ปางที่ ๔ นรสิงหาวตาร

[๑๔]ร่าย

๏ จักสรรเสริมดำนาน แห่งอวตารปางสี่ ตามมีในวิษณุ ปุราณะขยาย เรื่องนารายน์ฤทธิรงค์ ลงมาปราบขุนยักษ์ สิทธิศักดิ์แขงขัน ชื่อหิรัณยกศิปุ อสูรดุเหลือร้าย เป็นน้องชายฝาแฝด แห่งแทตย์ผู้โมหัน นามหิรัณยากษะ ซึ่งแพ้พระวราห์ ดังกล่าวมาแล้วไซร้ ในปางสามก่อนนี้ อสูรมีจิตโกรธ พิโรธพระนารายน์ เพราะทำลายเชษฐา จึ่งอนุชาอาฆาฏ มุ่งมาตร์จิตจงชัง ตั้งจิตเกลียดท่านครัน และหิรัณยกศิปุ มุทลุมุ่งร้าย ล้างนารายน์เลิดธรรม บำเพ็ญซึ่งตะบะ เพื่อให้พระพรหมา ทรงเมตตาปราณี แล้วอสุรีทูลวอน ขอพรธาดาไท้ ว่าอย่าให้เทพมนุษ สุดจนเดรัจฉาน สังหารตนตายได้ อีกอย่าให้ม้วยมุด ด้วยอาวุธใด ๆ อย่าให้ตายกลางวัน อันกลางคืนไม่ตาย ภายในเรือนให้รอด ปลอดภัยภายนอกเรือน ครั้นเพื่อนได้พรตรง ตามจำนงหมดแล้ว เปรมจิตดั่งยึดแก้ว มณีจิน ดาแล ฯๆ

โคลง ๔

๏ อสุรินทร์ฉกาจห้าว เหิมหาญ
หวังจะได้ครองตรี โลกล้วน
เกณฑ์พลพยุหมาร มวลมาก
จนนับบ่มิถ้วน ทัพชัย
๏ ได้ฤกษ์เลิกทัพเยื้อง ยาตรา
ไปสู่เทวโลก บัดนั้น
เฃ้าโจมยุทธนา เมืองศักร์
สัประยุทธแย่งชั้น ช่อสรวง
๏ ปวงเทวะรบป้อง กันเมือง
อมราวดี ที่หมั้น
แต่สู้แทตย์ผู้เรือง ฤทธิ์ห่อน ได้เลย
จำล่าทิ้งถิ่นนั้น เริดหนี
๏ ยักษีกำเริบห้าว เหิมครัน
เฃ้าสู่เวียงพระอินทร์ นั่นแล้ว
อยู่ในวิชยันต์ วิมานรัตน์
เปรมจิตสถิตแผ้ว ผ่องกมล
๏ ตั้งแต่เปนที่ท้าว เทวินทร์
เปนสุริยะจันทร์ แจ่มหล้า
เปนผู้ครอบฟ้าดิน อากาศ
เปนอัคนิเดชจ้า แจ่มแสง
๏ แย่งเปนเจ้าน่านน้ำ แทนพระ วรุณแฮ
แย่งกุเวรเปนเจ้า ทรัพย์ล้วน [๑๕]
แย่งยมเทพธรรมะ เจ้ามฤต
แย่งรับพลีถ้วน ทุกหน
๏ คนธรรพ์ต่างแซ่ซร้อง สรรเสริญ
ยอเกียรติโดยสอพลอ ยิ่งแท้
ขุนแทตย์ก็เพลิดเพลิน ฟังศัพท์
หลงว่าตนเลิดแล้ กว่าใคร
๏ แม้ไท้ศิวะทั้ง นารายน์
ขุนหิรัณย์ไป่เกรง สักน้อย
กำเริบบ่รู้วาย อวดอิทธิ์
บ่มิวายกล่าวถ้อย ทนง ฯ

โคลง ๓

๏ ฝ่ายองค์ท้าวสหัสสนัยน์ เมื่อปราชัยแทตย์แล้ว
และจำต้องคลาดแคล้ว จากนคร
๏ ชวนอมรน้อยใหญ่ ไปไกลาศและเฝ้า
พระมหาเทพเจ้า จอมคิ รีแล ฯ

โคลง ๒

๏ ทูลคดีแด่ไท้ อีกขอพระจุ่งได้
ดับเข็ญ  
๏ พระเปนเจ้าจึ่งได้ ตรัสตอบว่าท่านไซร้
ทุกข์เหลือ  
๏ อยากเอื้อและช่วยแท้ แต่เรานี้สุดแก้
พรพรหม  
๏ อันบรมราชผู้ เปนหริสิรู้
อุบาย  
๏ จงผันผายและเฝ้า วอนพระพิษณุเจ้า
หริพลัน เถิดนา ฯ  

โคลง ๔

๏ เทวันฟังพระเจ้า บัญชา
ก้มเกศกรประนม นอบไท้
บังคมพระบาทลา เร็วรีบ
ไปสู่ไวกูณฐ์ไซร้ ฉับพลัน
๏ ชวนกันเฃ้าเฝ้าพระ นารายน์
ทูลแถลงคดี ถี่ถ้วน
ขอทรงออกอุบาย ปราบแทตย์ นั้นเทอญ
ระงับดับทุกข์ล้วน หลากเหลือ
๏ ฟังเชื้อเชิญแห่งไท้ เทวินทร์
สมเด็จพระไวกูณฐ์ นาถไท้
ตรัสตอบว่าองค์อินทร์ อีกเทพ
เชื่อเถิดเราจะได้ ดับเข็ญ
๏ เราเห็นทางจะแก้ รำคาญ ได้นา
โดยจะดลจิตแทตย์ ฮึกห้าว
ให้วิปริตหาญ เหิมหนัก ขึ้นแฮ
คงจะยิ่งก้าวร้าว หยาบหยาม
๏ ทำความทุกข์เดือดร้อน กดขี่
แม้แต่บริพารตน จักขึ้ง
พากันเบื่ออสุรี ทุจริต
เดินอุบายลึกซึ้ง ประหาร
๏ ท่านจงทำท่าแสร้ง เปนกลัว
อย่าแสดงใจดี กาจกล้า
ต่างตนต่างแปลงตัว เปนมนุษ
เที่ยวอยู่ณแหล่งหล้า และคอย ฃ้าเทอญ ฯ

โคลง ๓

๏ ฟังถ้อยพิษณุสอน เทพนิกรยอบเกล้า
และประพฤติดั่งเค้า อุบาย ท่านแล ฯ

ร่าย

๏ ขอขยายข้อความ ตามมีเรื่องต่อมา ว่าหิรัณยกศิปุ ผู้มุทลุทรหด มีโอรสตนหนึ่ง ซึ่งมีนามประกาศ ว่าประหลาทเกียรติไกร แทตย์นี้ไซร้ใจบุญ สุนทรลักษณ์รักธรรม น้ำจิตมั่นศรัทธา ในมหาหรินาถ บิตุราชขึ้งจิต เห็นลูกผิดนักหนา เพราะว่าตนใจร้าย เห็นนารายน์วิษณุ เปนศัตรูของตน จึ่งกมลกริ้วโกรธ พิโรธลูกชายใหญ่ เพราะคิดไม่ตรงกัน กุมภัณฑ์มอบโอรส ให้นักพรตพราหมณ์เถ้า เอาไปสอนวิทยา ทั้งให้ว่ากล่าวเตือน อย่าให้เชือนแชคิด ผิดกับบิดาไป แต่บุตรไซร้คงขืน ยั่งยืนความจงรัก ภักดีแต่นารายน์ ครูทั้งหลายกล่าวเตือน เหมือนยิ่งยุยิ่งเติม เสริมศรัทธาส่งซ้ำ เชื่อว่าวิษณุล้ำ กว่าใคร สิ้นแล ฯ

โคลง ๓

๏ วันหนึ่งไซร้ประหลาท ลีลาศพร้อมคุรุเถ้า
ถึงวิมานและเฝ้า บิตุรงค์
๏ กราบลงแทบพระบาท แห่งบิตุราชแทตย์ไซร้
คอยสดับพจน์ไท้ เถลิงถวัลย์ ฯ

โคลง ๔

๏ หิรัณยกศิปุท้าว อสุรา
เห็นพระลูกมาหมอบ นอบเกล้า
ด้วยรักจึ่งตรัสปรา ไสยบุตร
ว่าอย่างไรนะเจ้า จอมขวัญ
๏ อันการเรียนรอบรู้ เพียงใด ลูกเอย
จงนั่งขึ้นเล่าความ เถิดน้อ
อาจารย์ท่านฝึกใจ ลูกรัก
สัมฤทธิ์แล้วทุกข้อ ละฤๅ
๏ โดยซื่อประหลาทแจ้ง กิจจา
ตอบว่าฃ้าได้เรียน รอบรู้
และมีจิตศรัทธา เที่ยงถนัด
ในพระนารายน์ผู้ เสริฐสรรพ์
๏ พระนั้นปราศจากทั้ง ต้นกลาง ปลายแฮ
ปราศจากเพิ่มฤาลด แน่แท้
พระเปนยอดนภางค์ จอมโลก
เปนอมรรตยะแล้ เลิดไกร
๏ พระไซร้กลืนฟ้าอีก กลืนดิน
เปนเหตุแห่งปวงเหตุ หลากล้วน
อันองค์พระหรินทร์ คือโลก นั้นเอง
อีกพระเปนสิ่งถ้วน ทุกอัน
๏ หิรัณย์สดับถ้อย แห่งบุตร
พิโรธตาปานอัค นิกล้า
ปากสั่นเพราะแสนสุด กริ้วโกรธ
กระทืบบาทราวหล้า จะไหว
๏ หันไปและชี้พักตร์ ครูบา
เหม่ ๆ พราหมณ์สามาญ มากแท้
ใยสอนศิษย์ให้มา พูดพลอด
ยอเกียรติศัตรูแล้ เลอะหลง
๏ ทนงจงจิตแล้ว ประมาท
ดูถูกกูผู้เรือง ฤทธิ์ล้ำ
สอนให้ลูกบังอาจ ดูหมิ่น พ่อแฮ
เพื่อจะให้กูช้ำ จิตราญ
๏ อาจารย์ประหม่าแม้น ชีพมลาย
ทูลตอบว่าอันอาต มะนี้
ยังบ่มิเคยหมาย มุ่งหมิ่น ท่านเลย
เคยแต่คอยช่วยชี้ เชิดคุณ
๏ อันบุญราชะคุ้ม ฃ้าสราญ
ได้สุขสวัสดี ค่ำเช้า
ฤาฃ้าจะเปนพาล หลบหลู่ คุณนอ
เปนกิจอันผิดเค้า คติครัน
๏ ครานั้นประหลาทก้ม เกศทูล
ว่าพระอย่าทรงติ คุรุเถ้า
แท้จริงพิษณุกูล เกื้อกอบ
กรุณาฃ้าเจ้า บ่วาย
๏ นารายน์เลิดล้ำกว่า คุรุ ใดนา
ใครจะเรียนฤาสอน อื่นได้
นอกจากพระพิษณุ ประสาท
ประสิทธิ์วิทยะให้ ทุกตน
๏ จุมพลจอมแทตย์กริ้ว กราดดุ
มึงนี่โง่ระยำ ยิ่งบ้า
คือใครนะพิษณุ ที่ออก ชื่อแฮ
บังอาจอวดต่อหน้า กูฤๅ
๏ กูคือจักรพรรดิ์เจ้า จอมตรี โลกฮา
ทั้งเทพมนุษยอม ยอบเกล้า
อันพิษณุจะดี ได้กว่า ฉันใด
มึงอย่ามาแกล้งเร้า จิตกู
๏ ฟังภูธรกริ้วกราด โกรธา
ประหลาทบ่มิกลัว สักน่อย
ทูลตอบว่าราชา จอมเกศ
จงโปรดฟังคำข้อย สักที
๏ บารมีพิษณุไท้ ปรากฎ
อยู่แทบใจโยคี ทั่วถ้วน
สุดที่จะหาพจน์ แถลงลักษณ์ พระแล
พระแหละโลเกศล้วน เลิดสรวง
๏ ปวงสิ่งในโลกล้วน อยู่ใน
องค์พระพิษณุนาถ นั่นแล้
ไม่ว่าสิ่งใดๆ ในโลก
พระประสาทให้แท้ จึ่งมี
๏ อสุรีดาลเดือดแม้น เพลิงวาม
ร้องว่ากูจะปลง ชีพม้วย
แม้มึงมิถอนความ พูดผิด
อีกกลับความคิดด้วย ฉับไว
๏ ทันใดโอรสน้อม เศียรลง ตอบนา
ว่าพิษณุทรงสร้าง อีกเลี้ยง
เราหมดและพระองค์ บิตุราช ด้วยนา
พระก็โปรดปรานเพี้ยง บุตรา
๏ อสุรายิ่งกริ้ว กราดใหญ่
ตวาดพระโอรส กึกก้อง
ไปเร็วลูกจัญไร กูเกลียด
ขืนอยู่กูจะต้อง ประหาร มึงแฮ ฯ

ร่าย

๏ พราหมณาจารย์รับพจน์ พาโอรสรีบจร กลับไปสอนกันใหม่ เพื่อให้ถูกบัญชา แห่งอสุราแทตย์ราช แต่ประหลาทนั้นฤา แสนจะดื้อบ่ยอม พร้อมใจเรียนตามครู ขืนคงอยู่ดังเก่า จะเล่าบ่นมนตร์ใด บ่ได้เว้นท่องบ่น วิษณุมนตร์ขึ้นก่อน ครูเพียรสอนแก้ไข สักเท่าใดบ่มิจำ ซ้ำกล่าวโทษครูบา ว่าลืมคุณพิษณุ ผู้สยมภูจอมภพ ผู้เลิดลบใคร ๆ ทั้งในสรวงและดิน ครูก็สิ้นปัญญา มาวันหนึ่งถึงคราว ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด เฝ้าท้าวบิตุราช จึงประหลาทไปเฝ้า ก้มเกล้ากราบเช่นเคย บิดาเชยพักตรา แล้วตรัสว่าลูกรัก หมั่นเรียนนักฤาไฉน ยาใจจงท่องฉันท์ ฟังเล่นกันสักบท โอรสไหว้บิดา แล้วหัดถาประสาน ขุนมารพลันตั้งต้น ท่องมนตร์ขึ้นชัดว่า “อ้าองค์พระพิษณู ผู้ประทานความสุข รำงับทุกข์โยคี ศรีสุขุมสุขุมเลิด เพริดดังดวงตวันฉาย เพราพรายเพียงบัวบาน ท่านคือเอกพฤษภ เปนภพนี้ภพน่า” บิดาฟังเพียงนี้ โกรธเต็มทีเหลือกลั้น ตวาดลั่นวังใหญ่ อ้ายจัญไรอหังการ์ ควรฆ่าเสียโดยพลัน อันมึงไม่ควรมี ชีวิตอยู่ต่อไป เพราะมึงไซร้ขบถ คดต่อปวงญาติมิตร์ คิดร้ายต่อสกุล แสนทารุณชั่วช้า เหวยเสนาไวๆ ฆ่ามันให้วายปราณ เสนามารรับสั่ง ก็พร้อมพรั่งกันเฃ้า เอาสาตราฟอนฟัน รวมกันนับตั้งร้อย ต่างสับซอยฟันฟาด แต่ประหลาทนั้นหนอ บ่มิหยุดท่องมนตร์ ทนความเฃาประหาร บ่มิดาลโทษะ จิตมั่นพระนารายน์ ร่างกายแขงราวเพ็ชร์ เสนาเข็ดขยาด ฟันบ่มิบาดสักน้อย แต่เสนานับร้อย อ่อนใจ ยิ่งนา ฯ

โคลง ๓

๏ บัดนั้นไซร้หิรัณย์ พลันตรัสว่าลูกน้อย
ขอเถิดจงงดถ้อย สักที
๏ ที่เจ้ายอพิษณุ พ่อหนวกหูมากแล้ว
หยุดทีเถิดลูกแก้ว อย่าดัน ดื้อเลย ฯ

โคลง ๒

๏ ประหลาทพลันตอบถ้อย อันว่าฃ้าบาทน้อย
บ่กลัว  
๏ ฝากตัวฝากชีพไว้ ณพระหริไท้
ปลอดภัย สิ้นแล ฯ  

โคลง ๔

๏ ขัดใจเปนยิ่งพ้น คณนา
จึ่งหิรัณย์กสิปุ สั่งให้
เหล่านาคะนาคา มีพิษ
กัดลูกผู้บ้าไซร้ เผด็จชน
๏ นาคผจญขบเขี้ยว คายพิษ
นาคผลัดกันเฃ้ารัด รวบรึ้ง
นาคน้อยนาคใหญ่ฤทธิ์ แรงช่วย กันแฮ
นาคดุนาคร้ายทิ้ง ทั่วกัน
๏ อัศจรรย์ประหลาทไซร้ นั่งเฉย
นาคสิกลับแรงถอย อ่อนแท้
ร้องว่ากระไรเลย ราวเพ็ชร์
เหลือกัดเหลือรัดแท้ ระอา
๏ เขี้ยวฃ้าหักหมดสิ้น ทั้งปาก
หงอนรัตนะแยกแยะ หมดสิ้น
ทั้งคอก็แห้งผาก พิษหมด
เจ็บปวดดังจะดิ้น ดักตาย
๏ แต่กายโอรสไท้ ไป่มี แผลเลย
จงโปรดเถิดราชา แทตย์ไท้
พวกฃ้าหมดฤทธี หมดเดช
ขอพระจงโปรดใช้ อื่นพลัน
๏ หิรัณย์สั่งเรียกช้าง แดนสรวง
สูงใหญ่ราวคีรี ยอดง้ำ
และให้คชาปวง แทงบุตร
ดูจะมีฤทธิ์ล้ำ เท่าใด
๏ ควานใสช้างเฃ้าจู่ โจมแทง
ประหลาทก็พลันหก ล่มขว้ำ
มิทันพลิกตะแคง ช้างเหยียบ
แล้วก็ลงงาซ้ำ อีกพลัน
๏ กุมภัณฑ์ประหลาทไซร้ บ่กลัว
คงบ่นมนตร์วิษณุ บ่เว้น
งาช้างที่แทงตัว งากลับ ทู่แฮ
ช้างเหยียบขยี้เค้น บ่แบน
กริ้วแสนจึ่งแทตย์ท้าว สั่งไป
จงจัดเอาเพลิงสุม อย่าช้า
วายุเร่งเป่าไฟ แรงจัด ขึ้นนา
เพื่อแผดเผาอ้ายบ้า บัดตาย
๏ แทตย์หลายตนรีบร้อน รนขน ฟืนฮา
กองรอบล้อมพระกาย ลูกไท้
หาเชื้อก่อเพลิงลน ลามลุก
เพลิงคุระอุไหม้ ฉับพลัน
๏ ครานั้นประหลาทร้อง ทูลความ
ไฟนี่แพ้พายุ เป่าแล้ว
บ่มิลวกร้อนตาม ตัวสัก น้อยเลย
เห็นแต่แสงเพราแพร้ว เพริดตา
๏ ฃ้ามองโดยรอบแล้ว แลเห็น
พ่างนภาผ่องงาม ทั่วพื้น
ราวสินธุใสเย็น ในสระ
หอมปะทุมชุ่มชื้น ชอบใจ ยิ่งนา ฯ

โคลง ๓

๏ ทำอย่างไรไม่ตาย พราหมณ์ทั้งหลายแก่เถ้า
จึ่งทูลยักษะเจ้า หิรัณย์
๏ อันองค์พระกุมาร ท่านดื้อดันหนักไซร้
อาตมะขอรับไว้ อีกครา
๏ ฃ้าจะลองสั่งสอน ให้ผ่อนทิฏฐิร้าย
โดยวิธีโยคย้าย ทางสอน ฯ

โคลง ๒

๏ ฟังสุนทรทวิชไซร้ ขุนยักษ์มอบบุตร์ให้
แด่พราหมณ์ ฯ  

ร่าย

๏ มีข้อความใขขาน ในตำนานต่อมา ว่าคณาครูเถ้า เฝ้าสั่งสอนวอนนาน แต่กุมารนั้นไซร้ บ่อได้เชื่อฟังคำ ค่ำเช้าเฝ้าแต่บ่น วิษณุมนตร์วิเศษ อีกเฝ้าเทศนา แด่บรรคาฃ้าไท อีกผู้ไปเยี่ยมเยือน เตือนให้เฃารู้จัก คุณหริรักษ์กำแหง อิกแสดงว่าผู้ ที่หมั่นบูชาไท้ ด้วยน้ำใจศรัทธา จะแสนผาสุกจัง อีกทั้งแผ้วมฤตยู พวกขรัวครูเคืองจิต มิรู้คิดฉันใด จึงไปเฝ้าหิรัณย์ ทูลกุมภัณฑ์แทตยราช ว่ามิอาจดัดใจ ให้ประหลาทกลับจิต คิดเห็นตามบัญชา ฝ่ายอสุราใจพาล ฟังคณาจารย์ปานคลั่ง สั่งพ่อครัวทันใด ให้จัดหายาพิษ อันแรงฤทธิ์ซ่าสร้าน ปนอาหารส่งไป ให้โอรสธเสวย ประหลาทเฉยบ่ตาย ร่างกายยงคงเก่า ฝ่ายครูเถ้าหลายตน วนเวียนเปลี่ยนเวรวอน สอนให้ประหลาทคิด ตั้งจิตตรงกรณีย์ อันมีเปนข้อใหญ่ ให้เคารพบิดา แต่เทศนาใด ๆ บ่มิได้เปนผล พราหมณ์ทุกตนขัดจิต สิ้นคิดกล่าวโดยตรง ว่าบิตุรงค์ตรัสใช้ ให้เล่ามนตร์แรงร้าย เพื่อทำลายตัวท่าน แต่กุมารกลับเฉลย ว่าท่านเอยสัตว์ใด จะฆ่าได้ดังหมาย ฤาอาจตายดังหวัง สัตว์ใดตั้งจิตถนอม ฤายอมให้ใครเลี้ยง ไม่มีเยี่ยงอย่างเลย ท่านเอยสัตว์ทั้งหลาย ย่อมทำลายตนแท้ และถนอมตนอยู่ โดยรู้จักกระทำ กรรมเปนบาปและบุญ คุณและโทษคือผล แห่งกรรมตนนะท่าน อาจารย์ฟังขัดจิต จึ่งคิดกันร่ายเวท วิเศษทางมายา ในไม่ช้ามนตร์เลิด ทำให้เกิดนางหนึ่ง ซึ่งน่ากลัวพ้นไป กายเปนไฟส่งแสง เปลวร้อนแรงเหลือทน ยามจรดลแห่งใด แผ่นดินไซร้แห้งผาก นางนี่กรากเฃ้าหา อสุราประหลาท ตบฉาด ๆ ทันที ผาง ๆ ตีทรวงซ้ำ แต่จะทำฉันใด กุมารไม่เจ็บเลย เฉยอยู่บ่นำภา นางมายาขัดใจ หวลกลับไปหาพราหมณ์ ตามติตไล่ทุบตี พวกพราหมณ์หนีบ่พ้น ไฟลามลนตามเผา นางนั้นเล่าตามราญ ทวิชาจารย์ทั้งหลาย วอดวายชนม์จนหมด นางทรหดนั่นไซร้ ผลาญเสร็จแล้วจึ่งได้ ดับสูญ ไปนา ฯ

โคลง ๓

๏ สมบูรณด้วยกตัญญู เห็นคณครูมอดม้วย
ประหลาทจิตมากด้วย เมตตา
๏ วันทาไวกูณฐนาถ อภิวาทนบไหว้
วอนพระหริไท้ ขอพร  
๏ ขออมรวิษณุ ช่วยครูทั้งหมดให้
กลับฟื้นคืนชีพได้ อย่าตาย เลยนา ฯ

โคลง ๒

๏ พราหมณ์ทั้งหลายก็ฟื้น ส่งเสียงสนั่นครื้น
อวยพร  
๏ แล้วจรสู่แทตย์เจ้า ทูลแถลงคติเค้า
ไป่พราง  
๏ ทุกอย่างลองหมดแล้ว แต่กุมารก็แคล้ว
คลาดภัย ถ้วนแล ฯ  

โคลง ๔

๏ ฟังใขขุนแทตย์ร้าย แรงหาญ
ให้เรียกพระโอรส รีบเฝ้า
ชี้หน้าว่ามึงพาล อีกอวด ดีนา
มึงต่อสู้ครูเถ้า ฤหวา
๏ โยคาใดใช้จึ่ง กำแหง
จนประทุษแทงฟัน ไป่ม้วย
มนตร์ใดนะให้แรง ฤทธิรุท
อาจปราบผู้อื่นด้วย ฉันใด
๏ ไหว้พลางโอรสไท้ ทูลภู ธรแฮ
ว่ามิใช่มายา เลิดล้น
เหตุเพราะพระพิษณุ สิงสถิต
ฃ้าบาทจึ่งรอดพ้น พหุภัย
๏ ทันใดขุนแทตย์ร้อง ตวาด
เหม่ ๆ ดูหมิ่นกู ฤทธิเรื้อง
ผลักมันจากปราสาท สูงเยี่ยม นี้เทอญ
ให้ตกลงสู่เบื้อง ปัถพี
๏ เสวีนำลูกไท้ ไปพลัน
ผลักตกลงไปหลาย โยชน์แท้
ภายใต้ก็ยอดบรร พตแกร่ง
กอบศิลาแหลมแล้ สลับสลอน
๏ กรประนมไหว้พระ จักรี
ประหลาทนึกถึงคุณ ท่านคุ้ม
จึงแม่พระธรณี เธอผุด
ขึ้นรับองค์และอุ้ม เหมาะครัน
๏ หิรัณยกศิปุร้าย แลเห็น
ลูกตกบ่เจ็บกาย สักน้อย
กลับรู้สึกแน่เปน ลูกอวด ดีนา
สั่งให้จับตัวต้อย กลับมา
๏ แล้วบัญชาสั่งให้ สังวร
ผู้เอกมายาวี ยิ่งผู้
ให้ลองวิทยากร เก่งกาจ
ทั้งหมดที่รอบรู้ กระทำ
๏ รับคำขุนแทตย์ใช้ จึ่งหมอ เถ้าแฮ
ประกอบกิจมายา ยิ่งล้ำ
เท่าใดบ่มิพอ เพียงปราถ นาเลย
เล่าบ่นมนตราซ้ำ หนักหนา
๏ แต่ว่าประหลาทไซร้ ไป่สยอน
ใจมั่นอยู่ในพิษ ณุเจ้า
ในที่สุดสังวร ย่อมพ่าย
เหมาะหมดความรู้เศร้า สลดใจ
๏ ท้าวไทจอมแทตย์ต้อง สั่งงด
และตรัสแก่พวกพราหมณ์ ทวิชเถ้า
ท่านจงรับโอรส ไปอีก ครั้งเทอญ
สอนส่งให้รู้เค้า คติดี ฯ

ร่าย

๏ คณชีรับสั่ง บ่มิรั้งรอนาน รับกุมารกลับไป และตั้งใจสั่งสอน ให้สุนทรโอวาท รัฐประศาสน์วิทยา ทุกสาขาอนุสาสน์ ฝ่ายประหลาทไวว่อง ศึกษาคล่องคลองธรรม จำได้ทุกประการ อาจารย์ต่างสรรเสริญ เยินยอเกียรติกุมาร และทูลการเฃ้าไป ให้องค์ท้าวอสุรา ทราบกิจจาเสร็จสรรพ์ ฝ่ายหิรัณยุกศิปู ฟังฃ่าวครูแถลงใข แสนดีใจเต็มประดา จึ่งให้หาโอรส แล้วเผยพจน์ถามไถ่ เปนอย่างไรลูกรัก เจ้าหมั่นนักพากเพียร เรียนรู้รัฐประศาสน์ สามารถมากเพียงใด จงเล่าให้พ่อบ้าง ไหว้พลางทางโอรส เฉลยพจน์บิตุราช รัฐประศาสน์วิทยา อันอาจารย์พร่ำสอน เปนสุนทรธรรมแท้ แต่ตูฃ้ายังเห็น เปนการบกพร่องไป ที่มิได้เทศนา ว่าอันการปกครอง เพื่อผองชนผาสุก นิรทุกข์ยีย่ำ จำจะต้องมีหลัก เหมือนปักเสาเคหา ให้แน่นหนาก่อนไซร้ แล้วจึ่งให้สร้างเรือน แต่ครูเชือนแชหลง ลืมกล่าวตรงสำคัญ อันหลักแห่งธรรมา คือศรัทธาเที่ยงไซร้ ในพิษณุบพิตร์ สิทธิสรวงศรีแกล้ว แผ้วพ้นมฤตยู ผู้เอางูเปนแท่น แกว่นกลืนฟ้ากลืนดิน เปนปิ่นภพปรภพ เลิดลบเทพใด ๆ เปนใหญ่ยิ่งรากษส ยักษ์มวลหมดสยองเกล้า ฟังลูกเว้าเช่นนั้น จึ่งหิรัณย์ตวาด มึงบังอาจสรรเสริญ เยินยอเกียรติพิษณู ผู้เปนเพียงเทพบุตร์ กูฤทธิรุทอานุภาพ ปราบได้ทั่วไตรภพ ต้องเคารพกูหมด ฝ่ายโอรสกลับทูล จอมอสูรทรงเห็น เปนข้อผิดแน่ชัด ทรงรัชโปรดเชื่อลูก สิ่งใดถูกเปนธรรม จึ่งนำทูลผ่านเผ้า พระเปนเจ้าประเสริฐ กำเนิดหลายปางไซร้ เปนใหญ่เหนือเทวา คณนานับโกฎิ โรจน์รุ่งในฟากฟ้า สง่าด้วยแสงฉัน ทุกสิ่งสรรพ์เนาองค์ ขอบิตุรงค์นาถไท้ โปรดเชื่อฃ้าบาทไซร้ สักที ฯ

โคลง ๓

๏ ฟังคดีเท่านั้น ขุนหิรัณย์ดุจบ้า
โกรธตั้งไฟลวกฟ้า ลนลาม
๏ เห็นห้ามลูกมิฟัง ร้องเสียงดังว่าเฮ้ย
กูมิให้มึงเย้ย ต่อไป
๏ ไวๆมัดจงมั่น เอามันทิ้งสมุทกว้าง
ผู้กระเดื่องกระด้าง เผด็จชนม์ เหมาะแฮ ฯ

โคลง ๔

๏ หลายตนแทตย์จึงกลุ้ม รุมจับ
มัดประหลาทไว้อย่าง แน่นแท้
พาตัวรีบไปถับ ถึงฝั่ง
มหาสมุทแล้ ผลักลง
๏ พอองค์ประหลาทต้อง ชลธาร
ลอยล่องฟ่องอยู่ใน น่านน้ำ
อัศจรรย์ก็บันดาล ปรากฎ
เห็นประจักษ์ฤทธิล้ำ สุดสยอน
๏ สาครสนั่นก้อง ฟองฟู
เปนระลอกครืน ๆ ทั่วท้อง
ราวกับจะท่วมภู วดลทั่ว ไปแฮ
เสียงอธึกกึกก้อง เขตคัน
๏ หิรัณย์เห็นเช่นนี้ จึงสั่ง
ทวยแทตย์หาศิลา มากก้อน
และให้ทุ่มลงยัง สมุท
ก้อนใหญ่ ๆ ให้ซ้อน แน่นไป
๏ ให้ถมทับบุตร์ผู้ อวดดี
ซึ่งมิอาจสังหาร มอดม้วย
แทตย์ถมซึ่งวารี เร็วรวด
กดศิลาแน่นด้วย เดชฉกรรจ์
๏ หิรัณย์ตวาดเว้า วาที
จะฆ่ามันมิตาย แน่แล้ว
ให้มันอยู่พันปี ใต้สมุท
หินทับอยู่ฤาแคล้ว คลาดไฉน
๏ แต่ใจประหลาทนั้น บ่มี กลัวเลย
หินทุ่มบ่เจ็บกาย สักน้อย
ใจจอดพระหรี มุ่งมั่น
ปากก็บ่นแต่ถ้อย สรรเสริญ
๏ เพลินสมาธิแท้ แน่วใจ
ในพระพิษณุจอม เทพเจ้า
บ่เกรงซึ่งโพยภัย พาลอย่าง ใดเลย
ตั้งจิตคิดแต่เค้า คติงาม
๏ ปวงทามที่รัดรึ้ง กายา
ฃาดปุดประหนึ่งใย แห่งกล้วย
อีกทั้งสิขรผา ทลายหมด
ประหลาทผุดขึ้นด้วย ฉับไว
๏ ดีใจขึ้นจากท้อง สมุท
และกล่าววิษณุมนตร์ อีกแล้ว
ประหลาทก็รีบรุด เร็วรวด
เฃ้าสู่ประสาทแก้ว บิตุรงค์
๏ องค์หิรัณย์แทตย์ครั้น เห็นบุตร์
ก็กอดและจุมพิต ลูกแก้ว
พ่อนึกว่าลูกสุด สิ้นชีพ
ลูกกลับมาอีกแล้ว พ่อเกษม สุขฮา ฯ

ร่าย

๏ โดยความเปรมหฤทัย ที่ได้ลูกคืนมา อันบิดากับบุตร์ หยุดโต้แย้งแก่กัน เกษมสันต์สำราญ บุตร์ช่วยการงานเมือง บ่ให้เคืองเบื้องบาท บิตุราชรังสรรค์ แต่วันหนึ่งสนทนา ด้วยกิจจานุกิจ เริ่มเกิดผิดใจกัน อันประหลาทแถลง แสดงความเห็นว่า ที่ทั่วหล้าเปนสุข นิรทุกข์ทั่วไป เพราะอาศัยพระคุณ การุญแห่งพิษณุ ผู้ประสาทสิ่งสรรพ์ จึงหิรัณย์กศิปู ว่าดูดู๋พูดได้ พ่อเองไซร้ครอบครอง โลกทั้งผองจึ่งสุข ทุกข์ภัยปวงจึงมลาย อันนารายน์เทพบุตร์ มีฤทธิรุทปานใด จึ่งจะใหญ่กว่ากู ผู้เปนจอมโลกตรี บุตร์อัญชลีทูลตอบ ว่าชอบแต่พระองค์ จะทรงพระดำริห์ ไตร่ตริดูด้วยพลัน อันวิษณุเปนเจ้า เฃ้าสิงอยู่ทั่วไป อยู่ในองค์บิตุราช จึ่งสามารถทรงครอง ผองเทวามนุษ สุดสิ้นดินแดนไตร วิษณุไซร้สิงอยู่ ในตูฃ้าพระเจ้า อีกเฃ้าสิงถนัด ในสรรพสัตว์ทั่วแท้ ธสิงอยู่มั่นแม้ ในของ หมดนา ฯ

โคลง ๒

๏ กึกก้องหัวเราะเร้า หิรัณย์หมายยั่วเย้า
ลูกชาย  
๏ นารายน์อยู่ทั่วแท้ คงจะสถิตแม้
ในเสา นี่นา  
๏ แต่เราแลอยู่นี้ บ่เห็นวิษณุชี้
ให้กัน เถิดแฮ ฯ  

โคลง ๓

๏ ลูกพลันตอบบิตุรงค์ ถึงบ่ทรงเห็นแล้
ธสถิตอยู่แท้ แน่จัง
๏ หิรัณย์ฟังวจี โกรธเต็มทีชี้หน้า
ว่ามึงอ้ายถ่อยบ้า ฉิบหาย
๏ นารายน์อยู่ในเสา เราจะฆ่ามอดม้วย
แล้วจึงฟาดเสาด้วย คทา ฯ

โคลง ๔

๏ ครานั้นเสาแตกเปรี้ยง เสียงดัง
ปราสาทราชมณเฑียร กึกก้อง
พระอวตารพัง เสาออก
และโลดออกสู่ห้อง หอทอง
๏ ยักษ์มองเห็นท่านแล้ว ใจหาย
เพราะบ่เคยเห็นเลย เช่นนั้น
เศียรสิงห์แต่พระกาย เปนอย่าง มนุษนา
เล็บกรดดูน่าหยั้น ขยาดจริง
๏ นรสิงห์ขู่ก้อง แล้วกราก
ไปจับท้าวหิรัณย์ แทตย์ร้าย
จับมั่นและพลันลาก ไปแทบ ทวารแฮ
แทตย์สุดจะยักย้าย โยกหนี
๏ จึ่งมีพระกระทู้ ถามยักษ์
กูนี่อะไรหนอ จุ่งแจ้ง
คนหรือสัตว์ประจักษ์ แจ้งชนิด ใดฮือ
มึงอย่าได้คิดแกล้ง เกลื่อนความ
๏ ฟังถามแทตย์ร้ายตอบ คำไป
ว่าบ่มิเคยเห็น แต่กี้
มิเปนสัตว์มิใช่ มนุษ
สองอย่างรวมเช่นนี้ เหลือทาย
๏ นารายน์ชูหัดถ์ชี้ นขา
ถามว่าอาวุธใด เล่าแฮ้
ยักษ์ตอบมิใช่อา วุธอย่าง ใดเลย
ดูก็เป็นเล็บแล้ แหลมจริง
๏ นรสิงห์ว่าบัดนี้ เวลา ใดฮือ
ยักษ์เพ่งดูตวัน เคลื่อนคล้อย
ตอบว่าระหว่างรา ตรีกับ วันนา
เพราะตวันต่ำต้อย แต่มี
๏ นรสิงห์ว่าที่นี้ บอกมา
อยู่นอกฤาอยู่ใน จุ่งแจ้ง
ยักษ์ตอบว่าอยู่คา แค่ช่อง ทวารแฮ
ฃ้าบ่อยากโต้แย้ง ต่อไป
๏ ท่านไซร้มีฤทธิ์ล้ำ เลอปวง
มนุษและสัตว์ใน โลกนี้
ยิ่งเทพณแดนสรวง ทั้งหมด
ฃ้าอยากทราบจงชี้ ชื่อพลัน
๏ ครานั้นสมเด็จเจ้า อวตาร
ตรัสว่ากูคือพิษ ณุแล้
ซึ่งมึงอหังการ ท้าอยู่ เสมอนา
อ้ายถ่อยจะคิดแก้ ฉันใด
๏ อ่อนใจสิ้นฤทธิ์ทั้ง สิ้นแรง
จึ่งหิรัณย์ตอบคำ ท่านไท้
ว่าท่านสุดกำแหง หาญหัก
ฃ้าสุดจะสู้ได้ อย่าถาม
๏ คำรามสนั่นอื้อ แสนอึง
นรสิงห์ฉีกอก ยักษ์ห้าว
ทลวงแหวะพุงรึง ไส้หลุด
จึ่งหิรัณย์แทตย์ท้าว มอดมรณ
๏ เสร็จรอญอริร้าย แรงฦๅ
พระหริกลายรูป บัดนั้น
ถนัดหัดถ์สี่ถือ อาวุธ สี่แฮ
ผ่องรัสมีทั่วชั้น แมนสรวง
๏ ปวงแทตย์ทานพน้อม นอบกลัว เดชฮือ
ประหลาทค่อยคลานไป กราบไท้
กราบทูลถวายตัว เปนทาส
สุดแต่จะทรงใช้ ต่อไป
๏ พระไวกูณฐ์นาถยิ้ม พลางตรัส
ดูก่อนประหลาทเรา รักเจ้า
ถือธรรมเที่ยงถนัด วิริยะ
ขุนแทตย์จงอย่าเศร้า สลดใจ
๏ จงไปครองเขตแคว้น บาดาล
เปนสุขเกษมเพียง ฟากฟ้า
ตรัสเสร็จเสด็จผ่าน กลีบเมฆ
ยังถิ่นไวกูณฐ์อ้า เอี่ยมแสง
๏ แถลงปางที่สี่นี้ จบลง
ตามเรื่องแต่โบราณ เท่านี้
พราหมณ์มีจิตจำนง เพราะศรัท ธาพ่อ
ในพระหริชี้ คติตาม เรื่องเอย ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ