงอย่า หวงเลย
สินทรัพย์จะแลกให้ หลากหลาย
๏ โฉมฉายตอบว่าอ้า ราชะ
พระสิทรัพย์ศฤงคาร มากล้น
ฉันใดเล่าพระจะ ขออีก
จากทวิชะผู้ข้น จนหนอ
๏ ขอโคนี้เท่ากับ ตัดทาง
ที่จะหาเสบียง แห่งฃ้า
เพราะฃ้าอยู่ในกลาง พงเปลี่ยว
แสนจะกันดารอ้า อัดใจ
๏ ทรงชัยสถิตแทบ วังสถาน
บริบูรณทุกสิ่ง ไป่แค้น
อีกมีบริวาร มวลมาก
แรงฤทธิ์เรืองศักดิ์แม้น มัฆวาน
๏ ภูบาลอย่าแย่งผู้ ขัดสน
ความโลภมิควรแก่ ขัตติยะ
นิกรทั่วสากล จะติ
จะเสื่อมซึ่งเกียรติพระ กษัตรินทร์
๏ ภูุมินทร์ฟังถ้อยแห่ง เรณุกา
จึ่งว่าแม้แม่โค ไม่ให้
ขอเพียงแต่ลูกคา วินั่น เถิดแม่
คงบ่ถึงแก่ไร้ โภชนา
๏ เรณุกาว่าโอ้ จอมปราณ
พระจะพรากมันจาก แม่ไซร้
ช่างไม่นึกสงสาร มันสัก นิดฤา
ฃ้าถวายบ่ได้ ดอกนา
๏ ราชาพิโรธเพี้ยง เพลิงเผา
ทั้งแม่ทั้งลูกโค บ่ให้
ฃ้าก็จะยึดเอา เองละ
นางหลีกจงอย่าได้ ขัดขวาง
๏ ตรัสพลางทางออกพ้น อาศรม
สั่งพวกเสนีพลัน ไล่ล้อม
จับซึ่งลูกโคนม ตัวเอก
เฃาก็พลันเฃ้าห้อม จับโค
๏ โทโษแสนมากแท้ ราชา
จึ่งตรัสสั่งบริวาร ใหญ่น้อย
ช่วยกันโค่นพฤกษา ปลูกรอบ
ทุก ๆ ต้นตั้งร้อย หมดพลัน
๏ ครั้นเสร็จประกาศก้อง แก่นาง
นี่แหละเทวีจำ จดไว้
ว่าใครที่กีดขวาง ขัดจิต เราฤา
ย่อมถูกลงโทษให้ หลาบจำ
๏ นักธรรมแม้มากด้วย ธรรมา
ก็บ่เท่าเทียมขัต ติยเจ้า
กษัตริย์กอบแสนยา นุภาพ
พราหมณ์สิควรทราบเค้า อย่าหาญ
๏ ภูบาลตรัสเสร็จแล้ว สั่งพล
เดินออกจากอาศรม บ่ายหน้า
เฃ้าสู่พนาสณฑ์ เดินทัพ
เพื่อประพาสแผ่นหล้า ต่อไป ฯ

ร่าย

๏ ครั้นเมื่อไท้ฤษี ชมทัคนีกลับมา เห็นพฤกษาโค่นล้ม แม่โคนมโรทร้อง กึกก้องหาลูกน้อย อีกเมียคอยอยู่หน้า บรรณศาลานั้นเล่า เธอจึ่งเฃ้าไปถาม นงรามเล่าเหตุการณ์ ขอให้ท่านแก้แค้น แทนตัวนางจงได้ แต่เธอไซร้กลับว่า เรณุกาทรามสวาท ความพยาบาทก่อเวร เปนเครื่องทำเวรต่อ ก่อความเดือดร้อนใจ ไร้ประโยชน์อย่าเลย เจ้าเอยนิ่งเสียเถิด คนเราเกิดมาแล้ว บ่มิแคล้วความทุกข์ ขุกเข็ญในโลกนี้ ให้ดีจงทำจิต คิดสละเถิดนา หาความสุขไปพลาง ทางสมาธิถนัด มุ่งอมรรตยะสุข นรทุกข์โลกน่า ฟังภัสดาเธอสอน บังอรก็จำใจ ระงับไว้คราหนึ่ง แต่โกรธรึงเร้าใจ บ่มิได้เหือดหาย โฉมฉายจึ่งนั่งรอ พอได้พบเจ้าราม จึ่งเล่าความให้ฟัง เจ้ารามคั่งแค้นใจ ราวกับไฟเริงราน จับขวานอีกธนู อาวุธคู่กรไซร้ ไหว้มารดาลาจร ตามภูธรอรชุน ง่านงุ่นคิดพยาบาท ไหหัยราชนั่นไซร้ ขอพบเถิดจักได้ เห็นกัน ฯ

โคลง ๓

๏ ไปทันการตะวีรยะ ณ ตำบลป่ากว้าง
อยู่ท่ามกลางทัพสล้าง เลิดงาม
๏ เจ้ารามโลดไปขวาง ทางดำเนินต่อไซร้
แล้วจึ่งร้องว่าไท้ กษัตร์ศรี ฯ

โคลง ๔

๏ อวดดีนักละเจ้า อรชุน
แผลงฤทธิ์รังแกหญิง สิได้
หลบหลู่บรู้คุณ เฃาสัก นิดเลย
ใจบาปหยาบช้าไร้ ธรรมา
๏ มารดาเราสิต้อน รับดี
ให้พักและเสวย อิ่มพร้อม
สิ่งใดบ่ได้มี แคลนขาด
ทุกอย่างดี ๆ น้อม นำถวาย
๏ พลนิกายก็เลี้ยง ทั่วกัน
ควรละฤาตอบแทน สุดร้าย
ลักโคและฟาดฟัน พฤกษ์ร่ม
ทำเช่นนั้นละม้าย มารผี
๏ ถือดีจงอย่าช้า ลงมา
สู้รบกันลำพัง สักเทื้อ
ฤาเกรงก็วันทา แทบบาท เราเทอญ
เราจะทำจิตเอื้อ อภัย
๏ ทรงชัยจักรพรรดิเจ้า อรชุน
ร้องว่าเหม่เจ้าพราหมณ์ หยาบช้า
กล่าวถ้อยสุดทารุณ เกินศักดิ์
เร็วหลีกอย่าขวางหน้า รถกู
๏ ภูธรสั่งเหล่าฃ้า ทันใด
ให้ไล่พราหมณ์ผู้ขวาง อยู่นั้น
เสนีก็เฃ้าไป โจมจับ
แต่ถูกฟันสบั้น บัดตาย
๏ อีกหลายคนเฃ้าต่อ ฤทธี
ปรศุรามรอญ รบกาจ
ฟันม้วยมอดชีวี ฉับฉับ
ครู่หนึ่งศพกลิ้งกลาด เกลื่อนผลู
๏ จับธนูศักดิ์น้าว โดยแรง
วางลูกศรและเล็ง เหมาะหมั้น
ด้วยฤทธิกำแหง แผลงเดช
เสียงประหนึ่งฟ้าหลั้น แหล่งสมร
๏ ถูกกรแห่งท่านท้าว อรชุน
ทั้งสหัสระปวง ฃาดหวิ้น
อีกองค์ก็เลยรุน ตกรถ
ลงแทบปัถพีดิ้น ดักดัน
๏ บัดนั้นรามโลดเฃ้า ถึงองค์
กวัดแกว่งขวานเพ็ชร์ปลาบ แปลบฟ้า
เฉี่ยวฉาดฟาดฟันลง เร็วรวด
ตัดพระเศียรเจ้าหล้า หลุดไป
๏ ชูให้แก่พวกฃ้า เฃาดู
ร้องว่าดังนี้จำ มั่นไว้
ใครทำผิดก็กู ลงโทษ
เปนอย่างเปนเยี่ยงให้ ขยาดกลัว
๏ โยนหัวกษัตร์ให้ บริวาร
แล้วก็ออกดุ่มเดิน ไป่หยั้น
กลับคืนสู่สถาน สถิต
เล่าเรื่องลงโทษนั้น เสร็จสรรพ์ ฯ [๒๓]

โคลง ๓

๏ ครานั้นชมทัคนี ฟังวาทีลูกแก้ว
จิตบ่มีผ่องแผ้ว ตอบไป
๏ เจ้าไซร้ก่อเวรา พ่อเกรงว่าจะร้อน
เวราก่อเวรกลับซ้อน เวรา
๏ โอ้ลูกยาฉันใด จึงไม่ฟังพ่อห้าม
ครั้งนี้พ่อนึกคร้าม พหุภัย ลูกเอย ฯ

โคลง ๒

๏ ไหว้พลางรามตอบถ้อย มอบกิจไว้แด่ข้อย
อย่าขาม  
๏ ใครตามมาอีกแล้ว เชื่อเถิดคงไม่แคล้ว
คมขวาน ลูกเลย ฯ  

ร่าย

๏ ฝ่ายกุมารมวลหมด ผู้โอรสอรชุน ต่างก็ขุ่นเคืองแค้น แสนพิโรธเจ้าราม โกรธว่าพราหมณ์บังอาจ พิฆาฎพระบิดา กุมารารีบเชิญ พระศพเดินด่วนกลับ ถับถึงในกรุงศรี แล้วมีงานตามควร ชวนกันถวายพระเพลิง ถูกตามเชิงเช่นบรรพ์ ครั้นเสร็จแล้วเกณฑ์ทัพ สรรพสาตราสพรั่ง พร้อมกำลังพลไกร ได้ฤกษ์งามยามดี เดินโยธีจากกรุง มุ่งไปยังอาศรม แห่งบรมดาบส โอรสการตะวีรยะ มุ่งมานะพยาบาท อาฆาฎจองเวรา เมื่อมาถึงที่นั้น อันเจ้ารามไม่อยู่ พลตรูกันเฃ้าห้อม ล้อมอาศรมไว้มั่น อันองค์พระฤษี ชมทัคนีออกมา ยังน่าอาศรมสถาน แล้วท่านร้องถามไป มาทำไมครานี้ มีประสงค์สิ่งใด บอกให้ทราบเถิดท่าน ฝ่ายกุมารองค์ใหญ่ จึ่งตอบไปทันที เออแน่ชีใจพาล อันลูกท่านชื่อราม ทำความผิดปรากฎ เปนขบถอหังการ์ ปลงชีวาบิตุรงค์ ผู้ทรงภพครองขัณฑ์ โทษเฃานั้นมากมาย ควรต้องตายแน่แท้ ขรัวแก่ส่งตัวมา รับอาญาโดยดี ชมทัคนีตอบว่า ดูราจอมกษัตริย์ ใช่อยากขัดบรรหาร แต่ขอท่านตรองดู ท่านย่อมรู้แก่ใจ ว่าผู้ใดก่อเหตุ เภทพาลผองขึ้นก่อน หากภูธรอิศระ การตะวีรยะไซร้ ได้ประพฤติเที่ยงธรรม ไม่ก่อกรรมแรงร้าย คงไม่วายชีวัน อันผลกรรมทำบาป ย่อมบำราบเธอเอง ใครบ่เกรงบาปไซร้ ย่อมจะได้รับผล ถึงแก่ชนม์วอดวาย แต่ลูกชายของฃ้า ก็เปนบ้าเพราะโกรธ พิโรธเกินเหตุไป แม้เฃาไซร้อยู่นี่ อาตมะนี้คงไล่ ให้ออกไปทูลวอน งอนง้อขออภัย ฟังคำไซร้กุมาร ยิ่งเดือดดาลโทโษ โกรธากระทืบบาท ตวาดตอบวาที เหม่ฤษีสาระแน แก้แทนลูกผู้ผิด ไว้ชีวิตมันใย ไวๆจงประหาร ให้วายปราณบัดนี้ ฝ่ายเสนีรับสั่ง สพรั่งพร้อมล้อมพลัน ต่างแทงฟันฤษี ชมทัคนีร้องว่า อ้าเจ้ารามช่วยด้วย พ่อจะม้วยชีวี ช่วยพ่อทีรามเอ๋ย ทรามเชยช่วยบิดา แต่ว่าเจ้ารามไซร้ อยู่ห่างไกลอาศรม เฃาระดมแทงฟัน ฤษีกันปิดป้อง ร้องเรียกบุตร์ช่วยด้วย เรียกจนที่สุดม้วย ชีพลง นั่นแล ฯ

โคลง ๓

๏ เสร็จปลงชีพมุนี ทิ้งศพชีนั่นไว้
จึ่งผองกษัตร์ไซร้ กลับสถาน
๏ ไป่นานเจ้ารามกลับ มาถับถึงที่แล้ว
เห็นพ่อนอนนิ่งแล้ว จึ่งดู
๏ พอรู้แน่ว่าตาย ฟายน้ำตาหยาดย้อย
แสนโศกสุดละห้อย โหยหวล ฯ

โคลง ๔

๏ ไม่ควรเลยลูกน้อย จะไป
จากพระบิดาผู้ แก่เถ้า
เสียแรงรับปากไว้ ว่าจะ
คอยระวังทูลเกล้า เสมอ
๏ เผอเลอทิ้งท่านไว้ เดียวดาย
เหมือนหนึ่งไม่มีความ รักแล้ว
รู้อยู่ศัตรูหมาย พยาบาท
ควรอยู่กับพ่อแก้ว ระวัง
๏ ทั้งนี้ลูกผิดแล้ว สามาญ ยิ่งฮือ
บ่มิควรจากจร เนินช้า
แม้พ่อจะคืนปราณ ได้อีก
ยอมแลกชีวิตฃ้า ดับแทน
๏ น่าแค้นจริงแล้วพวก ศัตรู
มันลอบมาอย่างคน ขลาดแท้
แม้ลูกนี้ยังอยู่ คอยรบ
ก็จะพอช่วยแก้ ฉับพลัน
๏ อันพระชนกยอด นักธรรม
บ่มิได้เชี่ยวชาญ ยุทธศาสตร์
มันรุมประหารกำ ลังช่วย กันแฮ
ไหนพระจะสามารถ ต่อตี
๏ ชีวีพระวอดด้วย คนพาล
พวกกษัตริย์อวดดี ยิ่งล้น
อวดอิทธิ์อหังการ กำเริบ
แม่มุนีไม่พ้น ข่มเหง
๏ ลูกเองบัดนี้จัก ปฏิญญา
ต่อศพพระบิดร เกิดเกล้า
อีกสุระเทวา เปนทิพย์ พยานเทอญ
ว่าแต่นี้ฃ้าเจ้า เจตนา
๏ จะฆ่าขัตติยะสิ้น สากล
เพราะโลกสกะปรก ช่วยล้าง
ให้หมดชาติแห่งชน ลามก
บ่มิให้กษัตริย์ค้าง อยู่ดิน
๏ ไม่สิ้นชาติกษัตริย์ไซร้ ไม่พัก
ฃ้าจะปองจองผลาญ มอดหมด
แม้มีชาติทรลักษณ์ เหลืออยู่
ฃ้าจะไม่ละลด รุกราญ
๏ สาบาลเสร็จแล้วจัด การศพ
ตามแบบฃ้างพราหมณ์เผา เสร็จแล้ว
อังคารอัษฐิครบ ครันเก็บ
ห่อพัสตระผ่องแผ้ว เศวตศรี
๏ ไปที่ฝั่งน้ำพระ คงคา
นำอัษฐิอังคาร สู่น้ำ
ลอยล้างซึ่งปาปา ตามแบบ
จารีตโบราณล้ำ เลิดปวง
๏ สิ้นห่วงแล้วจึงเจ้า รามหาญ
ไปมหิษมดี กล่าวท้า
โอรสพระผู้ผ่าน ภพแห่ง นั้นแล
ให้ออกมาต่อหน้า ต่อตี
๏ บัดนี้มียุทธ์แย้ง แรงรณ
กษัตริย์ต่อฤทธิ์เจ้าราม ห่อนได้
ต่างตนก็วายชนม์ ชีพวอด
หมดโคตร์แห่งท่านไท้ อรชุน
๏ เฉียวฉุนบ่ผ่อนน้อย โทโษ
ปรศุรามยัง เที่ยวค้น
เที่ยวตามติดด้วยโม โหจัด
กษัตริย์หนีไป่รอดพ้น มือพราหมณ์
๏ เที่ยวตามบำราบทั้ง ชมพู
อันกษัตริย์ใด ๆ ก็ ไป่เว้น
จองผลาญทุกหมวดหมู่ ม้วยมอด
เหลือก็แต่สตรีเร้น รอดหนี
๏ หลบลี้ไปซ่อนได้ บางราย
แต่เมื่อใดเจ้าราม รั่วรู้
ว่ามีบุตรผู้ชาย ชาติกษัตริย์
ไปปราบมิทันสู้ เผด็จชนม์
๏ ตามค้นตามฆ่าตั้ง เจ็ดครา
จึ่งกษัตริย์ที่เปนชาย หมดแท้
รามเห็นว่ากิจจา สมปรารถ นานอ
พอจิตและเลิกแล้ ไป่ตาม
๏ เจ้ารามวิชิตโลก สมถวิล
ไปนอบเทพบิดร กัศยป
ถวายซึ่งแผ่นดิน ถิ่นทั่ว
เป็นทักษิณาลบ เลิดดี
๏ ดังนี้ละโลกแล้ว ไปอยู่
ยังมเหนทรบรร พตสล้าง
กอบยัญญะกิจบู ชาเทพ
กอบโยคที่ยังค้าง ต่อไป
๏ ส่วนในแดนทวีปด้าว ชมพู
นางกษัตริย์จึ่งพากัน ร่ำไห้
ไปวอนคณครู นอบนบ
ขอพวกพราหมณ์จุ่งได้ กรุณา
๏ อันว่าพรรณพืชชาติ กษัตริย์สูญ
จะบ่มีเหลือใน โลกแล้ว
ขอพราหมณ์อนุกูล ด้วยเถิด
เพราะขัตติยะแกล้ว อีกหนอ
๏ ฟังขอจึ่งคณะ ครูบา
ต่างคิดว่าควรเรา ช่วยแท้
เพราะชาติขัตติยา นั้นย่อม
มีน่าที่คอยแก้ ขุกเข็ญ
๏ ร่มเย็นเพราะได้พึ่ง แรงกษัตริย์
คอยปราบประจามิตร์ โหดห้าว
พราหมณ์ไร้ซึ่งฝีหัดถ์ ทางยุทธ์
สู้อสูรก้าวร้าว ฤาไหว
๏ ฉนั้นไซร้จึ่งพร้อม ใจกัน
ซ่องเสพย์ด้วยเหล่านาง นั่นแล้ว
เพาะพืชเผ่ากษัตริย์พันธุ์ ขึ้นใหม่
ล้วนอิทธิฤทธิ์แกล้ว ดั่งเพรง
๏ พราหมณ์เองจึ่งได้รับ ผลดี
ได้อยู่โดยร่มเย็น เปนสุข
ประกอบกิจพิธี ไสยศาสตร์
เพราะกษัตริย์ช่วยดับทุกข์ แห่งพราหมณ์
๏ ข้อความปางหกนี้ เก็บมา
โดยย่อพอบรรยาย เรื่องรู้
เรื่องปรศุรา มาวะ ตารแฮ
กำเนิดมากอบกู้ ทวิชา
๏ แต่ว่าเสร็จกิจแล้ว คงชนม์ อยู่แล
บ่มิกลับไวกูณฐ์ ดั่งกี้ [๒๔]
มีเรื่องต่ออยู่ปน ปางเจ็ด
ดังจะกล่าวเรื่องนี้ ต่อไป อีกนา ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ