๙
“นี่เป็นฉากสุดท้ายแห่งชีวิตของแม่เราทั้ง ๒ ซึ่งจะนับว่าเป็นฉากสุดท้ายแห่งชีวิต ของคุณพ่อเราด้วยก็ได้เหมือนกัน” อัมพรพูดสืบไป ภายหลังเช็ดน้ำตาเรียบร้อยแล้ว “เพราะเหตุว่าตั้งแต่นั้นมา ถึงแม้คุณพ่อจะยังมีชีวิตอยู่ในโลก แต่ชื่อเสียงเกียรติคุณตลอดจนความอาลัยในชีวิต ก็สาปสูญไปจากท่านจนหมด คงเหลืออยู่แต่สิ่งเดียว คือ ความรักและห่วงใยในลูก พี่จะเล่าเรื่องต่อไป และขอเตือนให้นุชใคร่ครวญดูจงดีว่า ในความเป็นพ่อท่านได้เป็นพ่อที่ควรแก่การบูชาของเราหรือไม่?”
พอรู้สึกตัวว่าเป็นจำเลยในคดีอุกฉกรรจ์ อยู่ในที่คุมขังรอการพิจารณา อาจมิได้รอช้า ได้ร้องขอต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อปรึกษาความกับสหายร่วมใจ คือหลวงสุรพจน์ ฯ เป็นเนติบัณฑิตสยาม แต่รับราชการอยู่ในกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อนต่อเพื่อนได้พบกัน ๒ ต่อ ๒ แต่แทนที่จะปรึกษาคดีที่ตนต้องเป็นจำเลย อาจกลับสนทนากับเพื่อนแต่เฉพาะในเรื่องบุตรีของตน บิดาของพิศถึงแก่กรรมโดยมิได้กระทำพินัยกรรม มรดกจึงตกอยู่แก่พิศ แต่เมื่อพิศไม่มีตัวอยู่แล้ว ทรัพย์สมบัติทั้งหมดนั้นก็ตกอยู่แก่สามี และบุตรีทั้ง ๒ ของพิศตามกฎหมาย หลวงสุรพจน์ ฯ แต่งงานก่อนอาจ แต่ไม่มีบุตรธิดา อาจขอให้หลวงสุรพจน์ ฯ รับมรดกส่วนที่เป็นของตนโดยเฉพาะ อันมีราคานับหมื่นไว้เป็นของเขา โดยขอสัญญาแลกเปลี่ยนแต่เพียงข้อเดียว คือให้หลวงสุรพจน์ ฯ รับเลี้ยงเด็กทั้ง ๒ ไว้เป็นลูกของเขาเอง มีการให้ใช้นามตระกูลให้การศึกษา และจัดการในหน้าที่บิดาทุกสิ่งทุกอย่าง โดยมิให้เด็กทราบเรื่องกำเนิดอันแท้จริง ยามวิบัติดุจเข็มฝนทอง ได้เป็นเครื่องทดลองว่ามิตรแท้หรือมิตรเทียม หลวงสุรพจน์ ฯ รับสัญญาโดยมิได้รั้งรอ แต่ปฏิเสธมิยอมรับทรัพย์สมบัติซึ่งเพื่อนได้ออกปากให้แก่ตนนั้น
ฝ่ายหนึ่งมีความตั้งใจจะให้อีกฝ่ายหนึ่งมีความตั้งใจที่จะไม่ยอมรับ ๒ สหายโต้เถียงกันอยู่นาน ในตอนสุดท้าย อาจได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงนางสุรพจน์ ฯ ปิดผนึกแน่นหนาฝากเพื่อนไปให้แก่ภรรยา……. สตรีมีความรู้คิดมากกว่าบุรุษ! …….และบุรุษที่ใจดีมักจะอ่อนแอต่อภรรยาที่รักเป็นพิเศษ!…..เมื่อหลวงสุรพจน์ ฯ มาพบกับอาจในคราวหลังจึงตกลงกันได้ว่า หลวงสุรพจน์ ฯ กับภรรยาจะรับบุตรีของอาจเป็นบุตรีของตน โดยขอรับค่าเลี้ยงดูตามสมควร นอกจากนี้ หลวงสุรพจน์ ฯ ยังได้รับรองเพิ่มเติมกับเพื่อนว่า จะจัดการกับกองมรดกให้งอกเงยขึ้นตามแต่จะทำได้
ก่อนวันที่ศาลจะตัดสินวันหนึ่ง นางแย้มคนเลี้ยงลูกได้จูงอัมพรด้วยมือข้างหนึ่ง และอุ้มน้องของอัมพรซึ่งมีอายุเพียง ๔ เดือน เข้าไปเยี่ยมบิดาในที่คุมขัง อาจได้ล้างหน้าลูกด้วยน้ำตาอันร้อนผ่าวของเขา หัวอกชายที่เมียตายจากไปไม่ทันถึงเดือน และกำลังจะจากลูกทั้งเป็นตลอดชั่วกัลปาวสาน! อัมพรร้องไห้ทั้งที่ไม่เข้าใจเรื่องราวอะไรเลย ส่วนน้องน้อยกลับหัวเราะอย่างสนุกสนาน วันรุ่งขึ้นนางแย้มพาเด็กทั้ง ๒ ตรงไปยังเมืองหลังสวน รอฟังคำสั่งจากหลวงสุรพจน์ฯ ต่อไป ในวันเดียวกันนั้น อาจถูกตัดสินลงโทษฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา โดยวางเกณฑ์โทษประหารชีวิต แต่ได้ลดฐานปรานีที่จำเลยสารภาพตลอดข้อหา คงพิพากษาให้จำคุก ๒๐ ปี อาจควรจะได้ลดโทษฐานยั่วโทสะอีก แต่ หากตนไม่มีพยานหลักฐานที่ได้เห็นเหตุการณ์มาพิสูจน์
จะว่าเป็นเพราะบุญหรือกรรมของนุชก็ตามที่จะเติบโตขึ้นโดยมิรู้ฐานะอันแท้จริงของตน ในระหว่างเดียวกันนั้น หลวงสุรพจน์ ฯ ได้รับคำสั่งจากกระทรวงให้ออกไปรั้งตำแหน่งกงสุลเยเนราลประจำเกาะสิงคโปร์ กิจการทุกอย่างก็สะดวกขึ้น ภายในเวลาเพียง ๔ ปี ญาติของนางสุรพจน์ ฯ ที่อยู่ในกรุงเทพ ฯ ก็ได้รับข่าวว่า ได้หลานหญิงถึง ๒ คน และบุตรคนโตของนายอาจซึ่งมีอายุ ๗ ปีกับ ๕ เดือน ก็ถูกทอนอายุลงเสีย ๒ ปี กับ ๑๑ เดือน คงเป็นเด็กมีอายุเพียง ๓ ปีกับ ๖ เดือน ส่วน น้องเล็กนั้นให้มีอายุเพียง ๒ ปี กับ ๖ เดือน
หลวงสุรพจน์ ฯ ได้เลื่อนขึ้นเป็นกงสุลภายใน ๑ ปี อยู่ในเมืองสิงคโปร์ราว ๔ ปีเศษ ก็ถูกเรียกตัวกลับเข้ามารับราชการอยู่ในกรุงเทพ ฯ คุณหลวงหาได้พาเด็กทั้ง ๒ เข้ามาในประเทศสยามด้วยไม่ คงฝากไว้ในคอนแวนต์ที่เกาะสิงคโปร์นั่นเอง เพราะความจำเป็นเกี่ยวกับอายุซึ่งขัดกันอยู่กับรูปร่างและสีหน้า ๒ ปีภายหลัง หลวงสุรพจน์ ฯ ต้องออกจากพระนคร ไปเป็นเลขานุการสถานทูตในลอนดอน จึงได้พาตัวอัมพรไปด้วย อยู่ในประเทศอังกฤษ ๓ ปี ได้เลื่อนยศเป็นพระสุรพจน์ ฯ ย้ายไปเป็นอุปทูตประจำกรุงเฮกอีก ๓ ปี กลับมาเยี่ยมพระนครอีกครั้งหนึ่ง ครั้นแล้วก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยารัตนวาที และย้ายกลับไปเป็นราชทูตประจำพระราชสำนักเซนต์เยมส์
“ในระหว่างนั้น นุชได้เติบโตขึ้นด้วยความสุขสมบูรณ์ทั้งกายและใจ” อัมพรกล่าวในตอนสุดท้ายของเรื่อง “แต่ส่วนพี่ได้เรียนรู้ความจริงเสียตั้งแต่อายุเพียง ๖ ขวบ คือในคราวที่เจ้าคุณรัตนวาทีจากเมืองสิงคโปร์ แม่แย้มคนเลี้ยงของเราเองได้เล่าเรื่องให้พี่ฟังโดยตลอด ในเวลานั้น พี่ก็ไม่เข้าใจแจ่มแจ้งนัก จำได้แต่ว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวและทำให้พี่นอนฝันร้ายไปทั้งคืน ต่อเมื่ออายุพี่ได้ ๑๗ ปีบริบูรณ์ จึงได้ฟังเรื่องนี้จากปากคุณหญิงรัตนวาทีอีกครั้งหนึ่ง”
“ช่างน่าใจหายอะไรเช่นนี้!” นุชพึมพำเสียงกระเส่า “นี่หรือชีวิตของเรา!”
“นี่แหละชีวิตของเรา!” อัมพรย้ำอย่างขมขื่น
“ไม่น่าเชื่อเลย!” นุชกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงความอัดอั้นใจ “ไม่น่าเชื่อจนนิดเดียว นุชรู้สึกเป็นลูกคุณพ่อคุณแม่แท้ๆ และคุณพ่อคุณแม่ก็รักนุชมากไม่ใช่หรือ?”
“เจ้าคุณกับคุณหญิงรัตนวาทีน่ะรึ?” อัมพรย้อนถาม ยิ้มอย่างถมึงทึงระบายไปทั่ววงหน้า แต่น้ำเสียงของหล่อนยังคงเป็นปกติในขณะที่หล่อนพูดช้าๆ อย่างตรึกตรองว่า “เจ้าคุณรัตนวาทีได้ปฏิบัติตามหน้าที่ได้สัญญาไว้กับพ่อของเราทุกอย่าง ท่านได้ตั้งใจเลี้ยงและตั้งใจรักเรา หรือจะพูดให้ถูกต้องว่า ท่านเลี้ยงและรักนุชเหมือนลูกของท่านแท้ๆ สำหรับพี่นั้นเป็นคนละอย่างกับนุช พี่จะพูดถึงตัวของพี่เองทีหลัง แต่ส่วนคุณหญิงนั้น พี่ไม่อาจรับรองคำพูดของนุชได้ เพราะไม่เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงแล้ว พี่ก็ไม่ปรารถนาที่จะเล่าเรื่องนี้ให้นุชฟังให้ร้อนใจเปล่าๆ ......… จริงๆ นะ” หล่อนย้ำเมื่อนุชได้มองดูหล่อนอย่างสงสัยและประหลาดใจ “พี่จะไม่ปริปากบอกนุชเลย แต่นี่ไม่เป็นดังนั้น”
“ก็มันเป็นอย่างไรเล่า?” นุชถามอย่างเบื่อหน่ายและไม่เชื่อกลายๆ “นุชไม่อยากให้อัมพรบอกนุชเลย แล้วมาบอกนุชทำไม นุชไม่ได้ถามสักคำเดียว”
ความน้อยใจปรากฏขึ้นในดวงตาอัมพรทันที เมื่อได้ฟังคำพูดทั้งประโยคนั้น
“ในชีวิตของพี่ เมื่อจะทำอะไรลงไปพี่ทำด้วยเหตุผลเสมอ ไม่ใช่ด้วยความสนุกนึกอยากจะทำก็ทำไป” หล่อนตอบอย่างค่อนข้างห้วน “คราวนี้ก็อีกที่ทำด้วยความหวังดีต่อนุช ไม่อยากจะให้ได้รับความช้ำใจ อย่างที่เคยได้รับมาแล้วถึง ๒ ครั้ง โดยไม่รู้จักจบจักสิ้น เข้าใจไหมละ ความช้ำใจนั้นพี่หมายถึงอะไร?”
นุชสั่นศีรษะ อัมพรจึงพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงเรียบกว่าเดิม
“พี่เคยได้รับความชอกช้ำใจเพราะเหตุอย่างเดียวกับนุชมาครั้งหนึ่ง เมื่ออายุพี่ราว ๑๙ ปี เวลานั้นเจ้าคุณเพิ่งออกไปเป็นราชทูตใหม่ๆ พี่ได้พบนักเรียนไทยคนหนึ่งในลอนดอน เราเกิดรักกันขึ้น .... ครั้นแล้ว….”
“แล้วทำไม?” นุชถามแทบว่าจะไม่หายใจ หล่อนเริ่มมองเห็นความจริงได้บ้างแล้วเพียงรางๆ และกำลังเริ่มกลัวต่อความจริงนั้น
ดวงตาอัมพรลุกวาวขึ้นชั่วระยะหนึ่ง
“ทำไมรี?” หล่อนทวนอย่างขมขื่น “แล้วเขาก็ทิ้งพี่เสีย เหมือนดังที่หลวงไพรัชช์ ฯ กับสุนทรทิ้งนุชน่ะซี?”
หายใจสะอื้นและสะอึกออกจากทรวงอก นุชยกมือขึ้นกดขมับไว้ทั้ง ๒ ข้าง นิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงถามคล้ายเสียงกระซิบ
“เขารู้ว่าเราเป็นลูกใครใช่ไหม? แล้วเขารังเกียจเรา? โอ! คนใจร้าย! คนเห็นแก่หน้าเห็นแก่ชื่อ ไม่รักเราจริง? ใครบอกเขาล่ะอัมพร?”
“จะมีใคร!” อัมพรพูดพลางหัวเราะห้วนๆ “ที่จริงเขาก็มีบุญคุณแก่เรามากหนักหนา ไม่อยากจะกล่าวร้ายต่อเขา แต่น้องเอ๋ย คุณหญิงสวงใจดำมาก เขาไม่ได้สงสารเราเลย พี่ได้ตั้งใจไว้แล้วว่า จะเล่าเรื่องของเราให้คู่รักของพี่ฟังโดยตลอดเมื่อเราได้หมั้นกันแล้ว พี่เชื่อว่าเขารักพี่พอที่จะไม่นึกพะวงว่าพี่ถือกำเนิดมาจากใคร แต่คุณหญิงสวงไม่ปล่อยให้พี่ทำเช่นนั้น ชิงบอกเสียก่อน คุณหญิงบอกกับพี่บอก จะให้ผลต่างกันมาก คนรักกันพูดกันอย่างอ่อนโยน ตรงไปตรงมา อย่างไรเสียเขาก็ต้องฟังเสียงพี่ พี่รักเขา พี่ก็รักแต่ตัวเขา ไม่ได้นึกถึงชื่อเสียงหรือสมบัติพัสถานอะไรของเขาทั้งนั้น พี่จึงเชื่อว่าเขารักแต่ตัวพี่เหมือนกัน ถึงเดี๋ยวนี้บางคราวก็ยังเชื่ออยู่เช่นนั้น อย่างไรก็ตามเมื่อคุณหญิงสวงเป็นผู้บอกแก่เขา แทนที่พี่จะบอกเอง ทั้งเขารู้ด้วยว่าพี่รู้ความจริง เขาจึงกลับหาว่าพี่ล่อลวงเขาอีกกระทงหนึ่ง”
นุชนั่งตะลึง ตาเหม่อลอยมองไปตรงหน้า
“เอ้อ! ความจริงเป็นเช่นนี้เองนะ” หล่อนพึมพำ “หลวงไพรัชช์ ฯ ก็รู้ สุนทรก็รู้…….เขาจะนึกเห็นนุชเป็นอย่างไรนะอัมพร?”
“นุชยังดีกว่าพี่ เพราะไม่ถูกหาว่าล่อลวง เพราะนุชไม่รู้ตัวจริงๆ ถึงอย่างนั้นก็เต็มที่ พี่รู้ว่า นุชต้องช้ำใจมาก เมื่อรู้สึกว่าไม่มีใครเขารักนุชจริง สักคนมีแต่รักแล้วก็ทิ้งเสีย ถ้าพี่ปล่อยให้นุชงมงายอยู่เรื่อยไป ก็จะต้องได้รับความช้ำใจอย่างนั้นอีกไม่รู้แล้ว เมื่อเกิดเรื่องนายสุนทร พี่แสนที่จะสงสารนุช เพราะฉะนั้นถึงได้สอนว่าอย่าให้ไว้ใจใคร อย่าให้ชอบใคร ในโลกนี้ไม่มีคนจริง เวลานั้นนุชคงเห็นว่าพี่ไม่สมควรจะอยู่ในโลก เพราะเห็นมนุษย์เลวไปเสียหมด แต่มันก็เป็นอุบายเดียวที่พี่นึกขึ้นได้ สำหรับจะห้ามมิให้นุชรักใครอีกต่อไป”
นุชพยักหน้าช้าๆ นั่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นเป็นเป็นเชิงปรารภ
“ใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้น นอกจากนุช อ้อ, น้าพงศ์ล่ะ น้าพงศ์รู้ไหม อัมพร?”
“ในตอนแรกน้าพงศ์ก็ไม่รู้ ระหว่างที่เธอเรียนอยู่ในอังกฤษ เธออุ้มชูเล่นหัวกับนุชโดยมิได้นึกเลยว่าเราเป็นหลานเก๊ ครั้นเธอออกจากอังกฤษไปเรียนที่ฝรั่งเศส แล้วกลับมาฮอลิเดย์ในอังกฤษ คราวหลังนี่สิ พอดีเกิดเรื่องหลวงไพรัชช์ ฯ ขึ้น น้าพงศ์รักนุชมาก เห็นนุชร้องไห้ร้องห่ม เธอก็ตึงตังเอะอะเอากับเขา คุณหญิงสวงคงรำคาญ จึงบอกให้เธอรู้เสียด้วย”
นุชถอนใจยาวอย่างละห้อย “ใครๆ เขาก็รู้นอกจากนุช” หล่อนกล่าวซ้ำ “รู้แล้วทำประโยชน์อะไรได้บ้าง นอกจากกลุ้ม!” ยกมือทั้ง ๒ ขึ้นปิดหน้า แล้วพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงแสดงความปวดร้าวแสนสาหัส “เจ็บใจจริ๊ง! เกิดมาทำไมก็ไม่รู้ อยากตายเสียนัก” น้ำตาไหลลอดมือที่ปิดหน้า หยดลงบนตักของหล่อนเอง ทำให้อัมพรรู้สึกตื้นตันในลำคอขึ้นอีกด้วย เพื่อจะชักนำความคิดของน้องสาวให้ออกจากวงความคิดอันเผ็ดร้อน หล่อนจึงถามขึ้นว่า
“เมื่อเราจะมานี่ นุชบอกน้าพงศ์หรือเปล่า?”
“น้าพงศ์หรือ?” นุชย้อนถามคล้ายเพิ่งตื่นจากฝัน “เอ้อ! น้าพงศ์! น้าพงศ์เป็นอะไรไปด้วยไม่รู้ นุชไม่เข้าใจ นุชเล่าเรื่องสุนทรให้เธอฟัง อยากรู้นักเธอนึกอย่างไร?”
คำปรารภนี้อัมพรหาคำตอบหาไม่ได้ เพราะหล่อนมิได้ทราบความจริงในข้อที่คุณหญิงสวงกับพงศ์เป็นปากเสียงกันด้วยเรื่องนุชกับนายสุนทร พงศ์บังอาจกล่าวถ้อยคำที่คล้ายไปในทางปรักปรำ คุณหญิงว่าไม่มีความกรุณาต่อเด็ก และทำการอย่างใกล้กับที่เรียกได้ว่าหน้าไหว้หลังหลอก คือมีการเก็บจดหมายที่สุนทรเขียนถึงนุช นัดว่าจะมารับประทานอาหารกับหล่อนในตอนเย็นนั้นเสีย เสือกไสให้นุชไปดูภาพยนตร์เสียกับพงศ์ เพื่อหาโอกาสทำลายความสุขของเด็กในเวลาลับหลัง คุณหญิงสวงไม่ยอมเชื่อว่าท่านทำผิด ท่านเถียงว่าเกียรติยศของท่านสำคัญกว่าความสุขของนุช เมื่อท่านกล่าวถึงเกียรติยศ พงศ์ยกไหล่ คุณหญิงจึงกล่าวต่อไปว่า พงศ์ไม่รู้จักคำว่าเกียรติยศคืออะไร พงศ์ยกไหล่เป็นครั้งที่ ๒ แล้วก็ออกจากบ้านพี่สาวไป พร้อมกับความตั้งใจว่าจะไม่เหยียบเข้ามาอีก เว้นแต่จะมีการจำเป็นอันแท้จริง
อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมา พงศ์ได้ยกคำว่าเกียรติยศที่คุณหญิงอ้างขึ้นมาใคร่ครวญดูอย่างถ่องแท้ ก็ได้ความว่า ท่านหมายถึงความสุจริต คือไม่คิดหลอกลวงผู้อื่น คุณหญิงมีความเห็นอันจริงใจว่า เป็นการจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแถลงความจริงให้นายสุนทรทราบชัด เพื่อท่านจะได้ไม่ต้องเป็นผู้รับผิดชอบในความเสื่อมเสียที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง ถ้าแม้ว่าความจริงในเรื่องที่ได้ปิดบังไว้ เกิดรั่วไหลไปถึงหูผู้อื่น ในข้อนี้พงศ์ก็เห็นอกท่านอยู่เหมือนกัน แต่ทว่าเรื่องนายสุนทรนี้มิใช่เรื่องแรกที่เกิดขลุกขลักขึ้น เป็นเรื่องที่ ๓ และเรื่องแรกนั้น คือเรื่องของอัมพร ซึ่งพงศ์ได้รู้แจ้งด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเขาจึงเห็นว่าควรจะพอเสียยิ่งกว่าพอที่จะเป็นบทเรียนสำหรับคุณหญิงจดจำไว้แก้ไข ป้องกันตัดตอนเสียแต่ต้นมือ เพื่อมิให้เด็กในปกครองต้องร้อนใจถ้าหากจะมีผู้ย้อนถามว่า การที่จะแก้ไขตัดตอนนั้นจะทำได้โดยอย่างไร บางทีเขาอาจไม่มีคำตอบที่แน่นอนเตรียมไว้ แต่อย่างน้อยเขามีความเห็นว่าคุณหญิงมิควรปล่อยโอกาสให้นุชได้สนิทสนมกับชายใด จนกว่าท่านจะแน่ใจเสียก่อนว่าเขาจะไม่รังเกียจประวัติอันแท้จริงของหล่อน แม้ว่าคุณหญิงหมดหนทางที่จะป้องกัน ก็ยังมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าความสัตย์ คือรักษาสัญญาที่ตนได้สัญญาแล้ว กับความสุจริตคือไม่ปิดบังความจริง ทั้ง ๒ ข้อนี้ ข้อใดจะมีน้ำหนักควรยึดถือมากกว่ากัน บุคคลผู้ไร้สัตย์ คือบุคคลผู้ไร้เกียรติ เช่นเดียวกับบุคคลผู้ไร้ความสุจริต แต่เมื่อคุณหญิงได้ให้สัตย์ไว้แล้วก่อน ความจำเป็นจะแสดงความสุจริตมาถึง ถ้าแม้ว่าเพื่อรักษาสัตย์นั้นคุณหญิงจะปล่อยให้ความหลังที่ล่วงมาแล้วเลยไปจะถูกนับเข้าอยู่ในจำพวกผู้ไม่สุจริตหรือ? เมื่อท่านได้เลี้ยงเด็กมาเป็นลูก ท่านรักเด็กนั้นประดุจลูกของท่านเอง ถึงแม้ว่าความจริงจะปรากฏว่า ท่านมิได้ให้กำเนิดแก่เด็ก ก็จะยังมีสิ่งใดอีกหรือที่สำคัญยิ่งไปกว่าน้ำใจ?
แต่พงศ์ มิได้เล็งเห็นน้ำใจจริงของคุณหญิงรัตนวาที่
คำโบราณท่านเปรียบสตรีชนิดหนึ่งว่าเหมือนกา คือสตรีชนิดที่รักลูกของตน ส่วนลูกของผู้อื่นไม่นำพา สตรีชนิดนี้มีอยู่ดาษดื่น และมิใช่ชั้นสตรีสามานย์ บุคคลใดมีความเห็นแก่ตัวเป็นปฐม บุคคลนั้นจะนำ พาต่อสิ่งใดที่มิใช่ตนหรือไม่เนื่องในตนหาได้ไม่
นุชได้เติบโตขึ้น ในความเลี้ยงดูอบรมของคุณหญิง ด้วยความพากเพียรและอดทนของท่าน ความเจริญแห่งรูปสมบัติ และคุณสมบัติในตัวนุชได้ก้าวหน้าคู่กันมากับความเจริญแห่งวัย หล่อนได้เคยทำความโมโหให้เกิดแก่ท่าน เมื่อหล่อนซุกซนดื้อดึงตามภาษาเด็ก และทำความพอใจให้เกิดแก่ท่าน เมื่อหล่อนตั้งใจจะปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านด้วยดี หล่อนคือองค์แห่งความร่าเริงในชีวิตของคุณหญิง เป็นเพื่อนทั้งในเวลาเล่นและเวลาการงาน ในเวลาป่วยไข้ ต่างฝ่ายต่างผลัดกันพยาบาล เมื่อนุชแสดงกิริยาฉอเลาะต่อท่าน ในใจคุณหญิงก็เกิดความปราโมทย์และภาคภูมิ ความรู้สึกทั้งหมดนี้ ก็ละม้ายคล้ายคลึงกับความรู้สึกของมารดาที่มีต่อบุตร ถึงกระนั้นคุณหญิงก็ยังรู้สึกว่านุชมิใช่บุตรของท่านอยู่นั่นเอง มีบางคราวที่การฉอเลาะของหล่อนทำให้ท่านเบื่อหน่าย กิริยาแจ่มใสร่าเริงทำให้ท่านขวางตา ตลอดจนคำสรรเสริญเยินยอที่นุชได้รับ ทำให้ท่านรู้สึกบาดใจ แต่คุณหญิงสวงเป็นสตรีที่มีนิสัยมั่นคงมีความตั้งใจจริงทำอะไรทำจริง ท่านได้สนับสนุนและร่วมสัญญากับสามี ในการที่จะเลี้ยงบุตรีทั้ง ๒ ของนายอาจดังเช่นบุตรของท่านเอง ท่านก็ได้ตั้งใจและพยายามเต็มที่ที่จะทำตามสัญญานั้น ในส่วนความรัก คุณหญิงไม่เคยมีบุตรหรือธิดาท่านไม่มีสิ่งใดเป็นเครื่องวัดความรักของท่าน ท่านจึงมิสามารถรู้แจ้งว่าความรักของท่านที่มีต่อนุช จะเสมอด้วยความรักของมารดาที่พึงมีต่อบุตรธิดาหรือหาไม่ เมื่อปราศจากความรักอันดูดดื่ม ประกอบด้วยความเมตตากรุณาหาที่สิ้นสุดมิได้ อันเป็นความรักที่มารดาย่อมมีต่อบุตรในอุทรเสียแล้ว วิจารณญาณของคุณหญิงจึงไปไม่ไกล และไม่เฉียบแหลมพอที่จะเห็นหัวอกบุตรบุญธรรมว่า จะมีความเศร้าโศกเสียใจได้ลึกซึ้งสักปานไหน ในการที่หล่อนต้องผจญกับความรักเล่น และรักร้าวทั้ง ๒ คราว
สำหรับอัมพร ความรู้สึกของคุณหญิงที่มีต่อหล่อนยังแตกต่างห่างไกลกว่าที่ท่านมีต่อนุชไปอีก เนื่องจากอัมพรรู้ตัวมาแต่น้อยว่า หล่อนมิใช่บุตรีที่แท้จริงของคุณหญิง ความสนิทสนมและรักใคร่ในท่านจึงมีน้อยกว่าที่นุชได้ให้แก่ท่านเป็นธรรมดาใจต่อใจ! เมื่อคุณหญิงสังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างพี่น้องทั้ง ๒ นี้ ความเอาใจใส่ต่ออัมพรก็ย่อมน้อยกว่าความเอาใจใส่นุชไปด้วย นอกจากนั้นเมื่ออัมพรได้ผิดใจกับคุณหญิงในคราวที่หล่อนผจญกับเรื่องรัก ทำให้หล่อนคลายความรักและไว้วางใจในท่านลงอีก ความรู้สึกในใจระหว่างคุณหญิงกับหล่อนก็เหินห่างกันยิ่งขึ้น แต่ทั้ง ๒ ฝ่ายยังคงปฏิบัติตนตามหน้าที่ของตน คือฝ่ายผู้ใหญ่ให้ความเลี้ยงดูและคำตักเตือน ฝ่ายเด็กให้ความนับถือนบนอบด้วยกาย ด้วยวาจา แต่มิใช่ด้วยใจ