จดหมายหลวงอุดมสมบัติ ฉบับที่ ๒

๏ ข้าพเจ้าหลวงอุดมสมบัติ จดหมายมายังหลวงทิพอักษรเสมียนตรา ได้นำขึ้นกราบเรียนแต่ท้าวพระกรุณาเจ้าให้ทราบ ด้วยข้าพเจ้าจดหมายมา ณ วันเดือน ๔ แรม ๖ ค่ำปีจอสัมฤทธิศกแต่ก่อนนั้น ข้อความแจ้งอยู่ในจดหมายนั้นแล้ว แลเมื่อ ณ วันเดือน ๔ แรม ๗ ค่ำ เพลาเช้าเสด็จพระราชดำเนินลง ณ พระตำหนักน้ำ ส่งกองทัพท้าวพระกรุณานั้น ทรงตรัสว่าจัดแจงเรือก็งามดีอยู่ การจะจัดแจงเรือแล้วท้าวพระกรุณาเข้าใจอยู่มาก แลเมื่อท้าวพระกรุณาล่องลงมาถึงหน้าพระที่นั่งกราบถวายบังคมลานั้น ทรงพระสรวลตรัสว่า ทอดพระเนตรดูเป็นสง่าผ่าเผยนักหนาออกไปเถิด มันรู้เข้าว่าออกไปถึงแล้วมันก็คงพากันเลิกไปหมดนั่นแหละ ถ้าเห็นการจะเอาผู้คนข้างนอกไม่ได้แล้ว ก็บอกเข้ามาจะจัดแจงเพิ่มเติมออกไปให้ ทำเอาให้แล้วจงได้ แล้วรับสั่งสั่งเจ้าคุณหาบนว่า ดูคิดจัดแจงเตรียมทัพคอยไว้อีกสักสี่พันเถิด เอาพระยาราชวังสรรค์กับมอญออกไป ถ้ากระไรจะได้ยกเพิ่มเติมไปช่วยกันทันท่วงทีราชการ ๚

๏ ครั้นเพลาค่ำทรงตรัสถามจมื่นไชยภูษาว่า เป็นกระไรเอาส้มจีนไปพระราชทานให้ท้าวพระกรุณากินหรือไม่กิน จมื่นไชยภูษากราบทูลว่ารับพระราชทาน ทรงตรัสถามว่า เมื่อล่องเรือลงไปนั้นดีอยู่ดอกหรือ ถูกกระทบพ่วงแพบ้างหรือไม่ จมื่นไชยภูษากราบทูลว่า ล่องลงไปดีอยู่ หาถูกพ่วงแพใครไม่ ทรงตรัสถามว่าลงไปทอดอยู่ที่ไหน ดูจัดแจงทำอะไรอยู่ จมื่นไชยภูษากราบทูลว่าลงไปทอดอยู่หน้าโรงฝางข้าม จัดแจงการบรรทุกอยู่ ยังหาเรียบร้อยไม่ ทรงตรัสถามว่า จะนอนอยู่ที่เรือหรือ ๆ จะขึ้นมาบ้าน จมื่นไชยภูษากราบทูลว่า ไม่กลับขึ้นมาบ้านหามิได้ รับพระราชทานนอนอยู่ที่เรือทีเดียว ทรงตรัสว่า นอนอยู่ที่เรือทำไม กลับมานอนเสียที่บ้านให้สบายก่อน[๑] เมื่อจะไปจึงลงไปก็จะได้ ๚

๏ ครั้น ณ วันเดือน ๔ แรม ๘ ค่ำ เพลาเช้า ทรงตรัสถามถึงท้าวพระกรุณาว่า เมื่อคืนนี้ใครลงไปเยี่ยมที่เรือบ้างหรือไม่ พระศรียภักดี[๒] กราบทูลว่า ได้รับพระราชทานลงไป ทรงตรัสถามว่าเป็นกระไรสบายอยู่ดอกหรือ ลงไปนั่งทำอะไรอยู่ พระศรียภักดีกราบทูลว่าสบายอยู่ การที่บรรทุกเรือยังหาเรียบร้อยไม่ ก็ดูแลจัดแจงบรรทุกอยู่ ทรงตรัสว่า ไปนั่งอุดอู้กันอยู่ที่เรือเห็นจะร้อนนักหนาแล้ว ๚

๏ ครั้นเพลาค่ำ ทรงตรัสถามคุณพระนาย[๓] ข้างมหาดเล็กถึงท้าวพระกรุณาว่า ได้ยินว่าเข้ามาหรือ คุณพระนายกราบทูลว่า ท้าวพระขึ้นมาอยู่ที่บ้านเจ้าพระยาพระคลัง ทรงตรัสว่าจะไปพูดจากับเจ้าพระยาพระคลังเสียก่อนแล้วจึงจะเข้ามาดอกกระมัง แล้วเสด็จขึ้นพระแท่นทรงฟังคำให้การอ้ายญวนซึ่งจับได้มาแต่ทางนครเสียมราบอยู่ พอท้าวพระกรุณาเข้าไปเฝ้ารับสั่งว่า เออ ถามถึงอยู่เมื่อตะกี้ เข้ามาแล้ว ทรงฟังคำให้การเสียสักคำหนึ่งเถิด จะได้พูดจากับท้าวพระกรุณา ครั้นอ่านคำให้การเสร็จแล้ว ทรงตรัสถามท้าวพระกรุณาว่า ผู้คนมาถึงพร้อมกันหมดแล้วหรือ ท้าวพระกรุณากราบทูลว่า พวกเพชรบุรีมาถึงแล้ว ยังแต่ราชบุรียังหามาถึงไม่ ทรงตรัสถามว่า พระยาราชบุรีเขาจัดแจงให้ใครเป็นนายออกไป ท้าวพระกรุณากราบทูลว่า จัดแจงผู้ช่วยคุมออกไป แต่ผู้ช่วยนั้นมาถึงแล้วให้กลับออกไปเร่งคนให้เข้ามาอยู่ ทรงตรัสถามว่า ก็เรือแพนั้นว่ากระไร จัดแจงกันไว้พอแล้วหรือ หมดด้วยกันจะได้เรือออกไปเท่าไร ท้าวพระกรุณากราบทูลว่า จะได้ออกไปเป็นเรือรบ ๑๕ ลำ เรือยืม ๒๑ ลำ เรือยังหาพอไม่ ทรงตรัสถามว่า ก็คิดจัดแจงกันไว้อย่างไร จะได้ล่องลงไปเมื่อไร ท้าวพระกรุณากราบทูลว่า จะกราบถวายบังคมลาล่องลงไป ณ วันเดือน ๔ แรม ๑๐ ค่ำ การที่จะจัดเรือส่งลงไปครั้งหลังนั้น เจ้าพระยาพระคลัง พระยาโชฎึกจะจัดแจงส่งลงไป รับสั่งว่า คิดจัดแจงเอาคนเราใส่ลงด้วยให้เป็นนายบังคับกันออกไปเห็นจะดี ถ้าไม่มีคนเราไปด้วยแล้วมันก็จะพากันไปแชเชือนเสียหมดนั่นเอง แล้วทรงตรัสว่าคอย ๆ นครฯ คอย ๆ สงขลา ก็เงียบหายไปหมด จะทรงฟังความอีกสักทีหนึ่งเท่านี้แหละไม่มีใครบอกเข้ามาเลย จะเป็นอย่างไรหนอ สงขลาจะเสียหรือไม่เสียอย่างไรก็ไม่รู้ ถ้าการดีแล้วก็คงบอกเข้ามา ถ้าการร้ายแล้วก็ไม่บอกเข้ามานั่นเอง ข้างไชยาเล่าก็ไม่บอกเข้ามา อ้ายหวันมาลีมันจะคิดไปทำข้างโน้นเข้าหรืออย่างไรก็ไมรู้ ได้ความก็ว่าพบเรืออ้ายแขกอยู่ที่เกาะยาว ๓๐ ลำ คอยฟังความอยู่ก็พากันเงียบไปเสียหมด ไม่บอกเข้ามาให้รู้บ้างเลย เป็นกระไรอยู่หนอ อ้ายแขกมันจะเลิกจากสตูลลงไปข้างโน้น ทำเอาเมืองถลางหรืออย่างไร หรือมันจะแบ่งคนลงไปบ้าง ขึ้นมาตั้งปิดทางกันทัพนครฯ ซึ่งจะมาช่วยสงขลาไว้บ้าง จะเป็นอย่างนี้หรืออย่างไรหนอ ทัพนครฯ จึงเงียบไปทีเดียว ไม่บอกเข้ามาเอาเลย ๚

๏ แลเมื่อ ณ วันเดือน ๔ แรม ๖ ค่ำ ซึ่งจดหมายออกมาแต่ก่อนนั้นตกความอยู่ ๒ ข้อ ข้อหนึ่ง ตรัสถามท้าวพระกรุณาว่าเป็นกระไร ออกไปถึงแล้วจะคิดเอาทัพนครฯ ลงไปช่วยกันทำ เจ้าพระยานครฯ จะไปด้วยหรือไม่ไป หรือจะบอกป่วยเสีย จะให้แต่ลูกเต้าลงไป ท้าวพระกรุณากราบทูลว่า ถ้าไม่ป่วยเจ็บแล้วเห็นจะไป แต่เจ้าพระยานครฯ นั้นรักเดินข้างหลัง ถ้ามีใครเดินหน้าแล้วเห็นจะไป ทรงพระสรวลตรัสว่า ว่ากล่าวก็ถูก เห็นจะรักให้มีคนเดินหน้าก่อนจึงจะไป แลซึ่งขอกองทัพเข้ามาสามพันนั้นก็จะเอาออกไปให้เดินข้างหน้า คิดจะบังคับบัญชาว่ากล่าวให้เด็ดขาดทำเอาเองจึงบอกขอเข้ามา ครั้นไม่ได้สมคิด ทัพใหญ่ยกออกไปอย่างนี้แล้วก็จะนอนบอกป่วยเจ็บเสียเท่านั้นกันเอง แล้วรับสั่งว่า ถึงโดยเจ้าพระยานครฯ ไม่ไป ลูกเต้าก็มีอยู่หลายคน คิดเอาลูกเต้าให้คุมทัพลงไปช่วยกันทำให้พรักพร้อมกันจงได้เป็นกระไร ยังจะสงสัยอยู่ที่ไหนบ้างก็ว่ามาเถิด ท้าวพระกรุณากราบทูลว่าการที่จะทำเมืองไทรก็พอจะจัดแจงทำแล้วไปได้ กลัวแต่ที่จะกวาดครอบครัวมานั้น จะมีผู้มาห้ามปราม[๔]ไม่ให้กวาดเข้ามา รับสั่งว่ากลัวมันทำไม มันจะมาว่ากล่าวห้ามปรามก็อย่าฟังมัน จะเอาจมูกเขามาหายใจมันไม่ชอบ ถ้ามันมาว่ากล่าวโดยจะเห็นกับไมตรีกัน ก็จัดแจงเอาไว้บ้างแต่เล็กน้อยพอสมควร อย่าให้เสียแก่ไมตรีที่ว่ากล่าว อย่าให้เป็นมันมาร่วมคิดจัดแจงได้ มันจะเคลือบเอาเป็นของ ๆ มันเสีย ถ้าเห็นการว่าจะเอาไว้ไม่ได้แล้วก็กวาดต้อนเอามาเสียให้สิ้น แลข้อความที่ตกอยู่ ๒ ข้อนั้นสิ้นความแต่เท่านี้ ๚

๏ แลเมื่อ ณ วันเดือน ๔ แรม ๘ ค่ำนั้น รับสั่งสั่งท้าวพระกรุณาว่าความอะไรก็เป็นหมด สั่งเสร็จสิ้นอยู่เท่านั้นแล้ว ออกไปเถิด อุตส่าห์หมั่นคิดตริตรองการไปให้เนือง ๆ อย่าให้มีความประมาทจึงจะมีชัยชำนะแก่ข้าศึกศัตรูได้ แล้วท้าวพระกรุณากราบทูลว่า จะขอรับพระราชทานเอาพม่าเก่าพม่าใหม่ออกไปด้วยสักยี่สิบสองคน รับสั่งว่า ทำไม จะเอามันไปเห่หรือ เอาไปเถิด เอาไปให้มันเห่อ้ายแขกเล่นก็เอาไป แต่เอามันกลับมาให้ได้ ๚

๏ ครั้น ณ วันเดือน ๔ แรม ๙ ค่ำ ทรงตรัสราชการอื่นไป หาได้ทรงตรัสถึงราชการเมืองไทรไม่ ๚

๏ ครั้น ณ วันเดือน ๔ แรม ๑๐ ค่ำ เพลาเช้า ทรงตรัสถามเจ้าคุณหาบนถึงท้าวพระกรุณาว่า จะล่องเรือลงไปวันนี้หรือ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า จะกราบถวายบังคมลาล่องลงไปเพลาเย็นวันนี้ แต่พระยาสมุทรปราการบอกเข้ามาว่าลมจัดนัก ว่ามีแต่กราดเข้ามาอย่างเดียว ทรงตรัสว่ามีฝนลงมาเสียสักทีหนึ่งก็จะค่อยยังชั่วลง ตกไปจนแรมสิ้นเดือน เข้าเดือน ๕ แล้วก็จะออกไปได้ แล้วทรงตรัสว่า คอยฟังนครฯ คอยฟังสงขลา ก็หายเงียบไปหมด ข้างไชยาก็ออกไปถึงนานแล้วก็ไม่บอกเข้ามา การจะเป็นอย่างไรอยู่หนอ ที่สตูลนั้นมันจะเลิกไปเล่นข้างถลางหรือจะยังไม่เลิกไปอย่างไร ว่ากระไรเจ้าพระยาพระคลัง เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ที่สตูลนั้นเห็นจะเลิกไปแล้ว จะไปข้างถลางก็คงจะไป ด้วยแขกที่ถลางนั้นอ้ายหวันมาลีรู้เบาะแสอยู่มาก คงจะให้ไปคิดชักชวนกันรับเอาไป ทรงตรัสว่ากองทัพเราก็ยกออกไปอยู่แล้ว จะไม่คิดรักษาไว้ให้มั่นคงได้เจียวหรือ การอย่างนี้ ก็ต้องคิดระวังอยู่ด้วยกันหมดนั่นแหละ แล้วทรงตรัสถามพระยาไกรว่า แขกเหล่านี้มันมีเครื่องอัยมุนนี[๕]มากน้อยเป็นอย่างไร ช้าง โค กระบือ มันมีหรือไม่ พระยาไกรกราบทูลว่า หาสู้มีมากมายนักไม่ มีอยู่ก็แต่พอรับพระราชทาน ช้าง โค กระบือ นั้นก็ไม่มี มีอยู่ก็แต่เรือเที่ยวหาผักหาปลากินตามอ่าวทุ่งทะเล ทรงตรัสว่า มันไม่มีอะไรอย่างนี้แล้วมันก็คงคิดไปหมด ถ้ามันมีช้าง มีโค มีกระบือได้ทำไร่นาอยู่บ้างแล้ว มันก็คงจะรักภูมิลำเนาหาคิดทิ้งบ้านทิ้งเรือนไปไม่ เป็นกระไรอยู่หนอ กองทัพจะคิดตัดรอนป้องกันมันอย่าให้ไปได้เท่านี้ จะไม่ได้หรืออย่างไร อย่างนี้แล้วก็พากันยึดเอาเรือมันไว้เสียให้หมดก็จะแล้ว มันจะพากันไปที่ไหนได้ มันจะไปก็ไปด้วยเรือ จะไปบกไปฝั่งนั้นก็เห็นจะไปไม่ได้ ๚

๏ ครั้นเพลาค่ำทรงตรัสแต่ว่า พากันเงียบหายไปหมดทั้งนครฯ ทั้งสงขลาทีเดียว ทรงคอยจะใคร่ฟังความอีกสักทีหนึ่งก็ไม่ได้ฟัง ๚

๏ ครั้น ณ วันเดือน ๔ แรม ๑๑ ค่ำ เพลาเช้า ทรงตรัสถามพระนรินทร์ว่า เป็นกระไรเรือแพเขาก็ล่องลงไปแล้ว บัญชีจำนวนเรือคิดได้ลงไปเท่าไร พระนรินทร์กราบทูลว่า เป็นจำนวนเรือรบ ๑๖ ลำ เรือยืม ๒๑ ลำ ทรงตรัสถามว่า ก็ว่าเรือยังไม่พอนั้น เขาจัดหาได้เรือแล้วหรือยัง พระนรินทร์กราบทูลว่า ยังหาทราบไม่ ทรงตรัสว่านั่นเป็นไรเล่า มันก็มีแต่ไม่ทราบ แล้วกันอยู่เท่านั้นเอง ๚

๏ ครั้นเพลาค่ำ ทรงตรัสถามว่า พระยาเทพหายไปเสียข้างไหน พระนรินทร์กราบทูลว่า ลงไปจัดแจงให้พวกเขมรราชบุรีลงเรืออยู่ ทรงตรัสถามว่ารู้หรือไม่ เจ้าพระยาพระคลังจะลงไปส่งเสียกันเมื่อไร พระนรินทร์กราบทูลว่า จะกราบถวายบังคมลาลงไปเพลาพรุ่งนี้ รับสั่งสั่งพระนรินทร์ว่าไปบอกเจ้าพระยาพระคลังให้คิดอ่านจัดแจงหาเรือนำลงไปส่งเสียด้วย น้ำก็จะเค็มจัดขึ้นทุกวันแล้ว ลงไปทอดอยู่ยังไม่ได้ไป กินน้ำไปทุกวัน น้ำก็จะหมดน้อยลง ครั้นออกไปน้ำไม่พอกินแล้ว จะต้องไปแวะหยุดตักน้ำกลางทางอยู่ การที่จะไปให้เร็วก็จะหาเร็วได้ไม่ จะช้าวันจะช้าคืนลงทุกวันไป บอกเจ้าพระยาพระคลังคิดจัดแจงส่งน้ำลงไปเสียให้ได้ ออกไปจะได้ไปทีเดียว ๚

๏ ครั้น ณ วันเดือน ๔ แรม ๑๒ ค่ำ เพลาเช้า ทรงตรัสถามพระนรินทร์ว่า ได้พบเจ้าพระยาพระคลังบอกให้จัดแจงเอาน้ำไปส่งแล้วหรือ พระนรินทร์กราบทูลว่า รับพระราชทานบอกแล้ว ทรงตรัสถามว่า คิดจะจัดแจงเอาเรือไล่น้ำลงไปส่ง ทำอย่างไรลงไป รู้หรือไม่ พระนรินทร์กราบทูลว่าไม่ทราบ ทรงตรัสว่า มันก็มีแต่ไม่รู้อะไรทั้งนั้น แล้วตรัสถามว่าก็กองทัพเหล่านั้นเขาล่องเรือลงไปหมดแล้วหรือ พระนรินทร์กราบทูลว่าล่องลงไปหมดแล้ว ทรงตรัสถามว่า ก็เรือพวกเพชรบุรี ราชบุรีนั้นว่ากระไร จะได้ลงไปเมื่อไร พระนรินทร์กราบทูลว่า พระยาเทพยังจัดแจงให้ลงเรืออยู่ รับสั่งว่า ดูบอกพระยาเทพเขาเร่งจัดแจงให้มันออกไปเสียในเร็ว ๆ มันจะได้ออกไปทันพรักพร้อมกันไป ถ้าออกไปไม่ทันกัน มันจะไปเที่ยวเชือนแชเสียหมด ๚

๏ ครั้นเพลาค่ำ ทรงตรัสถามพระยาเทพว่าหายไปข้างไหน พระยาเทพกราบทูลว่า ลงไปจัดให้เขมรลงเรืออยู่ ทรงตรัสถามว่าได้เรือให้มันไปกี่ลำ พระยาเทพกราบทูลว่าได้ ๘ ลำ จัดแจงให้ลงทั้งคนเพชรบุรีคนราชบุรี ยังไม่พออยู่อีกสักลำหนึ่ง ทรงตรัสถามว่า ยังไม่พออีกลำหนึ่งจะได้เรือที่ไหน พระยาเทพกราบทูลว่า พระยาโชฎึกจะหาส่งไปให้พอ รับสั่งว่าดูเร่งจัดแจงส่งให้มันได้ออกไปเสียเร็ว ๆ มันจะได้ไปทันพรักพร้อมกัน แล้วตรัสถามว่า เรือที่พวกไปวันเดือน ๔ แรม ๗ ค่ำนั้นล่องลงไปหมดแล้วหรือ พระยาเทพกราบทูลว่าล่องตามกันไปหมดแล้ว รับสั่งว่ามันยังเหลืออยู่ที่ไหนบ้าง ก็ดูไล่ส่งลงไปให้หมด ลงไปถึงแล้วจะต้องไปคอยมันอยู่ ก็จะกินน้ำหมดลงทุกวัน แล้วทรงตรัสว่า จะคอยฟังข่าวคราวเข้ามาอีกสักทีหนึ่งก็ไม่มีใครเข้ามาถึงเลย เงียบสูญไปเสียสิ้นทีเดียว ครั้นเพลา ๒ ยามเศษจวนจะเสด็จขึ้น ทรงทอดพระเนตรเห็นเจ้าคุณหาบนซึ่งกลับขึ้นมาแต่ปากน้ำ ทรงตรัสถามว่า ไปข้างไหนมาจนเพลาปานนี้ มีอะไรใครเข้ามาถึงหรือ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ไม่มีใครเข้ามาหามิได้ ทรงตรัสถามว่า ก็เข้ามาทำไม จะว่าอะไร เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า เรือเจ้าพระยายมราชใช้ใบล่องลงไปถึงบางนา ลมติดใบเข้าพอใบตึงเสากลางหักลงน้ำไปทั้งใบ หักที่ปากกระบอกลงไปทีเดียว ทรงตรัสว่า เป็นไรจึงเป็นเหตุเป็นผลไปอย่างนี้ เมื่อลงไปจัดแจงนั้นหาได้ดูแลเสาไม่ดอกหรือ พระยาโชฎึกกราบทูลว่า ได้ดูแล้ว เอาขวานเข้าถากเคาะดูก็หาเห็นพิรุธอยู่ที่ไหนไม่ ทรงตรัสว่า ก็หักได้อย่างไร ลมในคลองมันจะแรงนักหนาที่ไหน มันก็ติดใบพออ่อน ๆ เท่านั้นยังหักได้ เหตุผลอย่างไรหนอ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า รับพระราชทานดูไม้เสา ผิวข้างนอกดีอยู่หนาสัก ๒ นิ้วเท่านั้น ข้างในไปจนไส้ ผุไปเสียหมดทั้งนั้น ทรงตรัสว่า ไม่มีใครดูแลให้ถี่ถ้วนเลย จะต้องการใช้แล้วก็เอาไปอย่างนั้น ประเดี๋ยวก็รั่วประเดี๋ยวก็เสาหักบ่อยไปนั่นเอง เป็นกระไรหักลงถูกผู้คนบ้างหรือไม่ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ไม่ถูกใครหามิได้ หักเอาต้นเสาขวิดขึ้นไปทีเดียว ท่อนเสาที่หักกับใบนั้นตกลงอยู่ในน้ำสิ้น ทรงตรัสว่า คิดทำเรือใบใหญ่น้อยขึ้นไว้ คราวต้องการเอาไปใช้แล้วก็ใช้ไม่ได้ โตก็โตนักไป เล็กก็เล็กนักไป ทำเก็บรักษาไว้ก็มีแต่ผุไปเสียหมด คราวนี้คิดอ่านเอาออกใช้เสียบ้างเถิด จะทิ้งไว้กับอู่ก็จะผุเสียเปล่า ๆ นั่นเอง แล้วรับสั่งว่า จะคิดว่ากระไรเล่า จะคิดเอาเสาลงไปเปลี่ยนหรือ หรือจะคิดอย่างไร เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า คิดจะหาเสากล่อมส่งลงไปให้ ทรงตรัสว่า คิดดูให้ดี จะเอาเสาลงไปเปลี่ยนหรือ หรือจะหาเรือไปเปลี่ยนทีเดียว เปลี่ยนเสากับเปลี่ยนเรือไหนจะช้าจะเร็วกว่ากัน เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า คิดเปลี่ยนเรือเสียได้เห็นจะเร็วกว่าเปลี่ยนเสา รับสั่งว่า ถ้าอย่างนั้นแล้วก็เอาเรือง่วนเสงไปเปลี่ยนเถิด เขาจะได้ไปเร็ว ๆ ทันกัน เป็นกระไรเรือง่วนเส็งเห็นจะเอาไปได้หรือไม่ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า เอาไปได้ รับสั่งว่า ถ้าเอาไปได้แล้วก็เร่งจัดแจงเอะอะช่วยส่งเสียลงไปเสียหน่อยเถิด จะขัดสนลูกเรือไต้ก๋งอย่างไร ก็ให้พระยาโชฎึกจัดแจงหาใส่ลงไป เสียสินโหลให้แก่มัน คือเอาตัวหลวงพิมลพานิชมา ให้มันช่วยจัดแจงเข้าด้วย ให้ได้ส่งลงไปเปลี่ยนเสียเร็ว ๆ ถ้าช้าไปการจะหาพรักพร้อมทันกันไม่ แล้วทรงตรัสถามถึงท้าวพระกรุณาว่า ล่องลงไปถึงไหนแล้ว เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่าเมื่อขึ้นมานั้นล่องลงไปถึงป้อมตรีเพชรแล้ว ทรงตรัสถามว่า ก็คิดกันว่ากระไรเล่า เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ท้าวพระกรุณาไม่รอคอยอยู่หามิได้ แต่เรืออมรแมนสรรค์นั้น จะเป็นด้วยปักเสาหรือ หรือจะเป็นด้วยเรือหาทราบไม่ ใช้ใบก้าวลงไปคราวหนึ่งแล้วก็ตรงเข้าไปฝั่งเสีย หากลับใบได้คล่องไม่ ต้องเอาสมอกะออกมาจึงกลับใบใช้ไปได้ ทาวพระกรุณากับพระยาสุรเสนา คิดจะแก้เสาเสียให้เอนมาข้างท้าย ทรงตรัสถามว่า จะแก้ได้หรือ จะคิดแก้อย่างไร เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า จะคิดเอาไม้เสียดแก้ลงไป ทรงตรัสถามว่า ต้นเสานั้นหลวมพอเสียดลงไปได้หรือ จะเสียดลงไปจะเป็นที่มั่นคงไว้ใจได้หรืออย่างไร เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ตัวเสานั้นปักแหวะช่องดาดฟ้าลงไป แล้วมีตัวเต่ารับต้นเสาอยู่ใต้ดาดฟ้าลงไปตามช่องก็มีอาธารกันไว้ เสียดไม้ลงไปแล้วเอาเหล็กตียึดเข้าเสีย ก็เห็นจะอยู่มั่นคงได้ แล้วทรงตรัสถามเจ้าคุณหาบนว่า เรือล่องลงไปถึงปากน้ำกี่ลำแล้ว เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ล่องลงไปถึงแล้ว ๕ ลำ นอกจากนั้นก็ล่องราย ๆ ตามกันลงไปอยู่แล้ว แล้วรับสั่งสั่งเจ้าคุณหาบนว่า เพลาพรุ่งนี้คิดไปดูเรือง่วนเส็งเสียให้เห็นทีเดียว ถ้าได้แล้วจะได้จัดแจงหาคนใส่ลง ล่องไปเปลี่ยนให้แล้วเสียเร็ว ๆ จะได้ออกไปทันพรักพร้อมกัน ๚

๏ ครั้น ณ วันเดือน ๔ แรม ๑๓ ค่ำ เพลาเช้า ทรงตรัสถามว่าใครรู้บ้างหรือไม่ จะจัดแจงเรือง่วนเส็งลงไปเปลี่ยนนั้น คิดจัดแจงกันอย่างไร จะเอาไปได้หรือไม่ได้ พระยาเทพ คุณพิพัฒน์ นิ่งอยู่ ทรงตรัสถามพระนรินทร์ว่า เป็นกระไร รู้บ้างหรือไม่ พระนรินทร์กราบทูลว่าไม่ทราบ ทรงตรัสว่า มีแต่ไม่รู้อะไรไปเสียหมดทั้งนั้น ชั่วเต็มทีทีเดียว แล้วทรงตรัสถามหลวงอนุรักษ์ว่า เป็นกระไรรู้บ้างหรือไม่ หลวงอนุรักษ์กราบทูลว่าเจ้าพระยาพระคลังกับพระยาโชฎึกเอาตัวหลวงพิมลพานิชมา พากันลงไปดูจัดแจงคิดจะให้ล่องลงไปอยู่แล้ว ทรงตรัสว่า หลวงอนุรักษ์มันดีกว่าคนนั่งอยู่ที่เหล่านี้ด้วยกันหมดนั่นแหละ ถามอะไรมันก็รู้อยู่บ้าง แล้วตรัสถามว่า ทำไมจึงรู้ว่าจัดแจงให้ล่องลงไป หลวงอนุรักษ์กราบทูลว่า หลวงอนุรักษ์ไปที่บ้านเจ้าพระยาคลัง เห็นพากันลงไปจัดแจงเรือง่วนเส็งส่งลงไป ทรงตรัสถามว่า เขาจัดแจงหาลูกเรือที่ไหน จะให้ใครส่งลงไป หลวงอนุรักษ์กราบทูลว่า พระยาโชฎึกยังจัดแจงหาอยู่ ทรงตรัสถามว่า ก็คิดกันจะให้ล่องส่งลงไปเมื่อไร หลวงอนุรักษ์กราบทูลว่า ยังหาทราบไม่ ทรงตรัสว่า เป็นคนรู้อยู่แล้ว ถามยังจนอยู่อีกเล่า แล้วทรงตรัสถามถึงเมืองสงขลาว่า จะเสียบ้านเสียเมืองหรือไม่เสียอย่างไร คอยฟังก็ไม่ได้ความเอาเลย ประหลาดพระทัยนักหนา พากันเงียบไปเสียหมด ทั้งนครฯ ทั้งไชยาก็หายไปทีเดียว ไม่บอกกล่าวเข้ามาให้รู้การบ้างเลย แล้วพระยาเทพกราบทูลว่า หมื่นชมพูนุทจัดได้ทองคำก้อนหนึ่งหนักตำลึงหนึ่ง เข้ามาทูลเกล้าฯ ถวาย ทรงตรัสถามถึงกองทัพเพชรบุรีว่า เป็นกระไร มันเข้ามาพบเรือกองทัพเขาออกไปบ้างแล้วหรือยัง คุณเทพกราบทูลว่า หมื่นชมพูนุทมาถึงเมืองเพชรบุรีเห็นจัดแจงกันลงเรืออยู่แล้ว ว่าจะออกไป ณ วันเดือน ๔ แรม ๗ ค่ำ ทรงตรัสว่าเออออกไปจะได้ไปทันกัน แต่ทรงคอย ๆ อยู่จะใคร่รู้อีกสักทีหนี่งก็ไม่ได้ความเอาเลย ๚

๏ ครั้นเพลาค่ำ ทรงตรัสถามพระยาโชฎึกว่า ลงไปจัดแจงเรือง่วนเส็งนั้นเป็นกระไร จะเอาไปได้หรือไม่ พระยาโชฎึกกราบทูลว่า เห็นจะเอาไปได้ แต่เสากลางนั้นเป็นไม้ชำฉาใช้มา ๔ ปี ๕ ปีแล้ว จะไว้ใจยังไม่ได้ คิดด้วยเกล้าฯ จะดามเสียด้วย ทรงตรัสถามว่า เสาเรืออย่างนี้เขาใช้ไปกี่ปีเขาจึงเปลี่ยน พระยาโชฎึกกราบทูลว่า ใช้ไป ๖ ปีแล้วก็เปลี่ยนเสียทีหนึ่ง รับสั่งว่า เสาเรือลำนี้ก็ใช้มาได้ ๕ ปีแล้ว ยังอีกปีหนึ่งจึงจะครบ ๖ ปี ถ้าไม่ไว้ใจก็คิดดามช่วยเข้าก็ดี ดามเป็นเปลาะ ๆ ขึ้นไปก็เห็นจะมั่นคงใช้ไปได้ แล้วตรัสถามว่า ลูกเรือไต้ก๋งนั้นหาได้แล้วหรือ พระยาโชฎึกกราบทูลว่า ยังจัดแจงหาอยู่ ลูกเรือเดิมนั้นขึ้นจากเรือไปเสียหมด เหลืออยู่ ๔ คน จะต้องจัดหาอีกสัก ๑๐ คน ๑๑ คน จึงจะล่องลงไปได้ รับสั่งว่า เสียสินโหลให้มันเถิด จะได้จัดแจงส่งเสียลงไปเร็ว ๆ ๚

๏ ครั้น ณ วันเดือน ๔ แรม ๑๔ ค่ำ เพลาเช้า เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า พระยาไชยา พระตะกั่วทุ่ง บอกให้หมื่นภักดีถือเข้ามา ใจความว่า พระยาไชยา พระตะกั่วทุ่ง แต่งให้ขุนสุดินทร์ลงไปสืบราชการเมืองไทร ได้ความว่า อ้ายหวันมาลีจัดให้อ้ายหวันจิกะหนำน้องเขยกับอ้ายเจ๊ะสมันเป็นนายทัพเรือ คุมเรือรบใหญ่น้อย ๓๕ ลำ มีปืนปเหรี่ยมหน้าเรือ มีปืนรายแคมทุกลำ แต่ลำอ้ายหวันจิกะหนำนายทัพนั้น มีปืนปเหรี่ยมหน้าเรือ ๒ บอก นอกจากนั้นมีปืนหน้าเรือลำละบอก อ้ายหวันจิกะหนำกับอ้ายเจ๊ะสมันมาถึงอ่าวกระบี่แขวงเมืองนครฯ ณ วันเดือน ๓ ขึ้นค่ำ ๑ อ้ายหวันจิกะหนำให้เรือเข้าไปที่บ้านอ่าวกระบี่ ๒ ลำ ขึ้นไปหานายแขกซึ่งอยู่ ณ บ้านอ่าวกระบี่บอกว่า อ้ายหวันจิกะหนำให้หาลงไป จะให้ไปเป็นเจ้าเมืองละงู นายแขกซึ่งอยู่บ้านอ่าวกระบี่ว่าจึงจะค่อยไป พวกอ้ายหวันจิกะหนำก็พากันขึ้นกวาดครอบครัวแขกบ้านอ่าวกระบี่ไป เป็นชายหญิงใหญ่น้อย ๑๒ คนกับเรือ ๑๓ ลำ แต่นายแขกบ้านอ่าวกระบี่นั้น พาครอบครัวหนีไปได้ อ้ายหวันจิกะหนำให้เอาครัวซึ่งกวาดได้ไปนั้น ผ่อนไปไว้เกาะนางกาวี แล้วอ้ายหวันจิกะหนำพากันมาทอดอยู่ที่เกาะยาว เรือพวกอ้ายหวันจิกะหนำกับเรือซึ่งกวาดไปได้มากขึ้นประมาณ ๔๐ ลำ ๕๐ ลำ อ้ายหวันจิกะหนำให้เที่ยวสกัดเรือไปมาอยู่ พวกอ้ายหวันจิกะหนำพบเรือแขกลำหนึ่ง คนในลำเรือประมาณ ๖ คน ๗ คน ก็เข้าสกัดจับเอาไป พวกอ้ายหวันจิกะหนำมาจนถึงเกาะชนัก ถึงเกาะโบย แลเมื่อ ณ วันเดือน ๓ แรม ๗ ค่ำนั้น ขุนสุดินทร์กลับมาถึงเกาะโบยหน้าเมืองตะกั่วทุ่ง พบแขกลาคนหนึ่ง ขุนสุดินทร์เอาตัวแขกลามา ณ เมืองตะกั่วทุ่ง ถามได้ความว่า แขกลาอยู่ ณ บ้านแขวงเมืองตะกั่วทุ่ง แขกลาลงไปต่อเรืออยู่ ณ บ้านอ่าวกระบี่แขวงเมืองนครฯ พวกอ้ายหวันจิกะหนำกวาดมาได้ แขกลาได้ยินพวกอ้ายหวันจิกะหนำพูดกันว่า อ้ายหวันมาลีอยู่เมืองปลิศสั่งมาว่า ถ้าขัดสนเสบียงอาหารยาฝิ่นแล้ว ให้เข้ามาขอพระยาถลางเอาไปกิน พวกอ้ายหวันจิกะหนำถือหนังสือเข้าไปขอเสบียงยาฝิ่นที่เมืองถลาง พระยาถลางจะให้ไปหรือไม่ได้ให้ไปอย่างไรแขกลาหารู้ไม่ พวกอ้ายหวันจิกะหนำแวะเข้าทำเรือที่เกาะโบย เพลาค่ำพากันนอนหลับอยู่ แขกลาจึงลงเรือเล็กหนีเข้ามา กับว่าได้ให้ไปสืบความที่เกาะหมาก พระสาครพานิชมีหนังสือบอกมาว่า พระยาสิงหโบรา[๖] ให้กำปั่นมาช่วยปิดปากน้ำเมืองไทรอยู่ ๔ ลำ แล้วเขียนหนังสือไปปักไว้ว่า ให้พวกแขกเมืองไทรกลับมาเสีย ถ้าไม่กลับมาแล้วจะยกไปตี พวกแขกเมืองไทรก็หากลับไปไม่ ตีเข้าไปจนถึงเมืองสตูล เมืองตรัง กองทัพไทยตีอ้ายแขกแตกถอยไปได้ แต่ข้างสงขลานั้นอ้ายแขกตีเผาบ้านเมืองเมืองจะนะลงไปถึงแดนเมืองไทร กองทัพไทยเอากระบือเอาข้าวไปให้อ้ายแขก ว่าตีเมืองไทรได้แล้วก็ให้หยุดยั้งอยู่ก่อนเถิด อ้ายแขกก็ยั้งอยู่คิดกันกับพวกแขกเมืองตานีว่า ข้างนครฯ ข้างพัทลุง ข้างสงขลานั้น พวกแขกเมืองตานีจะรับตีเอง แต่พวกแขกเมืองไทรนั้นให้คอยรับสู้รบกับทัพกรุงฯ ทางเมืองไทร เมืองปลิศ เมืองสตูลเถิด ข้างพวกอังกฤษก็หาเห็นไปตีแขกเมืองไทรเหมือนหนังสือปักไม่ อ้ายหวันมาลีตั้งค่ายรับอยู่ที่เมืองปลิศ ว่าถ้าการเบาบางแล้ว อ้ายหวันมาลีลงไปเยี่ยมครัวที่เกาะนางกาวีอยู่ ๒ วัน ๓ วันแล้วกลับขึ้นมาค่าย แต่กระสุนดินดำเสบียงอาหารนั้น อ้ายแขกให้ลงไปซื้อที่พวกแขกอยู่ ณ เมืองเกาะหมาก ว่าอ้ายตนกูอัปดุลลา อ้ายตนกูหมัดสอัด อ้ายตนกูอาเกบ วิวาทชิงกันจะเป็นใหญ่ ยังหาตกลงกันไม่ กับว่าหลวงนเรนทรวังษา ขุนสุรินทร์ หมื่นศักดา ซึ่งพระยาถลางคนเก่าตั้งให้เป็นนายแขกนั้น รู้ว่าอ้ายแขกเข้ามาก็พากันกำเริบ ยกครอบครัวหนีลงเรือไปหาอ้ายหวันจิกะหนำ พระตะกั่วทุ่งจัดกองทัพไปตามทัน พบหลวงนเรนทรกับบุตรภรรยาหลวงนเรนทร แต่ขุนสุรินทร์หมื่นศักดานั้นพาครอบครัวหนีไปได้ พระตะกั่วทุ่งเอาตัวหลวงนเรนทรมาจำไว้ ขุนสุรินทร์ หมื่นศักดา รู้ว่าโปรดเกล้าฯ ให้พระยาไชยา ยกกองทัพออกไปอยู่รักษาเมืองพังงา ขุนสุรินทร์ หมื่นศักดา พาครอบครัวไปอยู่กับอ้ายหวันจิกะหนำกลัวจะไม่พ้นกองทัพไทย ขุนสุรินทร์ หมื่นศักดาพาครอบครัวหนีกลับมาอยู่ ณ เมืองถลาง พระยาไชยาได้จัดคนแบ่งให้ไปช่วยรักษาเมืองถลาง เมืองตะกั่วทุ่ง เมืองตะกั่วป่า อยู่เมืองละ ๑๐๐ คน ๒๐๐ คน พระยาไชยารักษาอยู่เมืองพังงา แล้วพระยาไชยาเกณฑ์คนเมืองถลาง เมืองตะกั่วทุ่ง เมืองตะกั่วป่า เมืองพังงา ๓๐๐ คน ให้หลวงพิพิธภักดีคุมเรือรบใหญ่น้อย ๓๐ ลำ ลงไปลาดตระเวนตามท้องทะเล คอยสกัดสืบสาวราชการอยู่ ทรงตรัสว่า มันว่าเพ้อไปเปล่า ๆ ทั้งนั้น ที่พระยาถลางจะคิดไปเข้ากับอ้ายแขกให้เสบียงอาหารไป ว่าไม่เห็นด้วยเลย พระยาถลาง[๗]ก็เป็นไทย เป็นพี่น้องกับเจ้าพระยาพระคลัง ซึ่งจะไปเข้ากับอ้ายแขกนั้นเห็นจะไม่เป็น ว่ากระไรเจ้าพระยาพระคลัง จะเป็นไปได้เหมือนว่าหรือ เจ้าพระยาพระคลังกราบทูลว่า เห็นจะไม่เป็นหามิได้ ทรงตรัสว่ามันว่ากระเดียดกล่าวโทษเอาเขาเปล่า ๆ พระยาไชยาก็ได้จัดคนให้ไปช่วยรักษาเมืองถลางอยู่ก็ ๑๐๐ คน ถ้าโดยพระยาถลางจะเป็นไปเหมือนว่าแล้ว คนซึ่งไปช่วยรักษานั้นมันจะเป็นไปได้ด้วยหรือ มันจะอยู่อย่างไรได้ มันก็คงกลับมา ว่าอะไรเอาง่าย ๆ อย่างนี้ ผิดนักหนาทีเดียว ฟังดูความมันไม่สมเข้าที่ไหนเลย ประหลาดนักหนา มันมีแต่เป็นไปเสียอย่างนี้สิ้น แล้วทรงตรัสถามเจ้าพระยาธรรมา ถามเจ้าพระยาพลเทพว่า ฟังดูเป็นกระไร พระยาถลางจะเป็นไปได้หรือไม่เป็น เจ้าพระยาธรรมา เจ้าพระยาพลเทพ กราบทูลว่า ไม่เป็นไปได้หามิได้ ทรงตรัสว่า เป็นไปได้ที่ไหน ว่าไปเปล่า ๆ นั่นเอง คอยฟังข้างพระยาถลางบอกเข้ามาก่อนเถิด การเป็นอย่างไรจึงจะได้ความเป็นแน่ แล้วทรงตรัสถามเจ้าคุณหาบนว่า เป็นกระไร จัดแจงเรือง่วนเส็งล่องไปแล้วหรือ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า จัดแจงแล้วจะให้ล่องลงไปเพลาวันนี้ ทรงตรัสถามว่า ก็จัดแจงให้ใครล่องลงไปส่ง ได้ใส่ลูกเรือไต้ก๋งลงแล้วหรือ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า พระยาโชฎึกจัดลูกเรือไต้ก๋งใส่ลงให้ขุนบวรวานิชแล้ว ให้ขุนบวรวานิชออกไปส่งถึงสงขลาทีเดียว รับสั่งว่า ให้ขุนบวรวานิชออกไปนั้นดีแล้ว มันเคยเป็นคนเข้าใจมาก จะได้ไปมาสะดวกโดยง่าย ทรงตรัสถามว่า ล่องลงไปถึงกว่าจะถ่ายเรือเสร็จจะได้ออกไปเมื่อไร เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ล่องลงไปเพลาวันนี้ก็ถึงพรุ่งนี้ จะไปหยุดถ่ายเรือจัดแจงใบก็ราวลัก ๒ วันจึงจะแล้ว จะได้ใช้ใบออกไปก็ราวเดือน ๕ ขึ้น ๒ ค่ำ ทรงตรัสถามว่า เจ้าพระยาพระคลังจะลงไปส่งเมื่อไร เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า จะกราบถวายบังคมลาลงไปเพลาวันนี้ รับสั่งว่ารีบลงไปทำไม ยังอยู่ ๒ วัน ๓ วันจึงจะได้ออกไป ลงไปจะไปนั่งคอยป่วยการอยู่ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ท้าวพระกรุณาจะออกใช้ใบไปเพลาวันนี้คอยอยู่ จะต้องรับพระราชทานลงไป รับสั่งว่าอย่างนั้นก็ลงไปส่งเสียเถิด ไปจำเริญ ๆ ให้มีชัยชำนะแก่ข้าศึกศัตรูเถิด ลงไปแล้วดูไล่เรือเร่งจัดแจงให้ตามออกไปทันกันให้ได้ อย่าให้มันเที่ยวรั้งรออยู่ ออกไปถึงจะได้พรักพร้อมกัน ๚

๏ ครั้นเพลาค่ำ อ่านบอกพระยาไชยา บอกพระตะกั่วทุ่งกับคำให้การแล้ว ทรงตรัสกับพระยามหาอำมาตย์กับพระยาพิพัฒน์ว่า ฟังดูด้วยกันให้หมดเถิด บอกพระตะกั่วทุ่งมันว่ากล่าวเข้ามาทำนองกระเดียดกล่าวโทษพระยาถลางทั้งนั้น ฟังดูมันไม่ได้ถ้อยได้ความอะไรเข้าเลย ได้ความอยู่นิดหนึ่งแต่ว่า พระยาไชยาจัดคนให้ไปช่วยรักษาอยู่ กับได้จัดเรือ ๓๐ ลำลงไปลาดตระเวน มีใจความเข้ามาเท่านั้นเอง นอกจากนั้นก็เพ้อเป็นเปลือกไปเสียหมด แล้วทรงตรัสถามว่า พระยาไชยาออกไปถึงเมืองพังงาเมื่อไร ไปจัดแจงทำอะไรอยู่ พระยาเทพกราบทูลว่า พระยาไชยาอกไปถึงเมืองพังงาเมื่อเดือนยี่ข้างขึ้น จัดแจงทำค่ายรักษาเมืองพังงาอยู่ ทรงตรัสถามว่า ได้พบพระยาถลางคิดกันได้ความอย่างไรบ้าง พระยาเทพกราบทูลว่า พระยาไชยาให้ไปหาพระยาถลางก็หามาไม่ ให้แต่ปลัดลงมา รับสั่งว่าฟังดูเถิด มันว่ากระเดียดไปข้างจะกล่าวโทษกันอยู่นั่นแหละ พระยาถลางเขาจะทิ้งเมืองเสียอย่างไร เขารักษาเมืองอยู่ เขาก็ให้แต่ปลัดลงมา ทรงตรัสถามว่า ก็ปลัดลงมาหาแล้ว พระยาไชยาเขาพูดจาคิดกันว่ากระไร ครอบครัวเราที่อยู่ตามเกาะหน้าเมืองถลาง เมืองตะกั่วทุ่ง เมืองพังงา แลปลายเขตแดนนั้น เขาให้รวบรวมเข้ามาได้บ้างหรือไม่ พระนรินทร์กราบทูลว่า เมื่อปลัดเมืองถลางลงไปหาพระยาไชยานั้น หมื่นภักดีไม่ทราบความว่าคิดกันอย่างไร แต่ครอบครัวซึ่งอยู่ตามเกาะหน้าเมืองนั้น หาเห็นกวาดรวบรวมเข้ามาไม่ ทรงตรัสว่าไม่เป็นอะไรได้ทั้งนั้น อย่างนี้แล้วก็กวาดรวบรวมมันเข้ามาเสียจึงจะชอบ ทรงตรัสถามว่า ก็เรืออ้ายแขกมันเที่ยวมาคอยสกัดจับผู้คนนั้น มันไม่ตีทำกวาดเอาไปดอกหรือ พระนรินทร์กราบทูลว่า ไม่ทำกันหามิได้ ทรงตรัสว่าถ้ามันไม่ทำกันแล้ว อ้ายแขกเหล่านั้นก็เข้าด้วยหมดนั่นแหละ มันจึงไม่ทำกัน ถ้าไม่เข้าแล้วมันก็คงตีเอาหาฟังไม่ แล้วทรงตรัสถามว่า ไพร่บ้านพลเมืองเมืองเหล่านั้นเป็นกระไร พากันตกตื่นใจไปหมดหรือ พระนรินทร์กราบทูลว่า เมื่อก่อนกองพัพพระยาไชยายังไม่ไปถึงนั้น พากันสะดุ้งตกใจอยู่ ครั้นกองพัพพระยาไชยาออกไปถึงแล้วก็หายตกตื่นใจสงบลง ซื้อขายหากินเป็นปรกติอยู่เหมือนอย่างเดิม ทรงตรัสว่า มันมีแต่กลัวแขกไปเสียหมดทีเดียว พระยาไชยาออกไปถึงแล้วเป็นกระไร เขาคิดรวบรวมเรือเตรียมไว้บ้างหรือไม่ พระนรินทร์กราบทูลว่า เก็บรวบรวมไว้ได้ ๑๔ ลำ ๑๕ ลำ ทรงตรัสถามว่า รวบรวมไว้ได้แล้ว คิดจัดแจงการจะรบสู้ต่อไปอย่างไร ได้คิดต่อเรือทำเรือขึ้นบ้างหรือไม่ พระนรินทร์กราบทูลว่า ยังไม่ได้จัดแจงต่อเรือขึ้นหามิได้ เรือที่เก็บรวบรวมไว้ก็ยังไม่ได้จัดแจง ทรงตรัสว่า การที่จะรบสู้กับมันอย่างไร ก็ไม่คิดจัดแจงกันเข้าเลย มีแต่เพ้อไปเสียเปล่าๆ ทั้งนั้น ความที่ว่าหลวงนเรนทร ขุนสุรินทร์ หมี่นศักดา นายกองแขกพาครอบครัวหนีไปนั้น ความก็เปล่า ๆ นั่นเองหาจริงไม่ มันจะหนีไปไหน ไปกวนมันเข้า มันก็ไปหาพระยาถลางเสีย จะคิดเอามันมาไม่ได้ ก็แก้ตัวกล่าวโทษมันว่าหนีไปเท่านั้นกันเอง ทำนองพระตะกั่วทุ่งมันจะคิดเอาแขกพวกนี้ไว้ แขกพวกนี้มันอยู่ข้างถลาง พระยาถลางคนเก่าเขาจัดแจงตั้งไว้ ครั้นพระยาถลางตายแลวก็คิดจะเอา ครั้นเอาไม่ได้แล้วก็กล่าวโทษเข้ามา ความเห็นจะเป็นอย่างนี้แน่แล้ว แลคำให้การอ้ายแขกลาซึ่งหนีพวกอ้ายหวันจิกะหนำมาได้นั้น ก็เสี้ยมสอนกันให้ว่าทั้งนั้น อ้ายแขกลาก็เป็นคนของพระตะกั่วทุ่งอยู่แล้ว จะให้มันว่าอย่างไรมันก็ว่าหมดนั่นแหละ ฟังดูบอกข้างไชยาเขาก็ไม่ว่าเข้ามาว่าพระยาถลางจะให้เสบียงยาฝิ่นไปอย่างนั้นอย่างนี้ แลอ้ายหลวงนเรนทรพาครอบครัวหนีไปอย่างไรก็ไม่มีว่าเข้ามา ว่าแต่บอกพระตะกั่วทุ่งข้างเดียว ฟังดูเปล่าเสียแล้ว ไม่เป็นแก้วเป็นการอะไรได้เลย มีแต่คิดเบียดเสียดกล่าวโทษกันทั้งนั้น ไม่เป็นอันสามัคคีรสกันเข้าได้ เสียพระทัยนักหนา น่าทรงขัดแค้นทีเดียว การที่จะช่วยกันคิดสู้รบกับมัน ก็ไม่เป็นอันคิดเข้าได้แล้ว พระยาไชยาเล่าก็นิ่งเฉยเสียหมด ออกไปถึงก็นานอยู่แล้ว ความข้างถลางจะเป็นอย่างไรก็ไม่บอกเข้ามา ให้แต่พระตะกั่วทุ่งมันบอกเข้ามาพูดจ้ออยู่คนเดียว แล้วตรัสถามพระยามหาอำมาตย์ว่า ได้เคยไปเป็นแม่ทัพแม่ศึกเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ้าง อย่างธรรมเนียมเป็นกระไร แม่ทัพบอกเข้ามาแล้ว ลูกทัพบอกเข้ามาได้อยู่หรือ พระยามหาอำมาตย์กราบทูลว่า ลูกทัพบอกเข้ามาไม่ได้หามิได้ ทรงตรัสว่า ฟังดูมันเหลวไปเสียหมด ไม่ถูกอย่างธรรมเนียมเลย มีแต่ตามใจกัน พากันเป็นไปอย่างนี้เสียหมดสิ้น การที่จะคิดป้องกันรักษาบ้านรักษาเมือง กวาดรวบรวมคนมาคิดสู้รบกับมันก็ไม่มี ทำอย่างนี้ก็เห็นจะเสียการเสียงานไม่เป็นอะไรได้แล้ว จึงรับสั่งสั่งพระยาเทพว่า จำเอาความกระแสพระราชดำริซึ่งทรงเห็นเหตุผลดังนี้ไว้คอยบอกกับเจ้าพระยาพระคลัง ๆ ยังหาได้ทันตริตรองเห็นการถี่ถ้วนไม่ ถ้าเจ้าพระยาพระคลังกลับขึ้นมาจากปากน้ำแล้ว ให้ดูคิดตริตรองการเสียให้เห็นความ ยึดเอาตัวหมี่นภักดีซึ่งถือบอกเข้ามาไว้ก่อน อย่าเพ่อให้มันกลับออกไป คอยฟังบอกข้างเมืองถลางเขาดูก็จะได้เห็นปดเอาเท็จจริงกันได้ แล้วจึงตรัสว่า ไม่พอที่พอทางเอาเลยมาเป็นไปได้ จะมากล่าวความวิวาทกันเมื่อเพลาหน้าเหล้าหน้าข้าวอย่างนี้หาควรไม่ ชอบแต่จะช่วยกันคิดให้พรักพร้อมจัดแจงการรักษาบ้านรักษาเมือง สู้รบกับมันให้มีชัยชำนะจึงจะชอบ ๚

๏ แลกระแสพระราชดำริที่ทรงตรัสกับข้อความในบอก ซึ่งข้าพเจ้าจดหมายออกมานี้ ข้าพเจ้าจดหมายมาตามได้รับพระราชทานฟัง ข้อความจะขาดผิดเพี้ยนควรมิควรประการใด รับพระราชทานพระเดชพระคุณสุดแล้วแต่จะโปรด จดหมายมา ณ วันพฤหัสบดีเดือน ๔ แรม ๑๔ ค่ำ ปีจอนักษัตรสัมฤทธิศก (จุลศักราช ๑๒๐๐ พ.ศ. ๒๓๘๑) ๚



[๑] ประเพณีแต่ก่อน การยกทัพที่เสด็จไปส่ง ยกตามกำหนดฤกษ์ บางทียังต้องไปจัดเรืออีก แม่ทัพจึงมีเวลามาบ้าน แลถึงมาเฝ้าฯ ได้

[๒] พระศรียภักดีนั้นคือนายสนิท บุตรสมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อยเป็นที่พระสุริยภักดี

[๓] คุณพระนายไม่ออกชื่อในที่นี้ คงจะเป็นพระนายไวย คือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยางค์

คือจมื่นไวยวรนารถ ชื่อ ช่วง เป็นบุตรเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) ภายหลังเป็นพระยาศรีสุริยวงศ์ จางวางมหาดเล็ก ถึงรัชกาลที่ ๔ เป็นเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ที่สมุหพระกลาโหม ในรัชกาลที่ ๕ เป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ฯ

[๔] ที่ว่า ผู้ห้ามปราม ตรงนี้ หมายความว่าอังกฤษ

[๕] เห็นจะเป็นเครื่องอัญมณี

[๖] คือมิสเตอร์บอนฮัมอังกฤษ เจ้าเมืองสิงคโปร์

[๗] พระยาถลางจะเป็นคนที่เป็นตาเจ้าจอมจับหรือมิใช่

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ