ปางที่ ๒ กูรมาวตาร

[๙]ร่าย

๏ ขอใขขานต่อไป ในเรื่องพระนารายน์ กลายพระองค์เปนเต่า ตามเค้าเรื่องมีมา ในตำราไสยพิท ชื่อวิษณุปุราณะ ประกอบกับข้อความ ตามที่เก็บต่อเติม เพื่อคติบรรยาย ขยายความพอควร ประมวลพอได้เรื่อง ว่าในเบื้องก่อนนั้น วันหนึ่งพระมุนี ผู้มีนามทุรวาส [๑๐] ไปประพาสหิมพานต์ พบนงคราญวิไลย นางนั้นไซร้ศรัทธา กัลยาระยอบกาย ถวายมาลัยเรืองรอง ร้อยกรองด้วยบุษบา อันเก็บมาจากสวรรค์ ครั้นมุนีเธอรับ มาลัยฉับมาใส่ ทันใดกลิ่นบุบผชาติ ดาลทุรวาสปรีดี มุนีปานคนบ้า เต้นรำร่าไปกลาง หว่างวิถีอากาศ ทุรวาสบมิช้า มาพบท้าวศักรินทร์ ทรงคชินทร์ไอราพต ดาบสก็ยินดี ยื่นมาลีวิไลย ให้แด่ท้าวเทวราช ประสาทโดยยินดี ท้าววัชรีรับไว้ พาดมาลัยบนหัว คชสารตัวสำคัญ ทันใดกลิ่นมาลา แรงนักหนาตระหลบ อวลอบทั่วคัคนานต์ สารสูดกลิ่นมาลัย ทำให้เปนบ้าคลั่ง ผึงผังฟาดงวงเงื้อม เอื้อมมาลีร้อยกรอง จากกะพองขว้างลง ตรงหน้าแล้วเหยียบย่ำ มาลาช้ำฉับพลัน ครานั้นทุรวาสโกรธ ถือโทษว่าองค์อินทร์ ดูหมิ่นเธอให้ช้าง ขว้างมาลัยขยี้ มุนีกายาสั่น พลันเผยพจนะพร้อง สาปพระศักระก้อง เกษตร์สวรรค์ ฯ

โคลง ๓

๏ อันว่าท้าวศักรินทร์ ดูหมิ่นกูแน่แล้ว
ขอศักระอย่าแคล้ว ฉิบหาย
๏ ฤทธิ์ขจายโลกสาม จงกลับทรามทรุดน้อย
สิทธิสมดั่งถ้อย สาปสรรพ์
๏ อันหมู่อสุรา เคยแพ้มาก่อนไซร้
จงกลับชำนะได้ ดังถวิล แน่เทอญ ฯ

โคลง ๒

๏ ศักรินทร์ก้มศิระเกล้า กราบพระดาบสเจ้า
กล่าววอน  
๏ โปรดก่อนอย่าโกรธขึ้ง คชะบ้าจึ่งรึ้ง
บุบผา  
๏ อ้าจงสดับถ้อย โปรดเมตตาสักน่อย
หนึ่งเทอญ ฯ  

โคลง ๔

๏ มุนีเมินพักตร์แล้ว ตอบไป
ตัวท่านขี่ไอรา พตไซร้
ก็ท่านเหตุไฉน นั่งนิ่ง
ไม่ข่มคชสารให้ อยู่มือ
๏ ถือดีว่าครอบทั้ง โลกสาม
เมาอิศริยะ มากแท้
จึ่งบังอาจทำหยาม ดาบส
การจะรับโทษแล้ แหละควร
๏ ทั้งมวลเทวะผู้ บริวาร
รบอสูรมีชัย ทุกครั้ง
จึ่งกำเริบเสิบหาญ เหิมศักดิ์
กูจะต้องรึ้งรั้ง ศักดิ์ลง
๏ ทนงฤทธิ์ว่าล้ำ โลกา
จึ่งบ่เคารพแม้ แก่เถ้า
เก่งแล้วก็อย่ามา เอื้อนออด กูเลย
ขอเทวะราชเจ้า ช่วยตน
๏ จะพ้นคำสาปได้ ทางใด
ก็ค่อยคิดดูเอง เถิดเน้อ
จะวอนต่อกูใย เปลืองปาก
เหมือนกับพูดเพ้อเจ้อ ป่วยการ เปล่านา ฯ

โคลง ๒

๏ บรรหารพอจบถ้อย ทุรวาสก็คลาดคล้อย
คระไล  
๏ สหัสสะนัยน์ขุ่นข้อง ขับคชะท่องท้อง
นภา ฯ  

โคลง ๓

๏ ถึงอมราวดี ท้าววัชรีโศกเศร้า
เสด็จลีลาศเฃ้า วิมาน ฯ

ร่าย

๏ นับแต่กาลนั้นมา เทวราชาข้องจิต ฤทธิ์เริ่มถอยน้อยลง ทั้งองค์ก็ซูบเซา กำลังเล่าก็ถอย บริพารพลอยฤทธิ์หย่อน แรงอ่อนกว่าเดิมมา รบอสุราคราใด บ่มิใครชำนะ ยักษ์เกะกะกำเริบ อิ่มเอิบฤทธิ์แรงรณ เที่ยวประจนรบกวน มวลสุรแมนแสนเข็ญ บมิเปนที่สราญ สานติสุขเสื่อมถอย เทพใหญ่น้อยพร้อมใจ ไปเฝ้าองค์วาสพ เคารพทูลเทพไท้ ขอให้ทรงอุดหนุน ค้ำจุนเช่นเคยมา ด้วยฤทธานุภาพ ปราบอสูรเหิมหาญ มัฆวานฟังข่าว แสนร้อนร้าวหฤทัย จึงขานใขเรื่องจริง ทุกสิ่งที่เปนมา ทวยเทวาทราบมูล จึงทูลท้าวเทเวศร์ เชิญอมเรศร์อย่าช้า เฝ้าธาดาธิบดี วัชรีธเห็นควร จึ่งชวนทวยเทวา จากอมราวดี รี่เร็วสู่พรหมสถาน เฝ้าท่านท้าวพรหมา ทูลกิจจาทั้งมวล ถ้วนถี่ตามมีมา ท้าวธาดาฟังสาร ท่านก็ตอบเทวา ว่าตัวเรานี้ไซร้ ไม่สามารถถอนแช่ง ร้ายแรงของทุรวาส อันผู้อาจแก้ไข เราไซร้เห็นมีอยู่ แต่พิษณุนารายน์ ท่านทั้งหลายจงไป เผ้าพระไวกูณฐนาถ วอนเทวราชช่วยแก้ คงสัมฤทธิ์เที่ยงแท้ ดังถวิล ฯ

โคลง ๓

๏ องค์อินทร์ฟังพรหมา ก็ปรีดาไม่น้อย
ลาจากพรหมโลกคล้อย เคลื่อนไป
๏ ไม่ช้าถึงไวกูณฐ วัชรียูรยาตร์เต้า
พร้อมทวยเทวะเฝ้า พิษณุฯ

โคลง ๔

๏ อ้าสยมภูวนาถเจ้า จอมเศียร
หริราชบำรุง โลกล้วน
ฃ้าบาททุกตนเพียร บูชิต พระเอย
ทุกค่ำและเช้าถ้วน ทิศา
๏ เหล่าฃ้าบัดนี้หนัก ใจแสน สุดแล
เพราะพวกอสุรา ฤทธิ์ห้าว
รบกวนเหล่าสุรแมน มวลมาก
แสนจะเดือดร้อนร้าว ทั่วไป
๏ ฃ้าไทเคยรบร้า รากษส
ชำนะมาทุกครา ก่อนกี้
แต่ว่าบัดนี้หมด แรงฤทธิ์
แพ้รากษสต้องลี้ หลบภัย
๏ เหตุไซร้เกิดแต่ฃ้า ศักระ
วันหนึ่งขี่ไอรา พตช้าง
ไปพบกับองค์พระ ทุรวาส
เธอยื่นมาลัยสล้าง แด่ดนู
๏ ตูฃ้ารับพาดไว้ บนเกศ
แห่งคชเอราวัณ นั่นไซร้
พาหนะทำเหตุ โดยคลั่ง
งวงจับพวงดอกไม้ จากหัว
๏ บ่กลัวฃ้าบาทห้าม ปรามมัน
เหยียบซึ่งมาลัยยับ ป่นปี้
พระทุรวาสเธอพลัน พิโรธ
หาว่าฃ้าบาทนี้ หยาบหยาม
๏ ความที่โทษะกลุ้ม กลัดทรวง เธอแล
เธอเปล่งพจนะ แช่งให้
ตูฃ้าอีกทั้งปวง ทวยเทพ
เสื่อมศักดิ์อีกทั้งไร้ ฤทธี
๏ ฃ้านี้ได้กล่าวถ้อย วอนขอ โทษนา
แต่พระฤษีเมิน พักตร์ดื้อ
เธอบมิรีรอ รีบจรด
ส่วนสาปมิยอมรื้อ เลิกถอน
๏ อมรตั้งแต่นั้น ต่อมา
รบอสูรคราใด พ่ายแพ้
เกรงจะวอดชีวา วายทั่ว
ขอพระหริแก้ กลับดี พระเอย ฯ

โคลง ๒

๏ พระสิทธิสรวงศรีแกล้ว ฟังคติทราบแล้ว
ไตร่ตรอง  
๏ มองหาทางจะแก้ อุปัทวะนั้นแล้
สิทธิ์ถวิล  
๏ จักรินปิ่นปกด้าว จึ่งดำรัสแด่ท้าว
มัฆวา ฯ  

โคลง ๔

๏ ดูราศักระผู้ เพ็ญยศ
เราจะให้แรงคืน จุ่งได้
ขอทวยเทพทั้งหมด เงี่ยโสต
จะบอกอุบายให้ ดั่งประสงค์
๏ จงชวนเหล่ายักษ์ผู้ อรี
เลิกยุทธะสงคราม สักครั้ง
ผูกพันธะไมตรี และร่วม มือนา
ร่วมจิตและคิดตั้ง พิธี
๏ ทั้งสี่ทิศแยกย้าย กันไป
เที่ยวเก็บโอสถเภ สัชพร้อม
โยนลงณที่ใน เกษียรสมุท
แล้วจุ่งมาแวดล้อม อยู่พลัน
๏ เอามันทรโขดล้ำ โลกา
มาเถิดเปนไม้กวน น่านน้ำ
เอาวาสุกีมา เปนเชือก
ฃ้าจะไปช่วยค้ำ โขดหลวง
๏ ปวงกวนสมุทด้วย วิริยะ
คงจะได้อมฤต เลิดแล้ว
ซึ่งใครดื่มแล้วจะ เรืองฤทธิ์ มากแฮ
อีกจะได้คลาดแคล้ว มฤตยู
๏ ตูฃ้าจะช่วยแท้ อย่าฉงน
อริจะออกแรง ช่วยแล้
แต่ส่วนศุภะผล จะตก
อยู่แก่ทวยเทพแท้ แน่นอน
๏ ดัสกรจะต้องออก แรงเปลือง เปล่านา
จะบ่ได้ดื่มอัม ฤตน้ำ
ฝ่ายเทพจะประเทือง เทอดศักดิ์ ยิ่งฮา
จะประสิทธิ์ฤทธิ์ล้ำ ต่อไป
๏ ไวๆเถิดอย่ารั้ง รอนาน
ทำดั่งที่เราสอน เสร็จแล้ว
อันพวกอสูรหาญ เหิมฮึก
จะพ่ายฤทธิ์สุรแกล้ว แกว่นไกร แน่นา ฯ

โคลง ๓

๏ สหัสสนัยน์ยินดี โอนโมลีอ่อนเกล้า
กราบพระพิษณุเจ้า จักริน
๏ เทวินทร์และเทวา ลาพระหริแล้ว
ออกจากปราสาทแก้ว กลับพลัน ฯ

ร่าย

๏ ต่อนั้นโดยฉับไว ท้าวสหัสสนัยน์เทวราช ก็ประกาศบัญชา แด่เทวาทั้งหลาย ให้แยกย้ายกันไป ในทิศานุทิศ ปลิดโอสถเภสัช สรรพัตมีสรรพคุณ สุนทรเทพกำแหง แต่งทูตานุทูต ไปพูดจาไมตรี ปรองดองดีกับอสูร ชวนพร้อมมูลร่วมงาน ทำการกวนเกษียรสมุท ตามจัตรภุชบัญชา เพื่อหาอมฤตเลิด จะได้เกิดสิริสวัสดิ์ สุขะวัฒน์ต่อไป อสูรไซร้ประนอม ยอมช่วยงานอมรา ครั้นถึงวาระดิถี ที่นัดกันไปกวน เทพทั้งมวลไปยัง ฝั่งเกษียรสมุทธาร อสูรหาญครันครบ แทตย์ทานพแขงขัน ก็พร้อมกันด่วนไป ในที่ชุมนุมนัน อันหริทรงเดช อีกมเหศร์ทรงชัย ทั้งเทพไทธาดา มาพร้อมกันสามองค์ เพื่อทรงเป็นประธาน ในการกวนสมุท ทวยเทพรุดเร่งกัน ให้พลันโยนโอสถ ทั้งหมดลงทเล แล้วก็เฮพร้อมกัน ไปมันทรสิงขร ถอนคีรีรี่มา พากันเอาเขาวาง ลงที่กลางสมุท แล้วฉุดตัววาสุกี พันคีรีหลายทบ จนคำรพห้าเปลาะ มั่นเหมาะดีดังหมาย และนารายน์ทรงปัน น่าที่พลันบ่มิช้า ให้อสุราถ้วนทั่ว ทั้งทางหัวนาคใหญ่ ให้เทวารั้งรึ้ง ทิ้งทางหางนาคี พอได้ที่พร้อมพรัก ให้ชักเขาหมุนเวียน ในเกษียรสาคร ชโลทรป่วนปั่น เปนควันราวน้ำต้ม ฝ่ายบรมจักรี เห็นคีรีคลอนแคลน ไม่ตั้งแน่นตามควร เกรงการกวนทเลวน ผลจะไม่เสร็จดี จักรีเดชกำแหง จึงแบ่งภาคออกไป ภาคหนึ่งไซร้เป็นเต่า เพราเพริดสุพรรณพรรณ พลันลงสู่สมุท อุตลุดไล่มัจฉา อันกายาใหญ่โต โยโสว่ายเบียดโคน โคนมันทรภูผา ขับมัจฉาพ้นฐาน แล้วอวตารเชิดช้อน สิงขรใหญ่ขึ้นตั้ง บนหลังเอากระดอง รองภูผานั้นไว้ ให้ตั้งมั่นบ่มิคลอน แล้วอมรและยักษ์ ชักตัววาสุกี ให้คีรีหมุนไป หวือได้ดุจเครื่องกลึง อีกภาคหนึ่งนารายน์ ผันผายขึ้นยอดเขา คอยเป่าเมฆฝนพลาง ไปทางสุรคณา ครานั้นฝนปรอยโปรย โรยรวยรื่นรมย์เริง เทพบรรเทิงเย็นตน กมลก็ชื่นบาน ฝ่ายยักษ์พาลเพลียใจ เพราะถูกไฟอันพุ่ง พลุ่งจากปากนาคราช เพลิงกาจผาดเผาร้อน ระอาอ่อนหย่อนเดช เทเวศร์เป่าเมฆเคลื่อน เลื่อนลอยไปเสียพ้น ฝนมิได้ตกต้อง อสูรผองผ่าวผาก แต่เพราะอยากจะได้ อมฤตไซร้นักหนา เหล่าอสุราเขม้น บ่มิเห็นแก่ยาก รึ้งรั้งนาคบ่หยุด ฝ่ายเทพฉุดด้วยเล่า เฃาก็หมุนจี๋ๆ กวนวารีแหล่งนั้น เสียงอึกอธึกชั้น โลกมวล ฯ

โคลง ๒

๏ การกวนสมุทไซร้ ปรากฎผลแผกได้
ปมิหึง ฯ  

โคลง ๔

๏ หนึ่งคือโคเอกอ้าง ออกนาม
สุรภีที่เคา รพแล้
มีนมและเนยตาม จิตมุ่ง เสมอนา
วิสุทธิ์วิเศษแท้ ที่ปอง
๏ ที่สองซึ่งผุดพ้น ชลธี
คือสุราซึ่งแรง ฤทธิ์กล้า
นามวารุณีมี ลักษณ์ยั่ว
ยวนจิตมัวเมาบ้า หยาบหยาม
๏ สามมีพฤกษะขึ้น จากสมุท
ชื่อว่าปาริชาต เฉิดฟ้า
นางฟ้าเมื่อเห็นสุด ชอบพฤกษ์ นั่นแล
หอมดอกตระหลบหล้า แหล่งตรี
๏ ที่สี่ที่ขึ้นจาก ชลา ลัยฤา
คือคณาอับศร เฉิดแฉล้ม
รูปโฉมสุดโสภา หาเปรียบ ไม่เลย
งามเนตร์งามเกศแก้ม ก่องฉวี
๏ ท่วงทีมรรยาทล้วน ยวนใจ
เสียงเสนาะขับลำ ร่ำร้อง
แต่หาสุรเทพใด รับบ่ มีเลย
เหตุฉนั้นจึ่งต้อง อยู่ลอย
๏ คอยบำเรอเทพให้ เปรมปรีย์
ยามเทพใดมีทุกข์ ช่วยแก้
เปรียบโสภิณีนาง ในโลก มนุษแล
เปนแบบแต่นั่นแล้ สืบมา
๏ ที่ห้าขึ้นจากน้ำ คือจันทร์
รังสิสกาวเย็น เนตร์ไซร้
องค์พระศิวะพลัน ฉวยฉับ
ทรงทัดแทนปิ่นไว้ แทบศีร์
๏ ที่หกพิษผุดขึ้น จากสมุท
ทวยเทพบ่อยากชิม อยากได้
แต่ฝูงนาคเร็วรุด รีบสูบ ไว้เฮ
งูจึ่งมีพิษไซร้ สืบมา
๏ จากสาครผุดขึ้น ที่เจ็ด
คือดอกกมลบาน แจ่มจ้า
มีเทวิเสด็จ กลางดอก
งามประเสริฐเลิดหล้า แหล่งสาม
๏ มีนามปรากฎก้อง พระศรี
ศุภลักษณ์ใดปาน เปรียบได้
งามยิ่งสุรนารี มวลหมด
จินตะกวีไร้ พจน์ชม
๏ รื่นรมย์ไปทั่วพื้น ภูมสวรรค์
ปวงมุนีตลึง เนตร์จ้อง
ครานั้นเหล่าคนธรรพ์ ฃานศัพท์ ชมแฮ
อีกอับศรฟ่องท้อง นภา
๏ คงคาอีกน่านน้ำ ในสรวง
ก็หลั่งมาอวยพร พรั่งพร้อม
เทวะคชเอางวง จับภาชน์ ทองแฮ
จ้วงตักวารีล้อม รดถวาย
๏ ฝ่ายเกษียรสมุทนั้น ยินดี
เชิดทิพยมาลัย เลิดล้ำ
ร้อยด้วยสุรมาลี หอมรื่น
บ่มิเหี่ยวฤาช้ำ สักวัน
๏ อันสุรเทพผู้ ศิลปี
วิศวะกรรมาเอก ช่างนั้น
นิรมิตรเครื่องทรงศรี สุวรรณรัตน์
แวววับจับช่อชั้น นภา
๏ ครานั้นทรงเครื่องแล้ว พระศรี
เสด็จไปเฝ้าวิษ ณุไท้
บังคมพระจักรี กายยอบ
วิษณุรับกอดไว้ กับทรวง
๏ ปวงเทพเห็นชอบพร้อม ใจกัน
เว้นแต่พระศิวะ นั่นแล้
แต่นางก็บ่ผัน พักตร์สู่ พระเลย
พระก็จนจิตแท้ แน่นา
๏ ฝ่ายว่าอสุระไซร้ ทูลวอน
ขอพระศรีทรงผัน พักตร์บ้าง
แต่ศรีสุรบังอร เมินพักตร์
พวกอสูรต้องร้าง เริดไป
๏ ในที่สุดจากท้อง ทเลเลิด
เทวะแพทย์ธันวัน ตริไซร้
ผุดขึ้นและชูเชิด ผะอบ
อมฤตทูลเทอดไว้ ณหัว
๏ พอตัวผุดพ้นจาก ทเลนม
เหล่าอสูรตรูกัน จะใกล้
บัดนั้นจึ่งบรม เทวะราช
วิษณุนาถะได้ สติพลัน
๏ เทวันกลายรูปแม้น นารี
รูปลักษณะวิไลย เลิดล้น
ลวงล่อเหล่ายักษี หวังสวาท
นำออกไปจนพ้น ฝั่งธาร
๏ หมู่มารไปพ้นหมด สมจิต
เทวะคณานันท์ แน่นล้อม
ต่างองค์ดื่มอมฤต เอมโอช
อมฤตเอกรสย้อม จิตอมร
๏ นิกรเทวะทั้ง เหล่าหลาย
ฤทธิ์เดชกลับคืนคง ดังกี้
กำลังณร่างกาย กลับมั่น คงนา
เพราะดื่มอมฤตนี้ สิทธิ์สรรพ์
๏ พร้อมกันเปล่งศัพท์ซ้อง สรรเสริญ
พระวิษณุนารายน์ กึกก้อง
ขอพระใหญ่ยิ่งเทอญ เปนนิตย์
พร้อมเปล่งศัพทะร้อง ชโย ฯ

ร่าย

๏ เสียงโห่อธึกอึง จึ่งอสูรต่างหัน มาพลันเพื่อมองดู เห็นหมู่อมรคึก ต่างก็นึกเฃ้าใจ ว่าตนไซร้เสียที อสุรีรีบกลับ มาถับถึงทเลนม หวังดมดื่มอมฤต ครั้นพิศเพ่งเล็งดู เห็นโถอยู่เหมาะมั่น ณมือธันวันตรี ต่างวิ่งจี๋จะฉวย แต่ทวยเทพกั้นกาง ขวางทางมิให้จร อสูรร้อนแรงโกรธ ทลึ่งโลดต่อกร ฝ่ายอมรบ่มิย่อ ต่อสู้ศึกบ่มิหย่อน แรงบ่มิอ่อนจนนิด ฤทธิ์ก็แรงแขงนัก ศักดิ์ก็ยังกายา เดชสง่าทั่วคณะ อสูรจะถาโถม จู่โจมเท่าใดๆ เทพบ่ได้ถอยถด ทนทรหดแขงขัน แม้ถูกฟันถูกแทง ถูกตีแรงทั่วกาย แผลก็หายฉับพลัน กุมภัณฑ์อ่อนระอา แย้งยุทธนาย่อหย่อน กำลังอ่อนลงไป เพราะมิได้สมจิต ชวดอมฤตอันหวัง ดังนั้นรู้สึกแน่ ว่าต้องแพ้เทวา อสุราพิโรธ เกรี้ยวโกรธร้องตวาด อาฆาฎจองเวรไว้ ว่าจะไม่ละความ พยายามหาทาง ล้างเทวาจงราบ ปราบเทวาจงลาน แล้วหมู่มารล่าถอย คล้อยเคลื่อนครรไลรุด จากเกษียรสมุทพลัน แล้วกุมภัณฑ์พวกร้าย ต่างตนก็แยกย้าย กลับสถาน ตนแล ฯ

โคลง ๓

๏ ครั้นหมู่มารปราชัย ล่าถอยไปหมดแล้ว
ทวยเทพก็ผ่องแผ้ว จิตเกษม
๏ ปลื้มเปรมจิตเทวัน จึงพากันพรั่งพร้อม
มานอบศีระน้อม ประนม
๏ บังคมพระพิษณู กับโฉมตรูคู่ไท้
พระศรีประเสริฐไร้ สิ่งทราม
๏ อีกประณามปรเมศร์ ศิวะเดชอะคร้าว
อีกประณตท่านท้าว พรหมา
๏ บูชาเทพสามองค์ ขอให้ทรงครอบเกล้า
เปนสุขทุกค่ำเช้า ต่อไป ฯ

โคลง ๔

๏ จึ่งไทเทเวศร์ผู้ สี่พักตร์
ตรัสว่าจงเชื่อพิษ ณุไท้
หริสิพิทักษ์ ทวยเทพ
ช่วยกิจสัมฤทธิ์ได้ ดั่งถวิล
๏ จักรินธพรั่งพร้อม อยู่เสมอ
ที่จะช่วยระงับ เหตุร้อน
บำรุงรักษ์เหล่าเธอ ราวบุตร์ ท่านนา
หวังจะให้สุขซ้อน สุขถนอม
๏ ฝ่ายจอมไกลาศไท้ มเหศวร
ก็ตรัสช่วยส่งเสริม เพิ่มถ้อย
ว่าวิษณุสิควร ท่านรัก
และประณตไม่น้อย กว่าเรา
๏ พระเจ้าที่แท้ก็ อีศะ นั่นเอง [๑๑]
หริเธอบำรุง โลกเลี้ยง
ฝ่ายเราสิหะระ ล้างบาป
เปนใหญ่เสมอเพี้ยง ภาคกัน
๏ ดังนั้นใครไหว้พระ หริรา ชาฤา
เหมือนหนึ่งไหว้ศิวะ เทพพร้อม
อีกไหว้พระพรหมา โลเกศ
คำรบสามเทพน้อม นมัสการ
๏ บรรหารสอนเทพแล้ว ศิวะ
และพระพรหมธาดา ท่านไท้
สององค์ก็อวยพระ พรสวัสดิ์
ขอวิษณุจุ่งได้ สุขเกษม
๏ เปรมใจได้คู่เคล้า เคียงสมร
ศรีศุภเทวี เพริดแพร้ว
ผู้โลกะมารดร ทรงโชค
สุขสวัสดิ์วัฒนแผ้ว ผ่องใจ
๏ อรไทยจงช่วยท้าว สวามี
เสริมสุขเทวะอีก มนุษไซร้
ทั่วทั้งถิ่นโลกตรี เคารพ
ประสาทสิทธิโชคให้ นิกร
๏ อวยพรสวัสดิ์สิ้น สารศัพท์
ศิวะและพรหมา เสด็จดั้น
ดลถิ่นที่ประทับ เทวโลก
ทวยเทพทุกช่วงชั้น กลับสถาน
๏ ภูบาลพิษณุไท้ พาศรี
เสด็จสู่ไวกูณฐ์ ก่องแก้ว
สองสมภิรมย์ปรีย์ เปรมจิต
สวามิชายาแผ้ว บ่จาง
๏ แถลงปางกูรมะไท้ อวตาร
เพื่อประโยชน์เทวา ทั่วผู้
ได้แรงปราบหมู่มาร มวลพ่าย
กล่าวเรื่องตามที่รู้ จบลง นี่แล ฯ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ