๗ วันนั้นและวันต่อมา หลวงบำรุง ฯ กับหลวงประกอบ ฯ ได้เป็นมัคคุเทศก์พาคุณหญิงรัตนวาทีกับนุช ไปเที่ยวในจังหวัดหลังสวนเกือบทั่วทั้งจังหวัด แต่เมืองนี้เป็นเมืองที่ไม่ค่อยรุ่งเรือง ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ไม่มีโบราณวัตถุ และไม่มีภูมิประเทศที่งามพิสดารกว่าจังหวัดอื่น เพียงแต่ดูตัวเมืองดูตึกใหญ่ของตระกูล ณ ระนอง ซึ่งในบัดนี้เป็นที่ทำการรัฐบาล ดูพระอารามบางพระอาราม กับลงเรือไปดูปากน้ำเมืองหลังสวน แล้วก็ไม่มีอะไรเหลือสำหรับดูอีก

ในระหว่างนั้น ความวิสาสะระหว่างนุชกับญาติหน้าใหม่ของหล่อนได้เจริญขึ้นตามสมควร แม่สาวชาวกรุงรู้สึกว่าหลวงประกอบฯ ผู้มีกิริยาท่าทางเป็นขุนนางบ้านนอกอย่างเต็มยศนั้น เป็นคนฉลาดเฉลียวและมีความรู้กว้างขวาง พอที่จะคุยกันเป็นที่เข้าใจกับหล่อนได้ หล่อนได้ทราบว่าเขาเคยเป็นนักเรียนประจำอยู่โรงเรียนอัสสัมชัญหลายปี เมื่อเรียนสำเร็จก็เข้ารับราชการอยู่ในกระทรวงมหาดไทย และถูกส่งตัวมาประจำอยู่ตามหัวเมืองต่างๆ ในมณฑลปักษ์ใต้นี้ตลอด จนได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นนายอำเภอเมือง อายุของเขาได้ ๓๖ ปีกับ ๔ เดือน ได้เคยแต่งงานครั้งหนึ่ง แต่ภรรยาได้ตายจากไปเมื่อ ๒ ปีก่อน โดยมิได้มีบุตรธิดาด้วยกันแต่สักคน และในเวลานี้หลวงบำรุงฯ ผู้เป็นบิดากำลังแสวงหาคู่ให้เขาอยู่

แม่เฉลา น้องสาวคนโตของเขานั้น อายุย่างเข้า ๒๐ ในปีนี้ อ่อนกว่านุช ๒ เดือนเศษ บิดากำลังจะจัดการตบแต่งให้กับนายชัดผู้หลาน ส่วนแม่ฉลวยอายุเพิ่งได้ ๑๗ ปี หลวงบำรุงฯ ยังมองไม่เห็นใครจะเป็นคู่ครองกับหล่อนได้ แต่ก็กำลังมองหาอยู่ทุกวัน

หญิงสาวทั้ง ๒ คนนี้ เมื่อเด็กเคยเข้าไปอยู่ในกรุงเทพฯ กับญาติทางมารดาหลายปี แต่ไม่เคยย่างเท้าเข้าไปในสถานศึกษาใดๆ ถึงกระนั้นหล่อนก็มีมารยาทและอัธยาศัยเรียบร้อย ตามแบบหคบดีชาวชนบท และอ่านหนังสือพอรู้ความ ทั้ง ๒ เป็นคนละมุนละม่อมโดยธรรมชาติ ใจเย็นและช่างพูด นิสัยของหล่อนนั้นซื่อและตรงจนมิได้เคยคิดว่า มีคำ ‘เล่ห์เหลี่ยม’ อยู่ในภาษาไทย เพราะฉะนั้นจึงสนิทสนมกับนุชได้เป็นอย่างดี วิสัยผู้มีธรรมและมีความเจริญในส่วนสมองจะสนิทชิดเชื้อ นับถือยกย่องผู้มีธรรมและมีความเจริญในส่วนสมองเสมอด้วยตนไว้ในฐานะแห่งเพื่อนของตน และจะเมตตาต่อผู้มีธรรมแต่ไร้ความเจริญในส่วนสมอง อย่างผู้ใหญ่เมตตาต่อเด็กอันไร้เดียงสา โดยนัยอันเดียวกัน ผู้ฉลาดและไหวพริบรอบตัว แต่ไร้ธรรม จะสนิทชิดเชื้อกับผู้ฉลาดและไหวพริบรอบตัวเสมอด้วย ตนและไร้ธรรมเช่นเดียวกับตนหาได้ไม่ ทั้ง ๒ ฝ่ายต่างจะคอยแก่งแย่งซึ่งเหลี่ยมคู และคอยเอาเปรียบกันอยู่ แต่....ความประหลาดแห่งธรรมชาติ!...ผู้ฉลาดและไหวพริบแม้ไร้ธรรม อาจสนิทชิดเชื้อกับผู้ที่โฉดเขลากว่าตนได้ ด้วยเหตุว่าผู้ฉลาดนั้นมีช่องที่จะเอาเปรียบต่อผู้โฉดเขลาอยู่ทุกโอกาสจนเกิดความชิน ไม่ปรารถนาที่จะแก่งแย่งชิงเหลี่ยมคูอีกต่อไป โดยหลักข้อต้นที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ นุชกับเฉลาและฉลวย ๒ พี่น้อง จึงคุ้นเคยและเกิดความไว้วางใจต่อกันโดยง่าย เฉลากับฉลวยมิได้มองดูนุชอย่างขลาดแกมพิศวง และพูดด้วยเพียงครึ่งเสียงอย่างแต่ก่อน และนุชก็มิได้มองดูหล่อนทั้ง ๒ ด้วยสายตาแสดงความห่างเหินและไว้ตัวอีกต่อไป ทั้ง ๒ ฝ่ายได้เรียนรู้ว่าต่างฝ่ายต่างก็เป็นสตรีธรรมดาด้วยกัน เวลาเช้าและบ่าย เมื่อไม่ได้ไปเที่ยวโดยยานทางบกหรือทางน้ำ หล่อนมักจะไปเดินเล่นกันตามลำพังแต่ ๓ คนหรือมิฉะนั้นก็พากันไปนั่งเล่นในสวนอันร่มรื่นด้วยต้นมังคุดทางหลังตึก เวลาแรกที่ได้นั่งลงบนเสือเหนือลานดิน นุชมักจะเอนตัวพิงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง และเปิดหนังสืออ่านเล่นภาษาอังกฤษออกอ่าน เฉลามักจะหยิบหลอดด้ายและเข็มควักลูกไม้ออกจากกระป๋องบุหรี่ซิกาแร็ต ฉลวยนั้นยังเป็นเด็กและรักที่จะนั่งพูดมากกว่านั่งทำงาน แต่มิช้านาน นุชก็ต้องทำตามอย่างหล่อนบ้างโดยที่สมองของหล่อนเชือนไปเอาใจใส่กับคำสนทนาของฉลวยกับเฉลาเสีย ดังนั้นหล่อนก็ต้องวางหนังสือไว้บนตัก ด้วยความตั้งใจว่าจะฟังข้อความเฉพาะตอนนั้นให้รู้เรื่อง แล้วจะอ่านต่อ ซึ่งในที่สุดความตั้งใจนั้นก็ต้องล้ม เพราะเหตุผลหล่อนถูก ๒ พี่น้องชวนให้พูดเสียเอง ถึงตอนนี้แล้วการสนทนาของหล่อนทั้ง ๓ ก็จำแนกออกได้เป็น ๒ เรื่องคือ ‘เรื่องเมืองฝรั่ง’ ตามที่แม่สาวชาวหลังสวนเรียก นุชเป็นผู้เล่า กับเรื่องเมืองหลังสวน อีกทั้งความเป็นไปในวงศ์ญาติ นุชเป็นผู้ฟัง และหล่อนก็ฟังด้วยความตั้งใจ

วันหนึ่งในขณะที่นุชกำลังเป็นฝ่ายฟังตามเคย หล่อนได้เอ่ยถามขึ้นว่า

“คุณลุงของเราน่ะ ท่านไม่มีลูกเมียดอกหรือ?”

“มีเมียคะ ตายเสียตั้งแต่ยังสาว แต่ลูกดูเหมือนไม่เคยมี” ฉลวยตอบ

“เมียตายแล้วเลยอยู่คนเดียวเรื่อยมาหรือจ๊ะ ดีแท้ๆ เห็นจะรักเมียมาก ถึงกับไม่มีเมียใหม่”

“ก็ไม่เชิงค่ะ” ฉลวยค้านขึ้นโดยเร็ว แล้วลดเสียงให้เบาลง “แกมีไม่ได้อยู่เอง!”

“ทำไม?” นุชถามด้วยความทึ่ง ในวาระเดียวกันนั้นหล่อนเห็นเฉลาขมวดคิ้วมองดูน้องสาวอย่างไม่พอใจ ทำให้สีหน้าฉลวยเปลี่ยนไป อึกอักอยู่เป็นครู่ จึงพูดด้วยเสียงเกือบเป็นกระซิบ

“เรื่องมันมี ดิฉันจะเล่าให้ฟัง แล้วคุณพี่อย่าพูดไปนะคะ….ก็พอเมียตาย คุณลุงก็ติดคุกเพิ่งได้ออก จะมีเมียได้ที่ไหนล่ะ?”

“อุ๊ยตาย!” นุชร้องดังด้วยความตกใจและสมเพช “ทำไมถึงอย่างนั้น ติดอยู่กี่ปี โทษอะไรกัน”

“ไม่ทราบแน่ทั้ง ๒ อย่าง แต่แกเพิ่งกลับมาอยู่บ้านเมื่อเร็วๆนี่เอง ดูเหมือนก่อนคุณพี่มาไม่ถึงเดือน”

“เพิ่งออกจากคุกมาน่ะหรือ?” นุชถามสีหน้าเศร้า

“เห็นจะอย่างนั้นกระมังคะ” เฉลาตอบช้าๆ อย่างตรึกตรอง “ดิฉัน ๒ คนไม่ค่อยทราบเรื่องนี้ คุณพ่อปิดนักค่ะ แม่ฉลวยแกแอบได้ยินผู้ใหญ่เขาพูดกัน แกมาบอกดิฉันถึงได้รู้เรื่อง เมื่อแต่ก่อนนี้ดิฉันคิดว่าท่านอยู่กรุงเทพฯ เฉยๆ”

นุชผู้ซึ่งเมื่อครู่ก่อนนั่งเหยียดเท้าพิงต้นไม้อย่างสบายได้หดขาเข้ามาและยกมือขึ้นกอดเข่า สีหน้าของหล่อนขรึม มองดูไปข้างหน้าอย่างใจลอย

“คุณพ่อของแม่เฉลา คุณพ่อของฉันกับคุณลุง ๓ คนนี้เป็นพี่น้องสนิทกันหรือ?”

“คุณพ่อของดิฉันเป็นน้องของคุณลุงแท้ๆ แต่คุณพ่อของคุณพี่จะเป็นอะไรกัน ดิฉันไม่ทราบไม่เคยมีใครพูดถึงเลย”

“อย่างสนิทที่สุดก็คงเป็นลูกพี่ลูกน้อง...เคราะห์ดี ไม่ใช่ลุงของเราแท้ๆ” นุชรำพึง ครั้นแล้วหล่อนขยับไหล่คล้ายกับรู้สึกหนาว “โธ่! น่าสงสาร คนหน้าตาดีๆ แท้ๆ เป็นอย่างนั้นไปได้”

ในวันนั้น นุชเกิดมีความรู้สึกชนิดหนึ่งที่ทำให้หล่อนเลี่ยงขึ้นไปนอนอ่านหนังสือเสียในห้องนอน แทนที่จะนั่งคุยอยู่กับชายชราดังทุกวัน แต่ในวันรุ่งขึ้นในเวลาบ่าย หล่อนกลับมาจากบ้านสวน พอจะก้าวขึ้นบันไดไปชั้นบน ตามองเห็นประตูห้องซึ่งอยู่ใกล้บันไดนั้น ใจหล่อนก็นึกถึงผู้ที่อยู่ภายใน มีความรู้สึกอีกชนิดหนึ่งเกิดขึ้นใหม่ให้นึกปรานีในชายผู้เคราะห์ร้าย นึกถึงสีหน้าอันเหี่ยวแห้งอยู่เป็นนิจ แต่มักจะเบิกบานแจ่มใสขึ้น เมื่อสายตาได้ประสบควงหน้าของหล่อนบุคคลผู้อารี เมื่อรู้แจ้งว่าตนของตนเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยทางหนึ่งทางใด มักจะปิติและปรารถนาที่จะเพิ่มพูนประโยชน์นั้น อนึ่ง แล้วนุชเป็นหญิงสาวและหญิงสาวทุกคนใฝ่ใจในอันที่จะบำเพ็ญตนให้เป็นที่ต้องใจถูกใจคนโดยไม่มียุติ หากแต่ว่าเจ้าหล่อนบางคนไม่มีความไหวพริบพอที่จะแสวงหาทาง หรือไหวพริบมีอยู่แล้วแต่ขาดสติ ที่จะบังคับตนให้เป็นอยู่อย่างเสมอต้นเสมอปลาย สำหรับนุชนอกจากความภูมิใจที่รู้ว่าตนเป็นที่ถูกใจของชายชราแล้ว ยังมีความรู้สึกที่เรียกได้ว่าความอยากรู้อยากเห็น เร้าใจให้หล่อนอยากเห็นหน้าชายชราเพื่อว่าจะได้เห็นความแปลกประหลาดในวงหน้านั้น….หน้าที่เจ้าของได้ทำผิด จนถึงต้องโทษคุมขังเป็นเวลาหลายปี!!!

….บรรจงเปิดประตูอย่างระมัดระวัง แล้วเยี่ยมหน้าเข้าไปภายใน นุชเห็นชายชรานอนหันข้างให้หล่อน กำลังเชยชมภาพถ่ายแผ่นหนึ่งมองปราดเดียวก็จำได้ว่าภาพของหล่อนเอง ถ่ายเมื่อวันจะเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้ากรุงอังกฤษ ณ ราชสำนักเซ็นต์เยมส์ วันนั้นหล่อนสวมเครื่องแต่งกายแบบผู้หญิงอังกฤษที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน คือสวมเสื้อกระโปรงยาว หางระพื้น สวมถุงมือครึ่งแขน ปักขนนกบนศีรษะ และถือพัดขนนกกระจอกเทศ คืนที่ได้เฝ้าพระเจ้ากรุงอังกฤษนั้น เป็นคืนอันรื่นรมย์ที่สุดคนหนึ่งในชีวิตของนุช เพราะหล่อนได้รับคำชมเชยจากชายหนุ่มนับเป็นจำนวน ๑๐ ว่าหล่อนเป็นสตรีที่งามหาตัวจับได้โดยยาก ในขณะที่หล่อนกำลังนึกถึงภาพแห่งห้องโถงอันงดงามวิจิตร ซึ่งหล่อนได้เหยียบย่างเข้าไปเป็นครั้งแรก นึกถึงความตื่นเต้นอันเกิดจากความปลาบปลื้มระคนกับความประหม่านั้น ชายชราได้วางรูปของหล่อนลงบนทรวงอกและกอดประทับอย่างรักใคร่ พร้อมกันนั้น อัมพรผู้ซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ข้างเก้าอี้พูดขึ้นว่า

“จะหาคนได้น้อยคนนักที่แต่งตัวขึ้นเหมือนเขา ใครได้เห็นจะไม่ชมว่าสวยเป็นไม่มี!”

สีหน้าของนุชแดงขึ้นทันที ผู้หญิงยิ่งสวยยิ่งชอบให้มีคนชมว่าสวย ถึงกระนั้นก็ยังหน้าชาเมื่อคำชมมาเข้าหู นุชหดตัวออกมานอกประตูเหมือนจะกลับใจเสียไม่เข้าไปในห้องนั้น แต่ครั้นแล้วหล่อนก็กลับใจอีก ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวินาที…. การเปลี่ยนความคิดเป็นสมบัติพิเศษของสตรีนุชไอขึ้นอีกครั้ง แล้วก็ก้าวเท้าเข้าในห้อง

จะเป็นเพราะความตกใจหรืออย่างไรก็ตาม ชายชราได้เลือกรูปเข้าไว้ใต้แพรเพลาะที่คลุมตัวโดยเร็วแล้ว จึงหันหน้าอันมีรอยแห่งความตื่นเต้นมาทางนุช

“ไปไหนมา?” อัมพรถามขึ้น

“มาจากสวนเดี๋ยวนี้เอง” นุชตอบด้วยสีหน้าเป็นปกติ “คุณลุงไม่นอนกลางวันหรือคะวันนี้”

“กำลังจะนอน” อัมพรตอบแทน “เราออกไปกันเสียก่อนเถอะเย็นๆ จึงค่อยมาหาท่านใหม่”

นุชเอียงคอมองชายชราอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ออกจากห้องไปโดยมิได้พูดว่าอะไร

ทั้ง ๒ พี่น้องพากันขึ้นไปบนห้องพัก นุชทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วเอ่ยขึ้นว่า

“อัมพรเอารูปเต็มยศของนุช ไปให้คุณลุงดูใช่ไหม?”

“นุชเห็นหรือ?” อัมพรย้อนถามด้วยน้ำเสียงแสดงความประหลาดใจ

“เห็นซี” หญิงสาวตอบพลางหัวเราะ “ดูแล้วท่านเอาวางบนหน้าอก พอได้ยินเสียงนุชท่านเลยยัดเข้าใต้ผ้าห่ม ทำยังกะรูป Sweet heart”

“โกงจัง เด็กคนนี้! ไปแอบดูเห็นออกถ้วนถี่แล้วทำไก่เป็นว่าข้าไม่รู้หนเหนือหนใต้” หยุดนิ่งเชิงตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วก้าวเท้าไปชิดน้องสาว เปลี่ยนเสียงพูดอย่างหนักแน่น แต่มีความตื้นตันระคนอยู่ด้วยว่า “ยิ่งเสียกว่า Sweet heart คุณลุงรักนุชมากกว่าสิ่งใดๆ ในโลกขอให้รู้ไว้”

นุชมองดูผู้พูดอย่างขบขัน พร้อมกับทำหน้านิ่วพอดีกับคุณหญิงสวงเข้ามาในห้อง หล่อนก็หันไปพูดกับท่านทันทีว่า

“คุณแม่คะ เมื่อไรเราจะกลับบ้าน?”

คุณหญิงชำเลืองดูอัมพรก่อน แล้วจึงตอบเนือยๆ

“แม่กะไว้ว่าจะกลับมะรืนนี้”

“Hurra! ดีจริง! นุชกำลังคิดถึงบ้านเต็มที่แล้ว”

สีหน้าอัมพรสลดลงทันที นิ่งอยู่เป็นครูจึงว่า

“นุชไม่อยู่เป็นเพื่อนพี่ก่อนหรือ?”

“ก็อัมพรจะอยู่ทำไมอีกล่ะ? นุชไม่อยู่แล้ว”

“ช่างถามได้ว่าอยู่ทำไม” น้ำเสียงออกสั่น “นุชก็เห็นแล้วตั้งแต่มาพี่ไม่ได้ไปไหนเลย อยู่พยาบาลคุณลุงเท่านั้น”

“ก็อยากพยาบาลเองนี่ นุชไม่เห็นคุณลุงเจ็บเป็นอะไรถึงกับต้องเฝ้ากันวันยังค่ำเลย แต่ก่อนไม่มีอัมพรทำไมท่านถึงอยู่มาได้ เราไปแล้ว ยาย ฉ.๑ กับ ฉ.๒ แกก็พยาบาลกันเองนั่นแหละ”

ขณะที่น้องกำลังพูด สีหน้าอัมพรยิ่งสลดลงทุกที ในที่สุดหล่อนหันไปทางคุณหญิงสวงอย่างจะ ขอร้องความช่วยเหลือ คุณหญิงจึงพูดขึ้นว่า

“นุชยังไม่เข้าใจ คุณลุงท่านป่วยเป็นโรคหัวใจพิการอย่างหนัก ต้องการการพยาบาลเท่ากับต้องการเพื่อนคุย นุชเป็นคนช่างพูดช่างเล่นคนไข้อยู่กับนุชก็เพลิน อยู่กับพี่เขาต่อไปสักหน่อย เพียง ๒-๓ วันเท่านั้น เมื่อเบื่อเต็มที่ก็โทรเลขไปบอกแม่จะกลับมารับ”

“เสียเวลาคุณแม่ต้องย้อนไปย้อนมาเปล่าๆ อย่าเลยค่ะ นุชจะกลับพร้อมกับคุณแม่มะรืนนี้แหละ”

“เสียเวลาแม่จะเป็นอะไรไป หรือไม่อย่างนั้นให้หลวงประกอบฯ ไปส่งก็ได้ แม่ได้ยินเขาบ่นว่า อยากไปกรุงเทพฯ อยู่เหมือนกัน”

“เฮ้อ! ออกเดินขากางอย่างนั้น ใครจะไปด้วย ไม่เอาละค่ะ คุณแม่กลับเมื่อไรนุชจะกลับด้วย เบื่ออ้ายเมืองนี้เต็มทีแล้ว ใครอยากอยู่ก็อยู่ไปเถอะ” พูดแล้วนุชก็นอนลงบนเตียงหันหน้าเข้าฝาเสียทันที

คุณหญิงกับอัมพรมองดูตากัน ครั้นแล้วคุณหญิงส่ายหน้าอย่างสิ้นพูด พลางเดินช้าๆ อย่างตรึกตรองออกจากห้องและลงไปข้างล่าง ลืมธุระที่ตั้งใจจะทำเสียสิ้น ส่วนอัมพรนั่งลงบนเตียงผ้าใบพินิจดน้องทางเบื้องหลังด้วยสีหน้าแสดงความยุ่งยากใจ ในที่สุดหล่อนเม้มริมฝีปากแน่นเข้า ผุดลุกจากที่ตรงเข้าไปนั่งข้างตัวนุช จับบ่าบีบค่อนข้างแรงและขยับปากเหมือนจะกล่าวถ้อยคำที่เผ็ดร้อนออกไปทันที ครั้นแล้วกลับได้สติ หักความฉุนเฉียวเสียได้ มือที่บีบบ่าก็คลายออก ย้ายมาลูบหลังอย่างปรานีพลางว่า

“หันหน้ามาทางนี้แน่ะน้อง พี่จะว่าอะไรให้ฟัง เป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวแก่ชีวิตผู้มีพระเดชพระคุณ คือบิดามารดาของเราและเกี่ยวแก่ตัวเราทั้ง ๒ โดยตรงด้วย พี่อยากจะเล่าให้นุชฟังเป็นนักหนามานานแล้ว แต่ก็ผู้มีพระคุณอีกน่ะแหละห้ามไว้ จึงต้องทนความอัดใจไว้คนเดียว เดี๋ยวนี้ถึงคราวจำเป็นจะปิดบังไว้ไม่ได้ต่อไปอีกแล้ว พี่จะปล่อยให้นุชไปจากที่นี่โดยไม่รู้ความจริงเสียก่อนไม่ได้ จะต้องเล่าให้ฟังให้หมดที่นี่และเดี๋ยวนี้ แต่พี่ขอเตือนให้นุชตั้งใจระงับสติอารมณ์ให้ดี ไม่ตีโพยตีพายในเมื่อได้ฟังเรื่องของพี่แล้ว”

นุชพลิกตัวหันหน้ากลับมาช้าๆ จะเป็นเพราะเหตุใดหล่อนเองก็อธิบายไม่ได้ หล่อนรู้สึกว่าหัวใจของหล่อนเต้นแรงขึ้นผิดปกติ จ้องดูพี่สาวด้วยแววตาแสดงความสงสัย และหวาดกลัวระคนกัน แล้วหล่อนจึงว่า

“มีอะไรก็เล่าไป นุชกำลังตั้งใจฟัง”

อัมพรประสานมือวางไว้บนตัก หลับตานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นด้วยถ้อยคำอันชัดเจนแต่ทว่าน้ำเสียงสั่นระรัว

“นุช เจ้าคุณรัตนวาทีและคุณหญิงสวงไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงของเรา แม่ของเราแท้ๆ นั้นตายเสียนานแล้ว และพ่อของเราแท้ๆ นั้นคือคุณลุง!”

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ