สุภาพบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้าประตูบ้าน ‘เศกสม’ มาหยุดยืนที่หน้าตึกใหญ่ สายตามองดูรถยนต์สีดำและสีเทารวม ๒ คัน ที่จอดอยู่เบื้องหน้า คิ้วขมวดเป็นเชิงตรึกตรอง ในทันใดนั้น มีเสียงรองเท้าผู้หญิงกระทบแผ่นกระเบื้องที่ปูพื้น เสียงแหลมแสดงความพิศวงและปิติว่า “Aullo! Uncle พงศ์!” ครั้นแล้วรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ เจ้าหล่อนผู้เป็นเจ้าของเสียงได้วิ่งมาถึงตัวชายหนุ่ม โถมเข้ากอดคอไว้แน่น

ในวาระนี้ชายหนุ่มผู้มีนามว่า พงศ์ มีสีหน้าแดงจัด แววตาที่ก้มลงดูศีรษะอันซบเซาอยู่บนบ่าเขานั้นมีลักษณะอันจะอธิบายได้โดยยาก มือซ้ายประคองหลังหล่อนแต่เบาๆ มือขวาค่อยๆ คลายมือที่โอบรอบคออยู่ ส่วนปากพูดว่า

“พี่สวงสบายดีหรือ?”

“Oh! that’s ashame! ทำไมถามถึงคุณแม่ก่อน พบนุชต้องถามถึงนุชก่อนซี” พูดพลางใช้ดวงตากลมและดำขลับมองดูเขาเชิงตัดพ้อ ครั้นแล้วหล่อนก็ยิ้มอย่างอ่อนหวาน “มาพอดีเวลาเรามีแขกมากินน้ำชา ด้วย” พูดพลางหล่อนจับข้อมือเขาจูง

“ถ้าเผื่อว่าน้าปฏิเสธ?” ชายหนุ่มถามและยืนนิ่งอยู่กับที่

“Oh! no! you are not going to....why should you?”

“เพราะว่าน้าไม่ได้อยู่ในจำนวนผู้ที่เป็นแขกของนุช แต่กลับมาถึงเมื่อไรยังไม่บอกน้า”

“พระอนิจจัง!” เสียงของหล่อนแปร่งผิดจากหญิงสยามทั้งหลายเป็นอันมากในเมื่อหล่อนกล่าวคำนั้น พงศ์ยิ้มด้วยความเอ็นดูเพราะเขาจำได้ว่า ภาษามคธคำนี้หล่อนได้จำไปจากเขาตั้งแต่ได้พบกันคราวแรกในกรุงลอนดอนเป็นเวลาประมาณ ๙ ปีมาแล้ว นุชพูดต่อไป

“สิ่งแรก ที่นุชทำเมื่อมาถึงกรุงเทพฯ ก็คือส่งจดหมายไปที่ออฟฟิศน้า แต่น้าเงียบ เมื่อนุชมาถึง น้าไม่ได้ไปรับแล้วไม่ได้มาหา แล้วไม่ตอบจดหมาย what’s your excuse?”

“น้าไม่อยู่ไปเชียงใหม่ เพิ่งกลับมาก็มาหาวันนี้แหละ”

“There you are! ความผิดของใคร?” เอียงคอและทำตาหวานมองเขา “มาเถอะค่ะคุณแม่จะสงสัยว่าเราปรึกษาความลับอะไรกัน... by the way นุชมีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ในห้องนั้น a wonderful boy! You will love him, we all love him!”

คิ้วอันดกดำของพงศ์ขมวดเข้าด้วยกัน ทำทีเหมือนจะหยุดยืนเสียเพียงประตู แต่หญิงสาวมิให้ โอกาสเขาทำเช่นนั้น หล่อนจูงมือเขาเข้าไปด้วยจนได้

ภายในห้องรับแขกที่นุชพาพงศ์เข้าไปนั้น มีบุรุษอยู่ ๓ นาย ล้วนกำลังหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน เขาทั้ง ๓ ลุกขึ้นยืนเมื่อนุชเข้าไปถึง พงศ์มองดูปราดเดียวก็จำได้ว่าเขาเคยรู้จักแล้วสองคน ส่วนคนที่ ๓ เค้าหน้าบอกว่าอ่อนอายุกว่าอีก ๒ คนนั้น พงศ์ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน

พงศ์เดินเข้าไปใกล้เก้าอี้ ที่คุณหญิงเจ้าของบ้านนั่งอยู่ ทำความเคารพ แล้วหันไปรับไหวหญิงสาวอีกผู้หนึ่งในขณะที่คุณหญิงสวงพูดว่า

“พ่อพงศ์นั่นเอง นึกว่าใครที่ไหน ใช้นุชออกไปดูก็เงียบหาย ราวกับใช้แมวไปขอไฟ”

“นั่นหมายความว่า แมวมันไปกินปลาเสียในครัว? I know that expression!” พูดแล้วนุชก็มองดูพงศ์อย่างภูมิใจ

เขาแลดูหล่อนแต่เพียงนิดเดียว แล้วก็หันไปตอบคำพูดของคุณหญิง

“ผมได้เห็นหนังสือพิมพ์ลงข่าวคุณพี่กลับถึงบ้านเมื่อเดือนก่อน กำลังมีธุระยุ่งอยู่ที่เชียงใหม่เพิ่งกลับมาเมื่อวานนี้เอง”

คุณหญิงพยักหน้าน้อยๆ แล้วหันไปทางแขกหนุ่มทั้ง ๓ ถามว่า

“รู้จักกันแล้วหรือยัง พ่อพงศ์น้องชายของฉัน นี่พ่อสุนทรเป็นญาติกับพี่เหมือนกัน นี่คุณแสวง นั่นคุณหลวงดำรงนิติศาสตร์”

“ดูเหมือนเราเคยรู้จักกันแล้ว” หลวงดำรงฯ พูดพลางก้มศีรษะ

“รู้จักแล้วทั้ง ๒ คน” พงศ์ตอบเมื่อนายแสวง มองดูเขาอย่างสงสัย

“ถูกแล้ว” นายแสวงรับ “ผมเคยเห็นคุณหลายหน แต่ไม่เคยได้พูดกัน”

ชายหนุ่มทั้ง ๓ กลับนั่งลงในที่ของตนดังเดิม พงศ์ลากเก้าอี้มานั่งใกล้หญิงสาวอีกคนหนึ่ง แล้วถาม

“สบายดีหรืออัมพร?”

หญิงสาวผู้นั้นมีสีหน้ามึนตึงอยู่เป็นปกติ ขนตาของหล่อนดกดำมาก และขอบตามีสีออกเขียว จึงดูดวงตาของหล่อนลึกและโตกว่าธรรมดา หล่อนตอบคำถามของพงศ์ด้วยน้ำเสียงไม่แสดงความยินดียินร้ายว่า

“สบายดีค่ะ ขอบพระคุณ”

คุณหญิงสวงลงมือปรุงน้ำชาแจกอาคันตุกะฐานหน้าที่แม่บ้าน เมื่อได้ปรุงถึงถ้วยของพงศ์เป็นถ้วยสุดท้าย ท่านก็ถามขึ้นอย่างเดียวกับที่ท่านได้ถามคนอื่นมาแล้ว

“พ่อพงศ์ น้ำตาลกี่ก้อน”

นุชผู้กำลังคุยอยู่กับสุนทรอย่างเพลิดเพลินนั้นหยุดพูด หันมาตอบคุณหญิงทันทีว่า

“Four and no Milk.”

“ขอบใจนุช” พงศ์กล่าวสั้นๆ น้ำเสียงและสีหน้าขัดกับแววตาที่เขามองดูหล่อนเป็นอันมาก คุณหญิงขมวดคิ้วแต่ไม่พูดว่ากระไร

“เจ้าคุณจะกลับถึงกรุงเทพฯ เมื่อไรครับ?” พงศ์ถามขึ้น

“เห็นจะราวเดือนมีนาคม” คุณหญิงตอบ

“โอ! ร้อนแย่! มาถึงเดือนมกราคมละก้อดีทีเดียว จะได้พบอากาศกำลังหนาว แล้วค่อยหัดทนร้อนไปทีละน้อยๆ อยู่กับอากาศหนาวมาตั้งหลายปี มาพบร้อนทันทีทันใดถ้าจะไม่ได้การ แต่ผมอยู่ไม่กี่ปียังจำได้ว่า เมื่อกลับมาใหม่ๆ จะคลั่งเสียให้ได้”

“ถึงคราวจำเป็นก็ต้องทน ราชการเป็นใหญ่” คุณหญิงตอบเรียบๆ “พี่เกือบจะพาเด็ก ๒ คนนี้ไปอยู่สวิตเซอร์แลนด์เสียพักหนึ่งแล้วค่อยกลับมาพร้อมกับเจ้าคุณทีเดียว แต่ท่านไม่ยอม เกณฑ์ให้มาจัดบ้านจัดช่องไว้รับ แล้วเด็กสองคนนี่ก็เคยเห็นเมืองนั้นแล้ว เขาอยากจะรีบมาเห็นบ้านเมืองของเขามากกว่า”

“คุณยังไม่เคยเห็นสยามมาก่อนเลยหรือ?” หลวงดำรงฯ หันมาถามอัมพรอย่างยิ่ง

“เคยเห็นแล้ว” อัมพรตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงอันชาเย็น

“นุชสิไม่เคยเห็นเลยทีเดียว คราวนี้เป็นคราวแรก” คุณหญิงกล่าวแล้วยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ขณะที่พูดต่อไปว่า “เป็นเคราะห์ดีเสียอีกที่แกพูดไทยได้ เพราะฉันบังคับให้พูดอยู่เสมอ”

“อ้อคราวนั้น เมื่อคุณพี่มากรุงเทพฯ พาอัมพรมาคนเดียว นุชอยู่โรงเรียนในลอนดอนใช่ไหม?” พงศ์ถามขึ้น

“ใช่ค่ะ” นุชตอบ “แหม! คราวนั้นนุชอยากมาแทบตาย คุณแม่ไม่พามา”

ครั้นได้สนทากันถึงเรื่องทั่วไป จนพระอาทิตย์จวนจะลับขอบฟ้า หลวงดำรงฯ ก็ลุกขึ้นลา นายแสวงกับนายสุนทรก็ลุกขึ้นตามกัน นุชส่งมือให้คนทั้ง ๓ ด้วยท่าทางที่เป็นธรรมดาที่สุด เช่นเดียวกับว่าหล่อนอยู่ในประเทศที่ใช้การจับมือเป็นธรรมเนียม และเมื่อมือของหล่อนอยู่ในมือของสุนทร ผู้ที่มองดูอยู่อาจสังเกตได้ว่า เขาทั้ง ๒ บีบมือกันนานกว่าปกติเล็กน้อย และนุชได้พูดด้วยเสียงเบาๆ ว่า

“Come again.”

ชายหนุ่มผู้นั้น ใช้สายตารับคำเชิญของหล่อนแทนคำตอบ แล้วก็ออกจากห้องไป

หันหน้ากลับมา เห็นพงศ์กำลังจะเตรียมตัวกลับด้วยเหมือนกัน นุชก็กดตัวเขาให้นั่งลงดังเก่าพร้อมกับพูดว่า

“You can’t go now, uncle พงศ์ คุณแม่ต้องไม่อนุญาต”

“อะไรจะกลับแต่ป่านนี้” คุณหญิงว่า “นั่งลงเถอะ เล่าอะไรๆ ให้พี่ฟังบ้าง”

ชายหนุ่มเลื่อนตัวเข้าในเก้าอี้ นุชก็นั่งลงบนพนักข้างตัวเขานั่นเอง

นายพงศ์ กัลยาณเวทย์ เป็นน้องต่างมารดาของคุณหญิงรัตนวาที สวง กัลยาณเวทย์ พี่น้องคู่นี้มีอายุแตกต่างกันมาก คุณหญิงแก่กว่าน้องชายถึง ๑๖ ปี ในเวลาที่กล่าวนี้อายุของท่านย่างเข้าปีที่ ๔๘ แต่ตัวของท่านเองนั้นยังกระชุ่มกระชวยสะสวยสมสมัย ถ้าแม้ว่าคุณหญิงไม่มีบุตรีเป็นสาวถึง ๒๑ ปีแล้ว จะไม่มีใครคาดว่าอายุของท่านเกิน ๓๓ ปีไปเลย

พงศ์เป็น Docteur en Droit แห่งประเทศฝรั่งเศส เป็น Barrister at Law แห่งประเทศอังกฤษ และเป็นเนติบัณฑิตสยาม บรรพบุรุษของเขา ล้วนแต่ได้เคยรับราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินมาโดยตลอดทุกชั้น จนถึงตัวพงศ์เอง บิดาของเขาได้สิ้นชีวิตไปเสียตั้งแต่เขาเพิ่งรุ่นหนุ่ม เป็นโอกาสให้พงศ์ได้เลือกทางอาชีพของตนเอง เขาจึงได้เลือกเป็นทนายความตามที่ใจรัก

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ