ตำราช้าง ฉบับรัชกาลที่ ๑
ตำราช้าง ฉบับรัชกาลที่ ๑ เป็นต้นฉบับหนังสือสมุดไทย๑ ที่เก็บรักษาอยู่ในหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร จัดจำแนกเนื้อหา และลงทะเบียนไว้ในเอกสารโบราณหมวดสัตวศาสตร์เลขที่ ๑๔ มีข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับต้นฉบับ ดังนี้
ชื่อเรื่อง | ตำราช้างว่าด้วยกำเนิดและลักษณะช้างต่างๆ |
ประเภท | หนังสือสมุดไทยดำ |
ขนาด | กร้าง ๑๑.๒ เชนติเมตร ยาว ๓๕.๘ เชนติเมตร หนา ๒.๘ เชนติเมตร |
จำนวนหน้า | หน้าต้น ๕๖ หน้า หน้าปลาย ๕๕ หน้า๒ รวม ๑๑๑ หน้า๓ |
เส้นอักษร | เส้นหรดาล๔ และเส้นดินสอ๕ |
อักษร | ไทย |
ภาษา | ไทย บาลี และสันสกฤต |
เขียนอักษร | หน้าละ ๑-๕ บรรทัด |
ศักราช | พ.ศ.๒๓๒๕ มีข้อความในบานแผนก เขียนไว้ที่หน้าต้นว่า “๏ วัน ๗ ๔+ ๑๑ จุลศักราช ๑๑๔๔ ปีขาลจัตวาศกจำลองแล้วทานแล้ว ๛” |
สภาพ | ต้นฉบับค่อนข้างแข็งแรง มีรอยปรุพรุนบางแห่ง |
ประวัติ | หอสมุดฯ ซื้อจากหม่อมหลวงแดง สุประดิษฐ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙ |
เรื่องย่อ | กล่าวถึงการกำเนิดของช้างต่าง ๆ ที่พระเป็นเจ้าทั้ง ๔ สร้างขึ้น ๔ ตระกูล ได้แก่ พระพรหมสร้างช้างตระกูล พรหมพงศ์ พระนารายณ์สร้างช้างตระกูล วิษณุพงศ์ พระอิศวรสร้างช้างตระกูล อิศวรพงศ์ และพระเพลิงสร้างช้างตระกูล อัคนิพงศ์ จากนั้นบรรยายรูปร่าง ผิวพรรณ กำลัง และคุณลักษณะของช้างศุภลักษณ์แต่ละตระกูลโดยละเอียด ตั้งแต่พรหมพงศ์ มี ๑๐ หมู่ และช้างประจำทิศ ๘ หมู่ วิษณุพงศ์มี ๘ หมู่ อิศวรพงศ์มี ๘ หมู่ และ อัคนิพงศ์ ๔๒ หมู่ (ในตำราฉบับนี้กล่าวถึงหมู่ที่ ๑ ชื่อพระพัทจักรพาฬ ไปจนถึงหมู่ที่ ๓๑ จตุกุมภ์เท่านั้น น่าจะมีความต่อในเล่ม ๒ แต่ไม่พบต้นฉบับ) |
ลักษณะการเขียนต้นฉบับและรูปอักษร
ลักษณะการเขียนต้นฉบับของตำราช้างเล่มนี้ เป็นการเขียนตามแบบแผนการบันทึกลายลักษณ์อักษรลงในหนังสือสมุดไทย คือ เขียนข้อความเต็มหน้าสมุด ทั้งหน้าต้นและหน้าปลาย๖ โดยเว้นหน้าว่างไว้ ๑ หน้า หลังปกหน้าและบานแผนก และเว้นหน้าว่างไว้ ๑ หน้า หลังปกหลัง การเขียนรูปอักษรส่วนเนื้อหาภายในเล่ม เขียนใต้เส้นบรรทัด หน้าละ ๔ บรรทัด ยกเว้นหน้าสมุดที่มีภาพประกอบเขียนข้อความ ๑-๕ บรรทัด ส่วนหน้าปก หน้าบานแผนก หน้าต้นตอนท้ายที่เขียนคำว่า “กลับ” และหน้าปลายตอนต้นที่เขียนคำว่า “ปลาย” ๔ หน้านี้ เขียนอักษรหน้าละ ๑ บรรทัด
เส้นที่ใช้เขียนอักษรเป็นเส้นหรดาลเกือบตลอดตั้งเล่ม ทั้งที่เป็นรูปอักษร และภาพลายเส้น ยกเว้นหน้าที่พบว่าใช้เส้นดินสอขาว เขียนข้อความเรื่องอื่นแทรกไว้ ในหน้าปลายที่ ๑ (หน้าที่เขียนคำว่า “ปลาย”) เป็นเรื่องตำราซัดนาก และสูตรทำทอง ลายมือที่เขียนค่อนข้างหวัด ตัวอักษรมีขนาดเล็กมาก เขียนข้อความในหนึ่งหน้าสมุดไว้ถึง ๖ บรรทัด ต่างจากลายมือที่เขียนเรื่อง “ตำราช้าง” ซึ่งเขียนรูปอักษรตัวบรรจง เป็นระเบียบงดงามตามแบบลายมืออาลักษณ์ คือผู้เขียนเป็นผู้มีความรู้ฝึกหัดการเขียนจากข้าราชการในกรมอาลักษณ์ หรือ จากผู้รู้หลัก เช่น พระราชาคณะ หรือ มหาเปรียญ เป็นต้น๗ ตัวอักษรมีขนาดค่อนข้างใหญ่อ่านได้ชัดเจนกระจ่างตา
รูปอักษรที่ใช้เขียนต้นฉบับซึ่งมีข้อความทั้งภาษาไทย บาลี และสันสกฤต เป็นอักษรไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จัดเป็นแบบอักษรที่มีวิวัฒนาการสืบต่อมาจากอักษรไทยสมัยอยุธยา ลักษณะแนวเส้นอักษรเอียงไปทางขวา ทำมุมประมาณ ๕๐-๖๐ องศา
อักขรวิธีที่ใช้ในต้นฉบับ
ตำราช้าง ฉบับรัชกาลที่ ๑ นี้ เป็นบันทึกความรู้เรื่องเกี่ยวกับช้าง ที่เขียนขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๒๕ นับถึงปัจจุบัน มีอายุเก่าถึง ๒๑๙ ปี มาแล้ว อักขรวิธีที่ใช้ในต้นฉบับ จึงมีความแตกต่างจากอักขรวิธีที่ใช้เขียนในปัจจุบันอยู่หลายประการ ซึ่งเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นถึงรูปแบบและความนิยมของวิธีการเขียนในรัชกาลที่ ๑ ทั้งนี้แม้ว่าจะเป็นเพียงข้อมูลที่ปรากฏใช้ในหนังสือสมุดไทยเพียงเล่มเดียว แต่ก็สามารถแสดงถึงรูปแบบของอักขรวิธีร่วมสมัย และรวบรวมเกณฑ์การเขียนได้ ดังนี้
๑. รูปอักษรที่เป็นตัวเชื่อม หรือควบกัน ซึ่งมีทั้งการเขียนพยัญชนะควบพยัญชนะและพยัญชนะควบสระ เขียนเชื่อมต่อกันเป็นเส้นเดียวต่อเนื่องไปโดยไม่ยกเครื่องเขียน เช่น
พระ | |
พญา | |
สารพางค์ | |
ปี | |
เปือก |
ในกรณีที่เขียนสระควบต่อกับพยัญชนะบางตัวซึ่งเส้นหลังของตัวอักษรยาว หรือมีหางอักษร จะเขียนสระเชื่อมกับเส้นหลังของพยัญชนะที่ระยะครึ่งตัวอักษร แล้วจึงเขียนเส้นอักษรหรือหางอักษรเพิ่มเติมทีหลัง เช่น
ปาก | |
ฟ้า | |
หัดฐา (หัฏฐา) | |
ปิงคัล | |
ช้าง | |
ชำนะ | |
สำไล่ |
๒. รูปอักษรที่ใช้อักษรขอมเขียนประกอบเป็นตัวเชิง เช่น
สฺวาหาย | |
สฺวาหับ | |
หัฏฺฐาจารย์ |
๓. ใช้รูปพยัญชนะตัวเดียวแทนสองตัว คือเป็นทั้งตัวสะกดของพยางค์แรก และเป็นพยัญชนะต้นของพยางค์หลัง เช่น
จัฏฐี | |
อันนี้ | |
หัตถี | |
ประเสริฐศรี |
๔. รูปพยัญชนะที่ประสมสระ อะ และสะกดด้วยมาตราแม่ กง มีที่ใช้ทั้งรูป -งง และรูป -ั ง คำที่ใช้รูป “-งง” พบใช้เขียนคำเพียง ๒ คำ คือ
ทั้ง | |
ดัง หรือ ดั่ง ซึ่งส่วนใหญ่ใช้รูปนี้ แต่มีใช้รูป | |
คำละ ๑ แห่ง เท่านั้น |
นอกจาก ๒ คำ ข้างต้นนี้ คำอื่นๆ ใช้รูป “-ัง” ทั้งหมด เช่น
บังเกิด | |
นั่ง |
และมีคำที่พบใช้ทั้งสองรูปแบบ เช่น
หลัง | |
คังไคย |
พบรูปคำ “ดัง” เขียนรูปคำเป็น อยู่แห่งหนึ่ง ทำให้สันนิษฐานได้ว่า การเขียนรูปคำที่ประสมสระอะ มีตัวสะกดมาตราแม่กง อยู่ในช่วงระยะที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปเป็นรูป “-ัง”
๕. รูปคำที่ปัจจุบันเขียนด้วยสระเสียงสั้น พบว่านิยมเขียนเป็นสระเสียงยาว เช่น
เป็น | |
กิน | |
ดุจ | |
พิไล |
๖. รูปคำที่ปัจจุบันเขียนด้วยสระเสียงยาว พบว่านิยมเขียนเป็นสระเสียงสั้น เช่น
เขียว | |
ละเอียด |
๗. ใช้รูปสระเสียงสั้น และสระเสียงยาวปะปนกัน พบว่าคำเดียวกัน บางแห่งเขียนรูปคำประสมสระเสียงสั้น บางแห่งเขียนประสมสระเสียงยาว เช่น ประสมรูปสระอิ หรือสระอี
บังเกิด | |
มี | |
มิ | |
สิทธิ | |
เดิน | |
เนียม |
ประสมรูปสระอุ หรือ สระอู
สมบูรณ์ |
ประสมรูปสระเอะ หรือ สระเอ
เล็บ |
(คำนี้บางแห่งเขียนรูปคำ )
๕. ใช้รูปสระอึ สระอี และสระอิ ปะปนกัน เช่น
เบื้อง | |
เหลือง | |
เผือก |
๙. ใช้รูปอักษรพยัญชนะตัวเดียว เขียนคำโดยละรูปสระไว้ เช่น
จะว่า จะมา จะไป | |
ก็ดี ก็มี | |
บ่มิ |
๑๐. รูปคำที่เป็นเสียงสระ “ไอ” ส่วนใหญ่ประสมด้วยรูปสระไอไม้มลาย “ไ” และ ไม้ม้วน “ใ” ตรงตามรูปคำในอักขรวิธีปัจจุบัน เช่น
ใน (เขียน อยู่ ๑ แห่ง) | |
ให้ (เขียน อยู่ ๑ แห่ง) | |
ไป | |
ได้ |
พบคำที่ปัจจุบันเขียนด้วย รูปสระใอไม้ม้วน เขียนเป็น รูปสระไอ ไม้มลาย ได้แก่
ใหญ่ | |
ใกล้ |
๑๑. เครื่องหมายปีกกา รูป นี้ พบใช้เขียนคลุมคำ ที่มีคำ หรือ วลี หน้า/หลัง ซ้ำกัน เช่น
ถ้างายาวพันหน้างวงออกไป ๒ ๔} นิ้วไซร้
อ่านว่า ถ้างายาวพ้นหน้างวงออกไป ๒ นิ้ว ออกไป ๕ นิ้ว ไซร้
มีหมู่ช้าง พลาย พัง}
อ่านว่า มีหมู่ช้างพลาย หมู่ช้างพัง
๑๒. วิธีใช้เขียนมาตราวัดขนาด พบใช้เพียงแห่งเดียว ในข้อความว่า
นางโคนั้นใหญ่ สูง ๕ ๐ ๐
อ่านว่า นางโคนั้นใหญ่ สูง ๕ ศอก (ในที่นี้ ตัวเลขบรรทัดบน มีหน่วยเป็นศอก บรรทัดที่สอง มีหน่วยเป็นคืบ และบรรทัดที่สาม มีหน่วยเป็นนิ้ว และเนื่องจากบรรทัดที่สองและสาม เป็นเลข ๐ จึงไม่ต้องอ่านค่าหน่วย)
๑๓. เครื่องหมายกากบาท รูป + ใช้เขียนประกอบตัวเลขบอกวัน ปักษ์ขึ้น แรม และเดือน มีรูปแบบการเขียน ดังนี้
๑๓.๑ ตัวเลขใช้แทนชื่อวันทั้ง ๗ ในสัปดาห์ เขียนไว้หน้า เครื่องหมาย + เลขทั้ง ๗ มีความหมายตามวัน ดังนี้
เลข ๑ | หมายถึง วันอาทิตย์ |
เลข ๒ | หมายถึง จันจันทร์ |
เลข ๓ | หมายถึง วันอังคาร |
เลข ๔ | หมายถึง วันพุธ |
เลข ๕ | หมายถึง วันพฤหัสบดี |
เลข ๖ | หมายถึง วันศุกร์ |
เลข ๗ | หมายถึง วันเสาร์ |
๑๓.๒ ตัวเลขบอกปักษ์ ขึ้น แรม ได้แก่ ตัวเลขที่เขียนบนเครื่องหมาย + บอกปักษ์ข้างขึ้น เช่น ๑+ หมายถึง ขึ้น ๑ ค่ำ ตัวเลขที่เขียนใต้ เครื่องหมาย + บอกปักษ์ข้างแรม เช่น ๑+ หมายถึง แรม ๑ ค่ำ
๑๓.๓ ตัวเลขบอกลำดับเดือน เขียนไว้ที่หลังเครื่องหมาย + ได้แก่
เลข ๑ คือ เดือนอ้าย | เลข ๗ คือ เดือนเจ็ด |
เลข ๒ คือ เดือนยี่ | เลข ๘ คือ เดือนแปด |
เลข ๓ คือ เดือนสาม | เลข ๙ คือ เดือนเก้า |
เลข ๔ คือ เดือนสี่ | เลข ๑๐ คือ เดือนสิบ |
เลข ๕ คือ เดือนห้า | เลข ๑๑ คือ เดือนสิบเอ็ด |
เลข ๖ คือ เดือนหก | เลข ๑๒ คือ เดือนสิบสอง |
ข้อความในต้นฉบับหน้าแรก เขียนไว้ดังนี้ ๏ วัน ๗ ๑๑+ ๔ ค่ำ
อ่านว่า ๏ วันเสาร์ เดือน ๔ แรม ๑๑ ค่ำ
๑๔. คำที่ใช้พยัญชนะซ้อน ๒ ตัว แทนไม้หันอากาศเมื่ออยู่สุดบรรทัด หากกระดาษหมดไม่สามารถเขียนคำนั้นๆ ได้เต็มรูปคำ จะตัดพยัญชนะนั้นออก ๑ ตัว และใช้ไม้หันอากาศแทน พบใช้ ๒ แห่ง และเป็นคำเดียวกัน คือ
คำว่า “พรรณ” เขียนตัดรูปอักษร เป็น
๑๕. การใช้รูปวรรณยุกต์เอก และวรรณยุกต์โท ไม่เคร่งครัดในการเขียนกำกับคำทุกคำ บางคำก็ละไว้ ไม่ได้กำกับรูปวรรณยุกต์ใด แต่ผู้อ่านสามารถเข้าใจคำนั้นๆ ได้จากบริบท เช่น
แลงานั้นเป็นรูปปลีกล้วย | |
ครั้นรุ่งเช้า | |
พญาผู้พี่ใคร่ปรารถนา | |
สามล้านหกแสนหมื่นสามร้อยห้าสิบ |
๑๖. เครื่องหมายวรรคตอน ที่ปรากฏใช้ในต้นฉบับตำราช้างเล่มนี้ ได้แก่
๑๖.๑ เครื่องหมายฟองมัน หรือตาไก่ ใช้เขียนขึ้นต้นข้อความ พบเขียน ๒ รูป คือ
๑๖.๒ เครื่องหมายที่ใช้เขียนคั่นเมื่อจบประโยค หรือข้อความ ใช้รูป เครื่องหมาย ๓ แบบ คือ
- เครื่องหมายอังคั่น เขียนเป็นรูป | |
- เครื่องหมายอังคั่นคู่ เขียนเป็นรูป | |
- เครื่องหมายอังคั่นคู่วิสรรชนีย์ เขียนเป็นรูป |
๑๒.๓ เครื่องหมายที่ใช้เมื่อจบเรื่อง หรือ จบตอน ใช้รูปเครื่องหมาย ๒ แบบ คือ
- เครื่องหมายโคมูตร เขียนเป็นรูป | |
- เครื่องหมายอังคั่นคู่โคมูตร เขียนเป็นรูป |
-
๑. หนังสือต้นฉบับซึ่งมีรูปลักษณะต่างจากหนังสือฉบับพิมพ์ทั่วๆ ไป ทำด้วยกระดาษแผ่นยาวๆ แผ่นเดียว พับกลับไปกลับมา ใช้เขียนหนังสือได้ทั้ง ๒ ด้าน หนังสือสมุดไทยมี ๒ สี สีดำ เรียกว่า หนังสือสมุดไทยดำ และสีขาว เรียกว่า หนังสือสมุดไทยขาว ↩
-
๒. หนังสือสมุดไทยมี ๒ ด้าน ด้านแรกที่เริ่มเขียนตัวหนังสือเป็นด้านหน้า เรียกว่า หน้าต้น และเมื่อเขียนจบหน้าต้นแล้วเขียนขึ้นใหม่ที่ด้านหลัง เรียกว่า หน้าปลาย ↩
-
๓. หนังสือสมุดไทยไม่มีเลขหน้า เมื่อจะนับหน้า ใช้นับจากฝาของหน้าสมุด (ระหว่างรอยพับหนึ่งไปอีกรอยพับหนึ่ง) ๑ ฝา นับเป็น ๑ หน้าสมุด ↩
-
๔. เขียนด้วยน้ำหมึกสีเหลือง ที่ได้มาจากส่วนผสมของรงกับหรดาล รงเป็นยางไม้ชนิดหนึ่ง มีสีเหลือง ส่วนหรดาลที่ใช้ทำหมึกนี้ใช้หรดาลกลีบทองซึ่งเป็นแร่ชนิดหนึ่ง ↩
-
๕. เขียนด้วยดินสอขาว ที่ได้มาจากหินดินสอ เป็นดินชนิดหนึ่งที่มีเนื้อละเอียดแข็ง ลักษณะเหมือนหินก้อนใหญ่ๆ มีอยู่ตามภูเขา เมื่อจะนำมาใช้ประโยชน์ในการเขียน ต้องเลื่อยให้เป็นแท่งเล็ก ดินสอขาวชนิดดี เป็นดินเนื้อละเอียดสีขาวจัด พบมากในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราช ↩
-
๖. ก่องแก้ว วีระประจักษ์, รายงานผลการวิจัยเรื่อง วิเคราะห์เปรียบเทียบต้นฉบับตัวเขียนวรรณกรรมสุนทรภู่, ทุนอุดหนุนการวิจัยจากคณะอนุกรรมการส่งเสริมการศึกษาวิจัยและประมวลผลงานสุนทรภู่เพื่อจัดพิมพ์ ในคณะกรรมการอำนวยการโครงการฉลอง ๒๐๐ ปี กวีเอกสุนทรภู่ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ, เอกสารอัดสำเนา, ๒๕๒๙, หน้า ๒๓. ↩
-
๗. เรื่องเดิม, หน้า ๒๓๖. ↩