จดหมายหลวงอุดมสมบัติ ฉบับที่ ๑๓

๏ ข้าพเจ้าหลวงอุดมสมบัติ จดหมายมายังหลวงทิพอักษรเสมียนตรา ได้นำขึ้นกราบเรียนแต่ท้าวพระกรุณาเจ้าให้ทราบ ด้วยแต่ก่อนข้าพเจ้าได้จดหมายฝากออกมากับจมื่นอินทรเสนา ณ วันเดือน ๔ แรม ๑๔ ค่ำครั้ง ๑ รองศุภมาตราเพชรบุรี ณ วัน เดือน ๕ ขึ้น ๘ ค่ำครั้ง ๑ ขุนฤทธิรณไกร ณ วันเดือน ๕ ขึ้น ๑๔ ค่ำครั้ง ๑ ณ วันเดือน ๗ ขึ้น ๙ ค่ำครั้ง ๑ หมื่นนิกรญวน ณ วันเดือน ๖ แรม ๗ ค่ำครั้ง ๑ นายโตนายหมวดกองญวน ณ วันเดือน ๗ ขึ้น ๒ ค่ำครั้ง ๑ ขุนสารวัด ณ วันเดือน ๗ แรม ๕ ค่ำครั้ง ๑ หลวงโกชาอิศหาก ณ วันเดือน ๗ แรม ๘ ค่ำ แรม ๑๐ ค่ำครั้ง ๑ หมื่นพิมลกำจรญวน ณ วันเดือน ๘ ขึ้น ๓ ค่ำครั้ง ๑ เข้ากัน ๑๑ ครั้ง ความแจ้งอยู่แต่ก่อนนั้นแล้ว ๚

๏ แลเมื่อ ณ วันเดือน ๘ ขึ้น ๓ ค่ำ เพลาค่ำนั้น พระนรินทร์กราบทูลว่า พระยาพัทลุงบอกให้ขุนจำนงถือเข้าไปว่า เจ้าพระยานครฯ ป่วยเป็นโรคลม ให้อาเจียนน้ำลายเหนียวเสมหะปะทะหน้าอก ป่วยมาแต่ ณ วันเดือน ๖ แรม ๘ ค่ำ ครั้น ณ วันเดือน ๖ แรม ๑๔ ค่ำ โรคเจ้าพระยานครฯ มากขึ้น ให้หอบเสมหะดังครอก ๆ ให้มือเท้าเย็นนิ่งแน่ไป ครั้นเพลา ๕ ทุ่มเศษ เจ้าพระยานครฯ ถึงแก่อสัญกรรม กับว่าพระยาไทรบอกเข้ามาว่า ได้จัดให้กองเรือ ๑๙ ลำกับกำปั่นรบอังกฤษลงไปที่เกาะนางกาวี ครั้นกองเรือลงไปถึง อ้ายหวันมาลีหนีไปทางปตูบาหรา ว่าจะไปอยู่เกาะหน้าเมืองมฤท แต่ที่เมืองไทรนั้น พระยาไทรเกลี้ยกล่อมให้แขกกลับเข้ามาอยู่บ้านเรือนแล้ว ๑,๕๐๐ คน กับจับได้ ๖๐๐ คน กับส่งต้นหนังสือพระยากลันตันแลคำแปลหนังสือพระยากลันตัน ที่เจ๊ะยาปา เจ๊ะสเลหมัน ถือมาถึงเจ้าพระยานครฯ ๒ ฉบับ กับคำให้การเจ๊ะยาปา เจ๊ะสเลหมันเข้าไป ใจความเหมือนกันกับที่ท้าวพระกรุณาบอกส่งเข้าไปครั้งก่อน ทรงตรัสว่า บอกส่งเข้ามาทำไมปานนี้ ความเหมือนกันแล้วก็เอาบอกอาการเจ้าพระยานครฯ มาว่าไปเถิด หลวงสุรินทามาตย์เอาบอกฉบับที่บอกส่งต้นหนังสือพระยากลันตันแลคำให้การขึ้นอ่านถวาย ทรงตรัสว่า เป็นไรหลวงสุรินทามาตย์จึงเป็นอย่างนี้ไปได้ ให้เอาบอกอาการเจ้าพระยานครฯ มาว่า กลับเอาความกลันตันเข้ามาว่าอีกเล่า ดูหลงใหลเลอะเทอะไปทีเดียว ครั้นหลวงสุรินทามาตย์อ่านบอกอาการเจ้าพระยานครฯ ถวายจบแล้ว ทรงตรัสว่า เป็นโรคลมดอกหรือ ทรงคิดว่าจะเป็นโรคอะไรเล่า ป่วยเจ็บอย่างไรเจ้าพระยานครฯ ก็ไม่บอกเข้าไปให้ทรงทราบ ทรงตรัสถามอยู่ก็ไม่ได้ความว่าเป็นโรคอะไร ไม่พอที่เอาเลย เสียดายนักหนาทีเดียว แล้วทรงตรัสถามขุนจำนงว่า จัดแจงเอาศพไว้ที่ไหน พระยาพัทลุง พระเสนหามนตรี ยังอยู่ที่เมืองนครฯ หรือลงไปเมืองสงขลาแล้ว ขุนจำนงกราบทูลว่า พระยาพัทลุงกับพระเสนหามนตรีลงไปอยู่เมืองสงขลาแล้ว แต่ศพเจ้าพระยานครฯ นั้น จัดแจงเอาไว้ในเรือนข้างในที่เจ้าพระยานครฯ นอน ทรงตรัสถามว่า พวกนครฯ ที่ให้ถือหนังสือออกมาด้วยความกลันตันนั้น มันออกมาถึงทันหรือไม่ ขุนจำนงกราบทูลว่า ยังหาเห็นออกมาถึงไม่ ทรงตรัสถามพระนรินทร์ว่า หนังสือความกลันตันนั้น ให้นายดวง นายแพ ถือออกมา หรือให้นายสีคงถือออกมา พระนรินทร์กราบทูลว่า ให้นายดวงถือออกมา ทรงตรัสถามว่า ให้ถือออกมาเมื่อไร พระนรินทร์นิ่งพลิกสมุดอยู่ ทรงตรัสถามว่า ว่ากระไร พระยาพิพัฒน์รู้หรือไม่ พระยาพิพัฒน์กราบทูลว่า ทราบแต่ว่าให้นายดวงนายแพถือออกมา ทรงตรัสถามพระนรินทร์ว่า ให้ถือออกมาเมื่อไร ให้นายดวงนายแพถือออกมาแน่แล้วหรือ หรือให้ใครถือออกมา พระนรินทร์กราบทูลว่า ให้นายสีคงถือออกมา ทรงตรัสว่า อย่างไร ประเดี๋ยวว่าให้คนนั้นคนนี้ถือออกมา ว่าอย่างไรไม่แน่ลงได้เอาเลย ให้ถือออกมาเมื่อไร พระนรินทร์นิ่งอยู่ ทรงตรัสว่า เปล่า ๆ ทั้งนั้น เมื่อไม่จดหมายจำลงไว้บ้างเลย พูดเอากระนั้นนั่นเอง แล้วทรงตรัสถามว่า แต่มีหนังสือความกลันตันให้ถือออกมานั้น ให้ออกมากับใครบ้าง หมื่นพิมลกำจรเข้าไปถึงเมื่อไร พระนรินทร์กราบทูลว่า หมื่นพิมลกำจรเข้าไปถึง ณ วันเดือน ๗ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ทรงตรัสว่า นั่นมิใช่หรือ เปล่า ๆ ทีเดียว แต่หมื่นพิมลกำจรมาถึงเมื่อวานซืน เท่านี้ก็จำไม่ได้ พูดจาเลอะเทอะไปเสียหมดแล้ว จะทรงไถ่ถามอะไรก็ไม่ได้ความ ๚

๏ ครั้น ณ วันเดือน ๘ ขึ้น ๔ ค่ำ เวลาเช้า ทรงตรัสกับเจ้าคุณหาบนว่า อาการเจ้าพระยานครฯ นั้น ทรงคิดว่าจะเป็นโรคอะไร มิรู้เป็นโรคลมทีเดียว ไม่พอที่จะตายเลย เสียดายนักหนา เมื่อคืนนี้ให้เอาบอกอาการเจ้าพระยานครฯ มาว่า กลับเอาความกลันตันเข้ามาว่าเสียอีก ทรงตรัสถามพระนรินทร์ว่า หนังสือความกลันตันให้ใครถือออกมาก่อน ออกมาแต่เมื่อไร ได้ให้ใครออกมาบ้างก็ไม่ได้ความ ว่าแต่ว่า ให้นายดวงถือออกมาก่อน พระยาพิพัฒน์ก็ว่าให้นายดวง นายแพ ออกมาก่อน ถามว่าแน่แล้วหรือ พระนรินทร์ว่าให้นายสีคงออกมาก่อน ถามว่าให้ออกมาเมื่อไร ก็ไม่ได้ความ เลื่อนเปื้อนไปเสียหมด เป็นอย่างนี้ไปได้ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ได้ให้นายดวงนายแพหรือนายสีคงถือออกมาก่อนแต่แรกนั้นคราว ๑ ให้พวกสงขลาถือออกมาก็คราว ๑ แต่ได้ให้ถือออกมานั้นหลายครั้งแล้ว ยังให้ค้นจดหมายอยู่ ว่าใครจะถือออกมาบ้าง แล้วรับสั่งว่า เอาหนังสือที่ค้างเกินอยู่เมื่อคืนนี้เข้ามาว่าไปเถิด ครั้นหลวงสุรินทามาตย์อ่านบอกพระยาพัทลุงถวายไปถึงที่ข้อว่า พระยากลันตันให้เจ๊ะยาปาถือหนังสือมาถึงเจ้าพระยานครฯ ทรงตรัสถามว่า เจ้าพระยานครฯ ได้ดูหนังสือเจ๊ะยาปาทันหรือไม่ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ไม่ทันหามิได้ เดิมเจ้าพระยานครฯ คิดว่า พระยากลันตันจะสู้ตนกูปสาได้ ครั้นทราบว่าสู้ไม่ได้ก็เสียใจหนักลง ทรงตรัสว่า ว่าแล้วสิ เหตุด้วยความกลันตันนั่นเอง โรคจึงกำเริบกล้าขึ้น ครั้นอ่านจบแล้ว อ่านคำให้การเจ๊ะยาปาถวายไปถึงที่ว่า บุตรหวันมุดากับบุตรหวันมุเก็ดหาไปฟังท้องตราตั้งพระยากลันตันไม่ แลกับว่าคิดกันให้ไปรับพระยาบาโงยมาจากปากน้ำมะนรา[๑]นั้น ทรงตรัสว่า รับไปที่ไหน อ้ายพระยาบาโงยมันหนีเจ้าพระยานครฯ ไปเอง แลซึ่งมันไม่ฟังท้องตรานั้น เดิมหวันมุดาก็คิดจะเป็นพระยากลันตัน ครั้นไม่ได้เป็นแล้ว มันก็ไม่มาฟังท้องตรานั่นเอง ครั้นอ่านจบแล้ว อ่านคำให้การเจ๊ะสเลหมันถวายไปถึงที่ข้อว่า รายามุดาห้ามมิให้ไพร่พลเมืองไปซื้อข้าวสารตนกูปสา ตนกูปสาขัดใจจึงได้วิวาทรบสู้กันนั้น ทรงตรัสว่า รังแกทีเดียว เหตุนิดหนึ่งเท่านั้นมันเอาเป็นใหญ่เป็นโต วิวาทบาดทะเลาะกันไปได้ ก็เป็นพี่เมียน้องเมียกันอยู่แล้ว ยังหานับถือกันไม่ ครั้นอ่านต้นหนังสือพระยากลันตันจบแล้ว ทรงตรัสว่า ฟังหนังสือพระยากลันตันว่าดูยับเยินเต็มทีทีเดียว เห็นจะแคบใจตกใจอยู่นักหนาแล้ว จึงว่ากล่าวร้อนเร็วมาให้ยกกองทัพลงไป แล้วทรงตรัสกับเจ้าคุณหาบนว่า ความอันนี้เป็นความเก่าทั้งนั้น เป็นกระไร หนังสือที่ให้ออกมาด้วยความกลันตันนั้น ปานนี้ยังจะไม่ออกมาถึงบ้างทีเดียวหรือ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ที่ให้ออกมาก่อนนั้นเห็นจะมาถึงบ้างแล้ว ทรงตรัสว่า ถ้าหนังสือมาถึงเข้าแล้ว การจะคิดจัดแจงอย่างไรก็จะค่อยสว่างง่ายเข้า คิดถูกไปหมดได้ ๚

๏ ครั้น ณ วันเดือน ๘ ขึ้น ๕ ค่ำ เพลาค่ำ ทรงตรัสถามขุนจำนงว่า เป็นกระไร รู้หรือไม่ พระยาพัทลุงสูบฝิ่นมานานแล้วหรือ ขุนจำนงกราบทูลว่า ได้ยินแต่พูดกันว่าสูบ แต่จะสูบมานานอย่างไรหาได้ทราบได้เห็นไม่ ทรงตรัสถามว่า ไพร่บ้านพลเมืองเมืองนคร ฯ นั้น รักพระยาพัทลุงมากหรือ หรือรักพระเสนหามนตรีมาก พระยาพัทลุงกับพระเสนหามนตรีใครจะดุร้ายกว่ากัน ขุนจำนงกราบทูลว่า พระเสนหามนตรีหาสู้ดุร้ายไม่ ไพร่บ้านพลเมืองรักพระเสนหามนตรีมาก แต่พระยาพัทลุงนั้นดุร้ายกว่าพระเสนหามนตรี ทรงตรัสว่า ดูท่วงทีพระยาพัทลุงก็เห็นจะดุร้ายอยู่ แต่ซึ่งสูบฝิ่นนั้นก็ไม่ทรงทราบว่าสูบเลย พระยาพัทลุงก็เป็นบุตรผู้ใหญ่ เจ้าพระยานครฯ ก็รักมากกว่าทุกคนยังสูบฝิ่นไปเสียได้ แล้วทรงตรัสถามว่าพระยาเสนาภูเบศร์ยกไปอยู่ที่ไหน ได้คนออกมามากน้อยเท่าใด ขุนจำนงกราบทูลว่า เห็นได้คนยกออกมาสัก ๖๐๐ คน ๗๐๐ คน ยกลงไปอยู่เมืองสงขลาแล้ว ทรงตรัสว่าเออ ยกลงไปหาแม่ทัพใหญ่จะได้คิดจัดแจงให้ลงไปช่วยกันที่เมืองไทรบ้าง เจ้าพระยานครฯ ก็หาบุญไม่แล้ว อยู่แต่ลูกเต้าเหล่านั้น ถ้าการมันรู้เข้ามันกลับเป็นขึ้นมาอีก จะคิดกดขี่ผู้คนให้กลัว อยู่รับรองแข็งแรงได้เหมือนเจ้าพระยานครฯ อยู่ที่ไหน ต่างคนต่างก็จะวิ่งกลับมาเสียหมด เป็นกระไร รู้หรือไม่ การที่เมืองไทรนั้นแม่ทัพใหญ่คิดจัดแจงอย่างไรบ้าง ขุนจำนงกราบทูลว่า ทราบอยู่ว่าจัดแจงให้พระยาชุมพรยกลงไปเมืองไทรแล้ว แต่พระยาเสนาภูเบศร์นั้นว่าจะให้ยกตามลงไปครั้งหลัง รับสั่งว่า จัดแจงให้ลงไปช่วยกันเข้าจะได้เป็นที่ไว้วางใจลงได้ ๚

๏ ครั้น ณ วันเดือน ๘ ขึ้น ๖ ค่ำ เพลาเช้า พระยาพิพัฒน์กราบทูลว่า พระยาสมุทรปราการบอกเข้ามาว่า เรือนะกุดาสหะ ลูกค้าเมืองตรังกานูเข้ามาถึงลำ ๑ แจ้งว่ามาแต่เมืองตรังกานู ณ วันเดือน ๗ แรม ๖ ค่ำ มา ๑๓ วันถึงปากน้ำเจ้าพระยา กับพระสาครบุรีบอกเข้าไปว่า พระยาถลางบอกส่งเงินส่วยดีบุกแลส่งฝิ่นให้หลวงนรินทร์ หลวงรัตนพิมล คุมเข้าไปฉบับ ๑ กับบอกด้วยราชการเมืองไทรเข้าไปฉบับ ๑ ทรงตรัสถามว่า บอกราชการอะไร เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า บอกเข้าไปว่าเมื่อ ณ เดือน ๓ ปีจอสัมฤทธิศก อ้ายตนกูหมัดสอัดมีหนังสือให้แขกกรหมาดแลแขกมีชื่อ ๙ คน ถือหนังสือขึ้นมาขอซื้อดีบุกกับพระยาถลาง ๑๐ ภารา กับเอานกเขาชวา มะพร้าว ขึ้นมาให้พระยาถลาง ว่าซึ่งพระยาถลางสั่งไปแต่ก่อนว่า จะต้องการนกเขาชวาเผือก สังข์ทักขิณาวัฏ กับปืนปะเหรี่ยมท้ายสังข์ให้จัดหานั้น จัดหายังหาได้ทันไม่ ขอให้ท่านรับเอาของซึ่งให้มานั้นไว้ก่อนเถิด แล้วให้ท่านช่วยทะนุบำรุงด้วย ตนกูหมัดสอัดจะขอถวายดอกไม้ทองเงิน แขกกรหมาดแลแขกมีชื่อ ๙ คนมาถึงเมืองถลางเมื่อเดือน ๕ ขึ้น ๒ ค่ำ พระยาถลางเห็นว่า อ้ายตนกูหมัดสอัดใช้ให้แขกมีชื่อมาว่ากล่าวจะขอถวายดอกไม้ทองเงินก็หลายครั้งแล้ว ก็หาเห็นจัดแจงมาตามว่าไม่ เห็นจะเป็นความล่อลวง พระยาถลางให้ยึดแขกกรหมาดแขกมีชื่อ ๙ คนไว้ส่งตัวไปให้พระยาไชยา ทรงตรัสว่า มันมาแต่เมื่อไหน ๆ มิรู้ พึ่งบอกเขามาถึงเดี๋ยวนี้ ความเก่าทั้งนั้นนั่นเอง แล้วทรงตรัสถามว่า แขกเหรื่อในท้องทะเลนั้นมันสงบดีอยู่ดอกหรือ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า พระยาไชยาจัดให้เรือเมืองพังงา เมืองตะกั่วทุ่ง เมืองถลาง ออกลาดตระเวนท้องทะเลก็สงบดีอยู่ ทรงตรัสถามว่า ทัพเมืองนครฯ เขาไปได้เมืองไทรแล้ว เขาจัดเรือให้ตามอ้ายหวันมาลีลงไปที่เกาะนางกาวี อ้ายหวันมาลีหนีไปว่าจะไปอยู่เกาะหน้าเมืองมฤทนั้น เป็นกระไร ได้จัดเรือออกช่วยเขาติดตามบ้างหรือ รู้หรือไม่ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ทราบอยู่แต่ว่าทัพเมืองนครฯ ลงไปได้เมืองไทรแล้ว แต่ที่จัดเรือให้ตามอ้ายหวันมาลีลงไป ว่าอ้ายหวันมาลีหนีไปอยู่เกาะหน้าเมืองมฤทนั้นหาทราบไม่ ทรงตรัสว่า ดีแต่เอาความอะไรมิรู้เข้ามาว่าเปล่า ๆ จะคิดคอยสืบสาวให้รู้ราชการ ช่วยกันสกัดจับเอาตัวอ้ายหวันมาลีเสียให้ได้ก็จะดีทีเดียว ครั้นอ่านหนังสือบอกจบแล้ว ทรงตรัสว่า บอกเพ้อไปเปล่า ๆ ที่จะคิดสืบสาวราชการให้แยบคายถูกต้องกับการงานก็ไม่มี ทรงฟังดูท่วงทีพูดจานั้น หาเป็นทำนองสืบสาวราชการไม่ เป็นทีเล่นไปเสียหมด มีแต่นกเขาเผือก สังข์ทักขิณาวัฏไปเสียทั้งนั้น ไม่เป็นแก้วเป็นการอะไรได้เลย แล้วทรงตรัสถามว่า พระยาไชยาจะบอกเข้าไปเมื่อไร เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า พระยาไชยาบอกให้ถือเข้าไป ไปถึงเมืองไชยาแล้วว่าแขกมีชื่อ ๙ คนนั้น พระยาไชยาก็บอกส่งเข้าไปด้วย ทรงตรัสว่า ส่งเข้าไปจะได้ไล่เลียงซักถามราชการให้รู้ความบ้านเมืองอื่นๆ บ้าง แล้วทรงตรัสถามว่า เรือเมืองตรังกานูเข้าไปได้ความที่กลันตันอย่างไรบ้าง เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า รับพระราชทานถามดูว่ามาถึงเมืองกลันตันนั้นเป็นเพลาค่ำ หาได้แวะที่เมืองกลันตันไม่ เลยเข้าไปกรุงฯ ทีเดียว แต่เมื่อยังอยู่ที่เมืองตรังกานูนั้นทราบอยู่ว่า พระยากลันตันรบสู้กันกับตนกูปสา พระยาบาโงย แต่เมื่อเดือน ๔ ข้างขึ้น ตนกูปสา พระยาบาโงย มีหนังสือลงไปถึงตนกูดะเระที่พิสูตรขอคนให้ยกมาช่วย ตนกูดะเระหาได้ยกมาช่วยไม่ ว่าพี่น้องวิวาทรบกันจะไปช่วยอย่างไรได้ ครั้นต่อมาได้ยินว่า ที่พิสูตรนั้นก็ยกมาช่วยตนกูปสา พระยาบาโงย แลเมื่อในเดือน ๖ ข้างขึ้นนั้น พระยากลันตันมีหนังสือไปถึงตนกูโอ๊ะ เมืองกมาหมัน ขอซื้อกระสุนดินดำ ตนกูโอ๊ะให้ดินดำหนัก ๑๐ หาบกับกระสุนปืนขึ้นมา ทรงตรัสว่า ให้กระสุนดินดำขึ้นมามีทุนเท่านั้นแล้วก็เห็นจะไม่เป็นไร พอรับรองเล่นกันไปนานได้อยู่ ทรงตรัสถามว่า ความที่แม่ทัพใหญ่จัดให้ข้าหลวงลงไปห้ามปราม มันรู้หรือไม่ ยังรบสู้กันอยู่หรือ หรือว่าหยุดกันไปแล้ว เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ถามดูก็ว่าหาทราบไม่ ว่าทราบความอยู่แต่เท่านั้น แต่เครื่องราชบรรณาการนั้น จัดแจงได้พร้อมเสร็จอยู่แล้ว จะให้เรือบรรทุกขึ้นมาในเร็ว ๆ นี้ ทรงตรัสว่า มันก็ว่าอยู่อย่างนั้นนั่นเอง มันจะมาก็มามรสุมหน้านั่นแหละ แล้วรับสั่งว่า มันมาแต่เมืองตรังกานูทีหลังอ้ายเจ๊ะหมัดตะฝ่าซึ่งมาครั้งก่อนก็หลายวันอยู่ เอาตัวมันไล่เลียงถามดูแต่เมื่อในระยะเจ๊ะหมัดตะฝ่ามาแล้ว ก่อนหน้ามันมาใน ๗ วัน ๘ วันนั้นเถิด มันก็คงจะรู้ความต่อไปอีกบ้าง

๏ ครั้น ณ วันเดือน ๘ ขึ้น ๗ ค่ำ เพลาเช้า พระยาพิพัฒน์กราบทูลว่า พระยาสมุทรบอกเข้าไปว่า เรือสำปั้นไล่สลัดเข้ามาถึงลำ ๑ ขุนฤทธิชลธารแจ้งว่า ท้าวพระกรุณาให้ถือหนังสือเข้าไปฉบับ ๑ กับส่งต้นหนังสือแลคำให้การกับจดหมายเข้าไปด้วย ขุนฤทธิชลธารมาจากเมืองสงขลา ณ วันเดือน ๗ แรม ๙ ค่ำ มา ๑๑ วันถึงปากน้ำเจ้าพระยา ทรงตรัสถามว่า บอกเข้าไปว่ากระไร เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า บอกเข้าไปว่า หลวงพิทักษ์นทีที่ให้ตามหลวงสรเสนีลงไปนั้น กลับขึ้นมาถึงแล้ว ว่าตนกูปสาแต่งให้เจ๊ะยิด เจ๊ะศรีปาน ถือหนังสือขึ้นมาหาท้าวพระกรุณา ทรงตรัสถามว่า ในหนังสือมีขึ้นมาว่ากระไร ที่รบสู้กันนั้นสงบหยุดกันลงได้แล้วหรือยัง เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่ากันประการใด ก็ให้แต่งคนขึ้นมาว่ากล่าวที่เมืองสงขลาให้พร้อมกัน ให้ตนกูปสา พระยาบาโงยเลิกถอนยกพรรคพวกข้ามฟาก หลวงสรเสนีไปห้ามปรามก็สงบหยุดรอกันลงได้แล้ว แต่หาหยุดกันทีเดียวไม่ เพลาค่ำยังยิงสู้รบกันอยู่ ครั้นหลวงสรเสนีให้คนไปต่อว่ากับตนกูปสา ๆ ว่า พระยากลันตันยิงมาก่อน จึงได้ยิงตอบสู้รบไป ครั้นให้ไปว่าพระยากลันตัน ๆ ก็ว่าตนกูปสายิงไปก่อน แต่หนังสือตนกูปสามีมาถึงท้าวพระกรุณานั้น ว่ากล่าวโทษพระยากลันตันกับหวันกากับรายามุดา ว่าไปรื้อเรือนน้องสาวเสีย เก็บเอาสิ่งของมาสิ้น แล้วเก็บเอาที่ไร่นาของตนกูปสา ๆ ให้มาว่ากับพระยากลันตัน ๆ ก็หาว่ากล่าวให้ไม่ แลเมื่อตนกูปสาจะเข้ามากรุงฯ นั้น. พระยากลันตันได้ว่ากับตนกูปสาให้ช่วยเข้ามาว่ากล่าว ว่าถ้าพระยากลันตันได้ดีแล้ว จะให้ตนกูปสาได้ดีด้วย ครั้นพระยากลันตันได้ดีแล้ว ตนกูปสาก็หาได้เป็นอะไรไม่ แลซึ่งให้หลวงสรเสนีลงไปห้ามปรามนั้น ตนกูปสาก็รับว่าไม่คิดรบสู้กันต่อไปแล้ว ตนกูปสาจะขอถวายดอกไม้ทองเงิน พระยากลันตันถวายอย่างไรก็จะถวายให้เหมือนพระยากลันตัน ทรงตรัสถามว่า รู้ความเข้าแล้วก็คิดจัดแจงว่ากระไรเล่า เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ท้าวพระกรุณามีหนังสือให้ขุนสมุทร ขุนรายา ปลัดกรมอาสาจามถือลงไปอีก ๓ ฉบับ ให้ไปถึงพระยากลันตันฉบับ ๑ ตนกูปสาฉบับ ๑ พระยาบาโงยฉบับ ๑ ว่าอย่าให้วิวาทรบสู้กันต่อไป ถ้าความจะมีเกี่ยวข้องมาอยู่ข้างฟากบ้านตนกูปสาเสียให้สิ้น ถ้าพวกตนกูปสา พระยาบาโงยจะยกเลิกถอนข้ามฟากไปแล้ว ก็อย่าให้พระยากลันตันยกติดตามทำร้ายกับพวกตนกูปสา พระยาบาโงยต่อไป ถ้าไม่ฟังหนังสือซึ่งมีมาว่ากล่าวดังนี้แล้ว ก็จะให้ยกกองทัพเร่งลงไปเอาโทษตามคนผิด รับสั่งว่า เออ เอามันลงไปอย่างนั้นบ้างเถิด ว่ากล่าวด้วยฝีปากมันไม่ฟังโดยเบาแล้วก็ต้องเอาด้วยมือให้หนักมือ จะทำอย่างไรได้ ว่ากระไรเจ้าพระยาพระคลัง เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า เห็นจะต้องยกกองทัพลงไปจึงจะสำเร็จ เดี๋ยวนี้ท้าวพระกรุณาก็ให้พระยาเพชรบุรี กับพระสุนทรนุรักษ์ยกลงไปอยู่เมืองสายแล้ว รับสั่งว่า ก็ต้องยกลงไป ถ้าเห็นการมันไม่หยุดรั้งรอแล้ว ก็เร่งผ่อนกันยกเลยลงไปเมืองกลันตันทีเดียว คิดสกัดลูบไล้จับเอาตัวมันเสียให้ได้ การก็จะแล้วกันเท่านั้น แล้วทรงตรัสถามขุนฤทธิชลธารว่า เป็นกระไร พระยาศรีพิพัฒน์อยู่สบายดีอยู่ดอกหรือ ขุนฤทธิชลธารกราบทูลว่า อยู่ดีไม่ได้เป็นอะไรมิได้ ดูแข็งแรงอยู่ ทรงพระสรวลตรัสว่า แข็งแรงอยู่ไม่ได้เป็นอะไร ไม่ไข้เจ็บสิ่งใดดอกหรือ ขุนฤทธิชลธารกราบทูลว่า ไม่ได้ไข้เจ็บ อยู่เป็นสุขแข็งแรงดีอยู่ ทรงพระสรวลตรัสถามว่า ก็หาเมียได้แล้วหรือยัง ขุนฤทธิชลธารกราบทูลว่า ไม่ได้หามิได้ ทรงตรัสว่า คิดว่าหาแล้วเล่า แล้วทรงตรัสถามว่า เป็นกระไร เรือที่ถือหนังสือความกลันตันออกมาแต่กรุงฯ นั้น ใครมาถึงแล้วบ้างหรือไม่ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ขุนฤทธิชลธารพบเรือหมื่นนิกร ที่ให้ถือหนังสือออกมาที่ปากน้ำเมืองสงขลา ณ วันเดือน ๗ แรม ๘ ค่ำ ว่าออกมาถึงแล้วลำ ๑ ว่าเรือตำรวจกับพวกสงขลาที่ให้ออกมาก่อนก็มาถึงแล้ว ทรงตรัสว่า เรือตำรวจกับพวกสงขลากับเรือหมื่นนิกรซึ่งมาถึงนั้น ที่ให้ถือออกมาว่าครั้งแรกเมื่อได้ความมาจากกำปั่นวิทยาคมนั้นหรือ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ให้ออกมาเมื่อคราวได้ความจากกำปั่นวิทยาคมครั้งแรก ทรงตรัสว่า ความที่ว่ากล่าวให้ออกมาครั้งแรกนั้น รู้ความเข้าแล้วจะคิดจัดแจงไปก็ไม่คลาดเคลื่อนผิดกับการนัก ในหนังสือก็ว่าออกมา การควรจะไประงับหรือจะต้องให้ยกกองทัพลงไปก็ยกลงไป สุดแต่คิดอย่าให้เมืองกลันตันหลุดลอยไปอื่นได้ ถ้ารู้ความเข้าก็พอจะคิดจัดแจงเบาอกเบาใจสบายไปได้ เป็นกระไร ปานนี้เรือจะไม่มาถึงอีกบ้างทีเดียวหรือ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ปานนี้เห็นจะมาถึงเสียสัก ๓ ลำแล้ว รับสั่งว่า ไปถึงเข้าเสียหน่อยเถิด จะได้สว่างใจคิดจัดแจงสบายลงได้ แล้วทรงตรัสถามว่า เรือกองทัพมาถึงหมดแล้วหรือ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ยังไม่ถึงหมดหามิได้ บอกเข้าไปว่า เรือขุนรองศุภมาตราออกมาถึงอีกลำ ๑ เข้ากันเป็นเรือออกมาถึงแล้ว ๔๙ ลำ ยังไม่ออกมาถึงอีก ๗ ลำ ทรงตรัสว่า มันไปอยู่ที่ไหน จนปานนี้แล้วยังไม่มาถึงหมดได้เลย เรือยืมที่พวกออกมาถึงก่อนนั้น เป็นกระไร จึงไม่ผ่อนให้มันกลับเข้าไป ณ กรุงฯ จะได้ส่งเสียเจ้าของเขาเสียบ้าง ขุนฤทธิชลธารกราบทูลขึ้นว่า ท้าวพระกรุณายังให้รอคอย จะให้รับบรรทุกครัวเข้ามาส่งด้วยทีเดียว ทรงตรัสถามว่า จะให้บรรทุกครัวอะไร เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ครัวเมืองไทร ทรงตรัสถามว่า ครัวที่พระยาไทรว่าเข้าหานั่นหรือ มันจะเป็นครัวโทษหรือครัวเข้าหาอย่างไร เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ครัวเข้าหาที่พระยาไทรบอกมาว่าเข้าหา ๑,๖๐๐ เศษ ท้าวพระกรุณาเห็นว่าที่เมืองไทรจะต้องผ่อนเอาครอบครัวเข้ามาเสียให้มาก จะให้อยู่แต่น้อย ได้ให้พระยาชุมพรกับพระประทิวยกลงไปก่อนแล้ว จะให้พระยาเสนาภูเบศร์ยกตามลงไปอีก ให้คิดชำระผ่อนเข้ามาเสียให้มาก ทรงตรัสว่า จะไปเอาครัวโทษจะไม่ใคร่ได้ จะว่าเป็นครัวเข้าหาไปเสียหมดหรืออย่างไร ซึ่งจะให้พระยาเสนาภูเบศร์ยกตามพระยาชุมพร พระประทิวลงไปนั้น ทรงตรัสถามขุนจำนงก็ว่าจะให้ยกตามลงไป ปานนี้ก็เห็นพระยาเสนาภูเบศร์จะยกตามลงไปแล้ว แล้วรับสั่งว่า เอาหนังสือมาว่าไปเถิด ครั้นนายบริบาลอ่านหนังสือบอกถวายไปถึงที่ข้อว่า เพลาค่ำยังยิงสู้รบกันอยู่ กับที่มระก็ยังรบสู้กันอยู่เสมอนั้น ทรงตรัสว่า ดูทำนองความเห็นจะไม่หยุดกันลงได้หรืออย่างไร เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ที่จะหยุดกันลงทีเดียวเห็นจะไม่หยุด จะเป็นก็แต่จะรั้งรอคอยฟังความที่ให้ขึ้นมาเท่านั้น ถ้าทราบว่ากองทัพยกลงไปแล้วก็จะคิดพากันหนีไป ทรงตรัสว่า หนีไปก็หนีไป ถ้าไม่ฟังหยุดกันลงได้ก็ยกกองทัพลงไปรํ่าเอามัน ครั้นอ่านหนังสือบอกจบแล้วเอาคำให้การขึ้นอ่านถวาย รับสั่งว่า เอาหนังสือซึ่งมีมาถึงแม่ทัพใหญ่เข้ามาว่าไปให้เป็นเรื่องไปก่อน ครั้นอ่านต้นหนังสือตนกูปสาถวายไปถึงที่ข้อว่า รายามุดาไปรื้อเรือนน้องสาวตนกูปสาไปนั้น ทรงตรัสถามว่า รื้อเอาเรือนไปแล้ว เมียรายามุดาจะอยู่กับพี่หรือจะไปอยู่กับผัวอย่างไร เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ในหนังสือมีขึ้นมาก็หาว่ามาว่าอยู่ข้างไหนไม่ ทรงตรัสว่า ถ้ามาอยู่กับผัวแล้ว ตนกูปสาจะมิว่าว่าเอาตัวน้องสาวไปด้วยหรือ ว่าขึ้นมาก็ว่ารื้อเอาเรือนเก็บเอาสิ่งของไป ว่าแต่อย่างนี้ ทำนองเห็นจะอยู่กับพี่ ถ้าไปอยู่กับผัวแล้วมันจะนิ่งที่ไหน มันเป็นคนกอแกทีเดียว มันก็คงว่าขึ้นมา ครั้นอ่านจบแล้ว ทรงตรัสว่าฟังดูพูดจาเป็นคนเก็บถ้อยหาความทีเดียว แล้วอ่านสำเนาหนังสือซึ่งมีไปถึงพระยากลันตัน ถึงตนกูปสา ถึงพระยาบาโงย ไปถึงที่ข้อว่า ให้ตนกูปสา ให้พระยาบาโงยยกเลิกถอนข้ามฟากมาเสียอย่าให้พระยากลันตันทำร้ายนั้น ทรงพระสรวลตรัสถามเจ้าคุณหาบนว่า เป็นกระไร ฟังดูจัดแจงว่ากล่าวจะเอียงไปข้างใคร เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ฟังดูก็ยังเป็นกลางอยู่ ครั้นอ่านจบแล้ว ทรงตรัสว่า ทรงคิดว่าจะว่าลงไปอย่างไรบ้างเล่า มิรู้เปล่าทีเดียว ว่าลงไปหมดความอยู่เท่านั้นนั่นเอง จะเอาความเก่าความก่อนว่าไปอีกอย่างไรบ้างก็หาว่าไม่เลย อย่างนี้แล้วชอบแต่ว่า ๆ ลงไปให้มันขนลุกบ้าง ให้มันอายบ้างก็จะดีทีเดียว ครั้นอ่านจดหมายถวายจบแล้ว ทรงพระสรวลตรัสว่า เป็นไรเจ้าพระยาพระคลังจึงไม่ให้มันเหาะมาบอกเล่า จะให้มันเหาะมาบอกเร็ว ๆ หน่อยก็ไม่ได้ แล้วทรงตรัสว่า เรือที่ถือหนังสือก็ให้ออกมาถึงหลายลำแล้ว ถ้ามันออกมาถึงเข้า การที่จะจัดแจงอย่างไร ก็ว่ากล่าวออกมาจะแจงสิ้นเสร็จถ้อยความอยู่แล้ว เป็นกระไร การที่กลันตันนั้น ฟังดูทำนองความมันจะคอยทีชิงคมกัน เห็นข้างไหนหยุดลงเสียทีแล้ว จะยกเข้าร่ำเอาอย่างนั้นหรืออย่างไร มันจึงไม่หยุดกันลงทีเดียวได้ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า เห็นจะคอยทีชิงคมกันอยู่ ที่จะฟังห้ามปรามหยุดกันลงทีเดียวเห็นไม่ฟังหามิได้ คงจะรบกันอีก ทรงตรัสว่า ถ้ามันไม่ฟังแล้วจะมิเสียหลวงสรเสนีหรือ เป็นกระไรหนอ แม่ทัพใหญ่จะไม่คิดเสียวใจถึงหลวงสรเสนีบ้างหรืออย่างไร เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า หลวงสรเสนหาได้อยู่ที่เมืองกลันตันไม่ ลงไปนอนอยู่ที่กำปั่น ทรงตรัสว่า ถ้ามันตามลงมาที่กำปั่นก็คงได้ยิงสู้รบกัน มันก็คงได้รบกับไทย ครั้นจะเอาคำให้การขึ้นอ่านถวาย รับสั่งว่า เอาไว้ว่าต่อค่ำเถิด แล้วเสด็จขึ้น ๚

๏ ข้าพเจ้ากลับออกมาจากพระราชวัง คิดเขียนจดหมายไปถึงเพลาบ่าย ๔ โมงเศษ ให้ปวดศีรษะหนาวครั่นตัวไปหาหายไม่ ๚

๏ ครั้นเพลาค่ำ ข้าพเจ้าเข้าไปเฝ้าอยู่กับขุนฤทธิชลธาร ทรงตรัสถามพระนรินทร์ว่า มันว่าพบเรือหมื่นนิกรที่ปากน้ำเมืองสงขลานั้น หมื่นนิกรคนนี้ให้ถือหนังสือไปด้วยความอะไร ให้เข้าไปแต่เมื่อไร พระนรินทร์กราบทูลว่า ท้าวพระกรุณาให้เข้าไปเมื่อบอกกองทัพออกมาถึงเมืองสงขลาแล้ว ทรงตรัสว่า ที่ไหน ว่าเปล่า ๆ บอกกองทัพถึงสงขลาแล้วให้จีนเผือกเข้าไปต่างหาก หมื่นนิกรนั้นบอกเข้าไปด้วยให้ปลัดไชยาส่งเรือน้ำหรือกระไรนั่นเอง จะทรงไถ่ถามอะไรก็ไม่ได้ถ้อยได้ความอะไรเลย ทรงตรัสบ่นไปจนเพลา ๒ ยาม ๚

๏ อาการข้าพเจ้าที่ปวดศีรษะที่หนาวครั่นตัวนั้นกล้าขึ้น ให้จับสะบัดร้อนสะท้านหนาวอยากน้ำเป็นกำลัง ข้าพเจ้าคลานถอยออกมาจับสั่นสะท้านมาตามทางจนถึงบ้าน จับสะบัดร้อนสะท้านหนาวให้มัวมึนมากขึ้น ร้อนในอกอยากน้ำเป็นกำลัง รับพระราชทานยาก็หาฟังไม่ จับไปจนเพลา ๑๑ ทุ่มเศษจึงสร่างจับคลายลง ๚

๏ ครั้นรุ่งขึ้นเพลาเช้า เป็นแต่ตึงศีรษะหนาวมึนมัวอยู่หาจับไม่ จนเพลาค่ำข้าพเจ้าเข้าไปในพระราชวัง ได้ถามหลวงราชเศรษฐีด้วยกระแสพระราชดำริเมื่อเพลาค่ำวันข้าพเจ้าป่วยกลับออกมานั้น หลวงราชเศรษฐีว่าแต่ว่า ครั้นทรงบ่นด้วยเรื่องหมื่นนิกรแล้ว ก็รับสั่งให้เอาคำให้การขึ้นอ่านถวายจบแล้ว ทรงตรัสว่าคำให้การมันว่ากล่าวถึงค่ายคูก็มากมายนักหนา แขกข้างพวกพระยากลันตันก็ว่ามากกว่าพวกตนกูปสา พระยาบาโงย รับสั่งให้พระยาไกรคัดเก็บเอาบาญชีรายชื่อแขกกับจำนวนค่ายไว้ถวาย ๚

๏ ครั้น ณ วันเดือน ๘ ขึ้น ๘ ค่ำ เพลาค่ำ รับสั่งให้เอาบาญชีที่คัดรายชื่อแขกกับจำนวนค่ายขึ้นอ่านถวาย ครั้นหลวงสุรินทามาตย์อ่านถวายจบแลว ทรงตรัสว่า มันกลับว่าแขกข้างพวกพระยากลันตันนั้นเป็นมีมากกว่ามันเสียอีก พวกมันมีน้อยไปเสียหมดทั้งนั้น ค่ายคูก็ว่าเอามากมายเป็นนักหนา ว่ากล่าวไม่สมกับการ ทรงฟังดูไม่เห็นจริงเลย มันปดไปเสียหมดทีเดียว ให้ใครเป็นผู้ซักถามอย่างไรจึงนิ่งให้ปดไปได้ ๚

๏ ครั้น ณ วันเดือน ๘ ขึ้น ๙ ค่ำ ขึ้น ๑๐ ค่ำ หาได้ทรงพระราชดำริราชการเมืองไทรเมืองกลันตันไม่ ๚

๏ ครั้น ณ วันเดือน ๘ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เพลาเช้า พระยาพิพัฒน์กราบทูลว่า พระยาสมุทรปราการบอกเข้าไปว่า ท้าวพระกรุณาให้ขุนบวรวานิชคุมครัวบรรทุกสำเภาง่วนเส็งเข้าไป ๘๔ คน ขุนบวรวานิชแจ้งว่า มาจากเมืองสงขลาเดือน ๘ ขึ้นค่ำ ๑ มา ๑๐ วันถึงปากน้ำเจ้าพระยา ทรงตรัสถามว่า ได้ความกลันตันเข้าไปอีกหรือไม่ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ที่มีหนังสือให้ลงไป ๓ ฉบับนั้น ยังไม่ได้ความกลับขึ้นมาหามิได้ ทรงตรัสว่า ซึ่งมีหนังสือลงไปอีกนั้น มันจะหยุดกันลงหรือไม่หยุด เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ท้าวพระกรุณายังรอคอยฟังอยู่ คิดจะให้เจ้าพระยายมราชยกตามลงไปอีก ทรงตรัสถามว่า ว่าอะไรเข้าไปบ้างหรือ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า บอกส่งครัวเข้าไปฉบับ ๑ กับบอกความข้างเมืองถลางเข้าไปว่า แขกปูลูเซ็นซึ่งอ้ายหวันมาลีกวาดเอาไปไว้ที่เกาะนางกาวีนั้น พาครอบครัวลงเรือศีรษะเขียวเข้ามาที่ปากน้ำ เป็นครัว ๑๕๓ คน ถามได้ความว่า แขกปูลูเซ็นคนนี้อยู่ที่เกาะหน้าเมืองตรัง อ้ายหวันมาลีกวาดเอาไปไว้ที่เกาะนางกาวี ครั้นกองทัพตามลงไป อ้ายหวันมาลีให้พาครอบครัวลงเรือหนีจะไปเมืองปตูบาหราล้มตายลง แขกปูลูเซ็นก็พาเรือเข้ามาที่ปากน้ำ ท้าวพระกรุณามีหนังสือตอบไปถึงพระยาไชยา ให้ส่งครัวเข้าไป ณ กรุงฯ ทรงตรัสว่า เห็นจะเป็นเรือมันซัดเข้ามานั่นเอง แล้วเจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า พระยาสงขลาบอกส่งญวนซึ่งอ้ายสลัดจับไปได้เข้าไป ๔ คน กับพระยาไชยา พระตะกั่วทุ่ง บอกมาถึงท้าวพระกรุณาคนละฉบับ ใจความว่าหลวงพิพิธภักดี ลักพาเอาจีนหลานสาวพระตะกั่วทุ่งไป พระยาไชยาให้หลวงพิพิธภักดีมาสมาพระตะกั่วทุ่ง พระตะกั่วทุ่งให้ปิดประตูบ้าน จับเอาหลวงพิพิธภักดีจำตรวนใส่คาไว้ ท้าวพระกรุณาส่งต้นหนังสือพระยาไชยา พระตะกั่วทุ่ง แลคำให้การแขกปูลูเซ็น คำให้การญวน กับสำเนาหนังสือตอบพระยาไชยาเข้าไป ทรงตรัสว่า ว่าแล้วสิ อ้ายคนนี้มันก่อเหตุก่อผลอยู่แต่แรก เมื่อคราวนำเอาหนังสือบอกกล่าวโทษพระยาถลางไปให้พระยาไชยาบอกเข้าไป จะชักให้วิวาทกันทีหนึ่งแล้ว มันทำการอาสาพระตะกั่วทุ่งมาแต่ครั้งนั้นทีเดียว มันจึงคิดเป็นขึ้นได้ แล้วทรงตรัสถามว่า เรือศีรษะเขียวนั้นเป็นเรือที่ไหน เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า เรือทำขึ้นที่เมืองตรัง เอาไปไว้ให้รักษาอยู่ที่ปลิศ แต่อ้ายหวันมาลีมาทำเมืองตรังได้ก็เก็บเอาไปไว้ที่เกาะนางกาวี ทรงตรัสถามว่า ก็เรือกองทัพเรายกไปถึงไหนมันจึงหนีไป เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ยกลงไปเกือบจะถึงเกาะนางกาวี อ้ายหวันมาลีกับพวกที่รักษาป้อมอยู่บนเกาะก็พากันทิ้งป้อมเสียหนีลงเรือไป ว่ากำปั่นอังกฤษลงไปถึงเข้า พบเรือที่เหลืออยู่ก็จุดเผาเสีย แล้วขึ้นไปดูบนป้อมพบปืนปเหรี่ยมอยู่ ๒ บอก อังกฤษคัดปืนทิ้งลงน้ำเสีย แล้วพากันลงกำปั่นแล่นไปเมืองเกาะหมาก ทรงตรัสว่า คัดปืนทิ้งน้ำเสียทำไม จะให้กับไทยก็จะดี อังกฤษที่ไปก็เห็นจะเป็นอังกฤษที่ว่าลงไปกับกองทัพนั่นเอง แล้วทรงพระสรวลตรัสถามว่า เป็นกระไร เจ้าพระยายมราชมาถึงแล้ว บอกกล่าวโทษเข้าไปว่ากระไรหรือไม่ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ไม่ได้บอกเข้าไปหามิได้ ว่าอยู่แต่พวกอาสาจามที่มากับเรือเจ้าพระยายมราช แล้วทรงตรัสถามขุนบวรวานิชว่า เมื่อเจ้าพระยายมราชมาตามทางนั้นดีอยู่ดอกหรือ ขุนบวรวานิชกราบทูลว่าดีอยู่ ทรงตรัสถามว่า มาถึงสงขลาเข้าแล้วอยู่ดีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้นหรือ ขุนบวรวานิชกราบทูลว่า อยู่ดีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น แล้วทรงตรัสถามพระยาโชฎึกว่าเป็นกระไร จะจัดแจงเรือง่วนเส็งแต่งไปจะทันหรือไม่ทัน พระยาโชฎึกกราบทูลว่าไปทัน รับสั่งว่า จะรั่วร้ำอยู่ที่ไหนบ้างก็ดูบอกเจ้าของเขาจัดแจงให้ออกไปเสียสักเที่ยวเถิด ครั้นจะอ่านหนังสือบอกขึ้นถวาย รับสั่งให้เอาไว้อ่านต่อเพลาค่ำ ๚

๏ ครั้นเพลากลางวัน รับสั่งให้พระนรินทร์เอาหนังสือบอกเข้าไปอ่านถวาย ครั้นนายบริบาลอ่านหนังสือบอกส่งครัวถวายจบแล้ว รับสั่งสั่งพระนรินทร์ว่า เอามอบให้กับพระยาราชวังสรรค์ไว้เถิด เมื่อเช้าพระยาราชวังสรรค์ก็ไม่เข้ามา การของตัวแล้วไม่คอยฟังเอาเลย เพลาค่ำวันนี้บอกให้พระยาราชวังสรรค์เข้ามาเฝ้า แล้วอ่านหนังสือบอกพระยาสงขลากับคำให้การญวนถวายจบแล้ว รับสั่งว่า ทรงฟังดูคำให้การก็ไม่เป็นต้นเป็นปลายเข้าได้ พระนรินทร์รับรองเอามันจำไว้อย่าให้หนีไปได้ แล้วอ่านบอกส่งต้นหนังสือพระยาไชยาถวายจบแล้ว ทรงตรัสว่า ไม่น่าจะมีหนังสือตอบว่ากล่าวลงไปถึงเลย เอาหลวงพิพิธภักดีคนอะไรมิรู้ออกไปแล้วให้เป็นเหตุเป็นการขึ้นได้ ครั้นอ่านคำให้การแขกปูลูเซ็นถวายจบแล้ว ทรงตรัสถึงพระยาไชยาว่า ดีแต่เอาความอะไรมิรู้เข้ามาว่า ที่จะซักถามราชการมันให้รู้จำนวนครอบครัวถี่ถ้วนบ้างก็ไม่มี เป็นอย่างนี้ไปเสียได้ คนอะไรที่ไหนมิรู้ ครั้นอ่านต้นหนังสือพระตะกั่วทุ่งถวายจบแล้ว อ่านต้นหนังสือพระยาไชยาไปถึงที่ข้อว่า หลวงพิพิธภักดีพาเอาจีนหลานสาวพระตะกั่วทุ่งไปนั้น รับสั่งว่า อ่านเท่านั้นเถิด เป็นเหตุเป็นผลขึ้นก็เพราะอ้ายนี่ทีเดียว จะทรงฟังก็ป่วยการตะวันเสียเปล่า ไม่เป็นแก้วเป็นการทั้งนั้น โปรดให้พระยาไชยาเป็นผู้ใหญ่ออกมาก็ไม่จัดแจงกำชับกันให้ดี ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไปได้ ดูโสโครกเต็มทีนักหนาทีเดียว ไม่พอที่จะกวนพระทัยเอาเลย ๚

๏ ครั้นเพลาค่ำ รับสั่งว่า เอามาอ่านต่อไปให้ขุนนางฟังดูหรู เป็นกระไรพระยาราช จะเป็นแม่ทัพแม่ศึกต่อไปฟังดูเอาเถิด ครั้นอ่านต้นหนังสือพระยาไชยาไปถึงที่ข้อว่า ถามทาสที่ตามจีนไปด้วย ๒ คน ว่าหาได้เป็นทาสพระตะกั่วทุ่งไม่นั้น ทรงตรัสว่า พระยาราช พระมหามนตรีฟังเอาเถิด ทำนองมันเห็นเขามีเงินมีทองอยู่ มันก็พากเพียรไปทำการอาสาเล่นเอามาจนได้ มันมิเอาข้าวของเงินทองเขามามากอยู่หรือ พระตะกั่วทุ่งจึงโกรธแค้นมาก ราวกับล้วงตับล้วงปอดไปหรือกระไรนั่นเอง ว่ากระไรพระมหามนตรี ๆ กราบทูลว่า พระยาไชยาซักทาสจีนดูทำนองเป็นกันความเสียหมด ทรงตรัสว่า มันเห็นเขามีเงินมีทองก็เที่ยวข่มเหงเขาเอา เป็นแม่ทัพแม่ศึกออกไปทีเดียวยังให้เป็นได้ แล้วอ่านถวายต่อไปถึงที่ข้อว่า พระยาไชยาให้หลวงวังกรมการ พาตัวหลวงพิพิธภักดีไปสมาพระตะกั่วทุ่ง พระตะกั่วทุ่งจับหลวงพิพิธภักดีจำใส่คาโซ่ตรวนไว้นั้น ทรงตรัสว่า มันทำก็สมน้ำหน้ากับมัน กับอ้ายคนหลงตัณหาราคะอะไรที่ไหนมิรู้ ออกไปทำการทัพศึกทีเดียว กลับไปเที่ยวเกี้ยวผู้หญิงเล่นได้ แล้วรับสั่งว่าฟังเอาเถิด ลงไปข้างปลายหนังสือถึงบทพระยาไชยาแล้วจะหนักขึ้นยิ่งกว่านี้ ครั้นอ่านไปถึงที่ข้อว่า พระตะกั่วทุ่งเอาปืนปเหรี่ยมใส่ช่องค่ายที่บ้านไว้ พระยาไชยาคิดจะยกกองทัพไปชิงเอาหลวงพิพิธภักดีนั้น รับสั่งว่า ฟังดูเอาเถิด มันเป็นอย่างนี้ไปเสียหมดได้ อ้ายข้างหนึ่งเป็นบ้าอยู่แล้ว ยังกลับเป็นบ้าตามกันไป โปรดให้พระยาไชยาออกมารักษาเขตแดนคอยสู้รบกับข้าศึก กลับจะมารบกันขึ้นเสียอีก ดูน่าเกลียดนักหนา คนอะไรที่ไหนมิรู้ ให้ออกมาทำทัพศึกทีเดียว ยังมาคิดเป็นอย่างนี้ไปได้ ว่ากระไรพระยาราชนิกูล พระยาราชวังสรรค์ เคยเป็นแม่ทัพแม่ศึกอยู่บ้าง คิดอ่านอย่างนี้คิดได้อยู่หรือ พระยาราชนิกูล พระยาราชวังสรรค์ กราบทูลว่าไม่ควรด้วยเกล้าฯ หามิได้ ทรงตรัสว่า นี่ตัวบาปธรรมบังเกิดพร้อมทั้ง ๔ ตัว คือกอปรไปด้วยโลภะ โมหะ โทษะ ราคะทีเดียว สัตว์จึงจะเกิดกล้าแข็งวิวาทฆ่าฟันกันขึ้นได้ ครั้นอ่านจบแล้ว ทรงตรัสว่า ดีแต่จะเพ้อไปเปล่า ๆ เบื่อจะทรงฟังไปเสียแล้ว ทรงฟังเข้าก็รำคาญพระทัย เอาหนังสือตอบมาว่าไปเถิด ครั้นอ่านสำเนาหนังสือตอบพระตะกั่วทุ่งถวายจบแล้ว หาทรงตรัสประการใดไม่ แล้วอ่านสำเนาหนังสือตอบพระยาไชยาถวายไปถึงที่ข้อว่า หาได้ขอเอาคนที่สำหรับจะตัดสินถ้อยความออกมาไม่ ยกกองทัพใหญ่ออกมาก็มีแต่เครื่องศัสตราวุธออกมาสำหรับกองทัพนั้น รับสั่งว่า ว่าขอเอาคนสำหรับจะตัดสินถ้อยความออกมาทำไม อย่างนี้แล้วตอบโต้ลงไปตามกำลัง ชกมันลงไปให้โขก ๆ นั่นแหละจึงจะได้ เมื่อว่าไม่ได้แล้วก็เอาไว้ให้เจ้าพระยาพระคลังตอบโต้เถิด ครั้นอ่านถวายจบแล้ว ทรงตรัสว่า ตอบโต้มันลงไปทำไมมาก เขียนแต่หนังสือลงไปสักสองสามตัวว่าจะตายโหง ๆ หนังสือมา ณ วันเท่านั้นก็จะแล้ว นี่ว่าอ่อนเบาลงไปเสียหมด จะถึงอกถึงใจที่ไหนกับคนอย่างนี้ แล้วทรงตรัสว่า แต่ก่อนแต่ไรก็ไม่เคยทรงได้ยินว่าเป็นเช่นนี้อย่างนี้เลย ไม่พอที่จะเป็นก็เป็นขึ้นได้ กลับจะมารบกันขึ้นเสียอีก ดูโสโครกเต็มที แล้วทรงตรัสถามพระนรินทรว่า เป็นกระไร เจ้าพระยาพระคลังได้ดูหนังสือตอบรู้แล้วหรือ ว่ากระไรบ้าง พระนรินทร์กราบทูลว่า ได้ดูทราบอยู่แล้ว ว่าความที่ตอบโต้ลงไปก็ถึงใจพระยาไชยาอยู่ แต่พระยาไชยาจะจัดแจงราชการต่อไปข้างหน้านั้น เห็นจะไม่เรียบร้อย ทรงตรัสว่า ตอบโต้ถึงใจลงไปที่ไหน ว่าอ่อนเบาไปเสียหมด แล้วทรงตรัสขัดเคืองพระยาไชยาไปจนเพลาเสด็จขึ้น ๚

๏ ครั้น ณ วันเดือน ๘ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เพลาเช้า ทรงตรัสกับเจ้าคุณหาบนว่า ทรงฟังดูพระยาไชยากับพระตะกั่วทุ่งนั้น พากันเป็นบ้าตามกันไปเสียหมด เป็นอย่างนี้ไปได้ เอาอ้ายหลวงพิพิธภักดีคนอะไรมิรู้ออกไปแล้วยังกลับเข้าไปกับมัน จะยกกองทัพไปรบกันขึ้นเสียอีก ดูน่าเกลียดเต็มทีนักหนา เป็นผู้ใหญ่ออกมาแล้ว การมันเป็นขึ้นจะว่ากล่าวกันเลยให้ดีก็ไม่ว่า กลับเป็นบ้าไปเข้าด้วยคนผิด พลอยกันผิดไปเสียหมดทั้ง ๒ คน ๓ คนทีเดียว อ้ายข้างหนึ่งมันเป็นบ้าผิดอยู่แล้ว กลับเป็นบ้าผิดไปกับมันด้วย อย่างนี้แล้วจะเป็นแก้วเป็นการอะไรได้ คนอะไรที่ไหนมิรู้ทีเดียว หนังสือที่ตอบโต้ว่าลงไปนั้นก็ว่าอ่อนเบาไปเสียหมด หาถึงอกถึงใจไม่ อย่างนี้ชอบแต่จะว่าด่าลงไปให้ยับเยินจึงจะได้ ว่ากระไรเจ้าพระยาพระคลัง เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า การเป็นขึ้นอย่างนี้แล้ว พระยาไชยาจะจัดแจงการงานต่อไปเห็นจะหาเรียบร้อยไม่ รับสั่งว่า ช่างมันเถิด คอยแต่พอหนังสือที่ว่าออกมาให้จัดแจงเมืองพังงาถึงเข้า ก็คงจะจัดแจงให้ใครออกมาอยู่เมืองพังงา ถ้อยความอย่างไรก็ค่อยเข้าไปว่าเอาที่กรุงฯ เถิด ก็คงจะพากันเข้ามาหมดนั่นแหละ แล้วทรงตรัสถามว่าชำระฝิ่นไว้ได้กี่มากน้อย ได้ให้พระยาสงขลาสาบานแล้วหรือยัง เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ได้ให้สาบานแล้ว ชำระฝิ่นได้ที่เมืองสงขลา ๑๕ ก้อน ได้ที่เรือพาย ๓ ปัก ทรงตรัสถามขุนบวรวานิชว่า ทรงคิดว่าจะได้นักหนาทีเดียว มิรู้ได้ฝิ่น ๓ ปัก ๑๕ ก้อนเท่านั้นดอกหรือ ทำไมจึงได้น้อยนักหนา ขุนบวรวานิชกราบทูลว่า ให้เจ้าพระยายมราช พระอินทรรักษาชำระ ตราไปถึงแล้วถึง ๓ วันจึงได้ชำระ พวกที่ขายฝิ่นซื้อฝิ่นรู้เข้าก็พากันเอาฝิ่นหนีเข้าป่าไปเสียมาก รับสั่งว่า วุ่นไขว่ไปด้วยการทัพการศึกไม่ได้ดูแลด้วย มันก็พาเอาหนีไปได้ช่างเถิด ถ้าชำระไม่ได้หมด กองทัพกองค่ากลับเข้าไปเสียแล้ว จะให้กองชำระฝิ่นออกมาชำระเอาให้หมดจงได้ แล้วทรงตรัสถามว่า เป็นกระไร ข้าวเกลือขัดสนบ้างหรือไม่ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ข้าวที่กองทัพรับพระราชทานยังไม่ขัดสนหามิได้ แต่ที่กะตงกะหร่ำขัดสนมาก ข้าวที่เอาออกไป ทำฉางให้ขนใส่ไว้ที่สงขลา ๒ ฉาง ยังจัดแจงขนอยู่ จะเปียกน้ำเสียหายไปเท่าไรก็ยังหาทราบไม่ ข้าวที่เอาออกมาก็ได้เอาเฉลี่ยแจกจ่ายให้ครอบครัวรับพระราชทานอยู่เสมอ สั่งเข้าไปว่าจะขอรับพระราชทานข้าวออกมาไว้ แต่พอจะให้แจกจ่ายครอบครัวต่อไป รับสั่งสั่งพระยาโชฎึกว่า ให้จัดแจงเรือมัจฉาณุเข้าให้แล้วเร็ว ๆ เถิด ขอเอาบรรทุกส่งออกมาให้เต็มลำ จะบรรทุกได้ ๑๐๐ ได้ ๒๐๐ อย่างไร ก็เอาบรรทุกออกมาให้เต็มลำ ดูบอกพระยาราชมนตรี[๒] ขอพริก หอม กระเทียม ใส่ออกมาให้บ้าง เร่งจัดแจงส่งให้ออกมาหน่อยเถิด แล้วทรงตรัสถามว่าเรือกองทัพนั้นเป็นกระไร ออกมาถึงอีกบ้างหรือไม่ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่าออกมาถึงครบจำนวนเรือแล้ว ๚

๏ ครั้น ณ วันเดือน ๘ ขึ้น ๑๓ ค่ำ เพลากลางวัน พระองค์เจ้าชุมสาย[๓]กราบทูลว่า ยอดพระเจดีย์ใหญ่วัดพระเชตุพนนั้นเอียงไปตั้งแต่คอระฆังขึ้นไปทั้ง ๓ องค์ องค์เหนือเอียงมาข้างเหนือ องค์กลางเอียงมาข้างตะวันตก องค์ใต้เอียงไปข้างใต้ เอียงไปองค์ละศอก ๑ ศอกเศษบ้าง ทรงตรัสถามว่า ทำอย่างไรจึงเอียงไปหมดทั้ง ๓ องค์ พระองค์เจ้าชุมสายกราบทูลว่า เอียงด้วยหนักบัวกลุ่ม ทรงตรัสว่า พระยาศรีพิพัฒน์ยังอยู่ก็ได้อาศัยให้ไปดูแลทำอยู่ ก็หาเป็นเหตุการณ์สิ่งใดไม่ ครั้นออกมาเสียแล้วก็แล้วกันเท่านั้น ถ้ายังอยู่แล้วที่ไหนจะเป็นไปถึงอย่างนี้ จะหาใครช่วยดูแลเข้าบ้างก็ไม่มี พระยาเพชรพิไชย[๔]ก็เปล่า ๆ ทั้งนั้น ไม่เอาใจใส่ดูแลเลย ทำการใหญ่การโตทีเดียวยังเป็นไปได้ ไม่พอที่จะให้อายเขาเปล่า ๆ แล้วทรงนิ่งไปจนเสด็จขึ้น ๚

๏ ครั้นเพลาค่ำ ก็หาเสด็จออกไม่ เลยไม่เสด็จออกไป ๗ วัน จน ณ วันเดือน ๘ แรม ๕ ค่ำ เพลาเช้า จึงเสด็จออก แลเมื่อ ณ วันเดือน ๘ ขึ้น ๑๔ ค่ำ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ไม่เสด็จออกนั้นรับพระราชทานฟังได้ความว่า เสด็จขึ้นอยู่บนพระแท่นที่ใหญ่หาทรงตรัสกับท่านผู้ใดไม่ ทรงประทมหลับพระเนตรนิ่งอยู่ แล้วทรงแต่พระอักษรพงศาวดารบ้าง สุภาษิตบ้าง เสวยพระกระยาหารก็น้อย เสวยได้แต่พระอาหารต้มเพลาละถ้วยฝาขนาดกลาง ลางเพลาก็เสวยพระอาหารสวยได้เพลาละ ๓ องค์บ้าง ๔ องค์บ้าง ๑๐ องค์บ้าง พระสังฆราช ราชาคณะ เจ้าต่างกรม ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย พร้อมกันทำเรื่องราวว่า กรมหลวงรักษ์รณเรศ เจ้าคุณผู้ใหญ่ เจ้าคุณหาบน พระยาราชสุภาวดี จะขอรับทำยอดพระเจดีย์ ๓ องค์ จัดให้พระมหาเทพทำองค์เหนือ ให้พระอินทรเดชทำองค์กลาง ให้พระยาราชรองเมืองทำองค์ใต้ ส่งเข้าไปให้เจ้าคุณปราสาท[๕]นำขึ้นกราบทูล รับสั่งว่า หาทรงสบายพระทัยไม่ ทรงวิงเวียนพระเจ้าไป พระบังคนก็ตึงเป็นก้อนเจือพระเสมหะ มีคราวละ ๒ องค์ ๓ องค์ หาสะดวกไม่ จะเสด็จพระดำเนินออกมา ก็ให้งงพระองค์อยู่ยังเสด็จออกมาหาได้ไม่ ๚

๏ ครั้น ณ วันเดือน ๘ แรม ๕ ค่ำ เพลาเช้า จึงเสด็จออก เจ้าต่างกรมหากรมมิได้ ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย เข้าเฝ้าพร้อมกัน แต่ยังไม่ขึ้นพระแท่น ทรงตรัสถึงยอดพระเจดีย์ว่า ช่างกระไรเลยเอียงไปหมดทั้ง ๓ องค์ทีเดียว จะเหลือให้สักองค์ ๑ ก็ไม่ได้ พระยาศรีพิพัฒน์ออกมาเสียแล้ว จะอาศัยพระยาเพชรพิไชยช่วยดูแลให้ดีหน่อยหนึ่งก็ไม่ได้ ของทำไปจนแล้ว ๆ ทีเดียวยังเป็นไปได้ ถึงจะเป็นเมื่อกำลังยังทำอยู่ก็ไม่น้อยพระทัยเลย นี่มาเป็นเอาเมื่อแล้วอย่างนี้น่าอายเขานักหนา ทรงคิดขึ้นมาแล้วเสียพระทัยไปทีเดียว พระวาโยก็กำเริบเอาวิงเวียนไปไม่สบายพระทัยเอาเลย แล้วรับสั่งสั่งเจ้าคุณหาบนว่า จะคิดจัดแจงแก้ไขอย่างไรก็จัดแจงทำเสียให้ดี อย่าให้เป็นเหตุเป็นการต่อไปได้ แล้วเสด็จขึ้นพระแท่น ทรงตรัสถามราชการเมืองกลันตันว่า จัดแจงให้ใครเข้าไปอีกบ้างหรือไม่ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ยังไม่มีใครเข้าไปถึงหามิได้ ทรงตรัสว่า หนังสือที่มีออกมาด้วยความกลันตันนั้น ปานนี้ก็เห็นจะถึงรู้เสียบ้างแล้ว ถ้าเรือหมื่นพิมลออกมาถึงเข้าอีกก็คงจะรู้การจะแจ้งหมดไปได้ ๚

๏ ณ วันเดือน ๘ แรม ๖ ค่ำ แรม ๗ ค่ำ หาได้ทรงพระราชดำริราชการเมืองไทร เมืองกลันตันไม่ ๚

๏ ครั้น ณ วันเดือน ๘ แรม ๘ ค่ำ เพลาเช้า พระยาพิพัฒน์ กราบทูลว่า เรือปากปลาเข้าไปถึงลำ ๑ นายรักนายเรือแจ้งว่าเป็นลูกค้ากรุงฯ ออกไปค้าขาย ณ เมืองกลันตัน นายรักมาแต่เมืองกลันตัน ณ วันเดือน ๘ ขึ้น ๑๐ ค่ำ ทรงตรัสว่า ขยันทีเดียว จะได้ทรงไถ่ถามเล่นให้สบายพระทัย แล้วทรงตรัสถามว่า ได้ความอย่างไรเข้าไปบ้าง เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า รับพระราชทานไล่เลียงถามดู ก็ว่าข้าหลวงลงไปอยู่ ๓ คน การที่รบสู้กันก็รอกันอยู่ ว่าข้างพระยากลันตันนั้นแต่ก่อนคับแคบมาก เดี๋ยวนี้ค่อยกว้างออกไปแล้ว ว่าพวกบ่าวพระยากลันตันที่อยู่ข้างเหนือนั้น มาเข้าหาพระยากลันตันได้บ้าง ทรงตรัสถามว่าเหตุผลอย่างไรจึงเข้ามาหาได้ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ที่กลันตันนั้นลือกันว่า กองทัพพระยาเพชรบุรีจะยกลงไปเมืองกลันตันว่ายกไปถึงบ้านไพรวันเหนือเมืองสายแล้ว ยังทางอีก ๓ วันจะถึงเมืองกลันตัน พวกตนกูปสา พระยาบาโงย รู้เข้าก็รอกันสงบคอยฟังอยู่ ไพร่บ้านพลเมืองพากันดีใจเข้ามาหาพระยากลันตันได้บ้าง ทรงตรัสว่า มันเกรงกลัวกองทัพจะยกลงไปนั่นเอง มันจึงรอหยุดวันลงได้ พระยาเพชรบุรีจะยกลงไปที่ไหน จะไปอยู่แต่ที่เมืองสายคอยรอฟังแม่ทัพใหญ่ก่อนจึงจะยกลงไป เป็นกระไรหนอ แม่ทัพใหญ่จะรั้งรอเสียหรือ หรือจะให้ยกเลยลงไปกลันตัน อย่างนี้แล้วยกเลยลงไปกลันตันทีเดียว มันก็จะสงบหยุดแล้วกันลงได้ มันจะคิดสู้รบกับกองทัพกรุงฯ ที่ไหน มันก็คงกลัวกองทัพกรุงฯ อยู่หมด เป็นกระไร ไพร่บ้านพลเมืองมันเข้ามาหาพระยากลันตันได้บ้างอย่างนั้น คนข้างใครจะมากกว่ากัน ไพร่บ้านพลเมืองจะรักข้างใครมาก พระนรินทร์เอาตัวมันมาถามดูหรู พระนรินทร์ถามแล้วกราบทูลว่า ไพร่บ้านพลเมืองรักพระยากลันตันมาก แต่คนข้างพระยากลันตันมีน้อยกว่าพวกตนกูปสา พระยาบาโงย ทรงตรัสถามว่า มันรักข้างพระยากลันตันแล้ว ทำไมมันจึงไม่เข้าข้างพระยากลันตันมากเล่า พระยาพิพัฒน์ช่วยซักถามดูหน่อยเถิด ตั้งแต่ ณ วันเดือน ๘ ขึ้น ๑๐ ค่ำมันเข้าไปแล้วใน ๑๐ วันนั้น เป็นกระไร พระยากลันตันจะสู้รบรับรองไว้ได้หรือไม่ พระยาพิพัฒน์ถามแล้วกราบทูลว่า นายรักประมาณดูว่า ถึงจะช้าอยู่อีกสักเดือน ๑ ก็เห็นพระยากลันตันจะรับรองไว้ได้ แต่ไพร่บ้านพลเมืองนั้น จะมาเข้าด้วยพระยากลันตัน ตนกูปสา พระยาบาโงย ก็ยึดเอาบุตรภรรยาไว้ กลัวจะเอาไปแลกกระสุนดินดำเสีย จึงมาเข้ากับพระยากลันตันไม่ได้ ทรงตรัสว่า มันทำข่มเหงยับเยินอย่างนั้น ทำไมจึงไม่ช่วยกันรุมไล่จ้ำเอามัน แลซึ่งว่าพระยากลันตันจะรับรองไว้ได้สักเดือน ๑ นั้น แน่นอนแล้วหรือ เห็นเหตุผลอย่างไรจึงว่าจะรับรองไว้ได้ พระยาพิพัฒน์กราบทูลว่า เห็นความว่าตนกูปสา พระยาบาโงย กลัวกองทัพกรุงฯ จะยกออกไป แล้วปืนปเหรี่ยมข้างพระยากลันตันก็มีอยู่ถึง ๑๐ บอก หลวงสรเสนีก็ให้ดินดำกับพระยากลันตัน ๖ ถัง พวกพระยากลันตันท่วงทีจะสู้รบไม้มือก็แข็งแรงดีกว่าพวกตนกูปสา พระยาบาโงย ทรงพระสรวลตรัสว่า เออ ว่าอย่างนี้เห็นถูกอยู่ เมื่อเดิมจะวิวาทรบสู้กันนั้นเป็นเหตุผลด้วยอะไร ข้าหลวงลงไปห้ามปรามเป็นกระไร มันเกรงกลัวอยู่หรือ หรือมันจะคิดทำกับข้าหลวงอย่างไร ดูพวกข้าหลวงกลัวมันอยู่บ้างหรือไม่ มันรู้ว่ากองทัพจะยกลงไป ท่วงทีตระเตรียมคอยจะสู้รบทางบกทางเรืออย่างไรบ้างหรือ ๆ มันคิดจะพากันหนีไปหมดอย่างไร พระยาพิพัฒน์ถามแล้วกราบทูลว่า ที่จะคิดตระเตรียมคอยสู้รบกองทัพกรุงฯ นั้น ไม่เห็นตระเตรียมการสู้รบหามิได้ เห็นจะกลัวพากันหนีไปหมด ขุนโยธาสมุทรลงไปห้ามปราม ตนกูปสาก็ว่าให้พระยากลันตันรื้อค่ายเสียก่อน ตนกูปสาจึงจะรื้อค่ายไป ว่าข้างพระยากลันตัน พระยากลันตันก็ว่าให้ตนกูปสารื้อค่ายเสียก่อน พระยากลันตันจึงจะรื้อค่าย เมื่อนายรักเข้าไปนั้นยังหาเห็นรื้อค่ายไม่ ดูทำนองตนกูปสา พระยาบาโงย แต่ก่อนกลัวเกรงนับถือข้าหลวงอยู่ เดี๋ยวนี้เฉย ๆ ไปหาสู้กลัวเกรงนับถือไม่ ว่าข้าหลวงไปเข้าเสียกับพระยากลันตันเอาดินไปให้ ดูข้าหลวงที่ลงไปอยู่ก็หากลัวเกรงไม่ เช้า ๆ ลงเรือเล็กเข้าไปว่ากล่าวทุกวัน เพลาเย็นกลับมานอนอยู่ที่กำปั่น แต่เห็นว่าข้าหลวงน้อยตัวอยู่ จะไว้ใจหาได้ไม่ แลความเดิมนั้นวิวาทกันด้วยพระยากลันตันให้ขายข้าวเก่าเสียให้หมดก่อนจึงให้ขายข้าวใหม่ ตนกูปสาโกรธว่าพระยากลันตันป่าวร้องให้ราษฎรมาซื้อแต่ข้าวพระยากลันตัน แล้วว่าตนกูปสาช่วยกราบทูลให้พระยากลันตันได้ดีแล้ว ก็หาตั้งให้ตนกูปสาเป็นอะไรไม่ ตนกูปสาขัดใจจึงได้วิวาทรบสู้กัน ทรงตรัสกับเจ้าคุณหาบนว่า อย่างนั้นมันก็โกรธเอาว่าไม่ตั้งแต่งมันออกไป เจ้าพระยาพระคลังมีหนังสือมาถึงแม่ทัพใหญ่เร่งคิดให้ลงไปจับตัวมันเสียให้ได้ มันจะหนีไป จะไปหมดที่ไหน จะหนีไปอยู่ที่ตรังกานูก็ให้มีหนังสือยอ ๆ ลงไป ให้ขับไล่ไปเสียให้พ้นก็จะได้ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ถ้ากองทัพพระยาเพชรบุรีลงไปถึงแล้ว ความก็เห็นจะแล้วกันได้ ฟังว่าดูสิทธิขาดอยู่ที่ตนกูปสาสิ้น ตนกูปสาว่าถ้ากองทัพลงไปถึงว่ากล่าวแล้วก็จะยอมรื้อค่ายให้ ทรงตรัสว่า ก็เป็นเหตุด้วยตนกูปสา พระยาบาโงยนั่นเอง ถ้ากองทัพยกเลยลงไปถึงความก็เห็นจะแล้ว แม่ทัพใหญ่ก็มีหนังสือขู่คาดคั้นลงไปนักหนาแล้ว มันไม่กลัวจะไปไหน ที่มันจะคิดสู้รบกองทัพทำข้าหลวงนั้นเห็นจะไม่เป็น จะเป็นก็แต่จะพากันหนีไป แล้วรับสั่งว่า เห็นจะไม่เป็นไรแล้ว ดูไล่เลียงซักถามมันต่อไปอีกสักหน่อยเถิด เห็นมันจะรู้ความเข้าไปมากอยู่ ปานนี้แม่ทัพใหญ่ก็คงรู้ความเสียมากกว่านี้อีก ๚

๏ ครั้นเพลาค่ำ ทรงตรัสถามเจ้าคุณหาบนว่า ไล่เลียงไถ่ถามต่อไปได้ความอย่างไรบ้าง เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ได้ความก็เหมือนอย่างกราบทูลพระกรุณาเมื่อเพลาเช้า แต่เมื่อนายรักจะเข้าไปนั้น ขึ้นไปหาพระยากลันตันให้ชำระเงินที่ค้างลูกหนี้หามีเงินให้ไม่ พระยากลันตันมอบแขกลูกหนี้ให้เข้าไปด้วย ๓ คน รับสั่งว่า มันว่าความข้ออื่นๆ ก็จริงอยู่หมด แต่ความที่ว่าพระยากลันตันมอบแขกลูกหนี้มาให้ ๓ คนหาจริงไม่ มันเห็นว่าบ้านเมืองวุ่นวายอยู่มันจะลักเข้าไปนั่นเองหรือกระไร พระยากลันตันเขาจะให้ไพร่บ้านพลเมืองเขามาที่ไหน เรียกเอาตัวแขกลูกหนี้มันมาซักถามดูก็คงจะรู้ความ เอาเงินถ่ายมันเอาตัวมาส่งให้หลวงราชเศรษฐีเลี้ยงคุมมันไว้พลางเถิด ให้ไล่เลียงซักถามมันดูด้วย เห็นมันจะรู้ความบ้านเมืองมากกว่านายมันเสียอีก ๚

๏ ครั้น ณ วันเดือน ๘ แรม ๙ ค่ำ เพลาเช้า ทรงตรัสถามเจ้าคุณหาบนว่า ได้ตัวอ้ายแขกลูกหนี้มาถามแล้วหรือยัง เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า เรือยังไม่ขึ้นไปถึงหามิได้ รับสั่งว่า มันขึ้นมาถึงแล้วถามมันดูก็คงจะได้ความ ที่พระยากลันตันจะให้มานั้นเห็นจะไม่เป็น แล้วทรงตรัสกับเจ้าคุณหาบนว่า ที่จะคิดรบสู้กันอีกนั้นก็เห็นจะไม่เป็น จะเป็นก็แต่จะรอกันอยู่ เห็นการจะไม่เป็นไรแล้ว อ้ายตนกูปสามันโกรธก็โกรธเอาว่าไม่ตั้งแต่งมันออกไปนั่นเอง ถ้าตั้งแต่งมันออกไปแล้ว เห็นมันจะหนักขึ้นยิ่งกว่านี้ เป็นเหตุด้วยเจ้าพระยานครฯ ปล่อยอ้ายพระยาบาโงยไป มันจึงแรงขึ้นได้ ได้ผิดเกินแล้วก็ผิดไปจนตายจากไปทีเดียว เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ความที่เจ้าพระยานครฯ ถึงแก่อสัญกรรมนั้น ก็รู้ไปถึงกลันตันเมื่อเดือน ๗ แล้ว ทรงตรัสว่า มันก็คงรู้ไปถึง เมื่อเจ้าพระยานครฯ ยังอยู่จะคิดจัดแจงตั้งตนกูปสาอย่างไรก็ไม่ตั้ง ครั้นไม่ตั้งแล้วมันก็โกรธแค้นเอาเท่านั้นเอง แล้วพระนรินทร์กราบทูลลาให้ขุนฤทธิชลธาร หลวงนรินทร์เมืองถลาง กลับออกมา ทรงตรัสถามเจ้าคุณหาบนว่า จะเอาความอะไรให้ขุนฤทธิชลธารออกมาถึงบ้างเล่า เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า จะว่ากำชับออกไปให้คิดเอาตัวตนกูปสา พระยาบาโงยเสียให้ได้ รับสั่งว่า เออ มีหนังสือว่ากำชับออกไปเถิด ถ้าให้ยกลงไปถึงกลันตันแล้วมันจะหนีไปได้บ้าง พรรคพวกมันเหลืออยู่เท่าไรก็เก็บลิดมันมาเสียให้หมด อย่าให้เป็นเสี้ยนหนามเมืองกลันตันขึ้นอีกต่อไปได้ ให้จัดแจงทำเสียให้ราบคาบทีเดียว ข้างเมืองถลางก็ตอบว่าแต่กำชับออกไป อย่าให้มีความประมาทได้ ให้คอยลาดตระเวนสืบสาวระวังราชการอย่าให้ขาด มีราชการประการใดก็ให้บอกมาถึงแม่ทัพใหญ่ ณ เมืองสงขลา คอยฟังบังคับบัญชาแม่ทัพใหญ่นั้นเถิด ถ้าหมื่นพิมลกำจรออกมาถึงแล้ว แม่ทัพใหญ่ก็คงจะจัดแจงให้ลงไปอยู่เมืองพังงา ดูกำชับออกไปให้ระวังราชการไว้พลาง คอยแต่พอให้จัดแจงลงไปเถิด แล้วทรงตรัสกับเจ้าคุณหาบนว่า การที่เมืองกลันตันนั้น ทรงฟังนายรักว่าเป็นความจริงอยู่มาก ถ้ามันหยุดรั้งรอกันลงอย่างว่านี้ เห็นการจะไม่เป็นไรแล้ว จะทรงคอยฟังหนังสือบอกแม่ทัพใหญ่เข้าไปถึงอีกสักคราวหนึ่ง ถ้าการเมืองกลันตันยังตึงอยู่ก็จะต้องให้เจ้าพระยายมราชยกลงไปช่วยพระยาเพชรบุรี ถ้าเห็นการว่าเบาแล้วจะให้แต่พระยาเพชรบุรีค้างอยู่จัดแจงราชการก็ได้ จะโปรดให้แม่ทัพใหญ่ยกกลับเข้าไป ณ กรุงฯ เสียในเดือน ๙ เดือน ๑๐ นี้เป็นกระไรเจ้าพระยาพระคลัง เรือมัจฉาณุบรรทุกข้าวเสร็จแล้วหรือยัง จะได้ออกมาเมื่อไร เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่าจัดแจงบรรทุกเสร็จอยู่แล้ว จะได้ออกมาคราวน้ำเกิดสิ้นเดือนนี้ รับสั่งว่า ดูจัดแจงเร่งให้มันออกมาเถิด จะได้มารับเจ้าพระยายมราช ถ้าเห็นการว่าจะกลับเข้าไปได้แล้ว เจ้าพระยายมราชจะได้เอาขี่กลับเข้าไป ณ กรุงฯ ดูขออินทผลัมบรรทุกออกมาฝากแม่ทัพใหญ่ด้วยสัก ๒๐ หาบ ข้อความที่เจ้าพระยาพระคลังจะมีหนังสือกำชับออกมา ให้คิดว่ากล่าวจับเอาตัวตนกูปสา พระยาบาโงยนั้น ก็มีหนังสือเอาส่งให้มันเร่งออกมาโดยเร็วเถิด ถ้อยความสิ่งไรก็ว่าจะแจ้งออกมาแต่ก่อนหลายอย่างเสร็จสิ้นอยู่แล้ว การจะผันแปรประการใด หนังสือที่ว่าออกมาก็คงถูกหมดหาผิดไม่ ๚

๏ ครั้น ณ วันเดือน ๘ แรม ๑๐ ค่ำ เพลาค่ำ เจ้าคุณหาบนกราบทูลถวายร่างหนังสือ ซึ่งให้ขุนฤทธิชลธารถือออกมา ครั้นนายบริบาลอ่านถวายจบแล้ว ทรงตรัสว่า ดีแล้ว เอาส่งให้มันเร่งออกมาเถิด แต่ข้างเมืองนครฯ นั้น พระยาพัทลุงกับพระเสนหามนตรีจะเป็นอย่างไรกันก็ยังไม่ทรงทราบเลย เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า มารดาพระยาพัทลุงมีหนังสือเข้าไปว่า พระยาพัทลุงโกรธพระเสนหามนตรี หาสู้นับถือมารดาไม่ ถ้าพระยาพัทลุงได้เป็นเจ้าพระยานครฯ แล้ว เห็นจะอยู่ที่เมืองนครฯ หาได้ไม่ ทรงตรัสว่าไม่ได้แล้ว หน่อยก็จะเหมือนอย่างพระยากลันตัน ตนกูปสาเข้าสิ เสียการงานทีเดียว เจ้าพระยาพระคลังจดหมายเป็นของเจ้าพระยาพระคลังออกมาสัก ๒ ตัว ๓ ตัวเถิด ให้ส่งพระยาพัทลุงเข้าไปเสีย ณ กรุงฯ ให้จงได้ กระแสพระราชดำริประการใดก็แจ้งมาในหนังสือในจดหมายทุกประการแล้ว ๚

๏ แลความซึ่ง (ท้าวพระกรุณา) ตอบพระยาไชยาว่า ยกกองทัพใหญ่ออกมาก็มีแต่เครื่องศัสตราวุธ กับว่าถ้าเป็นคนรักหน้ารักชื่ออยู่แล้วก็อาจสามารถจะปราบภูเขาอันใหญ่ให้ราบไปหมดได้ ถ้าเป็นคนไม่รักหน้ารักชื่อแล้ว จะปราบแต่จอมปลวกอันน้อยก็หาราบได้ไม่นั้น พระยาพิพัฒน์ พระยาราช พระยาไกร พระมหามนตรี ข้าราชการผู้น้อยพากันชมว่า ฟังกระแสว่ากล่าวเพราะนักหนา ดูลึกละเอียดคมอยู่ทีเดียว ข้าพเจ้ารับพระราชทานจดหมายออกมาเก่าใหม่ทั้งครั้งนี้ ๑๓ ครั้ง ข้อความจะขาดผิดเพี้ยนควรมิควรประการใด รับพระราชทานพระเดชพระคุณสุดแล้วแต่จะโปรด จดหมายมา ณ วัน ๑ เดือน ๘ ปฐมาสาฒ แรม ๑๐ ค่ำ ปีกุนเอกศก (จุลศักราช ๑๒๐๑ พ.ศ. ๒๓๘๒) ๚



[๑] คือเมืองนราธิวาส ในมณฑลปัตตานีทุกวันนี้

[๒] พระยาราชมนตรี (ภู่) ต้นตระกูลภมรมนตรี

[๓] ในรัชกาลที่ ๔ เป็นกรมหมื่น แล้วเลื่อนเป็นกรมขุนราชสีหวิกรม*

*พระองค์เจ้าชุมสาย พระราชโอรสในรัชกาลที่ ๓

[๔] พระยาเพ็ชรพิไชย (เกตุ เกตุทัต)

[๕] ชื่อ ต่าย เป็นพี่เจ้าพระยาพระคลัง

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ