ปางที่ ๓ วราหาวตาร

[๑๒]ร่าย

๏ จำนงกล่าวต่อไป ในเรื่องราวปางสาม ออกนามปรากฎว่า วราหาวตาร ตามนิทานเล่าไว้ เปนสองนัยด้วยกัน นัยหนึ่งนั้นกล่าวว่า พระประชาบดี ที่เรียกโดยมากว่า พระพรหมานั้นไซร้ ในชั้นแรกสากล มีแต่ชลธารา แล้วประชาบดี กลายอินทรีย์อมเรนทร์ เปนวราห์เลิดล้ำ ดำลงไปใต้คลื่น ฟื้นแผ่นดินขึ้นพลัน แต่นั้นจึ่งมีดิน ปัถพินงอนงาม อันว่าความข้อนี้ มีมาในตำรา ปรากฎนามฃานใข ไตต์ติริยะสันหิตา รวมคาถาแถลง แจ้งพระยัชุรเวท แห่งไตรยเพทพิสัย [๑๓] อีกนัยหนึ่งมีมา ในรามายณะ ว่าพระนารายน์ไซร้ ในภาคที่เปนพรหม บรมประชาบดี แปลงอินทรีย์ศักดา เปนวราห์ประเสริฐ ช่วยเชิดดินจากน้ำ อีกมีคำเล่าไว้ ในปุราณะคัมภีร์ ในที่นี้เก็บมา จากนานาสถาน รวมดำนานมาเล่า พอเปนเค้าเรื่องไว้ เพื่อผู้อ่านจะได้ รู้คดี บ้างนา ฯ

โคลง ๓

๏ เมื่อโลกนี้ประลัย ในกัลปะก่อนโน้น
อันแผ่นดินหักโข้น จมหาย
๏ โลกหลายมีแต่ธาร ทุกสถานท่วมท้น
ปัถวิจมอยู่ก้น สมุทไท
๏ จึ่งเทพไท้นารายน์ มุ่งหมายจะใคร่เลี้ยง
โลกให้ศรีสุขเพี้ยง ก่อนมา ฯ

โคลง ๔

๏ นารายน์หริไท้ อวตาร
เอารูปเปนวราห์ เลิดล้ำ
เนตร์พระดั่งนิลกาน ดารัตน์
แวววับจับสีน้ำ สมุทไท
๏ กายใหญ่สิบโยชน์กว้าง ประมาณ
สูงตระหง่านประมวล โยชน์ร้อย
สีกายพระดำปาน เมฆหมอก
เสียงพระดังไม่น้อย ครั่นครืน
๏ พ่างพื้นสมุทก้อง โดยเสียง พระแฮ
เขี้ยวเศวตแหลมยาว น่าหยั้น
แสงเนตร์แปลบปลาบเพียง ฟ้าแลบ
แสงพระกายท่านนั้น ดั่งตวัน
๏ ไหล่นั้นกลมอ้วนใหญ่ สมองค์
ยุรยาตร์ปานสิงห์ สง่าแท้
โสณีอวบอีกชงค์ สมส่วน
ปรรศวะเรียบแล้ เลิดโฉม
๏ โครม ๆ พระท่องท้อง สาคร
เที่ยวแสวงปัถพี แมกน้ำ
พอพบแผ่นดินดอน เปรมจิต
พระก็เอาเขี้ยวค้ำ คัดพลัน
๏ บัดนั้นขุนแทตย์ผู้ ใจพาล
นามหิรัณยากษะ ฤทธิ์ท้าว
ร้องห้ามวราห์หาญ มึงอย่า
มาลักซึ่งแผ่นด้าว ด่วนไป
๏ กูไซร้บ่อยากให้ มนุษ
มีแผ่นดินอาศัย สักน้อย
อันกูฤทธิรุท แรงมาก
หมูจุ่งอย่าขัดถ้อย ทักปราม
๏ ฟังความที่แทตย์ร้าย พาที
จึ่งพระอวตาร ตอบถ้อย
กูรู้จักมึงดี แทตย์โหด
มึงนี่บาปไม่น้อย แต่บรรพ์
๏ อันมึงชาติก่อนนี้ เคยอยู่
เฝ้าทวารนิเวศน์ เทพไท้
ทรงนามพระพิษณู เรืองเดช
มึงสิบ่รับใช้ ถูกทาง
๏ กีดขวางทางห้ามเหล่า มุนี
ผู้ที่จะไปยัง ที่เฝ้า
หยามหยาบจึ่งฤษี เธอสาป
เป็นโทษเพราะเหตุเจ้า จิตพาล
๏ ถึงกาลจุติแล้ว มาเกิด
เป็นแทตย์อันทารุณ หยาบช้า
มึงจงเชื่อกูเถิด อย่าอวด ดีเลย
จงอย่ายืนกั้นหน้า กีดกู
๏ วามวู่โทษะร้อน เริงลาม
ขุนหิรัณยากษะ ตอบไท้
เหม่หมูอวดดีหยาม กูหนัก
กูจะต้องสอนให้ หมดหาญ
๏ ขุนมารตรงเฃ้าต่อ ยุทธนา
ฟาดตุบตีตับโถม ถีบซ้ำ
ฝ่ายองค์พระวราห์ ไป่ถด ถอยเลย
เสียงสนั่นน่านน้ำ ฟองฟู
๏ สู้พลางทางหลบลี้ เอาเชิง
ขุนแทตย์กระโจนเลย เทพไท้
พระเตะยักษ์ป่นเปิง ปรรศวะ เหวอะแฮ
กว่าจะลุกขึ้นได้ อีกนาน
๏ เดือดดาลโทษะพ้น พันทวี
ขุนแทตย์ทนงกลับ ต่อต้าน
กวัดแกว่งตะบองตี หวือหวิด
เสียงสะเทือนสท้าน สมุทไท
๏ ทันใดหริเจ้า อวตาร
แล่นโลดกระโดดชน แทตย์ขว้ำ
ยามขุนแทตย์ยังกราน ลุกบ่ ทันแล
พระขวิดด้วยเขี้ยวซ้ำ สวบไป
๏ เขี้ยวใหญ่ทลุพ้น ทรวงยักษ์
จนถับถึงหทัย ปรุด้วย
โลหิตก็ทลัก พุ่งพลุ่ง
และหิรัณย์มวดม้วย ชีพพลัน
๏ บัดนั้นจึงพระเจ้า วราห์
เอาพระเขี้ยวเสียบคืน อีกแล้ว
ชูขึ้นจากชลา ลัยฉับ
น้ำตกดังสายแก้ว ก่องไหล ฯ

โคลง ๓

๏ เมื่อนั้นไซร้มุนี คณะที่อยู่ชั้น
เทวโลกโห่ลั่น สรรเสริญ ฯ

ร่าย

๏ มุนีเยินยอองค์ หริทรงรูปแผลง แปลงเปนวราหะ ว่าเทวะเทวะไท้ ธมีชัยชำนะ อีศะเกศวะราช โลกะนาถเรืองเดช พระเป็นเหตุประเสริฐ แห่งความเกิดความคับ กับทั้งความยืนยง พระองค์คือโลเกศ อันปรเมศร์ใด ๆ ไม่มีเหนือหริ พระองค์สิยัญเญศ พระเวทคือบาทา เขี้ยววราห์คือหลัก ปักเพื่อมัดสัตว์ใช้ ในกิจบูชายัญ อันพระโอษฐแสนดี คือเวทีแท่นขลัง ที่ตั้งของบูชา พระชิวหาคือไฟ โลมาไซร้หญ้าคา ปูเวลาพลีกรรม์ อันพระเนตร์นั้นฤๅ ฃ้างหนึ่งคือทิวา ฃ้างหนึ่งราตรีกาล เศียรของท่านวิศิษฏ์ คือภัทรบิฐประทับ สำหรับองค์พรหมา อันว่านามท่านนั้น คือบรรดามนตร์ดี อันมีในไตรเพท นาสิกเศรษฐสองศรี คือพลีทั้งหลาย อันปลายนาสิกงอน คือช้อนตักโภชะ พระสุรเสียงเพราะยวด คือเสียงสวดทำนอง ทั้งผองแต่งสามะเวท กายทรงเดชคือสถาน พิธีการยัญญะ อวัยวะหลายหลาก คือภาคแห่งการยัญ พระกรรณมีลักษณะ ประดุจพิธีการ สองสถานกำหนด ปรากฎในตำรา อ้าพระอมรรตัย ผู้ใหญ่ยิ่งคีรี โปรดปราณีเหล่าฃ้า จงเชิดหล้าแหล่งนี้ ขึ้นเป็นที่อาศัย แห่งสัตว์ในกัปป์นี้ ดังเคยณกัปป์กี้ ก่อนมา แม่นเทอญ ฯ

โคลง ๔

๏ วราหะเทพไท้ อวตาร
ฟังมุนีทูลวอน เสนาะล้ำ
ก็ยกแผ่นดินผ่าน พื้นสมุท
วางฉับบนยอดน้ำ ดั่งขอ
๏ พอเสร็จเทวกิจแล้ว วราห์
กลับรูปเปนนารายน์ เลิดแล้ว
เสด็จคืนสู่ปรา สาทรัตน์
เนาวณไวกูณฐ์แผ้ว ผ่องศรี
๏ เท่านี้หมดเค้าเรื่อง โบราณ
ดังแถลงเล่ามา แต่น้อย
ตูฃ้าเล่านิทาน ไป่นอก ครูเลย
ขออภัยแด่ข้อย อย่าหยัน ข้อยนอ ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ