จดหมายหลวงอุดมสมบัติ ฉบับที่ ๑๒

๏ ข้าพเจ้าหลวงอุดมสมบัติ จดหมายมายังหลวงทิพอักษรเสมียนตรา ได้นำขึ้นกราบเรียนแต่ท้าวพระกรุณาเจ้าให้ทราบ ด้วยข้าพเจ้าได้จดหมายฝากออกมากับจมื่นอินทรเสนา ณ วันเดือน ๔ แรม ๑๔ ค่ำครั้ง ๑ รองศุภมาตราเพชรบุรี ณ วันเดือน ๕ ขึ้น ๘ ค่ำครั้ง ๑ ขุนฤทธิรณไกร ณ วันเดือน ๕ ขึ้น ๑๔ ค่ำครั้ง ๑ ณ วันเดือน ๗ ขึ้น ๙ ค่ำครั้ง ๑ หมื่นจงสรสิทธิ ณ วันเดือน ๖ ขึ้น ๑๓ ค่ำครั้ง ๑ หมื่นนิกรญวน ณ วันเดือน ๖ แรม ๗ ค่ำครั้ง ๑ นายโตนายหมวดกองญวน ณ วันเดือน ๗ ขึ้น ๒ ค่ำครั้ง ๑ ขุนสารวัด ณ วันเดือน ๗ แรม ๕ ค่ำครั้ง ๑ หลวงโกชาอิศหาก ณ วันเดือน ๗ แรม ๘ ค่ำ แรม ๑๐ ค่ำครั้ง ๑ เข้ากัน ๑๐ ครั้ง ความแจ้งอยู่แต่ก่อนนั้นแล้ว ๚

๏ แลเมื่อ ณ วันเดือน ๗ แรม ๑๐ ค่ำ เพลาค่ำนั้น พระยาพิพัฒน์กราบทูลถวายคำให้การเจ๊ะหมัดตะฝ่าลูกค้าเมืองตรังกานู ทรงตรัสถามว่า ได้คัดคำให้การส่งให้หลวงโกชาอิศหากออกมาด้วยแล้วหรือ พระยาพิพัฒน์กราบทูลว่า ได้คัดส่งให้ออกมาด้วยแล้ว ทรงตรัสว่าเออ เอาส่งให้ออกมาด้วยเถิด ไหน ๆ ข้างนอกก็คงจะรู้ความมากกว่านี้เสียอีก แล้วรับสั่งสั่งพระยาพิพัฒน์ว่า ดูไล่เลียงถามมันต่อไปอีกสักหน่อย ที่บ้านพระยากลันตันกับบ้านตนกูปสานั้นตั้งค่ายรับรบสู้กันอยู่อย่างไร มันตั้งอยู่ที่ไหนบ้าง ผู้คนไพร่บ้านพลเมืองนั้น จะไปเข้ารักข้างใครอยู่มาก เอาตัวนายเรือลูกเรือมาไล่เข้าที มันได้มากลันตันบ้างมันก็คงจะรู้ความ ๚

๏ ครั้น ณ วันเดือน ๗ แรม ๑๑ ค่ำ เพลาค่ำ ทรงตรัสถามพระยาพิพัฒน์ว่า ไล่เลียงถามพวกตรังกานูได้ความอย่างไรบ้าง พระยาพิพัฒน์กราบทูลว่า ถามได้ความแปลกออกไปแต่ว่า ไพร่บ้านพลเมืองนั้น รักข้างพระยากลันตันอยู่มาก แต่กลัวพวกข้างตนกูปสาอยู่ ก็ต้องจำใจไปเข้าด้วย ๆ พวกตนกูปสามีมาก แต่พวกพี่พวกน้องจะไปเข้ารักข้างใครมากอย่างไรหาทราบไม่ ที่ปากน้ำเมืองกลันตันนั้นว่าปากน้ำแคบ ฝั่งทั้งสองข้างเป็นหาดออกมาหากัน มีทางเรือจำเพาะเรียงลำเข้าไปตามร่องน้ำ น้ำตื้นประมาณ ๓ ศอก ๔ ศอก เรือที่เคยเข้าออกก็ต้องขนถ่ายลำเลียงส่งกันเสมออยู่ทุกลํา แต่ค่ายที่บ้านพระยากลันตัน บ้านตนกูปสา จะตั้งรับรบสู้กันอยู่อย่างไรนั้นว่าไม่ทราบ เจ็ะหมัดตะฝ่าหาได้ขึ้นไปเห็นไม่ ทรงตรัสว่า มันว่าก็เห็นจะจริงของมันอยู่บ้างอยู่ พวกอ้ายตนกูปสา, พระยาบาโงยมันมาก มันอยู่ข้างนอกเมือง จะทำอย่างไรก็ทำได้ ไพร่บ้านพลเมืองก็ต้องกลัวจำมาเข้าด้วยอยู่เอง อย่างไรๆ ก็รอกันแต่พอให้กองทัพลงไปเข้าเถิด มันรู้ว่ายกลงไปช่วยพระยากลันตัน มันก็คงพากันกลับตัวแข็งขึ้นหมดนั่นแหละ ข้างปากน้ำก็เอาเรือโต ๆ ลงไปปิดปากน้ำไว้สัก ๓ ลำ ๔ ลำ ถึงปากน้ำจะตื้นเรือใหญ่เข้าไม่ได้ ก็ทอดรักษาปากน้ำคอยระวังการอยู่ตามท้องทะเล ทัพบกก็ยกลงไปทันแล้ว การก็เห็นพอจะจัดแจงว่ากล่าวสำเร็จได้ ๚

๏ ครั้น ณ วันเดือน ๗ แรม ๑๒ ค่ำ เพลาเช้า พระยาพิพัฒน์กราบทูลว่า ท้าวพระกรุณามีหนังสือบอกให้หมื่นพิมลญวนถือเข้าไปฉบับ ๑ กับส่งต้นหนังสือพระยากลันตันแลคำแปลหนังสือพระยากลันตัน แลคำให้การหมื่นเทพ แลจดหมายเข้าไปถึงเจ้าพระยาพระคลัง กับบอกเข้าไปว่า เจ้าพระยานครฯ ถึงแก่อสัญกรรมแต่ ณ วันเดือน ๖ แรม ๑๔ ค่ำแล้ว ทรงตรัสว่า เจ้าพระยานครฯ เจ็บป่วยเป็นไร เจ้าพระยานครฯ จึงไม่บอกเข้าไปให้ทรงทราบบ้างเลย ป่วยเจ็บเป็นอะไรจึงตาย เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า หนังสือพระยาพัทลุงที่บอกมาถึงท้าวพระกรุณาส่งเข้าไป ก็หามีว่าป่วยเจ็บเป็นอะไรไม่ ทรงตรัสว่า ทำไมกองทัพใหญ่ไม่ได้ไล่เลียงถามคนที่มาบ้างเลยหรือ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ถามหมื่นพิมลกำจรดูก็ว่าหาทราบไม่ ทรงตรัสว่า ทรงคอยฟังอยู่ว่าจะป่วยเจ็บเป็นอย่างไร เจ้าพระยานครฯ ก็ไม่บอกเข้าไปให้ทรงทราบ แล้วทรงตรัสถามว่า ข้างกลันตันนั้นเป็นกระไร สงบกันลงบ้างหรือไม่ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า พอหลวงสรเสนีลงไปถึงก็สงบรอกันลง ว่าตนกูปสาจะจัดให้คนขึ้นมาหาท้าวพระกรุณา ว่าที่จะให้ฟังบังคับบัญชาพระยากลันตันนั้นเหลือสติกำลังนัก แลเมื่อพระยากลันตันจะได้เป็นพระยากลันตัน ตนกูปสาก็ได้ช่วยว่ากล่าวจึงได้เป็นพระยากลันตัน ตนกูปสาก็หาได้เป็นอะไรไม่ มีความโทมนัสอยู่ ครั้นพระยากลันตันเป็นขึ้นแล้ว ก็ทำข่มเหงพี่น้องจึงได้วิวาทรบกัน การครั้งนี้จะคิดรบสู้กันอย่างไรก็สิทธิ์ขาดอยู่ที่ตนกูปสาทั้งสิ้น ถ้าจะเมตตาโปรดแล้วก็ขอเอาแต่แผ่นดินบ้านตนกูปสาฟากหนึ่ง ตั้งแต่ปลายน้ำตลอดไปจนปากน้ำให้เป็นของตนกูปสา ทำราชการต่อไป ถ้าพระยากลันตันจะถวายอย่างไร ตนกูปสาก็จะถวายให้เหมือนอย่างพระยากลันตัน ทรงตรัสว่า อยู่บ้านเดียวเมืองเดียวใกล้กันค่าจมูกเท่านั้น จะจัดแจงขึ้นเป็น ๒ บ้าน ๒ เมืองไปอย่างไรได้ที่ไหน หน่อยก็จะวิวาทกันขึ้นอีกนั่นเอง ว่ากระไรเจ้าพระยาพระคลัง เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ท้าวพระกรุณามีจดหมายเข้าไปก็ว่า ความที่จะว่ากล่าวจัดแจงนั้นยากนักหนา ถ้าจัดแจงไปตามว่าแล้ว การจะสงบลงได้ก็แต่เมื่อกองทัพยังอยู่ ถ้ากลับเข้ามาเสียแล้ว การก็เห็นจะเป็นขึ้นอีก ทรงตรัสว่า มันจะฟังที่ไหน ถ้าเป็นขึ้น ๒ ก๊ก ๓ ก๊กอย่างนั้นแล้วก็คงจะเล่นกันอีก อย่างนี้แล้วก็ต้องเอาให้ลงกันเสียข้างหนึ่งจึงจะได้ บ้านเดียวเมืองเดียวจะให้เป็นสองเจ้าบ้านเจ้าเมืองไปอย่างไร แล้วทรงตรัสถามว่า ตนกูปสาจะจัดให้คนขึ้นมาหาเมื่อไร เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า อีกสัก ๔ วัน ๖ วันจึงจะจัดให้ตามขึ้นมา ทรงตรัสถามว่า เรือปากปลาที่ให้หลวงพิทักษ์นทีลงไปนั้นมันพบที่ไหน ลงไปถึงแล้วหรือยัง เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ยังไม่ลงไปถึง หมื่นเทพขึ้นมาก็ไม่พบหามิได้ ทรงตรัสว่า พอให้เรือปากปลากับพระยาเพชรบุรีไปถึงเข้า ก็จะกลัวตัวสงบลงหมดได้ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ที่คิดไว้จะให้พระยาเพชรบุรียกลงไปนั้น ท้าวพระกรุณายังให้รอฟังความที่ตนกูปสาจะให้ขึ้นมาอยู่ก่อน ครั้นจะให้รีบยกลงไป ก็กลัวจะพากันสะดุ้งตกใจผ่อนครอบครัวหนีไปเสีย เดี๋ยวนี้ก็ได้ความว่า ผ่อนครอบครัวไปอยู่ที่พิสูตรบ้างแล้ว ทรงตรัสว่า กระนั้นสิ ก็ต้องรอฟังดูก่อน แล้วรับสั่งว่า เอาหนังสือบอกมาว่าไปเถิด ครั้นหลวงสุรินทามาตย์อ่านถวายไปถึงที่ข้อว่า หลวงสรเสนีให้ขุนอินทร์หมื่นเทพ หมื่นสัจจา ขึ้นไปหาพระยากลันตันได้พูดจาบอกให้ลงมารับหนังสือนั้น ทรงพระสรวลตรัสว่า พระยากลันตันรู้ว่าลงไปถึงเข้า ความจะดีใจนักหนาทีเดียว ราวกับเทวดามาโปรดหรืออย่างไรนั่นแหละ ครั้นอ่านไปถึงที่ข้อว่า พระยากลันตัน ตนกูปสา ขอเอาขุนอินทร์หมื่นเทพข้าหลวงไว้นอนที่บ้านพระยากลันตันบ้านตนกูปสานั้น ทรงตรัสว่า ทำนองจะเอาไว้ให้คอยฟังเป็นพยานความด้วยยังไม่ไว้ใจกัน ครั้นอ่านไปถึงที่ข้อว่า พระยากลันตันพูดกับหลวงสรเสนี ท่านข้าหลวงออกมาถึงแล้ว ก็คิดรักษาบ้านเมืองเขตแดนของสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเถิด ยกกองทัพลงไปสักสามพันก็จะได้กวาดเอาพวกขบถมาเสียให้สิ้น พระยากลันตันจะขอไว้แต่พวกพ้องพระยากลันตัน กับว่าสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็โปรดให้เป็นพระยากลันตันแล้ว พระยากลันตันจะคิดรบสู้กับพวกพี่น้องไปเอาอะไร ทรงพระสรวลตรัสว่า พระยากลันตันพูดจาเป็นคนฉลาดหลักแหลมนักหนา ว่ากล่าวกลับจะเอาข้าหลวงไว้ช่วยรักษาเขตแดนบ้านเมืองเสียอีก ว่าให้ยกกองทัพลงไปกวาดเอาพวกขบถมาเสียให้สิ้น ดูทำนองพูดจาก็เป็นคนสิ้นคิดอยู่แล้ว จึงให้ยกกองทัพลงไป ครั้นอ่านไปถึงที่ข้อว่าตนกูปสาจะขอดูหนังสือซึ่งมีไปถึงพระยากลันตัน จะให้ดูแต่สำเนาตนกูปสาไม่ดูนั้น ทรงตรัสว่า อ้ายนี่พูดจาเป็นคนรังแกงุงะไปทีเดียว ท่วงทีไม่สุจริตเอาเลย กลับว่าใส่เอาด้วยเสียอีก ว่าไม่ตั้งเป็นที่ทางอะไร แลการจะตั้งแต่งพวกพี่น้องอย่างนี้ ก็ชอบแต่พระยากลันตันจะบอกกล่าวขอตั้งเข้าไปก่อน จึงจะได้ทรงตั้งแต่งออกมา นี่ไม่อ่อนน้อมต่อเขาแล้วจะมาว่า ๆ ไม่ตั้งแต่งเป็นอะไร อย่างนี้จะถูกหรือ มันพูดจาแก้ตัวขวาง ๆ ไปเปล่า ๆ ครั้นอ่านจบแล้ว ทรงตรัสถามว่า เรือที่ให้ถือหนังสือออกมาด้วยความกลันตันนั้น ยังไม่มีใครถึงบ้างเลยหรือ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ยังไม่ถึงหามิได้ ทรงตรัสว่า เป็นอย่างไรอยู่ มันจึงไม่มาถึงบ้างเลย มีหนังสือให้ติด ๆ กันออกมาก็หลายคราวแล้ว มันไปอยู่ที่ไหน มันไปเที่ยวเชือนแชเสียดอกกระมัง เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ไม่เชือนแชหามิได้ ปานนี้เรือที่มาก่อนก็เห็นจะถึงบ้างแล้ว ทรงตรัสว่า ถ้าออกมาถึงเข้า การที่มีหนังสือว่ากล่าวออกมาแต่ก่อนนั้นก็หาผิดไปนักไม่ การจะจัดแจงอย่างไรก็แจ้งอยู่ในหนังสือแต่ก่อนนั้นแล้ว แล้วทรงตรัสถามว่า เรือกองทัพที่ยังค้างออกมาไม่ถึงอยู่อีกกี่ลำ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ยังอยู่อีก ๘ ลำ ทรงตรัสว่า จนปานนี้แล้วยังเที่ยวเรี่ยราดอยู่ที่ไหน จึงไม่ใคร่มาถึงเข้าหมดได้เลย แล้วอ่านคำให้การถวายไปถึงข้อว่า พระยากลันตัน, ตนกูปสาขอเอาขุนอินทร์หมื่นเทพไว้ข้างละคน แลพระยากลันตันว่า ให้ยกกองทัพลงไปกวาดเอาพวกขบถนั้น ทรงพระสรวลตรัสว่า พระยากลันตันว่ากล่าวก็เป็นความจริง เป็นคนสิ้นคิดด้วยคับแคบกลัวตัวอยู่แล้ว ซึ่งขอเอาข้าหลวงไว้ข้างละคนนั้นก็เพราะยังไม่ไว้ใจกัน กลัวจะเกิดรบสู้กันขึ้นอีก ครั้นอ่านจบแล้ว ทรงตรัสถึงตนกูปสาว่า จะชุบเลี้ยงมันไปได้ที่ไหน มันเป็นคนงุงะบ้าหลังอะไรมิรู้ พูดจาก็ไม่สุจริตเรียบร้อยเอาเลย ทรงฟังพระยากลันตันพูดจาเพราะเจาะเรียบร้อยนักหนา เป็นคนฉลาดมากสมควรที่เป็นเจ้าบ้านเจ้าเมืองอยู่แล้ว แล้วอ่านจดหมายถวายจบลง ทรงตรัสว่า จะคอยฟังกระแสพระราชดำริให้ออกมาเร็วนั้นทางก็ไกล จะใคร่ออกมาถึงได้เร็ว ๆ ทันที่ไหน ถ้าจะคิดยกกองทัพลงไปตามพระยากลันตันว่าก็จะได้ ถึงโดยมันจะพากันหนีไป จะทันเอาครอบครัวไปมากได้ที่ไหน จะเอาไปก็แต่ครอบครัวของมันเท่านั้น ว่ากระไรเจ้าพระยาพระคลัง เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ที่จะเอาไปมากไม่ได้หามิได้ ไพร่บ้านพลเมืองที่เป็นพวกก็คงจะรักภูมิลำเนาอยู่ ทรงตรัสว่า มันจะไปที่ไหน มันรู้ว่ากองทัพยกลงไปช่วยพระยากลันตัน มันก็คงพากันเข้าหาพระยากลันตันหมดนั่นแหละ แล้วอ่านหนังสือบอกอาการเจ้าพระยานครฯ ซึ่งถึงแก่อสัญกรรมถวายจบลง ทรงตรัสว่า เป็นกาลมรณะมาถึงแล้วจะทำอย่างไรได้ ทรงพระอาลัยอาวรณ์อยู่นักหนา เจ็บป่วยสิ่งไรเจ้าพระยานครฯ ก็ไม่บอกเข้าไปให้ทรงทราบเลย คราวนี้จะได้ใครมาปกครองเมืองนครฯ ต่อไปอีกเล่า แล้วทรงตรัสถึงการเมืองกลันตันว่า จะจัดแจงเอาตามตนกูปสาว่ามานั้นยากนักหนา จะจัดแจงไปอย่างไรได้ โดยว่าเสียพระยากลันตันเสียแล้ว จะตั้งตนกูปสาขึ้น พระยาบาโงย, หวันมุดาจะยอมหรือ ต่างคนต่างก็จะเป็นหมดด้วยกัน ก็คงจะวิวาทกันอีก ถ้าพระยากลันตันยังไม่เสียหาย ไหนๆ ก็ได้ตั้งออกมาแล้ว ก็ต้องคิดทำนุบำรุงพระยากลันตันไว้ก่อน ถ้ามันไม่เข้าหา มันจะพากันหนีไป จะเอาคนไปมากมายได้ที่ไหน จะได้ก็แต่ครอบครัวของมันไปเท่านั้น โดยมันจะคิดกลับมาตีเมืองกลันตัน ผู้คนมันก็น้อย ถึงมันจะไปชักชวนพวกตรังกานูมาช่วย พระยากลันตันก็คงจะสู้ได้ ถ้ามันหนีไปแดนอังกฤษ ๆ จะคิดมาว่ากล่าวก็เป็นแต่พี่น้องรบกัน กองทัพยกไประงับอยู่ไม่ได้ก็หนีไปเอง ถ้ามันเข้าหาอย่างว่าแล้ว ก็พูดจาเล้าโลมคิดพาตัวมันเข้าไป อย่างไรก็สุดแต่คิดเอาตัวมันไว้ให้ได้ก่อนนั้นแหละดี การที่จะคิดจัดแจงประการใด ก็แจ้งมาในหนังสือซึ่งมีมาแต่ก่อน ๆ นั้นบ้างแล้ว คิดข้อความที่ว่ากล่าวออกมาก็หาผิดไปกระไรนักไม่ จะเป็นก็แต่คลาดเคลื่อนบ้างเล็กน้อย มีกลเม็ดสำคัญอยู่ก็แต่ว่า สุดแต่คิดอย่าให้เมืองกลันตันหลุดลอยไปอื่นได้ ถ้าคิดเอาตามความที่ว่าออกมาแล้ว ถึงจะคิดไปอย่างไรก็เลี้ยวเข้าหาถูกหมดนั่นแหละ การเดี๋ยวนี้ก็เป็นจะอ่อนน้อมเข้าหาแล้ว จะคิดจัดแจงตามตนกูปสาว่านั้น จะจัดแจงเป็น ๒ บ้าน ๒ เมืองไปอย่างไรได้ยากนักหนา ถ้าจัดแจงเป็นขึ้นแล้ว ข้างโน้นข้างนี้ก็จะเป็นบ้าง มิเป็น ๒ ก๊ก ๓ ก๊กไปหรือ ว่ากระไรเจ้าพระยาบดินทรเดชา เจ้าคุณผู้ใหญ่กราบทูลว่า จะจัดแจงตามตนกูปสาว่านั้นไมได้หามิได้ ถ้าจัดแจงขึ้นแล้วก็คงวิวาทกันอีก ทรงตรัสว่า ก็จะคิดว่ากล่าวอย่างไรเล่า เจ้าคุณผู้ใหญ่กราบทูลว่า คิดให้หาตัวขึ้นมาว่ากล่าวให้พร้อมกันให้หมด แล้วก็พาตัวเข้าไป ณ กรุงฯ ถ้าเห็นว่าจะให้หาไม่มา ก็คิดล่อลวงให้ขึ้นมา ผ่อนกองทัพลงไปทีละเล็กละน้อย คิดเอาตัวเสียให้จงได้ ทรงตรัสว่า มันจะมาก็แต่ที่คนไม่ผิด คนผิดแล้วมันจะมาที่ไหน มันจะหนีก็หนีไปเถิด ถ้ามันไม่มาหาแล้ว ก็คิดยกกองทัพลงไปตามพระยากลันตันว่า จัดแจงทำเอาให้เรียบร้อยจงได้ เจ้าพระยาบดินทรเดชา เจ้าพระยาพระคลัง ดูปรึกษาหารือกันเข้าเถิด จะเห็นความอย่างไรบ้างก็กราบทูลทักท้วงเข้ามา ๚

๏ ครั้นเพลาค่ำ ทรงตรัสไปถึงเจ้าพระยานครฯ ว่า เจ้าพระยานครฯ คิดฉลองพระเดชพระคุณทำไมตรีมีความชอบมาแต่ก่อนก็ช้านานนักหนา ที่จะเข้าออกไปมาก็ดี มีไมตรีเสมอหาขาดไม่ สู้ทรงสนอมไว้ว่าเป็นคนฉลาด หาได้ทรงขัดเคืองเจ้าพระยานครฯ แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ ผู้ใดจะกํ้าเกินก็ทรงกดขี่มิให้กํ้าเกินไปได้ ตั้งพระทัยจะทรงชุบเลี้ยงไปกว่าจะแก่เฒ่าชรา ครั้นถึงภัยพระยามัจจุราชเข้าแล้วก็ต้องขาดไมตรีอยู่เอง ทรงพระอาลัยเจ้าพระยานครฯ นักหนา ด้วยยังไม่แก่เฒ่าชราเลย มาเด็ดขาดจากไมตรีไปได้ แล้วทรงตรัสถามเจ้าคุณหาบนว่า เป็นกระไรปรึกษาหารือกันเข้า เห็นความข้างกลันตันอย่างไรบ้าง เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่าได้ปรึกษาเจ้าพระยาบดินทรเดชา พระยาราชสุภาวดีแล้ว ว่าการที่เมืองกลันตันนั้นถ้าไม่เข้าหาแล้ว ก็ต้องยกกองทัพลงไปจึงจะสำเร็จได้ ทรงตรัสว่า เห็นพร้อมด้วยกันอย่างนั้นแล้ว เจ้าพระยาพระคลังทำหนังสือให้ออกมาเถิด การเมืองกลันตันก็ว่าออกมาเหมือนเห็นความอย่างนี้ แต่ก่อน ๆ ก็ได้มีว่าออกมาหลายฉบับแจ้งอยู่แล้ว ถ้ามาถึงเข้าก็คงเห็นความ คิดจัดแจงถูกไปได้หมด แต่การข้างเมืองไทรนั้นจะได้ใครไปตั้งแต่งอย่างไร ก็ยังไม่ได้บอกแยบคายเข้าไปให้ทรงทราบเลย การสำคัญนักอยู่ เจ้าพระยานครฯ ก็หาบุญไม่ลงอย่างนี้ จะต้องคิดจัดแจงเสียให้เป็นที่มั่นคงจึงจะได้ ว่ากระไรเจ้าพระยาพระคลัง ที่เมืองนครฯ นั้นจะเห็นใครก็ว่ามา เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า เห็นอยู่ในบุตรเจ้าพระยานครฯ ๓ คน พระยาพัทลุง พระเสนหามนตรี นายฤทธิ แต่พระยาพัทลุงนั้นสูบฝิ่น พระวิชิตสรไกรข่าวก็ว่าสูบ แต่หาทราบแน่นอนไม่ ทรงตรัสว่า ไม่ทรงทราบเลยว่าสูบฝิ่น แล้วทรงไล่เลียงถามนายฤทธิว่า เจ้าพระยานครฯ รู้ว่ากระไรบ้าง นายฤทธิกราบทูลว่า หาได้ยินว่าอย่างไรไม่ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า พระยาพัทลุงนั้นเจ้าพระยานครฯ รักมาก รับสั่งว่า พระยาพัทลุงก็เป็นพี่ผู้ใหญ่ จะโปรดให้ว่าที่เจ้าพระยานครฯ เล่าก็เป็นคนง่อยเพลีย มีราชการมาจะไปก็ไม่ได้ ให้พระเสนหามนตรีนั้นว่าที่เจ้าพระยานครฯ เอาพระยาพัทลุงยกมาว่าที่จางวาง เอานายฤทธิมาว่าที่ผู้ช่วย อยู่เมืองนครฯ ๓ คนด้วยกันเถิด ถึงพระยาพัทลุงจะบิดเอาอย่างไร พระเสนหามนตรีกับนายฤทธิ[๑]ก็เป็น ๒ เกลียวด้วยกันแล้วก็คงสู้ได้ ที่เมืองพัทลุงนั้น เอาพระวิชิตสรไกรมาใส่ที่พัทลุง แต่เมืองไทรนั้นให้ว่าหารือออกมา ให้คิดจัดแจงให้ตลอดไปถึงเมืองถลาง, เมืองพังงาทีเดียว บุตรเจ้าพระยานครฯ ก็มีอยู่หลายคน จะทรงชุบเลี้ยงให้เป็นลำดับกัน ถ้าจะเอาแขกตั้งไว้ที่เมืองไทรแล้ว ก็ถอนเอาพระยาไทร พระเสนานุชิต มาใส่ที่เมืองพังงา จะยกเมืองพังงาเป็นเมืองใหญ่ ให้เมืองถลาง เมืองตะกั่วทุ่ง เมืองตะกั่วป่ามาขึ้นให้สิ้น ด้วยเมืองพังงาเป็นที่มั่น ถ้าจะให้พระยาไทรคงอยู่บ้านเมืองตามเดิมแล้ว ก็ให้ถามพระยาไชยานอกราชการดู ถ้ารับจะไปอยู่เมืองพังงา ก็จัดแจงส่งให้ไป ดูว่ากล่าวหนังสือออกมาให้ดี การครั้งนี้ก็สิ้นเจ้าพระยานครฯ ลงแล้ว ยังอยู่แต่ลูกเต้าทั้งปวง ต่างคนต่างก็จะเป็นก๊ก ๆ กันไป จะเหมือนหนึ่งเจ้าพระยานครฯ ยังอยู่หรือ ถ้าฉวยว่ามีการขึ้นมันรู้ว่าเจ้าพระยานครฯ หาบุญไม่แล้ว มันกลับมาทำอีก จะคิดช่วยเหลือกันเหมือนอย่างเจ้าพระยานครฯ อยู่ที่ไหน ต่างคนต่างก็จะวิ่งโร่มาเสียหมด อายเขาเล่นทีเดียว ให้คิดตริตรองการดูให้รอบคอบจงมาก จัดแจงให้เป็นสามัคคีรสกันตามฉันพี่ฉันน้องให้ดี อย่าให้มีความรังเกียจกัน ให้เป็นที่มั่นคงไว้วางใจให้จงได้ ๚

๏ ณ วันเดือน ๗ แรม ๑๓ ค่ำ หาได้ทรงพระราชดำริราชการเมืองไทร เมืองกลันตันไม่ ๚

๏ ครั้น ณ วันเดือน ๗ แรม ๑๔ ค่ำ เพลาค่ำ เจ้าคุณหาบนกราบทูลถวายร่างหนังสือซึ่งจะตอบ ให้หมื่นพิมลกำจรถือออกมา นายบริบาลอ่านถวายไปถึงที่ข้อยกความในบอกสิ้นข้อลงเพียงเจ้าพระยานครฯ ถึงแก่อสัญกรรม แล้วดำเนินกระแสรับสั่งด้วยการเมืองกลันตันนั้น รับสั่งว่าว่าความตายลงมาแล้ว จะเอากระแสรับสั่งความกลันตันมาติดเข้านั้นไม่ควร แยกเป็นคนละฉบับเสียจึงจะดี อ่านไปฟังเล่นก่อนเถิด ครั้นอ่านถวายจบแล้ว ทรงตรัสว่า ว่ากล่าวก็หมดจดดีอยู่แล้ว แต่ความยังขาดอยู่หน่อยหนึ่ง เติมใส่ลงเสียว่า จัดแจงตั้งเมืองไทรแล้ว ก็ให้ขึ้นอยู่กับเมืองนครฯ ตามเดิม ให้จัดแจงว่ากล่าวกำชับกำชาพระยาสงขลา แลพวกพี่น้องบุตรเจ้าพระยานครฯ ให้สมัครสมานกลมเกลียวกันให้จงได้ อย่าให้มีความวิวาทรังเกียจกัน มีราชการมาข้างใครอย่างไร ก็ให้ผ่อนเร่มาช่วยกันให้ทันท่วงที ให้มีจิตคิดรักใคร่กันเหมือนพี่น้อง คิดจัดแจงทำให้ได้อย่างนี้จึงจะดี แยกหนังสือทำเป็นคนละฉบับ ขออีกสักเวลาหนึ่งเถิด ๚

๏ ครั้น ณ วันเดือน ๘ ขึ้นค่ำ ๑ เพลาเช้า รับสั่งสั่งพระนรินทร์ว่าไปบอกเจ้าพระยาพระคลังให้คิดทำหนังสือว่า ที่จะจัดแจงตั้งเมืองไทรนั้นให้ว่าเอียง ๆ ไปข้างแขก แล้วรับสั่งสั่งพระยาราชสุภาวดีว่า ออกไปจากนี่ไปแวะบอกความเจ้าพระยาพระคลังทีเถิด จะให้แต่พระนรินทร์ไปก็จะเอาไปลืมเสียหมด เอาพระนรินทร์ไปด้วย เจ้าคุณผู้ใหญ่กราบทูลว่า เจ้าคุณผู้ใหญ่ก็จะรับพระราชทานลงไป ทรงตรัสว่า ดีแล้ว แวะลงไปบอกว่า ถ้าจะตั้งให้แขกอยู่เมืองไทรแล้ว ให้ผ่อนเอาปืนใหญ่ปืนน้อยเครื่องศัตราวุธที่เมืองไทรมาเสียให้มาก เอาไว้ให้แต่เล็กน้อย เอามาเฉลี่ยใส่เมืองตรังเมืองสตูลไว้ให้เป็นที่มั่นคง ดูหาเอาแขกที่เป็นชาติสกุลตั้งขึ้นไว้ ยีหูยีเหืองมันเข้า มันก็จะถือยศถาศักดิ์ขึ้น มันรู้จักกับแขกเก่าเคยเชื่อถือกันอยู่แล้ว ให้มันคิดเกลี้ยกล่อมเข้าก็คงจะมาได้มาก ถ้ามันมาแข็งเมืองตั้งตัวเป็นใหญ่ แขกฝ่ายเราก็ยอมนับถือไปกับมัน แลยกเข้ามาตีเมืองไทรอีก ก็ยกกองทัพลงไปช่วยกันทั้ง ๓ เมือง ๔ เมืองตีกวาดเอาให้เป็นจุณวิจุณไป ถ้ามันเข้ามาไม่กระด้างกระเดื่องอ่อนน้อม จะขอเป็นใหญ่ส่งดอกไม้ทองเงินแล้ว ก็จะลองประจบตั้งดูทีหนึ่ง ว่ากระไรเจ้าพระยาบดินทรเดชา น้ำใจของเรามันจะยอมให้มันตั้งตัวเป็นใหญ่ที่บ้านเมืองทีเดียวหรือ เจ้าคุณผู้ใหญ่กราบทูลว่า ตั้งแต่งเป็นเจ้าบ้านเมืองออกไปแล้ว ก็คงรักยศถาศักดิ์ที่ทางอยู่ ที่จะยอมให้มาตั้งตัวเป็นใหญ่ในบ้านเมืองนั้นเห็นไม่เป็นหามิได้ (รับสั่งว่า) ถ้าจัดแจงได้แขกไปตั้งเป็นที่เมืองไทรแล้ว ก็ต้องถอนเอาพระยาไทร พระเสนานุชิตมาใส่ที่เมืองพังงา ถ้าที่เมืองไทรหาแขกตั้งไม่ได้ จะให้ไทยไปตั้งอยู่ผู้อื่นก็หาดีเหมือนพระยาไทรไม่ ด้วยพระยาไทรเป็นคนเคยเข้าใจรู้จักชั้นเชิงทำนองอ้ายแขก ถ้าจะให้พระยาไทรคงบ้านเมืองอยู่ตามเดิมแล้ว ก็ต้องคิดจัดแจงให้มั่นคงทีเดียวจึงจะได้ ถ้าไม่มั่นคงวิ่งโร่มาอีกแล้วอายเขาทีเดียว ต้องคิดหาเอาคนไปใส่ให้ได้สักพันหนึ่งสองพันนั่นแหละจึงจะรับรองเป็นที่มั่นคงไว้วางใจได้ จะคิดเอาคนที่ปลายแดนเมืองสงขลา, เมืองพัทลุง, แลบ้านใดเมืองใดบ้างซึ่งต่อแดนกับเมืองไทรไปขึ้นกับเมืองไทรได้ ก็ยกเอาครอบครัวไปตั้งอยู่ในเขตแดนเมืองไทรทีเดียว มีราชการมาก็จะได้ช่วยกันทันท่วงที และพวกกรมการผู้ใหญ่ผู้น้อยที่เมืองนครฯ นั้นเมื่อเจ้าพระยานครฯ ยังอยู่ จะได้ใช้สอยไปตกค้างอยู่เมืองพัทลุงบ้าง เมืองไทรบ้าง เมืองตรังบ้าง จะสมัครอยู่ตามพี่น้องอย่างไรก็ให้ไถ่ถามดู จัดแจงให้ตามสมัคร อย่าให้มีความวิวาทรังเกียจแก่กัน ถ้าจะให้พระยาไทรคงอยู่บ้านเมืองตามเดิมแล้ว ก็ให้ถามพระยาไชยาดู ถ้าพระยาไชยาจะรับรักษาอยู่เมืองพังงาได้ ก็ให้จัดแจงส่งไปเมืองพังงา แล้วให้คิดตริตรองการไปทั้งเมืองถลาง, เมืองพังงา, เมืองไทร, แลข้าง ๙ หัวเมืองให้รอบคอบ ทำให้เป็นที่มั่นไว้วางใจไปให้หมดได้จึงจะดี ๚

๏ ครั้นเพลาค่ำ ทรงตรัสถามเจ้าคุณหาบนว่า ทำหนังสือแล้วหรือ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ทำแล้ว รับสั่งว่า ทำเร็วนักหนา เอาเข้ามาว่าไปเถิด จะทรงฟังเล่นให้สบายพระทัย ครั้นนายบริบาลอ่านถวายฉบับที่จัดแจงเมืองนครฯ เมืองไทรไปถึงข้อว่าสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็ทรงชุบเลี้ยงเจ้าพระยานครฯ นั้น รับสั่งว่าขอเติมใส่พระนามในสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงลงด้วยเถิด ว่าลงว่า ก็ทรงพระเมตตาเจ้าพระยานครฯ อยู่ จะได้เป็นเกียรติยศไปกับลูกเต้าทั้งปวง ครั้นแก้หนังสืออ่านถวายไปถึงที่ว่า จะให้พระวิชิตสรไกรอยู่รักษาเมืองพัทลุง รับสั่งว่า ยังตกความอยู่ที่จะให้มาขึ้นแก่กรุงฯ ตามเคยนั้นหน่อยหนึ่ง ว่าออกมาให้ดีว่าแต่ก่อนเมืองพัทลุงนับถือเมืองนครฯ อยู่โดยฉันพ่อลูกกัน จึงได้บอกกล่าวการงานมาที่นครฯ ครั้งนี้ถ้าจะมีการงานสิ่งไรก็ให้บอกเข้าไป ณ กรุงฯ ทีเดียว ถ้าเป็นแต่ความเกี่ยวข้องเล็กน้อยก็ให้บอกไปเมืองนครฯ ตามฉันพี่น้องกัน ว่าสมานออกมาให้ดี ครั้นแก้หนังสืออ่านถวายจบแล้ว ทรงตรัสว่า ฟังดูว่ากล่าวก็ถี่ถ้วนหมดถ้อยความเพราะเจาะนักหนาดีอยู่แล้ว หนังสือข้างหลวงศรีเสนาจะว่ากล่าวอะไรก็เท่อๆ หาเพราะเจาะไม่ นานไปจะสู้หลวงทิพอักษรเสมียนตรากลาโหมไม่ได้เสียอีก แล้วรับสั่งว่า ความที่ทรงสั่งไปเมื่อเช้าด้วยข้อจะเอาแขกตั้งไว้เมืองไทรนั้น ยังตกความอยู่ จะเติมแก้ลงในหนังสือหรือจะมีจดหมายของเจ้าพระยาพระคลังออกมาก็ตามเถิด คิดว่าเติมใส่ลงเสียให้ใด้ ว่าที่จะตั้งให้แขกอยู่เมืองไทรนั้น ให้ผ่อนเอาปืนใหญ่ปืนน้อยเครื่องศัตราวุธมาเสียให้มาก เอาไว้แต่เล็กน้อย ดูจัดหาเอาแขกที่มีชาติสกุลมายีหูยีเหืองมันเข้าตั้งแต่งออกไป มันก็คงจะรักที่ทางยศถาศักดิ์ขึ้น มันรู้จักอยู่กับแขกเก่าเคยนับถือกันมาแต่ก่อนอยู่แล้ว มันคิดเกลี้ยกล่อมพูดจาชักชวนกันเข้าก็คงจะเชื่อถือพากันกลับเข้ามาได้มาก ถ้ามันเข้ามามากคิดแข็งเมืองจะตั้งตัวเป็นใหญ่ขึ้นแล้วก็ให้บอกเข้ามาช่วยกันยกออกไปรํ่าเอาให้ยับเยิน ถ้าแขกของเรามันกลับไปนับถือเชื้อสายเจ้านายเก่ามันยอมให้เป็นใหญ่ ไม่อ่อมน้อมเข้าหาโดยดี แลมันคิดยกกลับมาตีอีก ก็ยกกองทัพลงไปช่วยกันทั้ง ๓ เมือง ๔ เมือง ตีกวาดเอามาให้เป็นจุณวิจุณไป ถ้ามันเข้ามาพากันอ่อมน้อมจะยอมส่งดอกไม้ทองเงินเหมือนแต่ก่อนแล้วก็จะลองประจบตั้งดูสักทีหนึ่ง ว่ากระไรเจ้าพระยาพระคลัง ว่าออกมาอย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว จะว่าให้จัดแจงไปอย่างไรก็ยังไม่ทรงทราบเห็นการข้างนอก เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า โปรดเกล้าฯ อย่างนี้ ท้าวพระกรุณาคิดจัดแจงการได้ง่าย ทรงตรัสว่า ว่าออกมาให้สว่างแล้วก็เบาอกเบาใจคิดจัดแจงไปได้ง่าย ความอันนี้ก็ได้ทรงสั่งไปบอกแล้วถึง ๒ คน ๓ คน ยังเอาไปลืมเสียได้ แล้วรับสั่งว่า ดูเติมลงเสียให้ได้ จะแก้หนังสือหรือจะจดหมายออกมาอีกฉบับ ๑ ก็ตามเถิด ๚

๏ ครั้น ณ วันเดือน ๘ ขึ้น ๒ ค่ำ เพลาค่ำ ทรงตรัสกับเจ้าคุณหาบนว่า ตั้งแขกไปอยู่เมืองไทรแล้ว ที่ตัวอ้ายพระยาไทรจะกลับเข้ามาเองนั้นไม่มา ถ้าจะมาก็มาแต่อ้ายตนกูหมัดสอัดแลลูกหลานเหล่านั้นนั่นเอง ถ้าโดยมันเข้ามา แขกของเราที่ตั้งออกไปไว้ มันจะไม่รักที่ทางยศถาศักดิ์จะยอมให้ไปทีเดียวหรือ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ที่จะยอมให้เห็นจะไม่เป็น ทรงตรัสว่าถ้ามันไม่ยอมให้ รักที่ทางยศถาศักดิ์อยู่แล้วก็คงเป็นการ ได้แขกเก่า ๆ ที่หลบหนีไปอยู่ในแดนอังกฤษมันชักชวนเข้าก็คงจะกลับมา แล้วทรงตรัสเล่าความที่จัดแจงเมืองนครฯ เมืองไทรให้กรมหลวงรักษ์รณเรศฟังว่า การเมืองไทรสำคัญนัก เจ้าพระยานครฯ ก็หาบุญไม่แล้ว ถ้ามันรู้เข้ามันกลับเข้ามาทำอีก ลูกเต้าเหล่านั้นมันจะทำได้เหมือนตัวเจ้าพระยานครฯ อยู่หรือ ต้องคิดจัดแจงตั้งกำชับกำชาให้ช่วยกันรักษาเขตแดนเข้าให้มั่นคงจึงจะได้ เป็นกระไรเอาแขกไปตั้งไว้ที่เมืองไทร เอาพระยาไทรมาใส่ที่พังงา อย่างนี้ดีหรือไม่ดี กรมหลวงรักษ์รณเรศกราบทูลว่า ควรด้วยเกล้าฯ ดีอยู่แล้ว แล้วรับสั่งว่า จะเอาอะไรมาว่าก็เอามา เจ้าคุณหาบนกราบทูลถวายจดหมาย นายบริบาลอ่านไปถึงที่ข้อจะจัดแจงตั้งแขกไว้เมืองไทรนั้น รับสั่งว่า แทรกความลงอีกสักหน่อยว่าเมืองไทรก็ขึ้นเมืองนครฯ แล้วก็ใกล้กับเมืองสงขลา ให้พระเสนหามนตรี พระยาสงขลา คอยระไวระวังดูการเมืองไทรให้รู้เท่าทันท่วงทีอ้ายแขกจงได้ ครั้นแก้จดหมายอ่านถวายไปถึงข้อให้กองทัพเมืองนครฯ เมืองพัทลุง เมืองสงขลา ยกไปช่วยกันนั้น รับสั่งว่า ให้เติมเอาเมืองถลางใส่เข้าอีกเมืองหนึ่ง ครั้นเติมเมืองถลางแล้วอ่านถวายจบลง ทรงตรัสว่า ถูกถ้วนดีเต็มที่อยู่แล้ว แต่ยังขาดความอยู่อีกนิดหนึ่ง ขอเติมใส่ลงเสียสักหน่อยเถิด ว่าซึ่งตั้งแขกให้อยู่เมืองไทรได้แล้ว จะถอนเอาพระยาไทรมาอยู่ที่เมืองพังงานั้น ผู้คนแขกเก่าที่ไว้ใจได้สนิทเคยรับใช้สอยอยู่กับพระยาไทรนั้น ก็ดูจัดแจงให้พระยาไทรมาบ้าง จะได้เป็นกำลังราชการมากขึ้นข้างเมืองพังงา ถ้ามันเป็นคนผิดแลจะไว้ใจมิได้ ก็ผ่อนเอาเข้ามาเสีย ให้มีกำลังเมืองไทรอยู่แต่น้อย แลกำปั่น เรือรบ เรือไล่ ปืนใหญ่ ปืนน้อย เครื่องศัสตราวุธของพระยาไทรมีอยู่เท่าไรก็ผ่อนจัดแจงให้พระยาไทรมาเสียให้สิ้น ครั้นจะทิ้งแผ่นดินเมืองไทรเสียเล่า เมืองไทรก็เป็นที่ภูมิทำมาหากินอยู่ อังกฤษก็จะคิดมาสวมเก็บกันเอาเป็นของอังกฤษต่อไป จะไว้ใจแก่การนั้นไม่ได้ ว่าใส่ลงอย่างนี้อีกหน่อยเถิด ครั้นแก้จดหมายอ่านจบลงแล้ว รับสั่งว่าอ่านกลับไปอีกสักทีหนึ่ง ครั้นอ่านถวายจบแล้ว รับสั่งว่าเออ ดีแล้ว เอาเถิด แล้วรับสั่งให้อ่านหนังสือฉบับที่จัดแจง เมืองนครฯ เมืองไทร ถวายกรมหลวงรักษ์รณเรศ ครั้นอ่านจบแล้ว ทรงตรัสถามว่า ฟังความเป็นกระไร ดีหรือไม่ดี กรมหลวงรักษ์รณเรศกราบทูลว่า ข้อความชัดถูกถ้วนดีอยู่แล้ว ทรงตรัสว่า ว่าแจ่มสว่างออกมาอย่างนี้ จะได้ค่อยเบาอกเบาใจคิดจัดแจงการได้ง่าย ๆ การครั้งนี้จะหนักอกหนักใจอยู่นักหนา ด้วยการนั้นหลายอย่าง ต้องคิดไปรอบคอบทีเดียวจึงจะได้ แล้วทรงตรัสถามว่า จะให้คนที่เข้าไปมันถือหนังสือกลับออกมาหรือ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า จะให้หมื่นพิมลกำจรที่ถือหนังสือบอกเข้าไปนั้นถือกลับออกมา รับสั่งว่า เอาส่งให้มันเร่งออกมาโดยเร็วเถิด ออกมาถึงรู้ความในหนังสือเข้าแล้ว จะได้ค่อยสบายคลายใจลงบ้าง แลกระแสพระราชดำริราชการเมืองกลันตันเมืองไทร แลโปรดให้จัดแจงเมืองนครฯ ประการใดก็แจ้งมาในหนังสือแลจดหมายซึ่งหมื่นพิมลกำจรถือออกมาทุกประการแล้ว ๚

๏ แลซึ่งข้าพเจ้ารับพระราชทานจดหมายกระแสพระราชดำริออกมานี้ ตามได้รับพระราชทานฟัง เข้ากันแต่ได้จดหมายออกมาเก่าใหม่เป็น ๑๑ ครั้ง ข้อความจะขาดผิดเพี้ยนควรมิควรประการใด รับพระราชทานพระเดชพระคุณสุดแล้วแต่จะโปรด จดหมายมา ณ วัน ๖ เดือน ๘ ปฐมาสาฒขึ้น ๓ ค่ำ ปีกุนเอกศก (จุลศักราช ๑๒๐๑ พ.ศ. ๒๓๘๒) ๚



[๑] ได้ทราบว่า พระยาพัทลุง กับพระเสนหามนตรีไม่ปรองดองกัน จึงโปรดให้ย้ายพระยาพัทลุงเข้ามาเป็นพระยาอุทัยธรรมรับราชการอยู่ในกรุงเทพฯ แต่ในรัชกาลที่ ๓

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ